ฟู่เฉินหวนรู้สึกตัว เดินตามทัน และกลับไปที่ตำหนักเนื่องจากมีการเคลื่อนไหวมากมายในตำหนักกลางดึก ลั่วเยวี่ยอิงจึงลุกขึ้นและมายังลานตำหนักจากนั้นก็เห็นลั่วชิงยวนและฟู่เฉินหวนกลับมาด้วยกันในขณะนั้น ใบหน้าของลั่วเยวี่ยอิงก็ซีดลง “ท่าน!”ลั่วชิงยวนเหลือบมองนางอย่างเย็นชา มิแยแส และเดินตรงไปที่คุกใต้ดินลั่วเยวี่ยอิงตกใจมากจนนางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง นั่นคนหรือผี?ลั่วชิงยวนยังมิตายเหรอ?“ท่านอ๋อง นาง…” ลั่วเยวี่ยอิงกำลังเสียศูนย์และดูตื่นตระหนกฟู่เฉินหวนปลอบใจนาง "นางยังไม่ตาย""เจ้าวางใจได้"“นี่ก็ดึกแล้ว กลับไปพักผ่อนเถอะ”หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ให้คนไปส่งลั่วเยวี่ยอิงกลับเรือนลั่วเยวี่ยอิงตกใจมาก นางโกรธจนอาเจียนเป็นเลือด ทันทีที่กลับถึงห้อง…… ที่คุกใต้ดินลั่วชิงยวนขอให้ผู้คุมทั้งหมดล่าถอยไป มิให้มีการทรมานใด ๆ และสอบสวนกู้หงปิ่งเพียงลำพังฟู่เฉินหวนกำลังนั่งอยู่ในห้องข้าง ๆ ดื่มชาและฟังอย่างเงียบ ๆ“ข้าเห็นโลงศพของเจ้าในอำเภอชิงฉวี ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการทำอะไร เจ้าสามคนคงมีชีวิตที่ยากลำบาก หากทั้งสามคนมีอัตลักษณ์เดียวกัน เช่นนั้นเจ้าทั้งสามคงถูกกำหนดให้ต้องเจอจุดจบ”
กู้หงปิ่งตอบอย่างมิแยแส “ตระกูลเหยียนไงเล่า”“เราเพียงติดต่อกับเหยียนผิงเซียวและรับคำสั่งจากเขาเท่านั้น”“ข้ารับคำสั่งจากตระกูลเหยียนเท่านั้น ความลับอื่นใดข้ามิรู้เลย”คำตอบนี้อยู่ในความคาดหมายของลั่วชิงยวนเช่นกันนางรู้ว่าหมอกู้เป็นคนของตระกูลเหยียน และเป็นมือเป็นเท้าให้ไทเฮา“เจ้ารู้เรื่องกลียุคในวังมากแค่ไหน?”กู้หงปิ่งส่ายหน้า “ข้ามิรู้อะไรเลย”“พี่ใหญ่และพี่รองของข้าอาจรู้อะไรบางอย่าง เพราะพวกเขาเกี่ยวข้องกับภารกิจนี้โดยตรง มีแต่ข้าที่มิรู้เรื่องนี้”ลั่วชิงยวนสอบปากคำเขาอยู่เป็นเวลานาน แต่มิพบเบาะแสที่เป็นประโยชน์อีกแล้วรวมถึงเรื่องที่มียอดฝีมือซ่อนอยู่ในตระกูลเหยียนด้วย กู้หงปิ่งรู้แค่ว่ามีคนเหล่านั้นอยู่ แต่มิเคยเห็นพวกเขาและไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพวกเขาเลยลั่วชิงยวนเชื่อว่าเขาจะไม่โกหก เขาได้ทรยศต่อเจ้านายของเขาแล้ว และมิจำเป็นต้องปิดบังอะไรอีกหลังจากหมดคำถาม ลั่วชิงยวนก็มาที่ห้องขังข้าง ๆ “ท่านมีอะไรจะถามเขาหรือไม่?”ดวงตาของฟู่เฉินหวนมืดมน เขามิเคยคาดคิดว่าคนที่เขาไว้วางใจมากที่สุดจะเป็นสายลับที่ศัตรูของเขาวางไว้ตั้งแต่แรก“ไม่มีแล้ว” ฟู่เฉินหวนลุกขึ้นและออกจา
ฟู่เฉินหวนเริ่มพูดอย่างช้า ๆ “เหล่าพ่อค้าซีหยางที่ถูกจับได้ล้วนเป็นสมาชิกของสมาคมการค้าซีหยางเฟิงตู”“ในเดือนที่ผ่านมา สมาคมการค้าซีหยางเฟิงตูมีเงินหมุนเวียนอย่างน้อยหลายสิบล้านตำลึง”“ตอนคนของข้าติดตามคดีนี้ไปถึงซีหยาง ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ล้วนหายตัวไปอย่างลึกลับ ไม่มีใครรู้ว่าเป็นหรือตาย”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางเลิกคิ้วและมองไปที่ฟู่เฉินหวน “ท่านต้องการให้หม่อมฉันช่วยสืบสวนคดีนี้หรือไม่?”ใบหน้าของฟู่เฉินหวนเย็นชา “เจ้าอยากรู้อะไรงั้นหรือ?”ลั่วชิงยวนยิ้มและวางจดหมายลับลง “หม่อมฉันมิได้ขอให้ท่านบอกอะไรมากนัก หากท่านทำตัวผิดปกติ หม่อมฉันจะรู้ว่าว่าท่านมีเจตนาอะไร”“การหายตัวไปอย่างแปลกประหลาดนับว่ามิใช่เรื่องปกติ ทั้งยังมิรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร นับว่าแปลกประหลาดมาก”ลั่วชิงยวนหัวเราะเบา ๆ หันหลังกลับและจากไปเขาอยากหลอกล่อให้นางงับเหยื่อ อยากหลอกใช้นางอีกแล้วนางจะกระโดดลงกองไฟเหมือนทุกครั้งงั้นหรือ?อย่างไรก็ตาม ขณะที่นางกำลังจะก้าวออกจากห้องตำรา เสียงเย็นชาของฟู่เฉินหวนก็ดังขึ้น… “ตอนนี้ตระกูลฟ่านก็เป็นหนึ่งในสมาคมการค้าซีห
เมื่อเห็นว่านางรับปาก ฟู่เฉินหวนจึงพูดทันที “เช่นนั้นก็ไปเตรียมตัว เราจะออกเดินทางกันในเช้าวันพรุ่ง เพื่อไปที่ซีหยางด้วยเหตุผลของการไปเยี่ยมเยียนลั่วหลางหลาง"ลั่วชิงยวนตกตะลึงฟู่เฉินหวนตัดสินใจทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว! ทุกสิ่งถูกวางไว้แล้ว!ลั่วชิงยวนโกรธมาก นางมองเขาด้วยสายตาเย็นชา แล้วรีบวิ่งออกไปที่ประตูฟู่เฉินหวนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ ๆ นางจึงโกรธขึ้นมากะทันหัน…… ลั่วชิงยวนโกรธมากจนนางนอนไม่หลับไปทั้งคืน แม้ว่านางจะรู้ว่ามันเป็นกองไฟ แต่นางก็ยังกระโดดเข้าไปเห็นได้ชัดว่านางรู้สึกเสียใจแทนลั่วหลางหลาง แต่ฟู่เฉินหวนก็คำนวณทุกอย่างไว้แล้ว และมั่นใจว่านางจะไปซีหยางกับเขา เขายังวางแผนที่จะไปที่ซีหยางด้วยข้ออ้างว่าจะไปเยี่ยมลั่วหลางหลางอีกด้วยคนนอกคงคิดแค่ว่า ฟู่เฉินหวนมากับนางมาเพื่อเยี่ยมลั่วหลางหลางและชำระบัญชีกับฟ่านซานเหอเท่านั้นแต่ในความเป็นจริง เขาใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างและแอบตรวจสอบเงินหมุนเวียนหลายสิบล้านตำลึงของสมาคมซีหยางเฟิงตูต่างหากต้องยอมรับเลยว่า ด้วยความรอบคอบรู้คิดเช่นนี้เขาถึงได้เหมาะสมอย่างยิ่งกับตำแหน่งอ๋องผู้สำเร็จราชการไม่ว
ลั่วชิงยวนบังคับรถไปข้างหน้า หยุดที่ประตูโรงเตี๊ยมแล้วเดินเข้าไปข้างในภายในโรงเตี๊ยม พวกเขากำลังทำความสะอาดโต๊ะและเก้าอี้ ส่วนเจ้าของโรงเตี๊ยมก็กำลังคำนวณรายได้อยู่หลังโต๊ะจ่ายเงิน ท่ามกลางเสียงดังกังวานของลูกคิด“นายท่านต้องการมาแวะพักกินอาหารหรือจะนอนพักในโรงเตี๊ยม?” เจ้าของร้านไม่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยซ้ำลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ โรงเตี๊ยมและอดมิได้ที่จะถาม “ไม่นึกว่าจะมีโรงเตี๊ยมในสถานที่ห่างไกลเช่นนี้ด้วย”สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยพลังหยิน(1)ไม่มีอะไรดูถูกที่ถูกทางเลยแม้แต่น้อยเมื่อเจ้าของร้านได้ยินเช่นนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นและมองนางด้วยแววตาประหลาดใจก่อนกล่าวว่า “แม่นางกำลังไปผิดทาง”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว “ผิดทางหรือ เช่นนั้นท่านรู้หรือว่าข้ากำลังจะไปที่ใด?”เจ้าของร้านยิ้มและพูดว่า "ไม่ว่าแม่นางจะไปที่ใด ก็ผิดทั้งนั้น ผู้คนในใต้หล้านี้ล้วนมิอาจใช้ถนนสู่อเวจีได้"“ย้อนกลับไปสองลี้ เลี้ยวขวา แล้วเจ้าจะออกไปจากที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อยและเลิกคิ้ว “ถนนสู่อเวจี?"ลมยามค่ำคืนพัดผ่านโรงเตี๊ยม ทำให้เกิดความหนาวเย็นเล็กน้อย รอยยิ้มมีนัยของเจ้าของร้านทำให้สั่นสะท้านไปถึงสัน
ฟู่เฉินหวน!ข้าง ๆ เขา บุรุษคนนั้นกำลังคว้าเชือก ดึงอย่างแรง แขวนฟู่เฉินหวนไว้สูง พยายามรัดคอเขา!เมื่อเขาเห็นนาง สีหน้าของชายผู้นั้นก็เปลี่ยนไปเช่นกันลั่วชิงยวนมิลังเลเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นเย็นชา ก่อนหยิบกริชจันทร์เสี้ยวออกมาจากเอว แล้วกวาดออกไปสังหารอีกฝ่ายลงในกระบวนท่าเดียว ชายคนนั้นล้มลงกับพื้น มีเลือดไหลออกมาจากบาดแผลที่คอของเขาถนนสู่อเวจีและโรงเตี๊ยมอเวจีอะไรกัน? ดูอย่างไรก็คนชัด ๆ เชือกหลุดออก และฟู่เฉินหวนร่วงหล่นลงกับพื้น แต่ลำคอของเขายังถูกรัดและกำลังตะเกียกตะกายดิ้นรนลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้าทันที นางหยิบยาแก้พิษเข้มข้นออกมาแล้วยัดเข้าไปในปากของฟู่เฉินหวน“มีสติหน่อย!”นางดึงมือของฟู่เฉินหวนออกจากลำคอของตัวเองอย่างแรง และตบแก้มเท่าที่แก้มเขาซ้ำในไม่ช้า ฟู่เฉินหวนก็รู้สึกตัว เมื่อเขาเห็นนาง เขาก็สะดุ้ง “นี่…”“ท่านมาคนเดียวหรือ?” ลั่วชิงยวนถามคิ้วของฟู่เฉินหวนกระตุก เขาลุกขึ้นยืน "ยังมีเซียวชูด้วย"ลั่วชิงยวนรีบออกจากห้องไปทันทีนางเตะประตูห้องข้างๆ ให้เปิดออก ก่อนจะได้พบเซียวชูตามที่คาดไว้เขาเองก็ถูกรัดคอด้วยเชือกเหมือนกันสิ่งที่แปลกคื
“อันตรายมิน้อยเลย!”เซียวชูขมวดคิ้วและตอบว่า “ครั้นท่านอ๋องรู้ว่าพระชายาออกเดินทางมาแล้ว พระองค์ก็กลัวว่าพระชายาจะตกอยู่ในอันตรายเพียงลำพัง ดังนั้นจึงพาข้ามาด้วย หวังจะไล่ตามพระชายาให้ทันขอรับ”“คนอื่น ๆ ยังอยู่ข้างหลัง”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หัวใจของลั่วชิงยวนก็สั่นไหว เรื่องเป็นเช่นนี้นี่เองนางคิดว่าฟู่เฉินหวนและคนอื่น ๆ ออกเดินทางกันไปแล้ว คิดว่าพวกเขานำหน้านางอยู่กระทั่ง เมื่อไปถึงถนนอีกฟากหนึ่งแล้ว ลั่วชิงยวนก็ฉีกผ้าชิ้นหนึ่งออกแล้วมัดไว้กับโคนต้นไม้ “เอาไว้เตือนให้คนที่อยู่ข้างหลังเจ้าตามมาถูก”เซียวชูถามด้วยความสับสน “เราไปผิดทางอย่างนั้นหรือ? โรงเตี๊ยมนั่นมิชั่วร้ายเกินไปหรือ?"ลั่วชิงยวนตอบว่า “ในป่าแห่งนี้มียันต์ติดอยู่ ยันต์นั้นช่วยผนึกหมอกพิษเอาไว้ในป่ามิให้กระจายไปไหน ทางแยกนั้นและโรงเตี๊ยมที่อยู่สุดทาง ต่างก็อยู่ในหมอกพิษ”“พวกเจ้าถูกพิษจากหมอกพิษพวกนั้น ทำให้มีอาการประสาทหลอน จริง ๆ แล้วมันเป็นโรงเตี๊ยมธรรมดา ๆ แล้วศัตรูก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกัน เพียงแต่พวกเขาแสร้งทำเป็นผีและวิญญาณ และภาพหลอนจากพิษทำให้เจ้ารู้สึกว่ามันชั่วร้าย”โชคดีที่นางเอะใจได้ทันและวิ่งกลับไปหา
ฟู่เฉินหวนตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ เนื่องจากความเจ็บปวดอย่างรุนแรง เขาลืมตาขึ้นโดยมิรู้ตัว มองไปที่ลั่วชิงยวนและเอ่ยอย่างยากลำบาก “เจ้ากำลังทำอะไร?”ลั่วชิงยวนไม่ตอบเขา เพียงแค่ดูดเลือดพิษออกจากบาดแผลของเขาอย่างรุนแรงเท่านั้นนางดูดพิษและบ้วนทิ้งสีริมฝีปากของนางค่อย ๆ เข้มขึ้นความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกมิสบาย และต้องการผลักนางออกไป “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”ในไม่ช้าลั่วชิงยวนก็รู้สึกเวียนศีรษะ นางยกมือขึ้นพยุงร่างกายและเหลือบมองฟู่เฉินหวน “หม่อมฉันมิต้องการเป็นหนี้ท่าน”ฟู่เฉินหวนรู้สึกผิดหวังอยู่พักหนึ่ง นางต้องการตัดสัมพันธ์กับเขาจริง ๆ หรือ?เมื่อลั่วชิงยวนยืนยันได้แล้วว่า บาดแผลไม่มีพิษหลงเหลืออยู่อีกต่อไป และไม่มีพิษให้ต้องดูดออกอีกแล้ว นางจึงวางแขนของฟู่เฉินหวนลงนางเช็ดเลือดพิษที่มุมปาก ลุกขึ้นและเดินออกไป แต่นางเวียนศีรษะ อีกทั้งการมองเห็นก็มืดดับลง กระทั่งนางล้มลง ฟู่เฉินหวนสะดุ้งและผลักตัวเองลุกขึ้นจากเตียง อดทนต่อความเจ็บปวดสาหัสที่เกิดจากพิษ เขาลากมือขวาที่ได้เรี่ยวแรง พยายามอุ้มลั่วชิงยวนแล้ววางนางลงบนเตียง“เซียวชู! เซียวชู!”“พ่ะย่ะค่
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้