นางลุกขึ้นเปิดประตูทันทีพร้อมกับเรียกหาแม่นมเติ้ง“แม่นมเติ้ง ส่งคนไปเฝ้าห้องยา หากผู้ใดมาเบิกยา ไม่ว่าจะเป็นยาอะไร ก็ให้แอบจดบันทึกไว้ทุกครั้ง”เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลั่วชิงยวนก็เสริมว่า “จับตาดูเรือนทักษิณาด้วยเช่นกัน”แม่นมเติ้งพยักหน้า “เจ้าค่ะ”หากเป็นคนจากตำหนักอ๋องแห่งนี้ เมื่อได้รับบาดเจ็บภายในก็จำเป็นจะต้องกินยา ลั่วชิงยวนมีคนต้องสงสัยภายในใจของนาง แต่ถึงเช่นไรก็ต้องตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อน ลั่วชิงยวนและฟู่จิ่งหลีนั่งอยู่ในห้องเช่นนี้ตลอดทั้งคืน เมื่อรุ่งเช้า ฟู่เฉินหวนก็ยังคงไม่กลับมา แต่ลั่วอวิ๋นสี่กลับมาถึงก่อน “ช่วงนี้เจ้าฝึกฝนวรยุทธเป็นเช่นไรบ้าง” ลั่วชิงยวนถามอย่างสงสัยลั่วอวิ๋นสี่กำหมัดแน่น จากนั้นจึงแสดงท่าทางให้นางดูสองครั้ง “ข้ารู้สึกว่าข้าก้าวหน้าไปมากแล้ว!”เสียงอันภาคภูมิใจของเตี่ยฉุยเอ่ยขึ้น “นั่นมิใช่เพราะข้าด้วย!”ลั่วชิงยวนยิ้ม “ดีเลย”ลั่วอวิ๋นสี่เริ่มจริงจังอีกครั้ง “ลั่วเยวี่ยอิงกำลังตามหาข้าอยู่”ลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อยลั่วอวิ๋นสี่หยิบจดหมายออกมาจากอ้อมแขนของนางแล้วส่งให้นาง “นางได้นัดหมายกับข้าแล้ว”“หากเจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรนาง ข้าจะ
ขณะที่ลั่วชิงยวนกังวลว่าอาจมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นที่ประตูตำหนักอ๋อง นางก็เห็นร่างที่ไม่คาดคิดในฝูงชนฟู่จิ่งหลี!ฟู่จิ่งหลีวิ่งไปอย่างรวดเร็ว“ท่านกำลังทำอะไร?” ลั่วชิงยวนมองดูฟูจิงลี่ด้วยความสับสน“ข้าไม่เก่งวรยุทธ แต่ข้ามีเงิน ข้าเชิญพวกเขามาเป็นพิเศษ พวกเขาจะคอยอารักขาท่านต่อจากนี้ไป! ไม่ว่าท่านจะไปที่ใดพวกเขาก็จะตามไปเช่นกัน!”“ด้วยการต่อสู้ครั้งใหญ่นี้ การเดินทางย่อมปลอดภัยอย่างแน่นอน!” ฟู่จิ่งหลีกล่าวอย่างภาคภูมิใจในสติปัญญาของตน“ท่านเชิญพวกเขามากี่คน?”ฟู่จิ่งหลีมองไปยังคนเหล่านั้นแล้วพูดว่า “ประมาณเจ็ดสิบหรือแปดสิบคน”“ท่านบ้าไปแล้วหรือ? ไม่มีพระชายาคนไหนในวังที่จะออกไปข้างนอกเพื่อเผชิญการต่อสู้ครั้งใหญ่เช่นนี้หรอก”ฟู่จิ่งหลีถามอีกครั้ง “ท่านจะออกไปข้างนอกงั้นหรือ? ไปด้วยกันสิ!”“อย่าตามหม่อมฉันมา!” ลั่วชิงยวนวิ่งหนีไปทันทีฟู่จิ่งหลีไล่ตามนางไปพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่จากสำนักวรยุทธ “รอข้าด้วย! ข้ายังเจ็บแผลอยู่เลย!”เช่นนั้นแล้ว ด้านหลังของลั่วชิงยวนก็เต็มไปด้วยผู้คนติดตามราวเจ็ดสิบหรือแปดสิบคนจากสำนักวรยุทธ ขณะที่กลุ่มคนขนาดใหญ่เดินออกจากเมืองก็ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน
“พระชายาโปรดระวังตัวด้วยเพคะ!”ลั่วชิงยวนมาถึงเรือนทักษิณาอย่างเงียบ ๆ นางไม่กล้าเข้าไปในเรือนโดยตรง จึงทำได้เพียงค่อย ๆ ปีนข้ามกำแพง ก่อนจะนอนราบลงบนกำแพงนั่นหมอกู้กำลังต้มยาอยู่ในห้องของเขาจริง ๆ อีกทั้งกลิ่นยาก็แรงมากเช่นกันหลังจากที่นางดมกลิ่นเหล่านั้นแล้วก็พบว่า วัสดุยาที่ใช้ล้วนเป็นวัสดุยาที่มีคุณภาพสูง ซึ่งเป็นใบเทียบยาสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บภายในจริง ๆ!บุรุษชุดดำผู้นั้นคือหมอกู้!เมื่อนางนึกถึงครั้งสุดท้ายที่นางจับนักฆ่าสำนักเทียนอิงได้ ทว่า กลับยังมีนักฆ่าชุดดำเข้ามาลอบสังหารนางอีกด้วย นานจึงได้ต่อสู้กับคนผู้นั้น และคนผู้นั้นก็มากด้วยทักษะวรยุทธอันแข็งแกร่ง ในเวลานั้นนางไล่ตามเขาไปที่ประตูหลัง ก่อนที่คนผู้นั้นจะหายตัวไปทีนี้เมื่อนางลองคิดอีกครั้ง ก็พบว่าการที่คนผู้นั้นสามารถหนีออกจากคุกใต้ดินทันทีพร้อมกับวิ่งหนีไปยังประตูหลังได้ จึงบ่งชี้ให้เห็นว่า คนผู้นั้นคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในตำหนักอ๋องเป็นอย่างดี เขารู้ทั้งตำแหน่งและทิศทางทั้งหมด เป็นไปได้มากว่า คนทั้งสองคือคนเดียวกัน!ลั่วชิงยวนหันกลับมาแล้วกระโดดลงจากกำแพง นางเดินไปที่ห้องตำราของฟู่เฉินหวนความจริงที่ว่า
ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นในเดือนเมษายน ท่ามกลางดอกไม้ที่บานสะพรั่ง องค์จักรพรรดิกำลังเดินทางไปล่าสัตว์ที่ภูเขาหลีซาน อีกทั้งยังมีเหล่าขุนนางและบุตรสาวร่วมเดินทางไปด้วยเช่นกัน“การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิงั้นหรือ? องค์จักรพรรดิทรงมีเวลาว่างเสียจริง เช่นนั้นท่านอ๋องก็น่าจะไปด้วยใช่หรือไม่?” ลั่วชิงยวนถามอย่างสงสัยฟู่จิ่งหลีพยักหน้า “น่าจะ”“องค์จักรพรรดิรู้สึกรำคาญบุตรสาวตระกูลเหยียนมากจนเขาอยากจะไปล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิเพื่อผ่อนคลาย โดยปกติแล้วพี่สามจะมิให้เขาไปอย่างแน่นอน แต่ครั้งนี้แน่นอนว่าเขาไปได้”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในระหว่างการเซ่นไหว้ในหอบรรพบุรุษ นางเคยได้ยินไทเฮาขอให้องค์จักรพรรดิทำความรู้จักกับบุตรสาวของตระกูลเหยียนนางเป็นผู้ที่ไทเฮาเลือกให้กับองค์จักรพรรดิ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ในเวลานั้น องค์จักรพรรดิทรงเป็นผู้เริ่มทำความรู้จักกับบุตรสาวของตระกูลเหยียนเพื่อช่วยให้นางหลบหนีจากไทเฮาหากจักรพรรดิต้องการหลุดพ้นจากการควบคุมของไทเฮาและตระกูลเหยียน ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะอภิเษกกับบุตรสาวของตระกูลเหยียนเพื่อให้นางเป็นฮองเฮาเนื่องจากเรื่องเหล่าน
ดวงตาของฟู่เฉินหวนเย็นชา ขณะที่เขาสั่งซูโหยว “ไปเตรียมรถม้าอีกคัน”“องค์ชายห้าอ่อนแอจำเป็นต้องให้หมอกู้ร่วมติดตามไปด้วย รถม้าก็คงมิอาจวิ่งได้เร็วนัก เช่นนั้นพวกเราออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนเถอะ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฟู่อวิ๋นโจวก็หยุดชะงักในขณะที่เขากำลังจะก้าวขึ้นรถม้า สีหน้าของเขาแข็งทื่อ และรอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็ดูอึดอัดเล็กน้อย“หากอย่างนั้นท่านก็ออกเดินทางไปก่อนเถอะ” ฟู่อวิ๋นโจวพูดกับลั่วชิงยวนด้วยรอยยิ้มจากนั้นเขาก็ถอยกลับไปทันทีลั่วชิงยวนรู้สึกอนาถใจเล็กน้อย ขณะมองดูสีหน้าเศร้าหมองของฟู่อวิ๋นโจว“ไปกันเถอะ!” ฟู่เฉินหวนออกคำสั่งและขี่ม้าออกไปทันทีรถม้ามุ่งหน้าตามมาเขามาติด ๆ ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งร่างลั่วชิงยวนก็สั่นสะเทือนอย่างแรงฟู่อวิ๋นโจวยืนอยู่ในขณะที่รถม้ากำลังแล่นผ่านไปอย่างกะทันหัน ทันใดนั้น เขาก็ตกใจจนเซถอยหลังออกไป ก่อนจะล้มลงกับพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อสูดผงฝุ่นที่ลอยขึ้นมา เขาจึงไออย่างรุนแรงและไม่สามารถลุกขึ้นจากพื้นได้เป็นเวลานานลั่วชิงยวนมองดูฉากนั้นด้วยความโกรธ“ฟู่เฉินหวน ท่านมิจำเป็นต้องมุ่งเป้าไปที่เขาเช่นนี้ได้หรือไม่?” ลั่วชิงยวนยก
“ขึ้นรถม้าไป”ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้ทว่า ลั่วชิงยวนกลับตกตะลึงเมื่อได้คำพูดดังกล่าว ทันใดนั้น ความโกรธก็ปะทุขึ้นในใจของนางนางปฏิเสธอย่างชัดเจน แต่ฟู่เฉินหวนกลับต้องการให้นางขึ้นรถม้า!“แต่นี่จะไม่ทำให้พี่หญิงของหม่อมฉันมิพอใจหรือเพคะ?” ลั่วเยวี่ยอิงถามอย่างขี้ขลาด“มิเป็นไร” ฟู่เฉินหวนส่งลั่วเยวี่ยอิงขึ้นรถม้าโดยตรงพร้อมกับช่วยพยุงนางทันทีที่ลั่วเยวี่ยอิงขึ้นรถม้า นางก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจให้กับลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนเต็มไปด้วยความโกรธฟู่เฉินหวนมองไปที่นางแล้วพูดว่า “เจ้าลงมา”ลั่วชิงยวนตกใจมาก เขายังเรียกนางลงไปอีกงั้นหรือ?ลั่วชิงยวนกำฝ่ามือของนางไว้แน่นนางลงจากรถม้าด้วยความโกรธ ฟู่เฉินหวนกำลังจะให้ลั่วชิงยวนขี่ม้าตัวเดียวกับเขาทว่า ในขณะนี้ กลับมีรถม้าอีกคันเข้ามาใกล้จากนั้นรถม้าก็หยุดลง “พระชายา?” คนในรถม้าโผล่ศีรษะออกมาลั่วชิงยวนประหลาดใจเล็กน้อย นางมิเคยเห็นบุรุษตรงหน้ามาก่อน แต่เขากลับดูคุ้นเคย!จนกระทั่งนางเห็นฉินไป๋หลี่ก็ยื่นศีรษะออกจากรถม้าเช่นกันนางจึงเพิ่งรู้ว่านี่คือรถม้าของตระกูลฉินบุรุษผู้นี้น่าจะเป็นฉินเชียนหลี่พี่ชายคนโตขอ
“ข้ารู้ว่าพระชายาห่วงใยด้วยความปรารถนาดี แต่หากข้าถูกกำหนดให้ตาย เพื่อปกป้องครอบครัวและแคว้น ข้าจะสละชีวิตเพื่อสร้างความสงบสุขให้กับผู้คน ข้าก็พร้อมยอมตาย! ข้าจะไม่เสียใจ!”“ข้าหวังว่าหากมีครั้งต่อไป พระชายาจะไม่ยื่นมือมาช่วยข้าอีก ข้ามิอยากให้ใครต้องชดใช้”“การนองเลือดของทหารในสนามรบก็เพื่อปกป้องครอบครัวและผู้คนนับล้านที่อยู่เบื้องหลัง มิใช่การสละครอบครัวเพื่อความอยู่รอด”ฉินเชียนหลี่กล่าวพร้อมกับจ้องมองไปในดวงตาของฉินไป๋หลี่อย่างเศร้าโศกหลังจากที่ลั่วชิงยวนได้ยินคำพูดนี้แล้ว หัวใจของนางก็สั่นไหว เลือดของนางก็เดือดพล่านทันที“ข้าเข้าใจแล้ว” ลั่วชิงยวนยิ้มฉินไป๋หลี่ขมวดคิ้วและจับมือของฉินเชียนหลี่ “พี่ใหญ่ ข้าบอกท่านแล้วว่าดวงตาของข้ามิเกี่ยวข้องกับท่าน ท่านมิต้องรู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้”“เป็นข้าเองที่ไม่รู้จักผู้อื่นให้ดี ข้าเก็บฮุ่ยเซียงหลิวไว้ข้างกายก็สมควรแล้วที่ข้าเป็นเช่นนี้!” เมื่อมองดูพวกเขาทั้งสองทะเลาะกันไปมา ก็พูดได้ว่าทั้งสองรักใคร่กันอย่างแท้จริงลั่วชิงยวนขัดจังหวะอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้น เรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว อย่าไปสนใจเลย”“ข้าขอดูหน่อยว่าดวงตาของคุณชา
ลั่วชิงยวนตัวสั่นไปทั้งร่างผู้คนรอบข้างต่างตกตะลึงเช่นกัน หลายคนก็จ้องมองไปที่ลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่โดดเด่น จู่ ๆ ก็กลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจไม่มีใครพูดสิ่งใดจนต้องโถงเงียบมากจากนั้นเหยียนหน่ายซินก็ถามขึ้นอีกครั้ง “คนผู้นี้มิใช่หรือ?” หลายคนมองหน้ากัน แต่กลับไม่มีใครกล้าพูด เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฟู่เฉินหวนก็นั่งอยู่ที่นั่นแต่ก็มีบางคนรอดูความสนุกอย่างไม่สนใจ เว่ยอวิ๋นเซี๋ยมองไปที่ลั่วชิงยวน ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชังพร้อมกับเย้ยหยันว่า “ฝูเสวี่ยนางมิใช่พระชายาอ๋อง บุตรสาวของอัครเสนาบดี ลั่วชิงยวนหรอกหรือ?!”“นางเพียงมีรูปร่างที่ดีจึงสามารถล่อลวงบุรุษบางคนในหอได้ แต่ใบหน้านางน่าเกลียดเหมือนคางคก แล้วนางจะเต้นบนเวทีได้อย่างไรเล่า ไม่สู้อย่าทำให้ตัวเองขายหน้าจะดีกว่า”“หากนางจะแสดงเพลงยั่วยวนในวันนี้ นั่นจะมิทำให้ท่านอ๋องเสื่อมเสียหรอกหรือ?”การเย้ยหยันอย่างไร้ยางอายของเว่ยอวิ๋นเซี๋ย ทำให้ใบหน้าของฟู่เฉินหวนเย็นชาอย่างยิ่งลั่วชิงยวนมองไปที่เว่ยอวิ๋นเซี๋ยด้วยสายตาเย็นชา สตรีผู้นี้ความจำสั้นเสียจริง นางถูกส่งไปยังหอฝูเสวี่ย ครั้งที่แ
ในชั่วพริบตา ลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังเพราะถูกกดลงบนกำแพงเท้าของนางลอยขึ้นจากพื้นความรู้สึกหายใจมิออกทำให้นางดิ้นรนสุดกำลัง“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา! ใครอนุญาตให้เจ้าแตะต้องของของข้า!”ลั่วชิงยวนพยายามพูด “ฟู่เฉินหวน...”นางหายใจมิออกแล้วนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนฉายแววเย็นชาขณะจับนางเหวี่ยงออกไปร่างลั่วชิงยวนตกกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นกลิ้งไปหลายตลบแล้วกระอักเลือดออกมาอวัยวะภายในสั่นสะเทือน ปวดร้าวไปทั่วร่าง“ฟู่เฉินหวน ลั่วฉิงกับไทเฮาร่วมมือกัน สิ่งที่ไทเฮาให้ท่านอาจถูกลั่วฉิงปลอมแปลง จดหมายนั้นอาจเป็นของปลอมก็ได้!”ลั่วชิงยวนรีบอธิบายความคิดของตนเองฟู่เฉินหวนเดินเข้ามาด้วยความโกรธ เขาจับนางขึ้นมาแล้วมองนางด้วยสายตาเหี้ยมโหด “ถึงตอนนี้แล้วยังจะมาหลอกลวงข้าอีกรึ?”“ลายมือท่านแม่ของข้า ข้าจะจำมิได้เชียวหรือ!”พูดจบ ลั่วชิงยวนก็ถูกเหวี่ยงออกจากห้องร่างกระแทกพื้นหิมะแขนข้างหนึ่งถูกทับจนเกิดเสียงดังกร๊อบแขนหลุดจากข้อต่อแล้ว“โอ๊ย...” ลั่วชิงยวนร้องเสียงหลง หน้าซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มไปหน้านางใช้มือข้างเดียวพยุงตัว พยายามลุกขึ้นอย่างยากล
ลั่วฉิงใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์มิเป็นด้วยฐานะของนาง เป็นไปมิได้ที่จะใช้มิเป็นลั่วชิงยวนเบิกตากว้างลั่วฉิงมิได้ใช้มิเป็น แต่ใช้มิได้ต่างหาก!นางพกเข็มทิศนี้ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก อาจารย์บอกว่าเป็นของที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของนางหลังจากที่นางตายแล้วเกิดใหม่เข็มทิศนี้ก็ยังคงติดตัวนางมา ย่อมมิใช่ของธรรมดาสามัญแน่นอนดังนั้น เข็มทิศนี้อาจจะยอมรับนางเป็นเจ้าของแล้ว คนอื่นจึงใช้มิได้เมื่อคิดได้ดังนั้น ลั่วชิงยวนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างลั่วฉิงได้เข็มทิศไปก็ไร้ประโยชน์ฟู่เฉินหวนถาม “หากไม่มีเข็มทิศนี้ เจ้าก็ทำนายอะไรมิได้เลยหรือ?”ลั่วฉิงยกยิ้ม “แน่นอนว่ามิใช่เช่นนั้น”“เช่นนั้นก็มิเห็นเป็นอะไร เจ้าแค่ทำนายสิ่งที่เจ้าทำนายได้ แล้วก็จะค่อย ๆ ได้รับความไว้วางใจเอง”ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าเคร่งขรึม ขณะกล่าวเสียงเย็น “ข้าทะเลาะกับนางไปแล้ว หากจะหลอกลวงนางอีกก็ต้องแสร้งทำดีด้วย”“ข้ามิอยากทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนั้น”หัวใจของลั่วชิงยวนพลันเจ็บแปลบเขาบอกว่าการทำดีกับนางเป็นเรื่องน่ารังเกียจ...ลั่วชิงยวนรู้สึกเจ็บปวด นางกำเสื้อแน่น มิกล้าส่งเสียงแล้วค่อย ๆ เดินจากไปคำพูดเหล่านั้นดังก้อ
ลั่วชิงยวนที่ถูกขังไว้สองวันเริ่มรู้สึกอึดอัดราวกับถูกจองจำในคุกหิมะตกหนักติดต่อกันหลายวันยิ่งทำให้นางรู้สึกหดหู่เมื่อหิมะเริ่มเบาบางลงนางจึงออกมานั่งที่เก้าอี้ในเรือนสัมผัสกับความเย็นยะเยือกที่โปรยปรายลงบนใบหน้า“พระชายา ระวังจะเป็นหวัดนะเจ้าคะ”จือเฉานำกาน้ำชาอุ่นมาวางไว้บนโต๊ะข้าง ๆ แล้วรินใส่ถ้วยให้นางไอร้อนจากน้ำชาช่วยเพิ่มความอบอุ่นในวันหิมะตกอันหนาวเหน็บจือเฉานั่งอยู่ข้าง ๆ เหม่อมองท้องฟ้าด้วยความกังวล “พระชายา เหตุใดท่านอ๋องจึงใจร้ายกับท่านเช่นนี้เจ้าคะ”“ก่อนหน้านี้เป็นเพราะมีลั่วเยวี่ยอิงที่คอยยุแยง บัดนี้ลั่วเยวี่ยอิงก็ตายไปแล้ว เหตุใดท่านอ๋องจึงยังเป็นเช่นนี้ ระหว่างท่านอ๋องกับพระชายามีเรื่องเข้าใจผิดกันหรือเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนก็มิอาจเข้าใจได้เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใดกันตั้งแต่ที่นางถูกเฉินชีจับตัวไปบนเขาหรือไม่สิ น่าจะเริ่มตั้งแต่เรื่องของฟู่จิ่งหานตอนที่ฟู่เฉินหวนตัดสินใจจัดการกับฟู่อวิ๋นโจว เขาเข้าวังไปหลายวันแล้วเมื่อกลับมาก็หย่ากับนางแต่เกิดเรื่องอะไรขึ้นในวัง แม้แต่จักรพรรดิสูงสุดก็มิยอมบอกนางหรือบางทีอาจจะมิรู้เหมือนกันวันนี้แม่นมเติ้งเป
เขามีสีหน้าเย็นชาขณะกล่าวเสียงเรียบ “กลับตำหนักกับข้า”ลั่วชิงยวนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงให้จือเฉาเก็บข้าวของตามฟู่เฉินหวนออกจากวังเมื่อขึ้นรถม้า ฟู่เฉินหวนก็สั่งสารถีให้กลับตำหนักทันทีทั้งยังเร่งให้รีบกลับด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยดูเหมือนจะหงุดหงิดอยู่รถม้าแล่นไปอย่างรวดเร็ว ลั่วชิงยวนถูกเขย่าโคลงเคลงจนตัวแทบปลิว แต่ก็ยังพยายามทรงตัว มิเอ่ยคำใดจนกระทั่งรถม้ามาถึงหน้าตำหนักลั่วชิงยวนจึงสังเกตเห็นรอยแดงบนใบหน้าของฟู่เฉินหวนนางยกมือขึ้น แตะใบหน้าเขาเบา ๆ “ใบหน้าของท่านเป็นอะไรไป?”ฟู่เฉินหวนคว้าข้อมือของนางไว้แล้วจ้องมองด้วยสายตาคมกริบ “มิใช่เพราะเจ้าหรอกรึ!”ลั่วชิงยวนชะงักไปชั่วพริบตานั้น ฟู่เฉินหวนก็กระชากนางลงจากรถม้าอย่างแรง ทำให้นางเกือบล้มนางเดินเซ แต่ก็ยังถูกฟู่เฉินหวนลากเข้าไปในตำหนักฟู่เฉินหวนเดินอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างเต็มไปด้วยโทสะราวกับพยายามอดกลั้นมานานลั่วชิงยวนจึงตระหนักได้ว่าเขาคงถูกจักรพรรดิสูงสุดลงโทษมิเช่นนั้นรอยแดงบนใบหน้าเขาจะมาจากไหนเมื่อมาถึงลานด้านใน นางก็สะบัดตัวหลุดจากฟู่เฉินหวน“ท่านจะทำอะไร!”ทันใดนั้น ฟู่เฉินหวนก็บีบคางน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซิ่งไป่ชวนก็มาถึงลั่วชิงยวนพยุงตัวลุกขึ้นนั่งเซิ่งไป่ชวนเห็นเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ บนหน้าผากนาง จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “พระชายารู้สึกหนาวหรือไม่ขอรับ?”ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้ามิเป็นอะไร มิต้องตรวจชีพจรแล้ว ข้าจะเขียนใบเทียบยาให้ เจ้าช่วยไปหยิบยาให้หน่อย”เซิ่งไป่ชวนพยักหน้า เขาย่อมเชื่อมั่นในฝีมือแพทย์ของลั่วชิงยวนจึงมิฝืนใจเพียงแต่กล่าวว่า “เห็นอาการของพระชายาทรงทรุดลงทุกวัน เกรงว่าจะเป็นเพราะความวิตกกังวล พระชายาควรปล่อยวางบ้าง”“เพื่อรักษาพระวรกายให้แข็งแรงขอรับ”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ขอบคุณหมอหลวงเซิ่ง”“ข้าจะระมัดระวัง”ขณะที่กำลังสนทนากัน ก็พลันได้ยินเสียงตวาดดังมาจากด้านนอก“ว่ากระไรนะ! สั่งลงไป ผู้ใดกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีกให้ตัดหัวได้เลย!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยด้วยความสงสัย นางจึงสวมรองเท้าเดินออกไปจือเฉานำผ้าคลุมมาสวมให้นางเห็นจักรพรรดิสูงสุดกำลังโมโหอยู่ใต้ชายคา“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความอยากรู้จักรพรรดิสูงสุดกล่าวว่า “ไม่มีอะไร เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้ามิได้ดุใครมานานแล้วเลยลองฝึกฝนดู”จากนั้นจักรพรรดิสูงสุด
เดิมทีนางตั้งใจจะบอกข่าวดีนี้แก่เขาในยามที่เขากับนางคืนดีกันแล้วทว่าสิ่งที่รอคอยกลับเป็นการหลอกลวง เขาชิงเอาเข็มทิศอาณัติสวรรค์ของนางไปบัดนี้เขาใจแข็งเช่นนี้ ลั่วชิงยวนจึงจำต้องบอกเรื่องนี้แก่เขาในใจนางยังคงมีความหวัง หวังว่าเพื่อลูกในครรภ์ ฟู่เฉินหวนอาจจะใจอ่อนลงบ้างทว่าประตูบานนั้นยังคงปิดสนิทนอกจากเสียงลมหวีดหวิวที่พัดผ่านก็ไม่มีเสียงตอบรับใดสายลมหนาวราวกับจะพัดพาความอบอุ่นสุดท้ายในใจนางให้หายไปน้ำตาใสไหลรินอาบแก้มซีดเผือดลั่วชิงยวนหันหลังเดินจากไปอย่างเงียบงันเหล่าบ่าวไพร่ในตำหนักเห็นนางแล้วอยากจะทักทาย แต่ก็ลังเล มิกล้าเอ่ยปากบัดนี้ลั่วชิงยวนราวกับคนไร้วิญญาณ เดินออกจากตำหนักไปอย่างไร้จุดหมายนางเดินไปเรื่อย ๆ รู้สึกราวกับว่าสายลมหนาวจะพัดพาร่างนางให้แหลกสลายไป ความหนาวเหน็บกัดกร่อนกระดูก......ภายในห้องตำรา ฟู่เฉินหวนทรุดลงนอนสลบแน่นิ่งกองอยู่ที่มุมห้อง พื้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจนกระทั่งซูโหยวกลับมาพบเข้า จึงรีบให้คนไปตามหมอหลวงมู่มาโดยด่วนหมอหลวงมู่ตรวจอาการแล้วก็ตกใจยิ่งนัก รีบปรุงยาให้ทันทีและยังนำโสมมังกรที่ตกทอดกันมาในตระกูลออกมาตัดแบ่งส่วนเล็ก
เขามิอยากแตะต้องนางแม้เพียงปลายเล็บฟู่เฉินหวนรีบส่งคนออกไปตามล่าเฉินชี แล้วจึงกวาดสายตามองลั่วชิงยวนที่นอนอยู่บนพื้นหิมะอย่างเย็นชาก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “พากลับไป”องครักษ์สองนายเข้ามาพยุงลั่วชิงยวน แล้วพานางออกไปจากศาลาลั่วชิงยวนจ้องมองฟู่เฉินหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ เมื่อสบเข้ากับสายตาเย็นชาของเขา หัวใจนางก็พลันเหมือนถูกบีบขณะที่นางถูกพาตัวออกไป เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นทั่วศาลาเสียดแทงโสตประสาทยิ่งนักเมื่อกลับถึงตำหนัก ฟู่เฉินหวนก็รีบจัดการวางกำลังคนไปจับตัวเฉินชีลั่วชิงยวนยืนรออยู่ท่ามกลางหิมะ จนกระทั่งเขาจัดการทุกอย่างเสร็จจึงเดินเข้าไปหา“ฟู่เฉินหวน...”ทว่าฟู่เฉินหวนกลับมองนางด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องตำรา แล้วปิดประตูใส่หน้าเสียงปิดประตูดังสนั่น ทำให้ลั่วชิงยวนสะดุ้งตกใจนางมิยอมแพ้ เดินไปเคาะประตู “ฟู่เฉินหวน ท่านรังเกียจหม่อมฉันแล้วใช่หรือไม่!”“เฉินชีกับลั่วฉิงร่วมมือกัน! เหตุใดท่านจึงหลอกเอาเข็มทิศของหม่อมฉันไป! ทั้งหมดนี้เป็นแผนของพวกเขา!”นางทุบประตูเรียก “ฟู่เฉินหวน ท่านต้องอธิบายให้หม่อมฉันฟัง!”ประตูเปิดออกกะทันหันฟู่เฉินหวนก้าวออกมาด้วยความโกรธ
ลั่วชิงยวนเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองเขาด้วยความโกรธครั้นเห็นนางมิยอมอ้าปากแม้สักนิด เฉินชีจึงโน้มกายเข้าไปใกล้ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เจ้าอยากให้ข้าทำเกินเลยกว่านี้รึ?”ลั่วชิงยวนขบฟันแน่นก่อนจะยอมอ้าปากรับสิ่งที่เฉินชีป้อนให้เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบด้าน“สวรรค์โปรด! สองคนนี้กำลังทำสิ่งใดกันอยู่”“พระชายาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการกำลังลักลอบคบชู้ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้หรือ?”เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์ต่างส่งคนไปทูลท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการให้รีบมาโดยพลันเฉินชีนั่งอยู่ในศาลา ยังคงจงใจแสดงท่าทีคลอเคลียกับลั่วชิงยวน แล้วกระซิบเสียงเบา “หลังจากวันนี้ เจ้าคงมิอาจอยู่ในเมืองหลวงได้อีกแล้วกระมัง?”“เหตุใดจึงมิติดตามข้ากลับแคว้นหลีเล่า?”“เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นคนของแคว้นหลี”“ข้าสามารถส่งเจ้ากลับสู่ตำแหน่งเดิม ให้เป็นนักบวชหญิงผู้สูงส่งได้”“หากเจ้าเต็มใจ จงกะพริบตา แล้วข้าจะพาเจ้าไป”ช่างไร้ยางอาย!ลั่วชิงยวนเบิกตากว้างจนดวงตาแดงก่ำ มิยอมกะพริบตาแม้เพียงน้อยในใจนางก่นด่าเฉินชีนับร้อยครั้งครั้นเห็นนางดื้อรั้นเช่นนี้ เฉินชีกลับหัวเราะออกมา“ดูท่าว่าอาเหลายังคงรู้จักข้าดี”ทั
จนกระทั่งฟ้าสาง ผู้คนเริ่มทยอยออกมาตามถนนบรรยากาศบนท้องถนนเริ่มคึกคักขึ้น เฉินชียังคงโอบนางเดินไปข้างหน้าอย่างแช่มช้าในสายตาของคนภายนอก ทั้งสองดูสนิทสนมกันมากจนกระทั่งเดินผ่านร้านค้าแห่งหนึ่งก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจ “นั่นมิใช่พระชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการหรือ? เหตุใดนางจึง...”ลั่วชิงยวนได้ยินดังนั้น หัวใจก็พลันกระตุกแต่เฉินชีกลับยกยิ้มอย่างสาแก่ใจ แล้วพาลั่วชิงยวนไปที่ร้านขนมร้านนั้นก่อนจะแสร้งถามลั่วชิงยวนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าชอบกินอันไหน?”ลั่วชิงยวนจ้องมองเขาด้วยความโกรธเฉินชีกลับยิ่งหัวเราะอย่างลำพองใจเขาโยนถุงเงินหนัก ๆ ลงบนแผงร้าน “ข้าเหมาทั้งหมด!”เถ้าแก่ตกตะลึงจากนั้นเฉินชีก็หยิบขนมชิ้นหนึ่งมาป้อนที่ปากของลั่วชิงยวน “ลองชิมดูหรือไม่?”ลั่วชิงยวนจ้องมองเขา มิยอมอ้าปากแววตาของเฉินชีเย็นชา มือใหญ่เลื่อนไปที่ท้ายทอยของนางแล้วออกแรงบีบพลางยัดขนมเข้าไปในปากของนางด้วยรอยยิ้ม“กินสิ”ท้ายทอยของลั่วชิงยวนเจ็บปวด นางจำใจต้องอ้าปากกัดขนมชิ้นนั้นเฉินชีเห็นดังนั้นจึงพอใจมาก “ชอบหรือไม่?”เขามองนางด้วยสายตาคมกริบ ก่อนยกมือขึ้นเช็ดเศษขนมที่มุมปากของนางท่าทาง