นางเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ลั่วชิงยวนโดนหลิงฮุ่ยเซียงว่าร้าย ข่าวลือพวกนั้นจะทำให้สถานการณ์ของลั่วชิงยวนยิ่งยากลำบากนางนั้นซาบซึ้งกับความช่วยเหลือของลั่วชิงยวนมาก และนางก็ไม่อยากจะลากลั่วชิงยวนให้เดือดร้อนเพราะเรื่องของตนลั่วชิงยวนตกใจเมื่อจู่ ๆ เวินซีหลานก็พูดออกมาเช่นนั้น “อะไรนะ? เท่านี้หรือ? เจ้าไม่ต้องการพบฉินไป๋หลี่แล้วหรือ?”เวินซีหลานสะอื้นและบอกว่า “มันไม่มีประโยชน์ หากว่าเขาเห็นข้าแล้วจะเป็นเช่นไร? อย่างมากเขาก็เพียงทอดทิ้งหลิวฮุ่ยเซียง นางเป็นบุตรสาวของเจ้ากรม จึงเป็นไปมิได้ที่เขาจะฆ่านางล้างแค้นให้ข้า”“ส่วนเราแม่ลูก ก็ยังต้องแยกจากเขาเพราะความต่างของหยินและหยาง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนย้อนกลับไปแก้ไขมิได้แล้ว”“วันนี้ท่านล่วงเกินแม่ทัพฉิน ต่อไปชีวิตของท่านต้องยากลำบากแน่ ข้าไม่อยากทำให้ท่านต้องเดือดร้อน”“ข้าจะพาลูกจากไปจากที่นี่”เวินซีหลานคิดเรื่องนี้มาแล้ว นางไม่อยากอยู่พัวพันต่อไปแต่ลั่วชิงยวนนิ่วหน้าและบอกว่า “ไม่ เจ้ายอมแพ้ไม่ได้”“เจ้ารู้สึกหมดหวังหลังจากที่ได้เห็นเรื่องวันนี้ แต่ข้ากลับเห็นว่ามันจะเป็นจุดเปลี่ยน เจ้าเชื่อข้าเถอะ เพียงแค่ต้องอดทนรอเท่
หลิวฮุ่ยเซียงรู้สึกยินดีมากที่ได้เห็นเช่นนั้น และนางหวังว่าแม่ทัพฉินจะไม่ปล่อยลั่วชิงยวนไปง่าย ๆ“ท่านพ่อ” ฉินไป๋หลี่รีบตามไปเมื่อหลิวฮุ่ยเซียงอยากจะตามไปด้วย ฉินไป๋หลี่ก็ลั่งให้คนกักนางเอาไว้ในจวนฉินไป๋หลี่ไม่อาจห้ามปรามบิดาของตนไม่ให้ไปที่ตำหนักอ๋องได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงติดตามไป……ที่ตำหนักอ๋องลั่วเยวี่ยอิงเพิ่งได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นนอกตำหนักวันนี้เมื่อได้ยินนางก็ยินดีมาก “ดูเหมือนว่าลั่วชิงยวนจะล่วงเกินจวนแม่ทัพฉินแล้ว แม้ว่านางจะได้รับความชื่นชอบของท่านมหาราชครู แต่นางก็ล่วงเกินท่านแม่ทัพฉิน ต่อไปชีวิตของนางคงไม่ง่ายแล้ว”ลั่วเยวี่ยอิงกล่าว นางหลุบตาลงคิดก่อนจะยิ้มบาง “เหมือนว่าข้าต้องหาโอกาสให้อวิ๋นสี่พาข้าไปพบแม่นางหลิวสักหน่อย”“ศัตรูของศัตรูคือมิตร”ตอนนั้นเองนางรับใช้ก็วิ่งเข้ามารายงาน “แม่ทัพใหญ่ฉินกลับมาอีกแล้วเจ้าค่ะ”ลั่วเยวี่ยอิงตาเป็นประกาย “เขากลับมาที่นี่เพื่อจัดการกับลั่วชิงยวนงั้นรึ? ถ้าแบบนั้นข้าจะพลาดโอกาสชมเรื่องดี ๆ เช่นนี้ไม่ได้แล้ว”…แม่ทัพฉินมาอยู่ที่หน้าตำหนักอ๋องอีกครั้งข่าวนี้ทำให้ฟู่เฉินหวนเปลี่ยนสีหน้า “แม่ทัพฉินต้องการจักทำกระไ
เขายกแขนขึ้นและโค้งคำนับลั่วชิงยวนอย่างเคร่งขรึมตอนนั้นม่านตาฟู่เฉินหวนก็หรี่แคบลงลั่วเยวี่ยอิงสีหน้าแข็งค้าง นางไม่เข้าใจว่าทำไมประกายวาววับฉายพาดผ่านดวงตาของลั่วชิงยวน ดูเหมือนว่าแม่ทัพฉินจะรู้ข่าวเกี่ยวกับคุณชายใหญ่ฉินแล้วแต่นางไม่คิดว่าแม่ทัพฉินจะมาหานางเร็วเช่นนี้และเขาจะทำความเคารพนางเต็มพิธีการ“ข้ามาเพื่อขออภัยพระชายาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น”แม้แต่ฉินไป๋หลี่เองก็ตกตะลึง “ท่านพ่อ นี่ท่านไม่ได้มาเพื่อ…”ฉินชิงไห่จ้องเขาเขม็ง “คิดว่าบิดาของเจ้าเป็นคนไม่รู้แยกแยะถูกผิดเหรอ?”สารรายงานเรื่องสงครามบอกว่า ฉินเซียนหลี่นั้นเกิดเรื่องมาหลายวันแล้วและยังไม่รู้ข่าวคราว หากว่าเป็นเพราะคำสาปของลั่วชิงยวน ก็ต้องใช้เวลาหลายวันในการสาปถึงจะส่งผลถึงวันนี้แล้วเรื่องนี้จะเกิดขึ้นก่อนที่ลั่วชิงยวนจะสาปได้อย่างไรนี่ก็หมายความได้เพียงว่า ลั่วชิงยวนนั้นพูดถูกนางมีความสามารถจริง ๆดังนั้นเขาจึงรีบมาขออภัยลั่วเยวี่ยอิงตะลึงงันและอดไม่ได้ที่จะบอกว่า “แม่ทัพใหญ่ฉิน ท่านเป็นผู้อาวุโส เหตุใดท่าน…”ท่านถึงได้คำนับลั่วชิงยวนนี่มันไม่มีเหตุผลเลยแม่ทัพใหญ่ฉินพูดอย่างหมดความอดทน “น
ลั่วชิงยวนหันหลังเดินกลับเรือน นางคิดว่าแม่ทัพฉินนั้นเป็นคนรู้จักยืดหยุ่นหนักเบานักไม่กี่อึดใจก่อน เขายังถามนางอย่างเกรี้ยวกราดอยู่นอกประตูตำหนัก ไม่นานเขาก็กลับมาขอโทษนางเมื่อกลับมาที่เรือน เวินซีหลานก็รีบมาหาข้างกายนางพร้อมฉินเยี่ยนเอ๋อร์ นางถามอย่างร้อนใจว่า “แม่ทัพฉินมาที่นี่หรือเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า นางหยิบม้วนภาพเล็ก ๆ ออกมาและบอกว่า “เจ้าเข้าไปก่อน แล้วตามข้าไปที่จวนตระกูลฉินทีหลัง”แม่ลูกคู่นั้นต่างก็พากันตื่นเต้นและรีบเข้าไปในม้วนภาพของลั่วชิงยวนทันที ลั่วชิงยวนม้วมภาพและเก็บไว้ในแขนเสื้อจากนั้นนางก็เริ่มเตรียมการแน่นอนว่าภายในหนึ่งชั่วยาม แม่ทัพใหญ่ฉินก็มาหานางด้วยตัวเอง และฉินไป๋หลี่เองก็ตามมาเหมือนเช่นเคยแต่ครั้งนี้พวกเขามาอย่างเอิกเกริกกว่าครั้งก่อน รถม้าสองคันจากจวนแม่ทัพฉินมาจอดอยู่ด้านนอกตำหนักอ๋อง ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายแม่ทัพฉินพูดอย่างตื่นเต้นว่า “จวนถูกทำความสะอาดแล้ว เชิญพระชายา”ฟู่เฉินหวนนิ่วหน้า เขาไพล่มือไว้ด้านหลังและกำลังจะเอ่ยปากลั่วชิงยวนรับคำ “ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”เมื่อพูดจบนางก็หันมามองฟู่เฉินหวน “ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะรับอาหา
”ค่าตอบแทนคือกระไร?” แม่ทัพฉินถามอย่างกังวลลั่วชิงยวนพูดอย่างตรงไปตรงมา “นี่คือชะตาของฉินเชียนหลี่ หากข้าจะหาตำแหน่งที่ชัดเจนของเขา ข้าต้องการเลือดของญาติสนิทของเขา นี่อันตรายมาก”การหาตัวฉินเชียนหลี่เป็นงานหนัก และงานหนักนี้ก็อันตรายมากแม่ทัพฉินตะลึงไปเมื่อได้ยินเช่นนี้และเขากำลังจะเอ่ยปากทันใดนั้นก็มีเสียงหนักแน่นดังขึ้น “ข้าเอง”ทั้งสองพากันตะลึงก่อนหันไปมองเห็นฉินไป๋หลี่เดินเข้ามารวดเร็วเขาบอกว่า “เอาเลือดจากหัวใจข้าไปได้”แม่ทัพฉินตกใจมาก “ไม่ได้ นี่เป็นเรื่องอันตรายมาก และมันเป็นหน้าที่ข้า ข้านั้นขาก้าวลงหลุมไปครึ่งหนึ่งแล้ว แม้จะมีเรื่องเกิดขึ้นกับข้า ข้าก็อยู่มานานพอแล้ว”แต่ฉินไป๋หลี่เถียงทันทีว่า “ท่านพ่อ ท่านเป็นเสนาบดีคนสำคัญของวังหลวง แคว้นนี้ต้องการท่าน ราษฎรเองก็ต้องการท่าน ให้ข้าคนที่ไร้ค่าทำเรื่องที่เป็นประโยชน์เถอะ”“ไป๋หลี่” แม่ทัพฉินตกใจมากฉินไป๋หลี่มองลั่วชิงยวนอย่างมุ่งมั่น “เอาของข้าไป”ลั่วชิงยวนเตือนเขา “ชะตาของฉินเชียนหลี่มีเคราะห์ร้าย แม้ว่าเขาจะรอดหายนะคราวนี้มาได้ ก็จะมีครั้งต่อ ๆ ไปอีก”“ครั้งนี้ข้าช่วยท่านช่วยชีวิตเขา นี่คือการกระทำที่จะเ
ฉินไป๋หลี่กระอักเลือดออกมาอึกใหญ่ ภาพตรงหน้าทำหลิวฮุ่ยเซียงตกใจ เข็มที่ดึงออกมาได้ครึ่งหนึ่งค้างอยู่กลางอากาศ “ไป๋หลี่! ไป๋หลี่เจ้าเป็นอะไรไป? อย่าทำข้าตกใจสิ!” หลิวฮุ่ยเซียงลนลาน ลั่วชิงยวนผลักหลิวฮุ่ยเซียงออกทันที นางนั่งลง ดึงเข็มออกอย่างระมัดระวัง และกล่าวอย่างโกรธเคือง “เจ้าโง่! เจ้ารู้หรือไม่การที่เจ้าทำเช่นนี้จะทำฉินไป๋หลี่ตาย!” ขั้นตอนที่อันตรายเช่นนี้ หลิวฮุ่ยเซียงกลับดึงเข็มโดยมิคำนึงถึงสิ่งใด เข็มนี้ทั้งเล็กทั้งยาว หากลืมยั้งแรงบนมือจะโดนเส้นเลือดใหญ่ทันที! ซึ่งอาจเสียชีวิตได้! หลิวฮุ่ยเซียงนิ่งอยู่กับที่ สีหน้าของนางว้าวุ่น เมื่อได้สติจึงกล่าวโต้แย้ง “เจ้าต่างหาก! เจ้าเป็นคนทำ!” เวลานี้เอง ในที่สุดด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าส่งมา แม่ทัพใหญ่ฉินรู้จากคนใช้ว่าหลิวฮุ่ยเซียงวิ่งมาที่นี่ หนำซ้ำยังทำร้ายคนใช้ไปสองคน เขาจึงมาที่นี่อย่างขุ่นเคือง แต่ยังคงมาช้าไปก้าวหนึ่ง เขามองฉินไป๋หลี่ที่เลือดไหลกองตรงมุมปาก รู้สึกพิโรธเป็นอย่างมาก “ใครให้เจ้าเข้ามากัน!” แม่ทัพใหญ่ฉินถามหลิวฮุ่ยเซียงด้วยโทสะ หลิวฮุ่ยเซียงกลัวจนร่างสั่นคลอน นางเอ่ยพูดเสียงเบา “ท่านพ่อ… ท่านให้ลั่วชิง
แม่ทัพใหญ่ฉินห้ามปรามมิได้ เพราะหลิวฮุ่ยเซียงเชิญพ่อของนางมา เจ้ากรมหลิวเดินเข้าห้อง เห็นฉินไป๋หลี่บาดเจ็บหนักเช่นนี้ หน้าของเขาถอดสี และตะครุบขึ้นไปอย่างร้อนรน “ลูกเขย เหตุใดเจ้าจึงเป็นเช่นนี้ได้? ผู้ใดทำร้ายเจ้ากัน?!” ส่วนหลิวฮุ่ยเซียงตะครุบที่เตียงและร้องโฮ “สามีของข้า! ท่านจะเป็นอะไรไปมิได้เด็ดขาด หากท่านเกิดเรื่อง ข้าจะทำเช่นไร…” แม่ทัพใหญ่ฉินปวดหัวเป็นที่สุด เขาติเสียงเย็น “เลิกโวยวาย! จะร้องก็ออกไปร้องด้านนอก!” เจ้ากรมหลิวกลับดึงแม่ทัพใหญ่ฉินไว้ “ท่านจะพูดเช่นนี้มิได้ ไป๋หลี่เป็นลูกชายแท้ ๆ ของท่าน ท่านทนเห็นเขาถูกคนไม่ดีทำร้ายกับตาของท่านเองได้อย่างไร!” “ล้่วชิงยวนอยู่ไหน? วันนี้ข้าจักถามนางให้ชัดเจนเอง!” เจ้ากรมหลิวรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก แม่ทัพใหญ่ฉินเองก็เกือบจะปะทุโทสะเช่นกัน เวลานี้เอง นอกประตูมีเสียงเย็นชาดังขึ้น “ข้าอยู่นี่ ท่านมีอะไรจะถามข้ากัน?” แม่ทัพใหญ่ฉินเห็นนางเดินออกมา เขาเกร็งขึ้นมาในทันที “พระชายา เรื่องนี้…” ลั่วชิงยวนเช็ดเหงื่อยางบนหน้าผาก และโยนแผนที่ให้เขา แม่ทัพใหญ่ฉินเปิดออกและมองสัญลักษณ์ด้านบนทีหนึ่ง ดีใจขึ้นมาทันตาเห็น เขารีบวิ่งออกไ
หลิวฮุ่ยเซียงกำปกเสื้อของลั่วชิงยวนไว้อย่างแน่น ลั่วชิงยวนมองอย่างเย็นชาด้วยท่าทีสงบ หมอหลวงเลี่ยวกล่าวต่อ “แต่โชคดีที่รักษาทันการ จึงปกป้องเส้นเลือดหัวใจไว้ได้!” สิ้นเสียง เขาจึงโค้งคำนับให้ลั่วชิงยวนทีหนึ่ง “พระชายา ก่อนหน้านี้ท่านได้เชิญหมอมาหรือไม่?” เขารู้สึกตะลึง หมอท่านใดกันที่มีวิชารักษาเก่งกาจเช่นนี้ บาดแผลสาหัสจนเกือบคร่าชีวิตนั่น! อาการคงที่ได้เพราะการกินยา! ลั่วชิงยวนมองหลิวฮุ่ยเซียงอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง และผลักนางออกอย่างเย็นชา นางเอ่ยตอบหมอหลวงเลี่ยว “ข้าเป็นคนจ่ายยาเอง” สีหน้าหลิวฮุ่ยเซียงซีดเผือดลงทันขวัญ ได้ยินดังนี้ ดวงตาของหมอหลวงเลี่ยวเป็นประกาย “พระชายามีวิชารักษาเก่งกาจเช่นนี้เชียว? ข้าน้อยขอดูเทียบยาได้หรือไม่ขอรับ?” “ได้ ข้าเอาเทียบยาให้ท่านแม่ทัพใหญ่ไปแล้ว ประเดี๋ยวท่านไปเอาที่เขาเถิด” หมอหลวงเลี่ยวได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และกล่าวขอบคุณอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงกล่าวกับเจ้ากรมหลิว “แม้คุณชายฉินจะบาดเจ็บหนัก แต่ยังรักษาชีวิตไว้ได้ หากทานยาที่พระชายาจ่ายให้ต่ออาการน่าจะดีขึ้น ข้าน้อยอยู่ที่นี่ไปก็มิมีประโยชน์ จึงขอตัวก่อนขอรับ!” หมอหลว
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้