ทันทีที่พวกเขาสบตากัน ก็เป็นเรื่องยากสำหรับทั้งสองที่จะสงบสติอารมณ์ลงได้ ฟู่เฉินหวนมองไปทางอื่นทันทีพลางพูดอย่างใจเย็น “หลิวไท่เฟยสิ้นพระชนม์แล้ว ไทเฮาจะมิปล่อยเจ้าไป พระนางจะตั้งคำถามกับเจ้าอย่างแน่นอน”“เจ้าเพียงบอกว่าหลิวไท่เฟยเชิญเจ้ามาเป็นแขก เจ้ามิรู้เรื่องอันใด”ลั่วชิงยวนรู้ว่าการตายของหลิวไท่เฟยจะไม่จบลงง่าย ๆ และคำพูดของฟู่เฉินหวนคือสิ่งที่เขาตั้งใจแบกรับเรื่องเหล่านี้ไว้เองหลังจากมองไปรอบ ๆ แล้วเห็นว่าไม่มีผู้ใดสนใจพวกเขา ลั่วชิงยวนจึงลดเสียงลงและพูดว่า “ไทเฮาอยู่เบื้องหลังกลียุคในวัง หลิวไท่เฟยเป็นเพียงเบี้ยในมือของไทเฮา รวมทั้งเจินหลันก็ถูกใช้โดยไทเฮาด้วยเช่นกัน”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินคำพูดนี้ เขาก็มองดูนางด้วยความตกใจ “มีอะไรผิดปกติหรือ?” ลั่วชิงยวนมองเขาอย่างสงสัยฟู่เฉินหวนมองไปทางอื่นอีกครั้งแล้วพูดว่า “ข้าคิดมิถึงว่าเจ้าจะบอกข้าเรื่องนี้”ลั่วชิงยวนรู้เรื่องกลียุคในวังเมื่อใด เหตุใดนางจึงเอ่ยความลับของกลียุคในวังให้เขาฟัง แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนไม่รู้ว่า ลั่วชิงยวนรู้เรื่องกลียุคในวังมาเป็นเวลานานแล้ว และนางยังรู้ด้วยว่าฟู่เฉินหวนกำลังติดตามค้นหาเบาะแสของเหตุก
คำพูดนี้หมายถึงนางกับฟู่เฉินหวนหรือไม่?ใช่แล้ว ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลงเรือลำเดียวกันแล้ว“เช่นนั้น ยินดีต้อนรับท่านเข้าร่วม” ลั่วชิงยวนยกยิ้มฟู่จิ่งหลีหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า “หลังจากที่ท่านกลับไปแล้ว ท่านต้องบอกข้าทุกอย่าง”“ไม่มีปัญหา”ทั้งสองออกจากวังและกลับไปยังตำหนักอ๋องหลังจากที่ลั่วชิงยวนทายาและพันผ้าพันแผลให้ตัวเองแล้ว นางก็บอกฟู่จิ่งหลีทุกอย่างเกี่ยวกับหลิวไท่เฟยรวมทั้งเบาะแสที่ได้รับจากเจินหลันในความเป็นจริง สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ฟู่จิ่งหลีต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม เช่นนั้นลั่วชิงยวนจึงค่อย ๆ อธิบายให้เขาฟัง ทว่า ช่วงเวลาอันเงียบสงบนั้นช่างสั้นนัก มีคนมาถึงตำหนักแล้ว แม่นมเติ้งรีบเข้ามาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงประหม่าว่า “พระชายา นางกำนัลจิ่นชูจากพระตำหนักโช่วสี่มาที่นี่เจ้าค่ะ คราวนี้นางมาพร้อมกับราชองครักษ์!”“นางมาถึงแล้ว” ดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชานางยืนขึ้นและมุ่งหน้าไปที่ลานตำหนักโดยมีจือเฉาคอยประคองอยู่ด้านข้าง จิ่นชูยืนอยู่ที่ประตูทางเข้า ตามมาด้วยกลุ่มราชองครักษ์ซึ่งดูองอาจและไม่เป็นมิตร “พระชายาอ๋องผู
ดวงตาของฟู่จิ่งหลีเย็นชาเป็นอย่างมาก น้ำเสียงเย็นชาของเขาแสดงให้เห็นถึงอำนาจ “นี่เป็นท่าทางของเจ้าเมื่อพูดคุยกับองค์ชายงั้นรึ?”“เป็นบ่าวจะอวดเพียงนี้ได้เยี่ยงไร?”“ผู้ใดเป็นคนมอบความกล้าให้กับเจ้า?”ในขณะนี้ ท่าทางอันน่าเกรงขามของฟู่จิ่งหลี คือสิ่งที่ลั่วชิงยวนมองเห็นว่าเขาสมฐานะองค์ชายบางทีอาจเป็นเพราะเขาอยู่ห่างไกลจากราชสำนักและวังหลวงมาเป็นเวลานาน หลายคนจึงลืมไปว่าแท้จริงแล้วเขาก็เป็นถึงองค์ชาย แม้ว่าเขาจะไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการที่สูงส่งและไม่น่าเกรงขามเท่าฟู่เฉินหวน ทว่า เขาก็ยังคงเป็นเชื้อพระวงศ์!จิ่นชูเป็นคนสนิทของไทเฮา แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะพบนาง เขาก็จะไม่พูดคุยกับนางด้วยท่าทีเช่นนั้นเมื่อฟู่จิ่งหลีพูดจบแล้ว ดาบในมือของเขาก็ชี้ไปที่มือของจิ่นชูซึ่งอยู่ใต้แขนเสื้อก็กำหมัดแน่น“องค์ชายเจ็ด นี่เป็นคำสั่งของไทเฮา! ท่านต้องการต่อต้านไทเฮาหรือเพคะ?!” จิ่นชูระงับความโกรธในใจพร้อมกับพยายามสงบสติอารมณ์ แต่มือของฟู่จิ่งหลีกลับจับดาบไว้แน่น โดยไม่ยอมแพ้หรือกลัวแต่อยากใด ดวงตาของเขายังคงเย็นชาอย่างยิ่ง “ข้าบอกเจ้าแล้ว วันนี้ไม่มีใครสามารถพาลั่วชิงยวนออกไปได้ทั้งนั้น!”
ฟู่จิ่งหลีพูดอย่างใจเย็น “หยุดพูดเล่นได้แล้ว ท่านคือพระชายา อีกทั้งพี่สามก็โปรดปรานท่านเป็นอย่างมาก ท่านยังไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอีกงั้นหรือ?”ลั่วชิงยวนตอบว่า “ถึงท่านจะพูดกับหม่อมฉันเช่นไรก็เปล่าประโยชน์”ฟู่อวิ๋นโจวอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมา “น้องเจ็ด โปรดอย่าทำให้นางต้องลำบากใจเลย ชีวิตของนางในตำหนักอ๋องมิได้ดีอย่างที่เจ้าคิด”ฟู่จิ่งหลีผงะเล็กน้อย นึกขึ้นได้ว่าพี่สามของเขาเคยไม่ชอบพระชายามาก่อน มีข่าวลือมากมายว่านางทั้งอัปลักษณ์และอ้วนอัด แม้กระทั่งพูดกันว่านางคือคางคกที่อยากกินเนื้อหงส์ เขารีบพูดว่า “นั่นมันเมื่อก่อน! ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว!”“ข้าไม่สน ข้าขอให้คนไปเก็บข้าวของแล้ว ข้าจะย้ายมาที่นี่คืนนี้”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง บางทีฟู่จิ่งหลีอาจจะย้ายเข้ามาที่นี่เพื่อปกป้องนาง ทว่า นางก็ไม่รู้ว่าฟู่เฉินหวนจะกลับมาเมื่อใดแต่สำหรับฟู่จิ่งหลี วันนี้เขาได้ทำให้ไทเฮาขุ่นเคือง อีกทั้งเขายังมากด้วยอำนาจและเงินทองที่ท่านปู่ของเขาทิ้งไว้ให้ ซึ่งเกรงว่าอาจทำให้ไทเฮารู้สึกถูกคุกคามฟู่จิ่งหลีอาจตกอยู่ในอันตราย เช่นนั้นจึงจะเป็นการดีกว่า หากให้เขาอาศัยอยู่ในตำหนักของอ๋องผู้สำ
ในค่ำคืนอันเงียบสงบ จู่ ๆ เสียงจากในตู้ก็ดังขึ้นนั่นทำให้ลั่วชิงยวนสะดุ้งตื่นจือเฉาก็ตื่นขึ้นเช่นกัน นางรีบวิ่งมาที่หน้าประตูห้องทันที “พระชายา พระชายา เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?”“มีอะไรผิดปกติหรือเจ้าคะ”ลั่วชิงยวนนั่งอยู่บนเตียง มองดูตู้ที่อยู่ตรงมุมส่งเสียงดังแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”“ท่านมิได้เป็นอะไรใช่หรือไม่เจ้าคะ?” จือเฉาได้ยินเสียงความโกลาหลในห้อง “ไม่เป็นอะไร”จือเฉาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับไปที่เรือนนอนของตนลั่วชิงยวนยืนขึ้นและเดินไปที่ตู้ ก่อนจะเห็นว่ามีมวลอากาศสีดำจำนวนมากแทรกซึมผ่านช่องว่างนั้นไปภายในตู้นี้ประกอบไปด้วยสิ่งของที่นางใช้อยู่เป็นประจำ สิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในตู้คือสิ่งที่ถูกผนึกไว้ในดวงแก้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่โจมตีฟู่เฉินหวนในระหว่างการเซ่นไหว้ในหอบรรพบุรุษนางสงบสติอารมณ์อยู่พักใหญ่ เนื่องด้วยไม่เคยพบกับเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้มาก่อนลั่วชิงยวนกำลังจะหยิบกุญแจเพื่อไขประตูและเปิดดูว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่ทันใดนั้น ตู้ทั้งหลังก็สั่นสะท้านเพิ่มขึ้น ประตูตู้ถูกกระแทกเปิดออกด้วยเสียงดังปัง ทำให้ลั่วชิงยวนซึ่งอยู่หน้าตู้ล
ลั่วชิงยวนพยายามเดินเข้ามา แต่สตรีผู้นั้นระวังอย่างมาก หากนางขยับ ลมรอบตัวนางก็จะรุนแรงยิ่งขึ้นหลังจากพยายามหลายครั้ง ลั่วชิงยวนก็ค้นพบบางสิ่งที่น่าเหลือเชื่อสตรีผู้นี้ดูเหมือนกำลังจะปกป้องฟู่จิ่งหลีอยู่“พี่สะใภ้สาม ท่านบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?” ฟู่จิ่งหลีหมอบลงกับพื้น เขาไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมองลั่วชิงยวนแตะเข็มทิศแล้วพูดอย่างระมัดระวัง “มานี่สิ”ฟู่จิ่งหลีสะดุ้งเล็กน้อย “ข้าสามารถไปได้หรือ?”เขาใช้มือข้างหนึ่งกดหน้าอกพร้อมกับใช้มืออีกข้างประคองกำแพง ก่อนจะค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินไปหาลั่วชิงยวนดวงตาของลั่วชิงยวนจับจ้องไปที่สตรีผู้นั้น เป็นอย่างที่คาดไว้ นางไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย นางทำเพียงมองดูฟู่จิ่งหลีอย่างเงียบ ๆ แต่ดวงตาของนางก็ยังคงเป็นสีดำสนิทราวกับว่านางไร้สติ สิ่งนี้ค่อนข้างแปลก โชคดีที่ฟู่จิ่งหลีเดินมาหานางได้อย่างปลอดภัย นางช่วยประคองฟู่จิ่งหลีลุกขึ้นทันทีพร้อมกับพูดว่า “ไปกันเถอะ”ฟู่จิ่งหลีกุมหน้าอกของเขา อดทนต่อความเจ็บปวดอันแสนสาหัส ในขณะที่เดินตามลั่วชิงยวนออกไปอย่างรวดเร็วระหว่างทาง ลั่วชิงยวนหันกลับมามองและพบว่าสตรีผู้นั้นกำลังติดตามเขาอยู่เช่นนั้นจึงช่วยป
เป็นคนเดียวกันมิใช่หรือ?ลั่วชิงยวนตกตะลึงสตรีที่อยู่ข้าง ๆ นางกำลังดูภาพเหมือนอย่างหลงใหลลั่วชิงยวนมองดูท่าทางของนางและรู้สึกเหลือเชื่อนางยังคงมีสติอย่างนั้นหรือ?นางเคยลองวิธีการมาหลายวิธีแล้ว แต่ก็ไม่อาจปลุกจิตสำนึกของอีกฝ่ายได้เลย ที่ผ่านมานางยังคงอยู่ในสภาพคุลุ้มคลั่งตลอดเวลา แต่ขณะนี้นางยังคงไม่มีสติมากนัก แต่ดูเหมือนนางจะเข้าใจอะไรบางอย่างได้“วาดภาพเสร็จแล้ว” ฟู่จิ่งหลียื่นรูปเหมือนให้นางลั่วชิงยวนมองไปที่รูปเหมือนใบนั้น ทุกสิ่งเหมือนกันทุกประการ ในเวลานี้ ฟู่จิ่งหลีหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาอีกครั้ง เขาเช็ดเลือดที่เปื้อนโดยไม่ได้ตั้งใจอย่างระมัดระวังทันใดนั้นสตรีที่อยู่ข้าง ๆ นางก็เอียงศีรษะพร้อมกับจ้องมองไปที่ผ้าเช็ดหน้าอย่างใกล้ชิด ในขณะนั้น ลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นั่นคือผ้าเช็ดหน้านี่!นี่เป็นเพียงของที่ระลึกชิ้นเดียวที่มารดาของเขาทิ้งไว้ในช่วงชีวิตของนาง และสิ่งนี้เองที่นำทางสตรีที่อยู่ข้าง ๆ นางดวงตาลั่วชิงยวนกระตุก ทันใดนั้นนางก็มีแผนบางอย่างในใจทันทีนางก้าวไปข้างหน้าและนั่งข้าง ๆ ฟู่จิ่งหลีลนลานอย่างมาก เขาถึงกับหลีกหนีนางออกไป “นี่แปลก แป
นางลุกขึ้นเปิดประตูทันทีพร้อมกับเรียกหาแม่นมเติ้ง“แม่นมเติ้ง ส่งคนไปเฝ้าห้องยา หากผู้ใดมาเบิกยา ไม่ว่าจะเป็นยาอะไร ก็ให้แอบจดบันทึกไว้ทุกครั้ง”เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลั่วชิงยวนก็เสริมว่า “จับตาดูเรือนทักษิณาด้วยเช่นกัน”แม่นมเติ้งพยักหน้า “เจ้าค่ะ”หากเป็นคนจากตำหนักอ๋องแห่งนี้ เมื่อได้รับบาดเจ็บภายในก็จำเป็นจะต้องกินยา ลั่วชิงยวนมีคนต้องสงสัยภายในใจของนาง แต่ถึงเช่นไรก็ต้องตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อน ลั่วชิงยวนและฟู่จิ่งหลีนั่งอยู่ในห้องเช่นนี้ตลอดทั้งคืน เมื่อรุ่งเช้า ฟู่เฉินหวนก็ยังคงไม่กลับมา แต่ลั่วอวิ๋นสี่กลับมาถึงก่อน “ช่วงนี้เจ้าฝึกฝนวรยุทธเป็นเช่นไรบ้าง” ลั่วชิงยวนถามอย่างสงสัยลั่วอวิ๋นสี่กำหมัดแน่น จากนั้นจึงแสดงท่าทางให้นางดูสองครั้ง “ข้ารู้สึกว่าข้าก้าวหน้าไปมากแล้ว!”เสียงอันภาคภูมิใจของเตี่ยฉุยเอ่ยขึ้น “นั่นมิใช่เพราะข้าด้วย!”ลั่วชิงยวนยิ้ม “ดีเลย”ลั่วอวิ๋นสี่เริ่มจริงจังอีกครั้ง “ลั่วเยวี่ยอิงกำลังตามหาข้าอยู่”ลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อยลั่วอวิ๋นสี่หยิบจดหมายออกมาจากอ้อมแขนของนางแล้วส่งให้นาง “นางได้นัดหมายกับข้าแล้ว”“หากเจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรนาง ข้าจะ
ในชั่วพริบตา ลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังเพราะถูกกดลงบนกำแพงเท้าของนางลอยขึ้นจากพื้นความรู้สึกหายใจมิออกทำให้นางดิ้นรนสุดกำลัง“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา! ใครอนุญาตให้เจ้าแตะต้องของของข้า!”ลั่วชิงยวนพยายามพูด “ฟู่เฉินหวน...”นางหายใจมิออกแล้วนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนฉายแววเย็นชาขณะจับนางเหวี่ยงออกไปร่างลั่วชิงยวนตกกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นกลิ้งไปหลายตลบแล้วกระอักเลือดออกมาอวัยวะภายในสั่นสะเทือน ปวดร้าวไปทั่วร่าง“ฟู่เฉินหวน ลั่วฉิงกับไทเฮาร่วมมือกัน สิ่งที่ไทเฮาให้ท่านอาจถูกลั่วฉิงปลอมแปลง จดหมายนั้นอาจเป็นของปลอมก็ได้!”ลั่วชิงยวนรีบอธิบายความคิดของตนเองฟู่เฉินหวนเดินเข้ามาด้วยความโกรธ เขาจับนางขึ้นมาแล้วมองนางด้วยสายตาเหี้ยมโหด “ถึงตอนนี้แล้วยังจะมาหลอกลวงข้าอีกรึ?”“ลายมือท่านแม่ของข้า ข้าจะจำมิได้เชียวหรือ!”พูดจบ ลั่วชิงยวนก็ถูกเหวี่ยงออกจากห้องร่างกระแทกพื้นหิมะแขนข้างหนึ่งถูกทับจนเกิดเสียงดังกร๊อบแขนหลุดจากข้อต่อแล้ว“โอ๊ย...” ลั่วชิงยวนร้องเสียงหลง หน้าซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มไปหน้านางใช้มือข้างเดียวพยุงตัว พยายามลุกขึ้นอย่างยากล
ลั่วฉิงใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์มิเป็นด้วยฐานะของนาง เป็นไปมิได้ที่จะใช้มิเป็นลั่วชิงยวนเบิกตากว้างลั่วฉิงมิได้ใช้มิเป็น แต่ใช้มิได้ต่างหาก!นางพกเข็มทิศนี้ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก อาจารย์บอกว่าเป็นของที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของนางหลังจากที่นางตายแล้วเกิดใหม่เข็มทิศนี้ก็ยังคงติดตัวนางมา ย่อมมิใช่ของธรรมดาสามัญแน่นอนดังนั้น เข็มทิศนี้อาจจะยอมรับนางเป็นเจ้าของแล้ว คนอื่นจึงใช้มิได้เมื่อคิดได้ดังนั้น ลั่วชิงยวนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างลั่วฉิงได้เข็มทิศไปก็ไร้ประโยชน์ฟู่เฉินหวนถาม “หากไม่มีเข็มทิศนี้ เจ้าก็ทำนายอะไรมิได้เลยหรือ?”ลั่วฉิงยกยิ้ม “แน่นอนว่ามิใช่เช่นนั้น”“เช่นนั้นก็มิเห็นเป็นอะไร เจ้าแค่ทำนายสิ่งที่เจ้าทำนายได้ แล้วก็จะค่อย ๆ ได้รับความไว้วางใจเอง”ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าเคร่งขรึม ขณะกล่าวเสียงเย็น “ข้าทะเลาะกับนางไปแล้ว หากจะหลอกลวงนางอีกก็ต้องแสร้งทำดีด้วย”“ข้ามิอยากทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนั้น”หัวใจของลั่วชิงยวนพลันเจ็บแปลบเขาบอกว่าการทำดีกับนางเป็นเรื่องน่ารังเกียจ...ลั่วชิงยวนรู้สึกเจ็บปวด นางกำเสื้อแน่น มิกล้าส่งเสียงแล้วค่อย ๆ เดินจากไปคำพูดเหล่านั้นดังก้อ
ลั่วชิงยวนที่ถูกขังไว้สองวันเริ่มรู้สึกอึดอัดราวกับถูกจองจำในคุกหิมะตกหนักติดต่อกันหลายวันยิ่งทำให้นางรู้สึกหดหู่เมื่อหิมะเริ่มเบาบางลงนางจึงออกมานั่งที่เก้าอี้ในเรือนสัมผัสกับความเย็นยะเยือกที่โปรยปรายลงบนใบหน้า“พระชายา ระวังจะเป็นหวัดนะเจ้าคะ”จือเฉานำกาน้ำชาอุ่นมาวางไว้บนโต๊ะข้าง ๆ แล้วรินใส่ถ้วยให้นางไอร้อนจากน้ำชาช่วยเพิ่มความอบอุ่นในวันหิมะตกอันหนาวเหน็บจือเฉานั่งอยู่ข้าง ๆ เหม่อมองท้องฟ้าด้วยความกังวล “พระชายา เหตุใดท่านอ๋องจึงใจร้ายกับท่านเช่นนี้เจ้าคะ”“ก่อนหน้านี้เป็นเพราะมีลั่วเยวี่ยอิงที่คอยยุแยง บัดนี้ลั่วเยวี่ยอิงก็ตายไปแล้ว เหตุใดท่านอ๋องจึงยังเป็นเช่นนี้ ระหว่างท่านอ๋องกับพระชายามีเรื่องเข้าใจผิดกันหรือเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนก็มิอาจเข้าใจได้เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใดกันตั้งแต่ที่นางถูกเฉินชีจับตัวไปบนเขาหรือไม่สิ น่าจะเริ่มตั้งแต่เรื่องของฟู่จิ่งหานตอนที่ฟู่เฉินหวนตัดสินใจจัดการกับฟู่อวิ๋นโจว เขาเข้าวังไปหลายวันแล้วเมื่อกลับมาก็หย่ากับนางแต่เกิดเรื่องอะไรขึ้นในวัง แม้แต่จักรพรรดิสูงสุดก็มิยอมบอกนางหรือบางทีอาจจะมิรู้เหมือนกันวันนี้แม่นมเติ้งเป
เขามีสีหน้าเย็นชาขณะกล่าวเสียงเรียบ “กลับตำหนักกับข้า”ลั่วชิงยวนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงให้จือเฉาเก็บข้าวของตามฟู่เฉินหวนออกจากวังเมื่อขึ้นรถม้า ฟู่เฉินหวนก็สั่งสารถีให้กลับตำหนักทันทีทั้งยังเร่งให้รีบกลับด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยดูเหมือนจะหงุดหงิดอยู่รถม้าแล่นไปอย่างรวดเร็ว ลั่วชิงยวนถูกเขย่าโคลงเคลงจนตัวแทบปลิว แต่ก็ยังพยายามทรงตัว มิเอ่ยคำใดจนกระทั่งรถม้ามาถึงหน้าตำหนักลั่วชิงยวนจึงสังเกตเห็นรอยแดงบนใบหน้าของฟู่เฉินหวนนางยกมือขึ้น แตะใบหน้าเขาเบา ๆ “ใบหน้าของท่านเป็นอะไรไป?”ฟู่เฉินหวนคว้าข้อมือของนางไว้แล้วจ้องมองด้วยสายตาคมกริบ “มิใช่เพราะเจ้าหรอกรึ!”ลั่วชิงยวนชะงักไปชั่วพริบตานั้น ฟู่เฉินหวนก็กระชากนางลงจากรถม้าอย่างแรง ทำให้นางเกือบล้มนางเดินเซ แต่ก็ยังถูกฟู่เฉินหวนลากเข้าไปในตำหนักฟู่เฉินหวนเดินอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างเต็มไปด้วยโทสะราวกับพยายามอดกลั้นมานานลั่วชิงยวนจึงตระหนักได้ว่าเขาคงถูกจักรพรรดิสูงสุดลงโทษมิเช่นนั้นรอยแดงบนใบหน้าเขาจะมาจากไหนเมื่อมาถึงลานด้านใน นางก็สะบัดตัวหลุดจากฟู่เฉินหวน“ท่านจะทำอะไร!”ทันใดนั้น ฟู่เฉินหวนก็บีบคางน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซิ่งไป่ชวนก็มาถึงลั่วชิงยวนพยุงตัวลุกขึ้นนั่งเซิ่งไป่ชวนเห็นเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ บนหน้าผากนาง จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “พระชายารู้สึกหนาวหรือไม่ขอรับ?”ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้ามิเป็นอะไร มิต้องตรวจชีพจรแล้ว ข้าจะเขียนใบเทียบยาให้ เจ้าช่วยไปหยิบยาให้หน่อย”เซิ่งไป่ชวนพยักหน้า เขาย่อมเชื่อมั่นในฝีมือแพทย์ของลั่วชิงยวนจึงมิฝืนใจเพียงแต่กล่าวว่า “เห็นอาการของพระชายาทรงทรุดลงทุกวัน เกรงว่าจะเป็นเพราะความวิตกกังวล พระชายาควรปล่อยวางบ้าง”“เพื่อรักษาพระวรกายให้แข็งแรงขอรับ”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ขอบคุณหมอหลวงเซิ่ง”“ข้าจะระมัดระวัง”ขณะที่กำลังสนทนากัน ก็พลันได้ยินเสียงตวาดดังมาจากด้านนอก“ว่ากระไรนะ! สั่งลงไป ผู้ใดกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีกให้ตัดหัวได้เลย!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยด้วยความสงสัย นางจึงสวมรองเท้าเดินออกไปจือเฉานำผ้าคลุมมาสวมให้นางเห็นจักรพรรดิสูงสุดกำลังโมโหอยู่ใต้ชายคา“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความอยากรู้จักรพรรดิสูงสุดกล่าวว่า “ไม่มีอะไร เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้ามิได้ดุใครมานานแล้วเลยลองฝึกฝนดู”จากนั้นจักรพรรดิสูงสุด
เดิมทีนางตั้งใจจะบอกข่าวดีนี้แก่เขาในยามที่เขากับนางคืนดีกันแล้วทว่าสิ่งที่รอคอยกลับเป็นการหลอกลวง เขาชิงเอาเข็มทิศอาณัติสวรรค์ของนางไปบัดนี้เขาใจแข็งเช่นนี้ ลั่วชิงยวนจึงจำต้องบอกเรื่องนี้แก่เขาในใจนางยังคงมีความหวัง หวังว่าเพื่อลูกในครรภ์ ฟู่เฉินหวนอาจจะใจอ่อนลงบ้างทว่าประตูบานนั้นยังคงปิดสนิทนอกจากเสียงลมหวีดหวิวที่พัดผ่านก็ไม่มีเสียงตอบรับใดสายลมหนาวราวกับจะพัดพาความอบอุ่นสุดท้ายในใจนางให้หายไปน้ำตาใสไหลรินอาบแก้มซีดเผือดลั่วชิงยวนหันหลังเดินจากไปอย่างเงียบงันเหล่าบ่าวไพร่ในตำหนักเห็นนางแล้วอยากจะทักทาย แต่ก็ลังเล มิกล้าเอ่ยปากบัดนี้ลั่วชิงยวนราวกับคนไร้วิญญาณ เดินออกจากตำหนักไปอย่างไร้จุดหมายนางเดินไปเรื่อย ๆ รู้สึกราวกับว่าสายลมหนาวจะพัดพาร่างนางให้แหลกสลายไป ความหนาวเหน็บกัดกร่อนกระดูก......ภายในห้องตำรา ฟู่เฉินหวนทรุดลงนอนสลบแน่นิ่งกองอยู่ที่มุมห้อง พื้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจนกระทั่งซูโหยวกลับมาพบเข้า จึงรีบให้คนไปตามหมอหลวงมู่มาโดยด่วนหมอหลวงมู่ตรวจอาการแล้วก็ตกใจยิ่งนัก รีบปรุงยาให้ทันทีและยังนำโสมมังกรที่ตกทอดกันมาในตระกูลออกมาตัดแบ่งส่วนเล็ก
เขามิอยากแตะต้องนางแม้เพียงปลายเล็บฟู่เฉินหวนรีบส่งคนออกไปตามล่าเฉินชี แล้วจึงกวาดสายตามองลั่วชิงยวนที่นอนอยู่บนพื้นหิมะอย่างเย็นชาก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “พากลับไป”องครักษ์สองนายเข้ามาพยุงลั่วชิงยวน แล้วพานางออกไปจากศาลาลั่วชิงยวนจ้องมองฟู่เฉินหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ เมื่อสบเข้ากับสายตาเย็นชาของเขา หัวใจนางก็พลันเหมือนถูกบีบขณะที่นางถูกพาตัวออกไป เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นทั่วศาลาเสียดแทงโสตประสาทยิ่งนักเมื่อกลับถึงตำหนัก ฟู่เฉินหวนก็รีบจัดการวางกำลังคนไปจับตัวเฉินชีลั่วชิงยวนยืนรออยู่ท่ามกลางหิมะ จนกระทั่งเขาจัดการทุกอย่างเสร็จจึงเดินเข้าไปหา“ฟู่เฉินหวน...”ทว่าฟู่เฉินหวนกลับมองนางด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องตำรา แล้วปิดประตูใส่หน้าเสียงปิดประตูดังสนั่น ทำให้ลั่วชิงยวนสะดุ้งตกใจนางมิยอมแพ้ เดินไปเคาะประตู “ฟู่เฉินหวน ท่านรังเกียจหม่อมฉันแล้วใช่หรือไม่!”“เฉินชีกับลั่วฉิงร่วมมือกัน! เหตุใดท่านจึงหลอกเอาเข็มทิศของหม่อมฉันไป! ทั้งหมดนี้เป็นแผนของพวกเขา!”นางทุบประตูเรียก “ฟู่เฉินหวน ท่านต้องอธิบายให้หม่อมฉันฟัง!”ประตูเปิดออกกะทันหันฟู่เฉินหวนก้าวออกมาด้วยความโกรธ
ลั่วชิงยวนเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองเขาด้วยความโกรธครั้นเห็นนางมิยอมอ้าปากแม้สักนิด เฉินชีจึงโน้มกายเข้าไปใกล้ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เจ้าอยากให้ข้าทำเกินเลยกว่านี้รึ?”ลั่วชิงยวนขบฟันแน่นก่อนจะยอมอ้าปากรับสิ่งที่เฉินชีป้อนให้เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบด้าน“สวรรค์โปรด! สองคนนี้กำลังทำสิ่งใดกันอยู่”“พระชายาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการกำลังลักลอบคบชู้ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้หรือ?”เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์ต่างส่งคนไปทูลท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการให้รีบมาโดยพลันเฉินชีนั่งอยู่ในศาลา ยังคงจงใจแสดงท่าทีคลอเคลียกับลั่วชิงยวน แล้วกระซิบเสียงเบา “หลังจากวันนี้ เจ้าคงมิอาจอยู่ในเมืองหลวงได้อีกแล้วกระมัง?”“เหตุใดจึงมิติดตามข้ากลับแคว้นหลีเล่า?”“เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นคนของแคว้นหลี”“ข้าสามารถส่งเจ้ากลับสู่ตำแหน่งเดิม ให้เป็นนักบวชหญิงผู้สูงส่งได้”“หากเจ้าเต็มใจ จงกะพริบตา แล้วข้าจะพาเจ้าไป”ช่างไร้ยางอาย!ลั่วชิงยวนเบิกตากว้างจนดวงตาแดงก่ำ มิยอมกะพริบตาแม้เพียงน้อยในใจนางก่นด่าเฉินชีนับร้อยครั้งครั้นเห็นนางดื้อรั้นเช่นนี้ เฉินชีกลับหัวเราะออกมา“ดูท่าว่าอาเหลายังคงรู้จักข้าดี”ทั
จนกระทั่งฟ้าสาง ผู้คนเริ่มทยอยออกมาตามถนนบรรยากาศบนท้องถนนเริ่มคึกคักขึ้น เฉินชียังคงโอบนางเดินไปข้างหน้าอย่างแช่มช้าในสายตาของคนภายนอก ทั้งสองดูสนิทสนมกันมากจนกระทั่งเดินผ่านร้านค้าแห่งหนึ่งก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจ “นั่นมิใช่พระชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการหรือ? เหตุใดนางจึง...”ลั่วชิงยวนได้ยินดังนั้น หัวใจก็พลันกระตุกแต่เฉินชีกลับยกยิ้มอย่างสาแก่ใจ แล้วพาลั่วชิงยวนไปที่ร้านขนมร้านนั้นก่อนจะแสร้งถามลั่วชิงยวนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าชอบกินอันไหน?”ลั่วชิงยวนจ้องมองเขาด้วยความโกรธเฉินชีกลับยิ่งหัวเราะอย่างลำพองใจเขาโยนถุงเงินหนัก ๆ ลงบนแผงร้าน “ข้าเหมาทั้งหมด!”เถ้าแก่ตกตะลึงจากนั้นเฉินชีก็หยิบขนมชิ้นหนึ่งมาป้อนที่ปากของลั่วชิงยวน “ลองชิมดูหรือไม่?”ลั่วชิงยวนจ้องมองเขา มิยอมอ้าปากแววตาของเฉินชีเย็นชา มือใหญ่เลื่อนไปที่ท้ายทอยของนางแล้วออกแรงบีบพลางยัดขนมเข้าไปในปากของนางด้วยรอยยิ้ม“กินสิ”ท้ายทอยของลั่วชิงยวนเจ็บปวด นางจำใจต้องอ้าปากกัดขนมชิ้นนั้นเฉินชีเห็นดังนั้นจึงพอใจมาก “ชอบหรือไม่?”เขามองนางด้วยสายตาคมกริบ ก่อนยกมือขึ้นเช็ดเศษขนมที่มุมปากของนางท่าทาง