นางลุกขึ้นเปิดประตูทันทีพร้อมกับเรียกหาแม่นมเติ้ง“แม่นมเติ้ง ส่งคนไปเฝ้าห้องยา หากผู้ใดมาเบิกยา ไม่ว่าจะเป็นยาอะไร ก็ให้แอบจดบันทึกไว้ทุกครั้ง”เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลั่วชิงยวนก็เสริมว่า “จับตาดูเรือนทักษิณาด้วยเช่นกัน”แม่นมเติ้งพยักหน้า “เจ้าค่ะ”หากเป็นคนจากตำหนักอ๋องแห่งนี้ เมื่อได้รับบาดเจ็บภายในก็จำเป็นจะต้องกินยา ลั่วชิงยวนมีคนต้องสงสัยภายในใจของนาง แต่ถึงเช่นไรก็ต้องตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อน ลั่วชิงยวนและฟู่จิ่งหลีนั่งอยู่ในห้องเช่นนี้ตลอดทั้งคืน เมื่อรุ่งเช้า ฟู่เฉินหวนก็ยังคงไม่กลับมา แต่ลั่วอวิ๋นสี่กลับมาถึงก่อน “ช่วงนี้เจ้าฝึกฝนวรยุทธเป็นเช่นไรบ้าง” ลั่วชิงยวนถามอย่างสงสัยลั่วอวิ๋นสี่กำหมัดแน่น จากนั้นจึงแสดงท่าทางให้นางดูสองครั้ง “ข้ารู้สึกว่าข้าก้าวหน้าไปมากแล้ว!”เสียงอันภาคภูมิใจของเตี่ยฉุยเอ่ยขึ้น “นั่นมิใช่เพราะข้าด้วย!”ลั่วชิงยวนยิ้ม “ดีเลย”ลั่วอวิ๋นสี่เริ่มจริงจังอีกครั้ง “ลั่วเยวี่ยอิงกำลังตามหาข้าอยู่”ลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อยลั่วอวิ๋นสี่หยิบจดหมายออกมาจากอ้อมแขนของนางแล้วส่งให้นาง “นางได้นัดหมายกับข้าแล้ว”“หากเจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรนาง ข้าจะ
ขณะที่ลั่วชิงยวนกังวลว่าอาจมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นที่ประตูตำหนักอ๋อง นางก็เห็นร่างที่ไม่คาดคิดในฝูงชนฟู่จิ่งหลี!ฟู่จิ่งหลีวิ่งไปอย่างรวดเร็ว“ท่านกำลังทำอะไร?” ลั่วชิงยวนมองดูฟูจิงลี่ด้วยความสับสน“ข้าไม่เก่งวรยุทธ แต่ข้ามีเงิน ข้าเชิญพวกเขามาเป็นพิเศษ พวกเขาจะคอยอารักขาท่านต่อจากนี้ไป! ไม่ว่าท่านจะไปที่ใดพวกเขาก็จะตามไปเช่นกัน!”“ด้วยการต่อสู้ครั้งใหญ่นี้ การเดินทางย่อมปลอดภัยอย่างแน่นอน!” ฟู่จิ่งหลีกล่าวอย่างภาคภูมิใจในสติปัญญาของตน“ท่านเชิญพวกเขามากี่คน?”ฟู่จิ่งหลีมองไปยังคนเหล่านั้นแล้วพูดว่า “ประมาณเจ็ดสิบหรือแปดสิบคน”“ท่านบ้าไปแล้วหรือ? ไม่มีพระชายาคนไหนในวังที่จะออกไปข้างนอกเพื่อเผชิญการต่อสู้ครั้งใหญ่เช่นนี้หรอก”ฟู่จิ่งหลีถามอีกครั้ง “ท่านจะออกไปข้างนอกงั้นหรือ? ไปด้วยกันสิ!”“อย่าตามหม่อมฉันมา!” ลั่วชิงยวนวิ่งหนีไปทันทีฟู่จิ่งหลีไล่ตามนางไปพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่จากสำนักวรยุทธ “รอข้าด้วย! ข้ายังเจ็บแผลอยู่เลย!”เช่นนั้นแล้ว ด้านหลังของลั่วชิงยวนก็เต็มไปด้วยผู้คนติดตามราวเจ็ดสิบหรือแปดสิบคนจากสำนักวรยุทธ ขณะที่กลุ่มคนขนาดใหญ่เดินออกจากเมืองก็ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน
“พระชายาโปรดระวังตัวด้วยเพคะ!”ลั่วชิงยวนมาถึงเรือนทักษิณาอย่างเงียบ ๆ นางไม่กล้าเข้าไปในเรือนโดยตรง จึงทำได้เพียงค่อย ๆ ปีนข้ามกำแพง ก่อนจะนอนราบลงบนกำแพงนั่นหมอกู้กำลังต้มยาอยู่ในห้องของเขาจริง ๆ อีกทั้งกลิ่นยาก็แรงมากเช่นกันหลังจากที่นางดมกลิ่นเหล่านั้นแล้วก็พบว่า วัสดุยาที่ใช้ล้วนเป็นวัสดุยาที่มีคุณภาพสูง ซึ่งเป็นใบเทียบยาสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บภายในจริง ๆ!บุรุษชุดดำผู้นั้นคือหมอกู้!เมื่อนางนึกถึงครั้งสุดท้ายที่นางจับนักฆ่าสำนักเทียนอิงได้ ทว่า กลับยังมีนักฆ่าชุดดำเข้ามาลอบสังหารนางอีกด้วย นานจึงได้ต่อสู้กับคนผู้นั้น และคนผู้นั้นก็มากด้วยทักษะวรยุทธอันแข็งแกร่ง ในเวลานั้นนางไล่ตามเขาไปที่ประตูหลัง ก่อนที่คนผู้นั้นจะหายตัวไปทีนี้เมื่อนางลองคิดอีกครั้ง ก็พบว่าการที่คนผู้นั้นสามารถหนีออกจากคุกใต้ดินทันทีพร้อมกับวิ่งหนีไปยังประตูหลังได้ จึงบ่งชี้ให้เห็นว่า คนผู้นั้นคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมในตำหนักอ๋องเป็นอย่างดี เขารู้ทั้งตำแหน่งและทิศทางทั้งหมด เป็นไปได้มากว่า คนทั้งสองคือคนเดียวกัน!ลั่วชิงยวนหันกลับมาแล้วกระโดดลงจากกำแพง นางเดินไปที่ห้องตำราของฟู่เฉินหวนความจริงที่ว่า
ฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นในเดือนเมษายน ท่ามกลางดอกไม้ที่บานสะพรั่ง องค์จักรพรรดิกำลังเดินทางไปล่าสัตว์ที่ภูเขาหลีซาน อีกทั้งยังมีเหล่าขุนนางและบุตรสาวร่วมเดินทางไปด้วยเช่นกัน“การล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิงั้นหรือ? องค์จักรพรรดิทรงมีเวลาว่างเสียจริง เช่นนั้นท่านอ๋องก็น่าจะไปด้วยใช่หรือไม่?” ลั่วชิงยวนถามอย่างสงสัยฟู่จิ่งหลีพยักหน้า “น่าจะ”“องค์จักรพรรดิรู้สึกรำคาญบุตรสาวตระกูลเหยียนมากจนเขาอยากจะไปล่าสัตว์ในฤดูใบไม้ผลิเพื่อผ่อนคลาย โดยปกติแล้วพี่สามจะมิให้เขาไปอย่างแน่นอน แต่ครั้งนี้แน่นอนว่าเขาไปได้”เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ลั่วชิงยวนจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในระหว่างการเซ่นไหว้ในหอบรรพบุรุษ นางเคยได้ยินไทเฮาขอให้องค์จักรพรรดิทำความรู้จักกับบุตรสาวของตระกูลเหยียนนางเป็นผู้ที่ไทเฮาเลือกให้กับองค์จักรพรรดิ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ในเวลานั้น องค์จักรพรรดิทรงเป็นผู้เริ่มทำความรู้จักกับบุตรสาวของตระกูลเหยียนเพื่อช่วยให้นางหลบหนีจากไทเฮาหากจักรพรรดิต้องการหลุดพ้นจากการควบคุมของไทเฮาและตระกูลเหยียน ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะอภิเษกกับบุตรสาวของตระกูลเหยียนเพื่อให้นางเป็นฮองเฮาเนื่องจากเรื่องเหล่าน
ดวงตาของฟู่เฉินหวนเย็นชา ขณะที่เขาสั่งซูโหยว “ไปเตรียมรถม้าอีกคัน”“องค์ชายห้าอ่อนแอจำเป็นต้องให้หมอกู้ร่วมติดตามไปด้วย รถม้าก็คงมิอาจวิ่งได้เร็วนัก เช่นนั้นพวกเราออกเดินทางล่วงหน้าไปก่อนเถอะ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฟู่อวิ๋นโจวก็หยุดชะงักในขณะที่เขากำลังจะก้าวขึ้นรถม้า สีหน้าของเขาแข็งทื่อ และรอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็ดูอึดอัดเล็กน้อย“หากอย่างนั้นท่านก็ออกเดินทางไปก่อนเถอะ” ฟู่อวิ๋นโจวพูดกับลั่วชิงยวนด้วยรอยยิ้มจากนั้นเขาก็ถอยกลับไปทันทีลั่วชิงยวนรู้สึกอนาถใจเล็กน้อย ขณะมองดูสีหน้าเศร้าหมองของฟู่อวิ๋นโจว“ไปกันเถอะ!” ฟู่เฉินหวนออกคำสั่งและขี่ม้าออกไปทันทีรถม้ามุ่งหน้าตามมาเขามาติด ๆ ความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งร่างลั่วชิงยวนก็สั่นสะเทือนอย่างแรงฟู่อวิ๋นโจวยืนอยู่ในขณะที่รถม้ากำลังแล่นผ่านไปอย่างกะทันหัน ทันใดนั้น เขาก็ตกใจจนเซถอยหลังออกไป ก่อนจะล้มลงกับพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อสูดผงฝุ่นที่ลอยขึ้นมา เขาจึงไออย่างรุนแรงและไม่สามารถลุกขึ้นจากพื้นได้เป็นเวลานานลั่วชิงยวนมองดูฉากนั้นด้วยความโกรธ“ฟู่เฉินหวน ท่านมิจำเป็นต้องมุ่งเป้าไปที่เขาเช่นนี้ได้หรือไม่?” ลั่วชิงยวนยก
“ขึ้นรถม้าไป”ลั่วเยวี่ยอิงรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้ทว่า ลั่วชิงยวนกลับตกตะลึงเมื่อได้คำพูดดังกล่าว ทันใดนั้น ความโกรธก็ปะทุขึ้นในใจของนางนางปฏิเสธอย่างชัดเจน แต่ฟู่เฉินหวนกลับต้องการให้นางขึ้นรถม้า!“แต่นี่จะไม่ทำให้พี่หญิงของหม่อมฉันมิพอใจหรือเพคะ?” ลั่วเยวี่ยอิงถามอย่างขี้ขลาด“มิเป็นไร” ฟู่เฉินหวนส่งลั่วเยวี่ยอิงขึ้นรถม้าโดยตรงพร้อมกับช่วยพยุงนางทันทีที่ลั่วเยวี่ยอิงขึ้นรถม้า นางก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจให้กับลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนเต็มไปด้วยความโกรธฟู่เฉินหวนมองไปที่นางแล้วพูดว่า “เจ้าลงมา”ลั่วชิงยวนตกใจมาก เขายังเรียกนางลงไปอีกงั้นหรือ?ลั่วชิงยวนกำฝ่ามือของนางไว้แน่นนางลงจากรถม้าด้วยความโกรธ ฟู่เฉินหวนกำลังจะให้ลั่วชิงยวนขี่ม้าตัวเดียวกับเขาทว่า ในขณะนี้ กลับมีรถม้าอีกคันเข้ามาใกล้จากนั้นรถม้าก็หยุดลง “พระชายา?” คนในรถม้าโผล่ศีรษะออกมาลั่วชิงยวนประหลาดใจเล็กน้อย นางมิเคยเห็นบุรุษตรงหน้ามาก่อน แต่เขากลับดูคุ้นเคย!จนกระทั่งนางเห็นฉินไป๋หลี่ก็ยื่นศีรษะออกจากรถม้าเช่นกันนางจึงเพิ่งรู้ว่านี่คือรถม้าของตระกูลฉินบุรุษผู้นี้น่าจะเป็นฉินเชียนหลี่พี่ชายคนโตขอ
“ข้ารู้ว่าพระชายาห่วงใยด้วยความปรารถนาดี แต่หากข้าถูกกำหนดให้ตาย เพื่อปกป้องครอบครัวและแคว้น ข้าจะสละชีวิตเพื่อสร้างความสงบสุขให้กับผู้คน ข้าก็พร้อมยอมตาย! ข้าจะไม่เสียใจ!”“ข้าหวังว่าหากมีครั้งต่อไป พระชายาจะไม่ยื่นมือมาช่วยข้าอีก ข้ามิอยากให้ใครต้องชดใช้”“การนองเลือดของทหารในสนามรบก็เพื่อปกป้องครอบครัวและผู้คนนับล้านที่อยู่เบื้องหลัง มิใช่การสละครอบครัวเพื่อความอยู่รอด”ฉินเชียนหลี่กล่าวพร้อมกับจ้องมองไปในดวงตาของฉินไป๋หลี่อย่างเศร้าโศกหลังจากที่ลั่วชิงยวนได้ยินคำพูดนี้แล้ว หัวใจของนางก็สั่นไหว เลือดของนางก็เดือดพล่านทันที“ข้าเข้าใจแล้ว” ลั่วชิงยวนยิ้มฉินไป๋หลี่ขมวดคิ้วและจับมือของฉินเชียนหลี่ “พี่ใหญ่ ข้าบอกท่านแล้วว่าดวงตาของข้ามิเกี่ยวข้องกับท่าน ท่านมิต้องรู้สึกผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้”“เป็นข้าเองที่ไม่รู้จักผู้อื่นให้ดี ข้าเก็บฮุ่ยเซียงหลิวไว้ข้างกายก็สมควรแล้วที่ข้าเป็นเช่นนี้!” เมื่อมองดูพวกเขาทั้งสองทะเลาะกันไปมา ก็พูดได้ว่าทั้งสองรักใคร่กันอย่างแท้จริงลั่วชิงยวนขัดจังหวะอย่างรวดเร็ว “เช่นนั้น เรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว อย่าไปสนใจเลย”“ข้าขอดูหน่อยว่าดวงตาของคุณชา
ลั่วชิงยวนตัวสั่นไปทั้งร่างผู้คนรอบข้างต่างตกตะลึงเช่นกัน หลายคนก็จ้องมองไปที่ลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่โดดเด่น จู่ ๆ ก็กลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจไม่มีใครพูดสิ่งใดจนต้องโถงเงียบมากจากนั้นเหยียนหน่ายซินก็ถามขึ้นอีกครั้ง “คนผู้นี้มิใช่หรือ?” หลายคนมองหน้ากัน แต่กลับไม่มีใครกล้าพูด เพราะท้ายที่สุดแล้ว ฟู่เฉินหวนก็นั่งอยู่ที่นั่นแต่ก็มีบางคนรอดูความสนุกอย่างไม่สนใจ เว่ยอวิ๋นเซี๋ยมองไปที่ลั่วชิงยวน ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชังพร้อมกับเย้ยหยันว่า “ฝูเสวี่ยนางมิใช่พระชายาอ๋อง บุตรสาวของอัครเสนาบดี ลั่วชิงยวนหรอกหรือ?!”“นางเพียงมีรูปร่างที่ดีจึงสามารถล่อลวงบุรุษบางคนในหอได้ แต่ใบหน้านางน่าเกลียดเหมือนคางคก แล้วนางจะเต้นบนเวทีได้อย่างไรเล่า ไม่สู้อย่าทำให้ตัวเองขายหน้าจะดีกว่า”“หากนางจะแสดงเพลงยั่วยวนในวันนี้ นั่นจะมิทำให้ท่านอ๋องเสื่อมเสียหรอกหรือ?”การเย้ยหยันอย่างไร้ยางอายของเว่ยอวิ๋นเซี๋ย ทำให้ใบหน้าของฟู่เฉินหวนเย็นชาอย่างยิ่งลั่วชิงยวนมองไปที่เว่ยอวิ๋นเซี๋ยด้วยสายตาเย็นชา สตรีผู้นี้ความจำสั้นเสียจริง นางถูกส่งไปยังหอฝูเสวี่ย ครั้งที่แ
ลั่วชิงยวนมิแปลกใจ นี่คือวิถีของเฉินชีต่อให้เวินซินถงมิให้นางไป เฉินชีก็จะบังคับพานางไปให้ได้ในเมื่อประสบปัญหาที่ต้องเชิญนักบวชระดับสูงมาแก้ไข หากทำเรื่องนี้สำเร็จก็จะเป็นการสร้างชื่อเสียงให้แก่ลั่วชิงยวน ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการทวงคืนตำแหน่งนักบวชระดับสูงในภายภาคหน้านี่เป็นสิ่งที่เฉินชีกำลังคิดอยู่......เช้าวันรุ่งขึ้นเวินซินถงมาถึงหน้าเรือนของลั่วชิงยวนนางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตามข้าไปตระกูลมู่”“นำสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ไปด้วย”กล่าวจบ เวินซินถงก็หันหลังเดินจากไปลั่วชิงยวนยังมิทันได้ถามว่านางควรนำสิ่งใดไป?เพราะสถานการณ์ของตระกูลมู่เป็นเช่นไรนางก็ยังมิรู้อีกทั้งเมื่อก่อนตอนที่นางเป็นนักบวชระดับสูงก็ไม่มีธรรมเนียมเช่นนี้ด้วย จึงมิรู้ว่าควรนำสิ่งใดไปเซี่ยหลิงที่ติดตามอยู่ข้าง ๆ เตือนลั่วชิงยวน “เจ้ามิเคยออกไปกับนักบวชระดับสูง ต้องเตรียมสิ่งใดก็ไปถามจั๋วฉ่างตงเถิด”ลั่วชิงยวนตกตะลึงไปครู่หนึ่งนางหรี่ตาลง นี่จงใจให้นางไปหาจั๋วฉ่างตงให้จั๋วฉ่างตงกลั่นแกล้งนางเพื่อระบายความแค้นให้จั๋วฉ่างตงหรือำร?ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วก็ไปหาจั๋วฉ่างตงที่เรือนเมื่อไปถึง จั๋ว
ฝ่ามือที่ตบลงบนใบหน้าทำให้หลานจีล้มลงกับพื้น โลหิตไหลออกจากมุมปาก“ท่านแม่ทัพ!” หลานจีเงยหน้ามองเขาด้วยความตกใจมิรู้เลยว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้เฉินชีจิกผมของนางอย่างรุนแรง กระชากนางให้ลุกขึ้นจากพื้น แล้วบีบใบหน้าของนางด้วยพละกำลังมหาศาลพลางเค้นถามด้วยเสียงดุดัน “เจ้าทำกระไรลงไป?!”“ผู้ใดใช้ให้เจ้าให้ยาแก่นางแล้วปล่อยนางไป?!”หลานจีสับสน หยาดน้ำตาไหลรินด้วยความรู้สึกเสียใจมาก “ท่านแม่ทัพ ข้ามิรู้ว่าท่านกำลังพูดถึงเรื่องใด”“มิใช่ข้าจงใจปล่อยนางไป นางไปเองต่างหากเจ้าค่ะ”“ข้ามิได้ทำอะไรเลย”เฉินชียังคงเต็มไปด้วยโทสะ “เจ้าคิดว่าข้ามิรู้ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้ารึ!”“ข้าขอเตือนเจ้า หากเจ้ากล้าทำอะไรลับหลังอีกก็ไสหัวไป!”กล่าวจบ เฉินชีก็ปล่อยนางเขาไว้ชีวิตนางอีกครั้งเดิมทีเขาตั้งใจจะมาสังหารหลานจี แต่เมื่อเห็นน้ำตาของนางแล้วกลับรู้สึกราวกับได้เห็นลั่วเหลา จึงยอมไว้ชีวิตนางหลานจีทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง มองแผ่นหลังของเฉินชีที่จากไปด้วยความโกรธพลางร่ำไห้สะอึกสะอื้นนางมิรู้ว่าตนทำสิ่งใดผิดและมิรู้ว่าเหตุใดท่านแม่ทัพจึงมีท่าทีต่อนางเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ทั้งท
เมื่อคำพูดนั้นหลุดออกมา สีหน้าของฟู่เฉินหวนก็เปลี่ยนไปในทันที“กระหม่อมเป็นองครักษ์ข้างกายองค์ชายใหญ่ โปรดอภัยให้กระหม่อมที่มิสามารถทำตามพระบัญชาได้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”องค์หญิงผู้นี้ชอบเฉินชี หากเขาติดตามองค์หญิงไปก็คงจะได้พบกับเฉินชีเป็นแน่ มิหนำซ้ำ เกาเหมียวเหมี่ยวก็ช่วยเขาฆ่าเฉินชีมิได้เมื่อถูกเขาปฏิเสธอีกครั้ง สีหน้าของเกาเหมียวเหมี่ยวจึงดูมิดีนักฉินอี้จึงต้องก้าวออกมา “เหมียวเหมี่ยว คนที่คอยคุ้มครองเจ้ายังมิพออีกหรือ?”“ข้างกายพี่ใหญ่มีองครักษ์คนนี้อยู่เพียงคนเดียว เจ้าอย่าแย่งเขาไปเลย”สีหน้าของฉินอี้ดูเหมือนคนจนใจน้ำเสียงของเขาฟังดูน่าสงสารเมื่อเห็นเขาเป็นแบบนี้ เกาเหมียวเหมี่ยวก็มิกล้าที่จะบังคับอีก นางตอบอย่างมิพอใจว่า “ก็ได้”“รอจนกว่าท่านจะมิต้องการเขาแล้ว ค่อยให้หม่อมฉันก็แล้วกัน”“หม่อมฉันค่อนข้างชอบเขา”เกาเหมียวเหมี่ยวพูดพลางมองฟู่เฉินหวน บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาคล้ายกับเฉินชีมิใช่หน้าตาที่เหมือน แต่เป็นอารมณ์เย็นชาหยิ่งผยองและความกล้าหาญที่จะปฏิเสธนางโดยมิแม้แต่จะเสียงสั่นในเมื่อยังมิสามารถทำให้เฉินชีสยบต่อนางได้ในเร็ววัน การ
“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปทำความเข้าใจสถานการณ์”กล่าวจบ เขาก็พาฟู่เฉินหวนเดินไปทว่าระหว่างทางกลับพบเกาเหมียวเหมี่ยวเดินสวนมาพอดีฉินอี้เข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง แล้วเอ่ยถาม “เหมียวเหมี่ยว อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วหรือ?”เกาเหมียวเหมี่ยวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “บาดแผลเพียงเท่านี้คร่าชีวิตหม่อมฉันมิได้หรอก อีกอย่าง เสด็จพ่อกับเสด็จแม่ประทานยาให้หม่อมฉันมากมาย มิเจ็บปวดแผลแล้ว”ฉินอี้พยักหน้า “บาดแผลของเจ้าหายเร็วได้เช่นนี้ก็เพราะกินน้ำแกงโสมมังกรมาตลอด เจ้าต้องกินทุกวันตามเวลา ร่างกายจะได้แข็งแรงขึ้น!”“เข้าใจแล้ว”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนก็ดวงตาเป็นประกายน้ำแกงโสมมังกรหรือ?เป็นโสมมังกรชนิดเดียวกับที่หมอหลวงมู่ให้เขากินหรือไม่?สิ่งนี้แม้แต่หมอหลวงมู่ก็มีเพียงชิ้นเดียว มิเคยพบเห็นชิ้นที่สองแต่องค์หญิงแห่งแคว้นหลีกลับได้กินทุกวันเลยหรือ?เขาอดสงสัยมิได้ว่าสองสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวกันจริงหรือไม่หากเป็นเช่นนั้น เขาก็มีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออีกหลายเดือน หรือกระทั่งหลายปีเลยมิใช่หรือ?เปลวไฟแห่งความหวังลุกโชนขึ้นในใจของฟู่เฉินหวนฉินอี้เดินจากไปแล้ว แต่ฟู่เฉินหวนยังคงยื
ลั่วชิงยวนยกยิ้มอย่างใจเย็น “องค์ชายใหญ่ใส่ใจเรื่องนี้ถึงเพียงนี้เชียวหรือเพคะ?”ฉินอี้ขมวดคิ้วมุ่น มองนางด้วยสีหน้าจริงจัง “แน่นอน! แท้จริงแล้วเจ้ารู้อะไรกันแน่!”วันนั้นในคุกใต้ดิน เกือบจะได้ฟังคำพูดต่อจากนั้นของลั่วชิงยวนแล้วแต่กลับถูกเฉินชีขัดจังหวะเสียก่อนหลังจากกลับไป เขาก็ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอดเขาอาจมิใส่ใจเรื่องราวในอดีตได้ แต่นี่เกี่ยวข้องกับอนาคตของเขา! เขาจะมิใส่ใจคงมิได้!ลั่วชิงยวนกลับยกยิ้ม “องค์ชายใหญ่เชื่อจริงจังเลยหรือ?”“วันนั้นหม่อมฉันเพียงต้องการเอาชีวิตรอด จึงพูดจาเหลวไหลไปเท่านั้น”เมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ฉินอี้ก็ตกตะลึงไปทั้งร่างมองนางด้วยความตกใจและโกรธเกรี้ยว “เจ้าว่ากระไรนะ?!”ลั่วชิงยวนเลิกคิ้วขึ้น “หม่อมฉันมิอยากพูดซ้ำสอง”ฉินอี้โกรธจนอยากจะลงมือ แต่ก็อดกลั้นไว้ เขาไม่มีทางต่อกรกับลั่วชิงยวนได้สุดท้ายก็ได้แต่จากไปด้วยความขุ่นเคืองเมื่อเห็นฉินอี้จากไป เงาร่างที่แอบฟังอยู่ก็รีบจากไปเช่นกันอาการของฉินอี้นั้นมีสาเหตุจริง แต่เรื่องนี้ยังมิอาจบอกให้ฉินอี้รู้ได้เพราะมันเป็นเรื่องใหญ่หากพูดออกไป ปัญหาที่นางจะต้องเผชิญจะมิใช่เพียงเรื่องรา
อวี๋โหรวพยักหน้า รีบเช็ดน้ำตา “ขอบคุณ”ลั่วชิงยวนตบไหล่นางเบา ๆ เพื่อปลอบโยนเมื่อสนทนามาถึงตรงนี้ ลั่วชิงยวนจึงถือโอกาสถามอวี๋โหรว “อันที่จริงข้าสงสัยเรื่องนักบวชระดับสูงคนก่อน เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่านางตายอย่างไร?”อวี๋โหรวตกใจเล็กน้อยคาดเดาในใจว่าลั่วชิงยวนคงสอบถามเรื่องนี้เพราะเฉินชีเพราะว่าเฉินชีก็มีใจให้ลั่วเหลาเช่นเดียวกันนางอธิบาย “ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางตายอย่างไร”“วันนั้นนางบำเพ็ญเพียรอยู่ที่หอเทียนฉี วันรุ่งขึ้นเมื่อมีคนมาพบก็เหลือเพียงโลหิตกองเต็มพื้น”“บนพื้นยังมีร่องรอยการลากศพด้วย”“แต่ส่งคนออกไปตามหาศพตั้งมากมายก็หามิพบ”“เฉินชีแทบจะพลิกทั่วทั้งวัง แทบจะคลุ้มคลั่งสังหารคนในสำนักนักบวชไปเสียสิ้น”“ยังดีที่จักรพรรดิทรงนำราชองครักษ์เกราะเหล็กมาด้วยพระองค์เอง จึงสามารถควบคุมตัวเฉินชีไว้ได้”“เรื่องการตายของนักบวชระดับสูงนั้นมีการสืบสวนอยู่นาน แต่ก็ไม่มีเบาะแสใด ๆ เบาะแสทั้งหมดหยุดอยู่ที่หอเทียนฉี”“นอกหอเทียนฉีไม่มีร่องรอยใดหลงเหลือ”“นานวันเข้า เรื่องนี้ก็เงียบหายไป”ตามคำบอกเล่าของอวี๋โหรว ลั่วชิงยวนก็หวนนึกถึงคืนนั้นหอเทียนฉีเป็นสถานที่ที่นักบวชระดับสูงจะท
อวี๋โหรวก็ประหลาดใจ นางมิคาดคิดว่าลั่วชิงยวนจะล่วงรู้ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนาง อีกทั้งยังไปเอาเรื่องจั๋วฉ่างตงเพื่อนางและทำร้ายจั๋วฉ่างตงจนอยู่ในสภาพเช่นนั้นการกระทำของนางคล้ายคลึงกับลั่วเหลาในสมัยก่อนยิ่งนักนางชอบใจมาก“กินยาเสีย” ลั่วชิงยวนรินยาให้อวี๋โหรวเดินเข้าไปดมแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ “ในนี้มีบัวถวายผสมด้วยหรือ?”“เจ้ากินไปเถิด”“อาการบาดเจ็บของเจ้าน่าจะทุเลาลงเพราะยานี้”ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อาการบาดเจ็บภายในของเจ้าก็มิได้ดีไปกว่าข้าหรอก รีบกินเสีย”อวี๋โหรวจำต้องยอมดื่มยานั้นลั่วชิงยวนนั่งลงข้าง ๆ รินน้ำชาหนึ่งถ้วย แล้วกล่าวว่า “ต่อไปจั๋วฉ่างตงจะต้องหาเรื่องเจ้าอีกเป็นแน่ เจ้าจะปิดบังตนเองอีกมิได้”“ในเมื่อฝีมือของเจ้าทำให้จั๋วฉ่างตงริษยาได้ เช่นนั้นก็อย่าได้เกรงใจนาง!”“ส่วนทางด้านนักบวชระดับสูง ข้าคิดว่านางคงจะให้ความสำคัญกับผู้ที่มีความสามารถ มิใช่ผู้ที่ประจบสอพลอ”นี่คือความเข้าใจที่ลั่วชิงยวนมีต่อเวินซินถงจั๋วฉ่างตงสามารถเป็นคนสนิทข้างกายของนางได้ ย่อมเป็นเพราะจั๋วฉ่างตงมีฝีมือที่แข็งแกร่งในสำนักนักบวช มิใช่เพราะจั๋วฉ่างตงประจบสอพลอเก่
ลั่วชิงยวนคว้าตัวจั๋วฉ่างตง “คุกเข่าลง! ขอโทษ! รับปากด้วยว่าจะมิรังแกนางอีก!”เมื่อเสียงอันดุดันดังขึ้น ทุกคนต่างตกตะลึงจั๋วฉ่างตงมีหรือจะยินยอม ดวงตาแดงก่ำของนางจ้องมองลั่วชิงยวนอย่างเดือดดาล “สารเลว!”เพียะ!ลั่วชิงยวนตบหน้านางอย่างมิปรานี“ข้ามิรังเกียจที่จะตบเจ้าจนกว่าจะยอม”“ยามนี้ตบหน้ายังทนได้ หากบีบให้ข้าใช้ท่วงท่าอื่น ระวังวรยุทธ์ของเจ้าจะไร้ค่า!”ลั่วชิงยวนข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชาจั๋วฉ่างตงกัดริมฝีปากล่างด้วยความโกรธแค้นและอัปยศอดสูเดิมทีนางเป็นหญิงสาวที่หน้าตางดงาม ทว่ายามนี้กลับถูกลั่วชิงยวนทำร้ายจนยับเยิน แทบจะจำเค้าเดิมมิได้“ข้ามิได้มีความอดทนมากนัก เร็วเข้า!”ยามนี้มีผู้คนมากมายได้ยินเสียงอึกทึกจึงมามุงดูเหตุการณ์น่าตื่นเต้นรวมตัวกันอยู่หน้าประตูเรือนพลางกระซิบกระซาบกัน“ลั่วชิงยวนผู้นี้ช่างกล้าหาญนัก”“จั๋วฉ่างตงไปยั่วโมโหนางอีกแล้วหรือ?”เมื่อได้ยินเสียงจากภายนอก จั๋วฉ่างตงก็แทบจะหลั่งน้ำตา มีผู้คนมากมายมองดูอยู่ นางกลับต้องคุกเข่าขอโทษอวี๋โหรว!ขณะที่ลั่วชิงยวนหมดความอดทนและกำลังจะลงมือจั๋วฉ่างตงก็กลั้นน้ำตาไว้พลางคุกเข่าลง ตรงหน้าอวี๋โหรวอว
จั๋วฉ่างตงเดินออกมาจากห้องนัยน์ตาของลั่วชิงยวนฉายแววมุ่งสังหาร “ที่แท้เจ้าก็มิใช่เต่าหดหัวในกระดองนี่”จั๋วฉ่างตงจ้องมองนางด้วยสีหน้าดุดัน แล้วเดินลงมาอย่างช้า ๆ “ลั่วชิงยวน ข้าขอเตือนให้เจ้าสำรวมตนเสียบ้าง!”กล่าวพลางกวาดสายตามองไปยังคนที่นอนกองอยู่บนพื้น แล้วตวาดเสียงดัง “ปล่อยพวกเขา!”ลั่วชิงยวนบุกเข้ามาทำร้ายคนถึงเรือนของนาง นี่มิใช่การตบหน้านางต่อหน้าธารกำนัลหรอกหรือ!แม้จะพ่ายแพ้ให้แก่ลั่วชิงยวนที่หอรักษ์ดารา แต่ก็มิได้หมายความว่านางจะต้องหวาดกลัวลั่วชิงยวน!ลั่วชิงยวนเตะไปที่คนเหล่านั้น แล้วยอมปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระคนเหล่านั้นกลิ้งตัวลงบนพื้นทีละคนก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนอย่างลนลาน หมายจะหลบไปอยู่ด้านหลังจั๋วฉ่างตงทว่าในเวลานี้เอง ริมฝีปากของลั่วชิงยวนก็ยกยิ้มเย็นเยียบ กระโจนเข้าหาจั๋วฉ่างตงอย่างรวดเร็วแล้วใช้มือคว้าจับที่คอเสื้อของนางจั๋วฉ่างตงขัดขืนโดยสัญชาตญาณ แต่นางได้รับบาดเจ็บ จะเป็นสู้ลั่วชิงยวนได้อย่างไรทันใดนั้นก็ถูกลั่วชิงยวนเหวี่ยงลงกับพื้น แล้วตบหน้าอย่างแรงจนผมเผ้าของจั๋วฉ่างตงยุ่งเหยิงขณะที่ตั้งตัวมิทันเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้านั้นหนักแน่น เสียงดังสนั