ฟู่เฉินหวนมิโกรธ และตอนนี้เขาอดทนกับลั่วชิงยวนได้มากขึ้น“ข้ามิได้ขู่เจ้า ข้าแค่คุยกับเจ้า”“ลั่วเยวี่ยอิงจะอยู่ในตำหนักเราไปสักพักจนกว่าอาการบาดเจ็บของนางจะหาย แล้วข้าจะช่วยฉินเชียนหลี่ให้เอง นี่เป็นเพียงข้อตกลง”ลั่วชิงยวนกำมือแน่น แต่แล้วก็ปล่อยไป“ได้”ฟู่เฉินหวนตัดสินใจปล่อยให้ลั่วเยวี่ยอิงอาศัยอยู่ในตำหนักของเขานางคัดค้านไปก็ไม่มีประโยชน์เนื่องจากเขาเต็มใจที่จะใช้เงื่อนไขนี้เพื่อแลกกับการใช้ชีวิตอย่างสงบสุขของลั่วเยวี่ยอิงในตำหนักอ๋อง นางยอมได้เพื่อแลกกับงบประมาณที่ฉินเชียนหลี่ต้องการ…… สิ่งที่ทำให้ลั่วชิงยวนตกใจคือพวกเขามาถึงพระตำหนักโช่วสี่จริง ๆไทเฮากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ มองไปยังลั่วชิงยวนที่กลับมาได้อย่างปลอดภัย“ข้าได้ยินมาว่าครั้งนี้พระชายาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน ตัวข้าเตรียมยาสมานแผลมาให้เจ้าเป็นพิเศษ”จากนั้นจินซูก็ยื่นยาสมานแผลให้ลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนรับมา “ขอบพระทัยเพคะ ไทเฮา”“วันนี้ข้าเรียกเจ้ามาที่นี่เพราะว่าข้าต้องการชี้แจงอะไรบางอย่าง เชิญนั่งก่อน”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนและฟู่เฉินหวนก็นั่งลงมีเก้าอี้อยู่สองสามตัวตรงข้าม แต่ไม่มีใครมาหลั
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึงนางเห็นองครักษ์เดินเข้ามา ก่อนจะดึงดาบออกจากฝักโม่เชียนคุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบหน้า ความกลัวตายทำให้เขาตัวสั่นอย่างควบคุมมิได้อย่างไรก็ตาม ดวงตาของเหยียนหน่ายซินดูดุร้าย นางหยิบดาบออกจากมือขององครักษ์และพูดอย่างหนักแน่น “เขาสมควรตายจริง ๆ หม่อมฉันจะฆ่าเขาด้วยมือของหม่อมฉันเอง!”ทันทีที่นางพูดจบ ดาบยาวก็แทงเข้าที่ร่างของโม่เชียนโดยมิลังเลใจเมื่อนางแทงด้วยดาบหนหนึ่ง ก็เกิดกลัวว่าเขาจะมิตาย ดังนั้นนางจึงแทงด้วยแรงที่มากขึ้น เจาะเข้าไปในร่างของโม่เชียนปากของโม่เชียนมีเลือดออกอย่างหนัก เขามองไปยังสตรีที่หมายแทงเขาจนตายด้วยความตกใจ สตรีที่เขารักมากที่สุด สตรีที่เขาเต็มใจจะตายเพื่อนาง ในขณะนี้ ไม่มีความลังเล ไม่มีความเจ็บปวด และมีเพียงความโหดร้ายในสายตาที่เย็นชาของนางเท่านั้นเมื่อเห็นการกระทำที่เด็ดขาดของเหยียนหน่ายซิน ไทเฮาก็ตกใจเช่นกัน แต่แล้วนางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก“ลากศพเขาออกไป” ไทเฮาสั่งอย่างเย็นชาศพถูกลากออกไป เหยียนหน่ายซินไม่แม้แต่จะมอง นางโยนดาบเปื้อนเลือดในมือทิ้ง สีหน้ามิเปลี่ยนไปแม้แต่น้อยลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเ
ลั่วชิงยวนสะดุ้งและเงยหน้าขึ้นเพื่อพบกับดวงตาที่ประหลาดใจและตกตะลึงของฟู่เฉินหวน"เจ้า..."ลั่วชิงยวนมองเขาอย่างเย็นชา หันหลังกลับและจากไปฟู่เฉินหวนตามไปทันอย่างรวดเร็ว “เจ้าได้ยินทุกอย่างหรือ?”ลั่วชิงยวนหยุดและมองดูเขา “ท่านได้บรรลุข้อตกลงกับไทเฮาแล้ว และยังต้องการใช้เรื่องนี้ตั้งเป็นเงื่อนไขกับหม่อมฉันอีกหรือ”“ฟู่เฉินหวน ท่านคิดว่าทุกสิ่งในใต้หล้าอยู่ภายใต้การควบคุมของท่านเช่นนั้นหรือ?”นางถูกฟู่เฉินหวนหลอกใช้ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นเพียงเบี้ยในมือของเขา ความห่วงใยเป็นครั้งคราวที่แสดงออกมานั้นมีแต่นางเท่านั้นที่จริงจังเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ ฟู่เฉินหวนจึงดึงลั่วชิงยวนไปที่มุมถนนแล้วอธิบายว่า “นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้! สิ่งที่เหยียนหน่ายซินพูดมีแต่เจ้าเท่านั้นที่ได้ยิน ไม่มีใครเป็นพยานยืนยันเรื่องนี้ได้!”“เหยียนหน่ายซินอาจมิถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานหลอกลวงองค์จักรพรรดิ แต่จะยิ่งทำให้นางต้องโทษเรื่องที่ใส่ความเจ้าได้ง่ายขึ้น!”“นี่ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดภายใต้เงื่อนไขที่จำกัด!”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยความตกใจและขมวดคิ้วมุ่น “ท่านอ๋องมิทราบด้วยซ้ำว่าหม่อมฉันโกรธเ
ในช่วงบ่าย จือเฉากลับมาเพื่อแจ้งข่าว“พระชายา บ่าวไปสอบถามมาแล้วเจ้าค่ะ ที่เหยียนหน่ายซินมิอาจขึ้นเป็นฮงเฮาได้อีกต่อไปเป็นเรื่องจริง แต่ตระกูลเหยียนมิได้รับการลงโทษไปด้วย มีเพียงเหยียนหน่ายซินที่ต้องรับผลของการกระทำ”“เรื่องก็จบลงไปเช่นนั้น”ลั่วชิงยวนก็เดาผลลัพธ์นี้ไว้แล้วเช่นกันตั้งแต่วินาทีที่นางได้ยินเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างฟู่เฉินหวนและไทเฮา นางก็รู้ดีว่าเรื่องนี้จะจบลงเช่นนั้นในไม่ช้า สิ่งของของไทเฮาที่มอบให้เป็นการชดเชยนางก็ถูกส่งมอบมาทีละชิ้นทองคำหนึ่งร้อยตำลึง อีกทั้งยังมีเครื่องยาสมุนไพรและผ้าไหมจำนวนมากขณะที่ผู้คนของวังหลวงจากไป แม่ทัพใหญ่ฉินและฉินเชียนหลี่ก็มาเยี่ยมเยียนด้วย“พระชายา ข้าได้ยินมาว่าครั้งนี้เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าได้พบเครื่องยาสมุนไพรล้ำค่าบางอย่างมา มันน่าจะมีผลอย่างน่าอัศจรรย์ต่ออาการบาดเจ็บของเจ้า”แม่ทัพใหญ่ฉินถือบางอย่างมาให้นางอย่างกระตือรือร้นจือเฉารับไปอย่างรวดเร็วลั่วชิงยวนยิ้มและพูดว่า “ขอบใจท่านมาก แม่ทัพใหญ่ฉิน”“โธ่ ขอบใจเรื่องใด ข้าสิที่อยากจะขอบคุณเจ้า! พระชายาเป็นคนซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา ข้ารู้เรื่องที่เจ้าถูกเหยียนหน่ายซิน
ถูกฆ่าด้วยมือของนางเอง!“เจ้าเห็นชัดเจนหรือว่าหมอกู้กลับมาแล้ว” ลั่วชิงยวนเปิดปากเพื่อยืนยันนางรับใช้พยักหน้า “เป็นท่านหมอกู้ ถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ”คิ้วของลั่วชิงยวนเลิกขึ้นหมอกู้? จะเป็นหมอกู้ได้อย่างไรกัน?หมอกู้ตายไปแล้ว!“อื้ม ข้าเข้าใจแล้วลั่วชิงยวนรู้สึกกังวลใจ เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีคนปลอมเป็นหมอกู้ และเข้ามาในตำหนักเพื่อสังหารฟู่อวิ๋นโจว?เรื่องของเหยียนหน่ายซินยุติลงแล้ว มิจำเป็นต้องฆ่าฟู่อวิ๋นโจวแล้วมิใช่หรือ?ยิ่งคิดถึงมันมากเท่าไร นางก็ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้นเท่านั้นนางเร่งฝีเท้าแล้ววิ่งไปยังเรือนทักษิณาทันทีที่เขารีบเข้าไปในเรือนทักษิณา เขาเห็นด้านหลังของชายคนหนึ่งกำลังทำความสะอาดใบไม้ที่ร่วงอยู่ในลานบ้าน เขาสวมชุดของหมอกู้และรูปร่างของเขาค่อนข้างคล้ายกับของหมอกู้อีกด้วยดูเหมือน… จะเป็นหมอกู้จริง ๆ หรือ?“องค์ชายห้า? องค์ชายห้า?” ลั่วชิงยวนตะโกนหลายครั้งร่างที่กวาดพื้นชะงักไปเล็กน้อยในเวลานี้ ฟู่อวิ๋นโจวออกมาจากห้อง ใบหน้าซีดเซียวของเขาเต็มไปด้วยความกลัว และเขาก็ส่ายหน้าให้นางส่งสัญญาณมิให้นางไปที่นั่นเมื่อลั่วชิงยวนเห็นการแสดงออกของฟู่อวิ๋นโจว นางก็ร
ลั่วชิงยวนหันหลังเดินจากไปคืนนี้นางจะมาที่นี่เพื่อดูให้รู้ว่าเขาเป็นคนหรือผีกันแน่!หลังจากก้าวออกไปนางบังเอิญไปพบกับฟู่เฉินหวนที่ลานตำหนัก เมื่อฟู่เฉินหวนรู้ว่าหมอกู้กลับมาแล้ว เขาก็เอ่ยปากสั่งทันที “หมอกู้กลับมาได้ทันเวลาพอดี รีบไปแจ้งให้เขามาตรวจดูอาการบาดเจ็บของลั่วเยวี่ยอิงเร็วเข้า”ต้องการให้หมอกู้ที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนหรือผี มารักษาอาการบาดเจ็บของลั่วเยวี่ยอิงงั้นหรือ?เดิมทีนางอยากจะบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับหมอกู้แต่หลังจากคิดดูแล้วนางก็เปลี่ยนใจ ลั่วเยวี่ยอิงจะอยู่หรือตายล้วนมิเกี่ยวอันใดกับตนจะได้ดูด้วยว่าหมอกู้มีทักษะทางการแพทย์หรือไม่ดังนั้น หลังจากที่นางรับใช้ไปเชิญหมอกู้มาแล้ว ลั่วชิงยวนก็เข้าไปในห้องด้วยลั่วเยวี่ยอิงนอนอยู่บนเตียงดูอ่อนแอเป็นอย่างมาก “พี่หญิง ท่านมาทำอะไรที่นี่?”ลั่วชิงยวนยืนพิงเตียง สังเกตทุกการเคลื่อนไหวของหมอกู้อย่างมิวางตา “มาดูว่าเจ้าจะตายหรือไม่ไงเล่า”ขณะที่ฟู่เฉินหวนเดินเข้ามาลั่วเยวี่ยอิงก็เริ่มไอหนักขึ้นทันทีฟู่เฉินหวนหันหน้าไปมองไปลั่วชิงยวน สีหน้าของเขาเปรียบเสมือนเครื่องเตือนใจลั่วชิงยวนเหลือบมองเขาเบา ๆ แล้วมองไปทางอ
ในห้องตำรา ฟู่เฉินหวนจามออกมาเขาถูจมูก ก่อนจะเห็นซูโหยวกลับมา“เป็นอย่างไร?”ซูโหยวพูดด้วยใบหน้าขมขื่น “ท่านอ๋อง ยาที่พระองค์ทรงให้ส่งไปนั้นถูกพระชายาเททิ้งพ่ะย่ะค่ะ”ทันทีที่เขาได้ยินสิ่งนี้ หัวใจของฟู่เฉินหวนก็บีบรัดก่อนจะลุกขึ้นยืนทันที“ท่านอ๋อง?” ซูโหยวตกตะลึง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นท่านอ๋องดูกังวลเพียงนี้“ไม่มีอะไร เจ้าออกไปเถอะ”ซูโหยวออกจากห้องตำราฟู่เฉินหวนรู้สึกหนักใจ เขาต้องเร่งความคืบหน้าและต้องรีบเอาของสิ่งนั้นมาให้ได้เขายังมาที่ประตูห้องของลั่วเยวี่ยอิงด้วยการก้าวเท้าหนัก ๆ การเสแสร้งตบตาเคยเป็นงานง่าย ๆ สำหรับเขา แต่ตอนนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงได้กลับกลายเป็นเรื่องยากไปเสียได้มันยากจนเขาต้องเตะถ่วงเวลาออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนถึงตอนนี้เขายังมิได้รับสิ่งของกลับมาหลังจากลังเลอยู่พักใหญ่ เขาก็เคาะประตูและเข้าไปในห้องของลั่วเยวี่ยอิง……ลั่วชิงยวนมาที่เรือนทักษิณาอย่างเงียบ ๆ โดยสวมชุดดำคนในห้องดูคล้ายจะหลับสนิท ปราศจากการเคลื่อนไหวเมื่อลั่วชิงยวนเข้าไปในลาน นางหยิบธูปออกมาจุด รอจนกระทั่งควันธูปลอยเข้าไปในห้องนางรออย่างอดทนเพื่อให้แน่ใจว่าคนที่อยู
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนก็ไม่อาจฟังได้อีกต่อไปนางกัดฟันด้วยความโกรธ หันหลังและจากไปนางรู้ชัดเจนว่าฟู่เฉินหวนมีความสามารถมาก แต่เมื่อนางได้ยินกับหูของตัวเองว่าเขาเพียงหลอกใช้นางเท่านั้น นางกลับแอบรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยลั่วชิงยวนกำหมัดแน่น รีบวิ่งกลับเรือนไปอย่างรวดเร็วภายในห้อง ฟู่เฉินหวนและลั่วเยวี่ยอิงมิได้รู้ตัวเลยว่าลั่วชิงยวนอยู่ในบริเวณนี้ฟู่เฉินหวนกล่าวอีกครั้ง “เยวี่ยอิง ก่อนหน้านี้ข้ามีบางอย่างที่ต้องตรวจสอบ เจ้าช่วยนำถุงหอมของเจ้ามาให้ข้าดูอีกครั้งได้หรือไม่?”ลั่วเยวี่ยอิงสะดุ้งไป จากนั้นจึงพยักหน้ารับแล้วหยิบซองออกมาจากในแขนเสื้อของนาง ถือมันไว้ในมือ และมองดูมันอยู่นาน จากนั้นจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่คือสิ่งที่ท่านแม่หม่อมฉันทิ้งไว้ให้ มันคือสมบัติล้ำค่าที่สุดที่หม่อมฉันมี”“แต่ท่านอ๋องก็เป็นบุรุษที่มีค่ามากที่สุดของหม่อมฉันเช่นกัน”“หากท่านอ๋องต้องการ หม่อมฉันก็ยินดีมอบให้”เมื่อพูดเช่นนั้น ลั่วเยวี่ยอิงก็ยื่นถุงหอมให้ฟู่เฉินหวนหัวใจของฟู่เฉินหวนเต้นรัว เขารับมันไปทันทีแต่ทันทีที่เขารับมา ฟู่เฉินหวนก็ตกตะลึงของข้างในถูกสับเปลี่ยนไปแล้วของที่อยู่ในภาย
ลั่วชิงยวนมิแปลกใจ นี่คือวิถีของเฉินชีต่อให้เวินซินถงมิให้นางไป เฉินชีก็จะบังคับพานางไปให้ได้ในเมื่อประสบปัญหาที่ต้องเชิญนักบวชระดับสูงมาแก้ไข หากทำเรื่องนี้สำเร็จก็จะเป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่ลั่วชิงยวน ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการทวงคืนตำแหน่งนักบวชระดับสูงในภายภาคหน้านี่เป็นสิ่งที่เฉินชีกำลังคิดอยู่......เช้าวันรุ่งขึ้นเวินซินถงมาถึงหน้าเรือนของลั่วชิงยวนนางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตามข้าไปตระกูลมู่”“นำสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ไปด้วย”กล่าวจบ เวินซินถงก็หันหลังเดินจากไปลั่วชิงยวนยังมิทันได้ถามว่านางควรนำสิ่งใดไป?เพราะสถานการณ์ของตระกูลมู่เป็นเช่นไรนางก็ยังมิรู้อีกทั้งเมื่อก่อนตอนที่นางเป็นนักบวชระดับสูงก็ไม่มีธรรมเนียมเช่นนี้ด้วย จึงมิรู้ว่าควรนำสิ่งใดไปเซี่ยหลิงที่ติดตามอยู่ข้าง ๆ เตือนลั่วชิงยวน “เจ้ามิเคยออกไปกับนักบวชระดับสูง ต้องเตรียมสิ่งใดก็ไปถามจั๋วฉ่างตงเถิด”ลั่วชิงยวนตกตะลึงไปครู่หนึ่งนางหรี่ตาลง นี่จงใจให้นางไปหาจั๋วฉ่างตงให้จั๋วฉ่างตงกลั่นแกล้งนางเพื่อระบายความแค้นให้จั๋วฉ่างตงหรือำร?ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วก็ไปหาจั๋วฉ่างตงที่เรือนเมื่อไปถึง จั๋ว
ฝ่ามือที่ตบลงบนใบหน้าทำให้หลานจีล้มลงกับพื้น โลหิตไหลออกจากมุมปาก“ท่านแม่ทัพ!” หลานจีเงยหน้ามองเขาด้วยความตกใจมิรู้เลยว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เฉินชีจิกผมของนางอย่างรุนแรง กระชากนางให้ลุกขึ้นจากพื้น แล้วบีบใบหน้าของนางด้วยพละกำลังมหาศาลพลางเค้นถามด้วยเสียงดุดัน “เจ้าทำกระไรลงไป?!”“ผู้ใดใช้ให้เจ้าให้ยาแก่นางแล้วปล่อยนางไป?!”หลานจีสับสน หยาดน้ำตาไหลรินด้วยความรู้สึกเสียใจมาก “ท่านแม่ทัพ ข้ามิรู้ว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องใด”“มิใช่ข้าจงใจปล่อยนางไป นางไปเองต่างหากเจ้าค่ะ”“ข้ามิได้ทำอะไรเลย”เฉินชียังคงเต็มไปด้วยโทสะ “เจ้าคิดว่าข้ามิรู้ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้ารึ!”“ข้าขอเตือนเจ้า หากเจ้ากล้าทำอะไรลับหลังอีกก็ไสหัวไป!”กล่าวจบ เฉินชีก็ปล่อยนางเขาไว้ชีวิตนางอีกครั้งเดิมทีเขาตั้งใจจะมาสังหารหลานจี แต่เมื่อเห็นน้ำตาของนางแล้วกลับรู้สึกราวกับได้เห็นลั่วเหลา จึงยอมไว้ชีวิตนางหลานจีทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง มองแผ่นหลังของเฉินชีที่จากไปด้วยความโกรธพลางร่ำไห้สะอึกสะอื้นนางมิรู้ว่าตนทำสิ่งใดผิดและมิรู้ว่าเหตุใดท่านแม่ทัพจึงมีท่าทีต่อนางเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ทั้งท
เมื่อคำพูดนั้นหลุดออกมา สีหน้าของฟู่เฉินหวนก็เปลี่ยนไปในทันที“กระหม่อมเป็นองครักษ์ข้างกายองค์ชายใหญ่ โปรดอภัยให้กระหม่อมที่มิสามารถทำตามพระบัญชาได้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”องค์หญิงผู้นี้ชอบเฉินชี หากเขาติดตามองค์หญิงไปก็คงจะได้พบกับเฉินชีเป็นแน่ มิหนำซ้ำ เกาเหมียวเหมี่ยวก็ช่วยเขาฆ่าเฉินชีมิได้เมื่อถูกเขาปฏิเสธอีกครั้ง สีหน้าของเกาเหมียวเหมี่ยวจึงดูมิดีนักฉินอี้จึงต้องก้าวออกมา “เหมียวเหมี่ยว คนที่คอยคุ้มครองเจ้ายังมิพออีกหรือ?”“ข้างกายพี่ใหญ่มีองครักษ์คนนี้อยู่เพียงคนเดียว เจ้าอย่าแย่งเขาไปเลย”สีหน้าของฉินอี้ดูเหมือนคนจนใจน้ำเสียงของเขาฟังดูน่าสงสารเมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ เกาเหมียวเหมี่ยวก็มิกล้าที่จะบังคับอีก นางตอบอย่างมิพอใจว่า “ก็ได้”“รอจนกว่าท่านจะมิต้องการเขาแล้ว ค่อยให้หม่อมฉันก็แล้วกัน”“หม่อมฉันค่อนข้างชอบเขา”เกาเหมียวเหมี่ยวพูดพลางมองฟู่เฉินหวน บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาคล้ายกับเฉินชีมิใช่หน้าตาที่เหมือน แต่เป็นอารมณ์เย็นชาหยิ่งผยองและความกล้าหาญที่จะปฏิเสธนางโดยมิแม้แต่จะเสียงสั่นในเมื่อยังมิสามารถทำให้เฉินชีสยบต่อนางได้ในเร็ววัน การ
“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปทำความเข้าใจสถานการณ์”กล่าวจบ เขาก็พาฟู่เฉินหวนเดินไปทว่าระหว่างทางกลับพบเกาเหมียวเหมี่ยวเดินสวนมาพอดีฉินอี้เข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง แล้วเอ่ยถาม “เหมียวเหมี่ยว อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วหรือ?”เกาเหมียวเหมี่ยวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “บาดแผลเพียงเท่านี้คร่าชีวิตหม่อมฉันมิได้หรอก อีกอย่าง เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ประทานยาให้หม่อมฉันมากมาย มิเจ็บปวดแผลแล้ว”ฉินอี้พยักหน้า “บาดแผลของเจ้าหายเร็วได้เช่นนี้ก็เพราะกินน้ำแกงโสมมังกรมาตลอด เจ้าต้องกินทุกวันตามเวลา ร่างกายจะได้แข็งแรงขึ้น!”“เข้าใจแล้ว”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนก็ดวงตาเป็นประกายน้ำแกงโสมมังกรหรือ?เป็นโสมมังกรชนิดเดียวกับที่หมอหลวงมู่ให้เขากินหรือไม่?สิ่งนี้แม้แต่หมอหลวงมู่ก็มีเพียงชิ้นเดียว มิเคยพบเห็นชิ้นที่สองแต่องค์หญิงแห่งแคว้นหลีกลับได้กินทุกวันเลยหรือ?เขาอดสงสัยมิได้ว่าสองสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวกันจริงหรือไม่หากเป็นเช่นนั้น เขาก็มีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายเดือน หรือกระทั่งหลายปีเลยมิใช่หรือ?เปลวไฟแห่งความหวังลุกโชนขึ้นในใจของฟู่เฉินหวนฉินอี้เดินจากไปแล้ว แต่ฟู่เฉินหวนยังคงยื
ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างใจเย็น “องค์ชายใหญ่ใส่ใจเรื่องนี้ถึงเพียงนี้เชียวหรือเพคะ?”ฉินอี้ขมวดคิ้วมุ่น มองนางด้วยสีหน้าจริงจัง “แน่นอน! แท้จริงแล้วเจ้ารู้อะไรกันแน่!”วันนั้นในคุกใต้ดิน เกือบจะได้ฟังคำพูดต่อจากนั้นของลั่วชิงยวนแล้วแต่กลับถูกเฉินชีขัดจังหวะเสียก่อนหลังจากกลับไป เขาก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอดเขาอาจมิใส่ใจเรื่องราวในอดีตได้ แต่นี่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขา! เขาจะมิใส่ใจคงมิได้!ลั่วชิงยวนกลับยกยิ้ม “องค์ชายใหญ่เชื่อจริงจังเลยหรือ?”“วันนั้นหม่อมฉันเพียงต้องการเอาชีวิตรอด จึงพูดจาเหลวไหลไปเท่านั้น”เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ฉินอี้ก็ตกตะลึงไปทั้งร่างมองนางด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยว “เจ้าว่ากระไรนะ?!”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วขึ้น “หม่อมฉันมิอยากพูดซ้ำสอง”ฉินอี้โกรธจนอยากจะลงมือ แต่ก็อดกลั้นไว้ เขาไม่มีทางต่อกรกับลั่วชิงยวนได้สุดท้ายก็ได้แต่จากไปด้วยความขุ่นเคืองเมื่อเห็นฉินอี้จากไป เงาร่างที่แอบฟังอยู่ก็รีบจากไปเช่นกันอาการของฉินอี้นั้นมีสาเหตุจริง แต่เรื่องนี้ยังมิอาจบอกให้ฉินอี้รู้ได้เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่หากพูดออกไป ปัญหาที่นางจะต้องเผชิญจะมิใช่เพียงเรื่องรา
อวี๋โหรวพยักหน้า รีบเช็ดน้ำตา “ขอบคุณ”ลั่วชิงยวนตบไหล่นางเบา ๆ เพื่อปลอบโยนเมื่อสนทนามาถึงตรงนี้ ลั่วชิงยวนจึงถือโอกาสถามอวี๋โหรว “อันที่จริงข้าสงสัยเรื่องนักบวชระดับสูงคนก่อน เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่านางตายอย่างไร?”อวี๋โหรวตกใจเล็กน้อยคาดเดาในใจว่าลั่วชิงยวนคงสอบถามเรื่องนี้เพราะเฉินชีเพราะว่าเฉินชีก็มีใจให้ลั่วเหลาเช่นเดียวกันนางอธิบาย “ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางตายอย่างไร”“วันนั้นนางบำเพ็ญเพียรอยู่ที่หอเทียนฉี วันรุ่งขึ้นเมื่อมีคนมาพบก็เหลือเพียงโลหิตกองเต็มพื้น”“บนพื้นยังมีร่องรอยการลากศพด้วย”“แต่ส่งคนออกไปตามหาศพตั้งมากมายก็หามิพบ”“เฉินชีแทบจะพลิกทั่วทั้งวัง แทบจะคลุ้มคลั่งสังหารคนในสำนักนักบวชไปเสียสิ้น”“ยังดีที่จักรพรรดิทรงนำราชองครักษ์เกราะเหล็กมาด้วยพระองค์เอง จึงสามารถควบคุมตัวเฉินชีไว้ได้”“เรื่องการตายของนักบวชระดับสูงนั้นมีการสืบสวนอยู่นาน แต่ก็ไม่มีเบาะแสใด ๆ เบาะแสทั้งหมดหยุดอยู่ที่หอเทียนฉี”“นอกหอเทียนฉีไม่มีร่องรอยใดหลงเหลือ”“นานวันเข้า เรื่องนี้ก็เงียบหายไป”ตามคำบอกเล่าของอวี๋โหรว ลั่วชิงยวนก็หวนนึกถึงคืนนั้นหอเทียนฉีเป็นสถานที่ที่นักบวชระดับสูงจะท
อวี๋โหรวก็ประหลาดใจ นางมิคาดคิดว่าลั่วชิงยวนจะล่วงรู้ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนาง อีกทั้งยังไปเอาเรื่องจั๋วฉ่างตงเพื่อนางและทำร้ายจั๋วฉ่างตงจนอยู่ในสภาพเช่นนั้นการกระทำของนางคล้ายคลึงกับลั่วเหลาในสมัยก่อนยิ่งนักนางชอบใจมาก“กินยาเสีย” ลั่วชิงยวนรินยาให้อวี๋โหรวเดินเข้าไปดมแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ “ในนี้มีบัวถวายผสมด้วยหรือ?”“เจ้ากินไปเถิด”“อาการบาดเจ็บของเจ้าน่าจะทุเลาลงเพราะยานี้”ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อาการบาดเจ็บภายในของเจ้าก็มิได้ดีไปกว่าข้าหรอก รีบกินเสีย”อวี๋โหรวจำต้องยอมดื่มยานั้นลั่วชิงยวนนั่งลงข้าง ๆ รินน้ำชาหนึ่งถ้วย แล้วกล่าวว่า “ต่อไปจั๋วฉ่างตงจะต้องหาเรื่องเจ้าอีกเป็นแน่ เจ้าจะปิดบังตนเองอีกมิได้”“ในเมื่อฝีมือของเจ้าทำให้จั๋วฉ่างตงริษยาได้ เช่นนั้นก็อย่าได้เกรงใจนาง!”“ส่วนทางด้านนักบวชระดับสูง ข้าคิดว่านางคงจะให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความสามารถ มิใช่ผู้ที่ประจบสอพลอ”นี่คือความเข้าใจที่ลั่วชิงยวนมีต่อเวินซินถงจั๋วฉ่างตงสามารถเป็นคนสนิทข้างกายของนางได้ ย่อมเป็นเพราะจั๋วฉ่างตงมีฝีมือที่แข็งแกร่งในสำนักนักบวช มิใช่เพราะจั๋วฉ่างตงประจบสอพลอเก่
ลั่วชิงยวนคว้าตัวจั๋วฉ่างตง “คุกเข่าลง! ขอโทษ! รับปากด้วยว่าจะมิรังแกนางอีก!”เมื่อเสียงอันดุดันดังขึ้น ทุกคนต่างตกตะลึงจั๋วฉ่างตงมีหรือจะยินยอม ดวงตาแดงก่ำของนางจ้องมองลั่วชิงยวนอย่างเดือดดาล “สารเลว!”เพียะ!ลั่วชิงยวนตบหน้านางอย่างมิปรานี“ข้ามิรังเกียจที่จะตบเจ้าจนกว่าจะยอม”“ยามนี้ตบหน้ายังทนได้ หากบีบให้ข้าใช้ท่วงท่าอื่น ระวังวรยุทธ์ของเจ้าจะไร้ค่า!”ลั่วชิงยวนข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชาจั๋วฉ่างตงกัดริมฝีปากล่างด้วยความโกรธแค้นและอัปยศอดสูเดิมทีนางเป็นหญิงสาวที่หน้าตางดงาม ทว่ายามนี้กลับถูกลั่วชิงยวนทำร้ายจนยับเยิน แทบจะจำเค้าเดิมมิได้“ข้ามิได้มีความอดทนมากนัก เร็วเข้า!”ยามนี้มีผู้คนมากมายได้ยินเสียงอึกทึกจึงมามุงดูเหตุการณ์น่าตื่นเต้นรวมตัวกันอยู่หน้าประตูเรือนพลางกระซิบกระซาบกัน“ลั่วชิงยวนผู้นี้ช่างกล้าหาญนัก”“จั๋วฉ่างตงไปยั่วโมโหนางอีกแล้วหรือ?”เมื่อได้ยินเสียงจากภายนอก จั๋วฉ่างตงก็แทบจะหลั่งน้ำตา มีผู้คนมากมายมองดูอยู่ นางกลับต้องคุกเข่าขอโทษอวี๋โหรว!ขณะที่ลั่วชิงยวนหมดความอดทนและกำลังจะลงมือจั๋วฉ่างตงก็กลั้นน้ำตาไว้พลางคุกเข่าลง ตรงหน้าอวี๋โหรวอว
จั๋วฉ่างตงเดินออกมาจากห้องนัยน์ตาของลั่วชิงยวนฉายแววมุ่งสังหาร “ที่แท้เจ้าก็มิใช่เต่าหดหัวในกระดองนี่”จั๋วฉ่างตงจ้องมองนางด้วยสีหน้าดุดัน แล้วเดินลงมาอย่างช้า ๆ “ลั่วชิงยวน ข้าขอเตือนให้เจ้าสำรวมตนเสียบ้าง!”กล่าวพลางกวาดสายตามองไปยังคนที่นอนกองอยู่บนพื้น แล้วตวาดเสียงดัง “ปล่อยพวกเขา!”ลั่วชิงยวนบุกเข้ามาทำร้ายคนถึงเรือนของนาง นี่มิใช่การตบหน้านางต่อหน้าธารกำนัลหรอกหรือ!แม้จะพ่ายแพ้ให้แก่ลั่วชิงยวนที่หอรักษ์ดารา แต่ก็มิได้หมายความว่านางจะต้องหวาดกลัวลั่วชิงยวน!ลั่วชิงยวนเตะไปที่คนเหล่านั้น แล้วยอมปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระคนเหล่านั้นกลิ้งตัวลงบนพื้นทีละคนก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน หมายจะหลบไปอยู่ด้านหลังจั๋วฉ่างตงทว่าในเวลานี้เอง ริมฝีปากของลั่วชิงยวนก็ยกยิ้มเย็นเยียบ กระโจนเข้าหาจั๋วฉ่างตงอย่างรวดเร็วแล้วใช้มือคว้าจับที่คอเสื้อของนางจั๋วฉ่างตงขัดขืนโดยสัญชาตญาณ แต่นางได้รับบาดเจ็บ จะเป็นสู้ลั่วชิงยวนได้อย่างไรทันใดนั้นก็ถูกลั่วชิงยวนเหวี่ยงลงกับพื้น แล้วตบหน้าอย่างแรงจนผมเผ้าของจั๋วฉ่างตงยุ่งเหยิงขณะที่ตั้งตัวมิทันเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้านั้นหนักแน่น เสียงดังสนั