ลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะออกมา“ท่านอ๋อง เหตุใดท่านจึงกล้าตรัสเช่นนี้ ท่านใช้หม่อมฉันเป็นเครื่องมือมากี่ครั้งแล้ว?”“เราต่างกันอย่างไร”“อีกอย่าง นี่คือผลลัพธ์ที่ท่านอ๋องต้องการมิใช่หรือ?”เสียงหัวเราะมิใส่ใจของลั่วชิงยวนเหมือนกับมีดที่แทงเข้าไปในหัวใจของฟู่เฉินหวนเมื่อเทียบกับเป้าหมายของนาง เขาเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้การได้ใช่หรือไม่?นางถึงกับใช้เขาทำข้อตกลงกับลั่วไห่ผิง!เขามิเคยคิดจะรับลั่วเยวี่ยอิงเข้าตำหนักอ๋องเลย เขายังพยายามคิดหาวิธีที่จะทำให้ลั่วเยวี่ยอิงอยู่ต่อไปได้ โดยมิต้องรับนางเป็นชายารองแต่มิคิดว่าลั่วชิงยวนจะทำข้อตกลงกับลั่วไห่ผิงเสร็จสิ้นแล้วนี่ต่างอะไรกับการถูกขาย!“แม้ว่าหม่อมฉันจะมิได้บอกเรื่องนี้กับท่านอ๋องล่วงหน้า แต่เพื่อเป็นการชดเชย หม่อมฉันจะช่วยท่านเตรียมการแต่งงานครั้งนี้เอง”ลั่วชิงยวนยกยิ้มที่อ่อนโยนและเข้าอกเข้าใจความโกรธในใจของฟู่เฉินหวนยิ่งรุนแรงขึ้น “ลั่วชิงยวน!”ในขณะนี้ เสียงของฟู่อวิ๋นโจวดังมาจากด้านนอก“เสด็จพี่ ข้าขอคุยด้วยหน่อยได้หรือไม่?” ฟู่อวิ๋นโจวดูเป็นกังวลฟู่เฉินหวนโกรธมาก เดินออกจากห้องแล้วพูดด้วยความโกร
ลั่วเยวี่ยอิงผลักเขาออกไปอย่างเย็นชา “ท่านยังต้องการอะไรจากข้าอีก?”“อันที่จริง ข้าก็ไม่มีทางเลือก ไทเฮามิต้องการให้เจ้าแต่งเข้าตระกูลเหยียน เพราะ…”เหยียนผิงเซียวเข้ามาใกล้ลั่วเยวี่ยอิงและกระซิบข้างหูของลั่วเยวี่ยอิง “ข้ามียอดฝีมือจากแคว้นหลีอยู่ข้างกายข้า ไทเฮาสัญญากับนางจะให้นางเป็นฮูหยินของข้าในภายหน้า ดังนั้นข้าจึงมิสามารถแต่งงานกับเจ้าก่อนที่จะแต่งงานกับนางได้"เมื่อได้ยินสิ่งนี้ลั่วเยวี่ยอิงก็ตกใจมาก “ยอดฝีมือจากแคว้นหลี? นั่นคือสตรีที่ข้าเห็นคราวก่อนหรือ?”เหยียนผิงเซียวพยักหน้า“แต่นี่คือการเตรียมการของไทเฮา เจ้าก็รู้ว่าข้ามิสามารถต่อต้านไทเฮาได้ ดังนั้น... ข้าจึงปิดบังเรื่องนี้ไว้จากเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะให้อภัย”“เจ้าวางใจเถอะ เมื่อข้าควบคุมอำนาจทั้งหมดได้ และมิต้องรับคำสั่งจากไทเฮาอีกต่อไป ข้าก็จะแต่งงานกับเจ้าได้”“อีกอย่าง ตราบใดที่หัวใจของเราทั้งสองอยู่ด้วยกัน ก็ไม่มีสิ่งใดในใต้หล้านี้ที่จะขัดขวางเราได้”เหยียนผิงเซียวเกลี้ยกล่อมอย่างจริงจังลั่วเยวี่ยอิงมองเขาด้วยความสงสัย “แล้วสตรีนางนั้นเล่า?”“ตอนนี้นางยังมีประโยชน์มาก ดังนั้น...” เหยียนผิงเซียวกล่าวอย่างเสี
นางรีบหยิบกล่องใบเล็กนั้นมาแต่แสงในดวงตาก็จางหายไปในพริบตา เพราะกล่องได้ถูกเปิดแล้วในขณะนี้ไม่มีอะไรอยู่ภายในลั่วอวิ๋นสี่ขมวดคิ้ว "ข้าติดตามลั่วเยวี่ยอิงตลอดเวลา นางถูกเหยียนผิงเซียวหลอกไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้งแล้ว"“สตรีที่อาศัยอยู่ข้างในเป็นคนเปิดกล่องนี้ออก”“ลั่วเยวี่ยอิงแอบฟังอยู่ข้างนอก เมื่อเช้านี้ตอนที่ไม่มีใครอยู่ในบ้าน นางจึงฉวยเข้าไปขโมยสิ่งนี้มา”“แต่สิ่งที่ข้ามิคาดคิดก็คือ นางกินของในนั้นเข้าไปทันที!”“ข้าชิงมามิทัน... ได้แต่เก็บกล่องที่นางโยนทิ้งนี้ขึ้นมา”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็กำหมัดแน่นจากนั้นนางก็ถามด้วยความตกใจ "นางกินของในกล่องนี้ด้วยหรือ มันคืออะไร?"ลั่วอวิ๋นสี่ตอบ "มันดูเหมือนโอสถบางชนิด มันเล็กมากและมีสีน้ำตาลเข้ม"ลั่วชิงยวนดมกล่อง และจริง ๆ ก็ได้กลิ่นยาหอมเข้มข้น แต่กลิ่นยาผสมกันมากเกินไปจนมิสามารถบอกได้ว่าเป็นยาอะไรลั่วเยวี่ยอิงผู้นี้บ้าไปแล้วจริง ๆ นางมิกลัวถูกพิษหรือไร"ข้าขอโทษ ข้ามิได้จับตาดูให้ดีเอง” ลั่วอวิ๋นสี่ก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิดเดิมทีนางสัญญากับลั่วชิงยวนว่าจะหาโอกาสขโมยสิ่งนี้คืนมาให้ตอนนี้ลั่วเยวี่ยอิงกินของสิ่
จากนั้นทั้งสองก็ปลอมตัวและมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังนั้นบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในที่ห่างไกล แม้ว่าลานจะกว้างใหญ่ แต่ดูธรรมดามิเหมือนบ้านของตระกูลร่ำรวยก่อนเข้าไป ลั่วชิงยวนยืนยันกับทาสใบ้แล้วว่าไม่มีใครอาศัยอยู่ข้างในทาสใบ้พยักหน้าเป็นผลให้ลั่วชิงยวนเข้าไปในลานและเห็นสมุนไพรตากแห้งอยู่ในลานนั้นนางมองไปที่ทาสใบ้ด้วยความสับสน และทาสใบ้ก็ได้แต่ส่ายหัวเพื่อแสดงให้เห็นว่านางมิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเข้ามาถึงลานด้านใน ก็ได้ยินเสียงซักผ้าจากลานหลังบ้านด้วยความอยากรู้อยากเห็น ลั่วชิงยวนจึงเดินไปที่ประตูหลังบ้านและมองเข้าไปข้างในมีสตรีนางหนึ่งหนึ่งนั่งอยู่ที่ลานบ้าน และข้าง ๆ นางยังมีเด็กคนหนึ่งอายุประมาณสองขวบกำลังเล่นอยู่บนขั้นบันไดสตรีนางนั้นกำลังซักผ้า และมีอาภรณ์แขวนอยู่ในลานในบรรดอาภรณ์เหล่านั้น มีบางชิ้นที่ชัดเจนว่าเป็นอาภรณ์ของบุรุษและลั่วชิงยวนมิแปลกใจเลย นั่นคืออาภรณ์ของลั่วไห่ผิง!ลั่วชิงยวนตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างทันทีนี่คือบ้านเล็กของลั่วไห่ผิงสตรีนางนั้นดูเหมือนอายุยี่สิบ แต่ยังเด็กอยู่มากลั่วไห่ผิงเป็นพวกวัวกินหญ้าอ่อน น่าขยะแขยงจริง ๆลั่วชิงยวนจากไปอย่างรว
“นั่นประตูอะไร? นั่นมิใช่ช่องสุนัขลอดหรอกหรือ?”คนที่เดินผ่านไปมาพูดด้วยความตกใจคนข้างนอกต่างก็ตกตะลึงลั่วเยวี่ยอิงได้ยินเสียงจึงเปิดม่านรถม้าออกเมื่อนางเห็นว่าประตูเล็ก ๆ ที่อยู่ถัดจากประตูหลักเปิดอยู่ ลั่วเยวี่ยอิงก็โกรธมากจนเล็บของนางจิกในฝ่ามือช่องสุนัขลอด!ลั่วชิงยวนต้องการให้นางคลานเข้าไปในช่องสุนัขลอดเช่นนั้นหรือ?สาวใช้ก้าวไปเรียกที่ประตูด้วยความมิพอใจ “พวกเจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร! อย่างไรคุณหนูของเราก็เป็นบุตรีของอัครเสนาบดี เหตุใดเจ้าถึงทำให้นางขายหน้าเช่นนี้! เจ้าพวกขี้ข้า!”ในประตูเล็กมีเด็กรับใช้อยู่คนหนึ่งตอบว่า “เมื่อมิใช่ภรรยาหลวง ก็มิสมควรได้รับการต้อนรับที่ประตูใหญ่”“ยิ่งกว่านั้น ชายารองก็มิใช่สตรีบริสุทธิ์ หากนางต้องการเข้าตำหนัก นางก็ทำได้เพียงผ่านประตูนี้เท่านั้นแล”เมื่อได้ยินดังนั้น สาวใช้ก็โกรธ “หมายความเยี่ยงไร! ใครเป็นคนออกคำสั่ง? ท่านอ๋องอยู่ที่ใด!”“ข้ามิเชื่อว่าท่านอ๋องจะปฏิบัติต่อคุณหนูของเราเช่นนี้!”ชายหนุ่มตอบอย่างเย็นชา “พระชายาของเราบอกว่ามีประตูนี้ประตูเดียว จะเข้ามิเข้าก็ตามใจ”หลังจากพูดจบ เด็กชายก็จากไปมีเสียงฮือฮาหน้าประตูผู้
เว่ยอวิ๋นเซี๋ยถูกองครักษ์ของตำหนักอ๋องจับกุมไปต่อหน้าทุกคน และโยนเข้าไปในตรอกร้างข้าง ๆจากนั้น คนอีกกลุ่มก็กระโดดลงมาจากฟ้าพร้อมกระสอบ คลุมหัวเว่ยอวิ๋นเซี๋ยและอุ้มนางออกไปหลังจากที่ปัญหาของเว่ยอวิ๋นเซี๋ยได้รับการแก้ไขแล้ว ลั่วชิงยวนก็กลับเข้าไปในลานบ้านและปิดประตูในระหว่างกระบวนการทั้งหมด นางมิได้เหลือบมองขบวนเจ้าสาวเลยด้วยซ้ำ และนางก็มิได้ตั้งใจที่จะให้ลั่วเยวี่ยอิงเข้ามาขบวนยังคงรออยู่นอกประตูใหญ่แบบนั้นผู้คนที่มามุงดูเปลี่ยนไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าลั่วเยวี่ยอิงมีความกังวล นางจึงเรียกสาวใช้อย่างร้อนใจ “ซือเยวี่ย”“คุณหนู”“นำสิ่งนี้ไปให้ลั่วชิงยวน”ลั่วเยวี่ยอิงหยิบกล่องเล็ก ๆ ที่นางเตรียมไว้ล่วงหน้าออกมาเมื่อนางได้รับกล่องเล็กเดิมในวันนั้น นางก็หยิบยาข้างในกินเข้าไปแล้วโยนกล่องนั้นทิ้งหลังจากที่กลับบ้าน ก็นึกขึ้นได้ว่ายังต้องมอบมันให้กับลั่วชิงยวนนางมิกล้ากลับไปหาใหม่ จึงให้คนทำกล่องเล็กอีกอัน ใส่เม็ดหอมไว้ข้างในอย่างไรลั่วชิงยวนก็มิเคยเห็นของข้างในถุงหอมอยู่แล้วหลังจากนั้นมินาน คนรับใช้ก็นำกล่องเล็กมา “พระชายา สาวใช้ของคุณหนูรองลั่วส่งมาเจ้าค่ะ”เมื่อลั่วชิงยว
“ช้าก่อน!”ลั่วเยวี่ยอิงได้ยินเสียงนั้น แต่ยังคงคลานเข้าไปในช่องสุนัขลอดต่อไปครู่ต่อมา จู่ ๆ ก็มีมือมาคว้าแขนของนางแล้วดึงนางกลับไปลั่วเยวี่ยอิงเกือบล้มลงไปกองกับพื้นในตอนที่นางถูกฟู่เฉินหวนดึงตัวขึ้นมา นางก็เหวี่ยงตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของฟู่เฉินหวนลั่วเยวี่ยอิงมองไปที่คนตรงหน้านางด้วยความตกใจ “ท่านอ๋อง…”ฟู่เฉินหวนดูโกรธและดึงลั่วเยวี่ยอิงไปที่ประตูใหญ่แล้วถีบมันให้เปิดออกภายใต้แสงจันทร์ ลั่วชิงยวนซึ่งกำลังนั่งอยู่ในศาลา เห็นฟู่เฉินหวนดึงลั่วเยวี่ยอิงเข้ามาท่าทางของเขาโกรธจัด“ท่านอ๋อง...” จือเฉาหยุดอยู่ข้างหน้าและกำลังจะอธิบายแต่ฟู่เฉินหวนผลักนางออกไปด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว จือเฉาล้มลงไปกับพื้นลั่วชิงยวนตกใจและลุกขึ้นยืนทันที “ฟู่เฉินหวน นี่ท่านคิดจะทำอะไร?!”นางกำลังจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยพยุงจือเฉาขึ้นมาเยี่ยงไรก็ตาม เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็มิทันระวัง พลันโดนตบอย่างแรงเมื่อแรงกระทบแก้ม ก็แผดเผาด้วยความเจ็บปวดเมื่อรู้สึกแสบร้อนขึ้น ลั่วชิงยวนก็เงยหน้าขึ้นมองฟู่เฉินหวนด้วยสายตาเย็นชาใบหน้าของฟู่เฉินหวนเต็มไปด้วยความโกรธ กำมือแน่น ความรู้สึกเสียใจแวบเข้ามา แต่
กลิ่นอายของเขาไร้มลทิน แต่สายตาของเขามิสงบมั่นคงเหมือนก่อนหน้านี้ดูแปลกมากสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเมื่อตอนที่หมอกู้ยังอยู่แต่หมอกู้ตายไปแล้วตำหนักอ๋องนี้ได้ตรวจสอบจนสะอาดหมดจด ไม่มีใครสามารถทำอะไรฟู่เฉินหวนได้ฟู่จิ่งหลีตกใจ “ท่านสงสัยว่าลั่วเยวี่ยอิงทำอะไรกับพี่สามเช่นนั้นหรือ?”ฟู่จิ่งหลียืนขึ้นทันที “ข้าจะจับตาดูเขาเอง!”......ฟู่เฉินหวนส่งลั่วเยวี่ยอิงไปที่ห้องแล้วพูดว่า “วันนี้ข้ามีธุระบางอย่างจึงกลับมาช้าหน่อย ทำให้เจ้าลำบากแล้ว”ดวงตาของลั่วเยวี่ยอิงแดง แนบชิดเข้าไปในอ้อมแขนของฟู่เฉินหวนอย่างเข้าใจ “การที่เยวี่ยอิงสามารถแต่งเข้าตำหนักของท่านอ๋องได้ ถือเป็นบุญสามชาติของหม่อมฉันแล้วเพคะ”เมื่อพูดอย่างนั้น มือของลั่วเยวี่ยอิงก็ตกบนเข็มขัดของฟู่เฉินหวน “เพราะความเมตตาของท่านอ๋อง เยวี่ยอิงจะดูแลท่านอ๋องอย่างดีแน่นอน”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วในเวลานี้มีเสียงเคาะประตูอย่างกังวล“พี่สาม! พี่สาม!”ฟู่เฉินหวนก้าวไปข้างหน้าทันทีเพื่อเปิดประตูและเห็นฟู่จิ่งหลียืนรออยู่“พี่สาม ข้ามีเรื่องจะถามท่าน” หลังจากพูดอย่างนั้น ฟู่จิ่งหลีก็พาฟู่เฉินหวนจากไปก่อนที่ลั่วเยวี่ยอิงจะทันได้พ
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้