เขายกแขนขึ้นและโค้งคำนับลั่วชิงยวนอย่างเคร่งขรึมตอนนั้นม่านตาฟู่เฉินหวนก็หรี่แคบลงลั่วเยวี่ยอิงสีหน้าแข็งค้าง นางไม่เข้าใจว่าทำไมประกายวาววับฉายพาดผ่านดวงตาของลั่วชิงยวน ดูเหมือนว่าแม่ทัพฉินจะรู้ข่าวเกี่ยวกับคุณชายใหญ่ฉินแล้วแต่นางไม่คิดว่าแม่ทัพฉินจะมาหานางเร็วเช่นนี้และเขาจะทำความเคารพนางเต็มพิธีการ“ข้ามาเพื่อขออภัยพระชายาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น”แม้แต่ฉินไป๋หลี่เองก็ตกตะลึง “ท่านพ่อ นี่ท่านไม่ได้มาเพื่อ…”ฉินชิงไห่จ้องเขาเขม็ง “คิดว่าบิดาของเจ้าเป็นคนไม่รู้แยกแยะถูกผิดเหรอ?”สารรายงานเรื่องสงครามบอกว่า ฉินเซียนหลี่นั้นเกิดเรื่องมาหลายวันแล้วและยังไม่รู้ข่าวคราว หากว่าเป็นเพราะคำสาปของลั่วชิงยวน ก็ต้องใช้เวลาหลายวันในการสาปถึงจะส่งผลถึงวันนี้แล้วเรื่องนี้จะเกิดขึ้นก่อนที่ลั่วชิงยวนจะสาปได้อย่างไรนี่ก็หมายความได้เพียงว่า ลั่วชิงยวนนั้นพูดถูกนางมีความสามารถจริง ๆดังนั้นเขาจึงรีบมาขออภัยลั่วเยวี่ยอิงตะลึงงันและอดไม่ได้ที่จะบอกว่า “แม่ทัพใหญ่ฉิน ท่านเป็นผู้อาวุโส เหตุใดท่าน…”ท่านถึงได้คำนับลั่วชิงยวนนี่มันไม่มีเหตุผลเลยแม่ทัพใหญ่ฉินพูดอย่างหมดความอดทน “น
ลั่วชิงยวนหันหลังเดินกลับเรือน นางคิดว่าแม่ทัพฉินนั้นเป็นคนรู้จักยืดหยุ่นหนักเบานักไม่กี่อึดใจก่อน เขายังถามนางอย่างเกรี้ยวกราดอยู่นอกประตูตำหนัก ไม่นานเขาก็กลับมาขอโทษนางเมื่อกลับมาที่เรือน เวินซีหลานก็รีบมาหาข้างกายนางพร้อมฉินเยี่ยนเอ๋อร์ นางถามอย่างร้อนใจว่า “แม่ทัพฉินมาที่นี่หรือเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า นางหยิบม้วนภาพเล็ก ๆ ออกมาและบอกว่า “เจ้าเข้าไปก่อน แล้วตามข้าไปที่จวนตระกูลฉินทีหลัง”แม่ลูกคู่นั้นต่างก็พากันตื่นเต้นและรีบเข้าไปในม้วนภาพของลั่วชิงยวนทันที ลั่วชิงยวนม้วมภาพและเก็บไว้ในแขนเสื้อจากนั้นนางก็เริ่มเตรียมการแน่นอนว่าภายในหนึ่งชั่วยาม แม่ทัพใหญ่ฉินก็มาหานางด้วยตัวเอง และฉินไป๋หลี่เองก็ตามมาเหมือนเช่นเคยแต่ครั้งนี้พวกเขามาอย่างเอิกเกริกกว่าครั้งก่อน รถม้าสองคันจากจวนแม่ทัพฉินมาจอดอยู่ด้านนอกตำหนักอ๋อง ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายแม่ทัพฉินพูดอย่างตื่นเต้นว่า “จวนถูกทำความสะอาดแล้ว เชิญพระชายา”ฟู่เฉินหวนนิ่วหน้า เขาไพล่มือไว้ด้านหลังและกำลังจะเอ่ยปากลั่วชิงยวนรับคำ “ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”เมื่อพูดจบนางก็หันมามองฟู่เฉินหวน “ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะรับอาหา
”ค่าตอบแทนคือกระไร?” แม่ทัพฉินถามอย่างกังวลลั่วชิงยวนพูดอย่างตรงไปตรงมา “นี่คือชะตาของฉินเชียนหลี่ หากข้าจะหาตำแหน่งที่ชัดเจนของเขา ข้าต้องการเลือดของญาติสนิทของเขา นี่อันตรายมาก”การหาตัวฉินเชียนหลี่เป็นงานหนัก และงานหนักนี้ก็อันตรายมากแม่ทัพฉินตะลึงไปเมื่อได้ยินเช่นนี้และเขากำลังจะเอ่ยปากทันใดนั้นก็มีเสียงหนักแน่นดังขึ้น “ข้าเอง”ทั้งสองพากันตะลึงก่อนหันไปมองเห็นฉินไป๋หลี่เดินเข้ามารวดเร็วเขาบอกว่า “เอาเลือดจากหัวใจข้าไปได้”แม่ทัพฉินตกใจมาก “ไม่ได้ นี่เป็นเรื่องอันตรายมาก และมันเป็นหน้าที่ข้า ข้านั้นขาก้าวลงหลุมไปครึ่งหนึ่งแล้ว แม้จะมีเรื่องเกิดขึ้นกับข้า ข้าก็อยู่มานานพอแล้ว”แต่ฉินไป๋หลี่เถียงทันทีว่า “ท่านพ่อ ท่านเป็นเสนาบดีคนสำคัญของวังหลวง แคว้นนี้ต้องการท่าน ราษฎรเองก็ต้องการท่าน ให้ข้าคนที่ไร้ค่าทำเรื่องที่เป็นประโยชน์เถอะ”“ไป๋หลี่” แม่ทัพฉินตกใจมากฉินไป๋หลี่มองลั่วชิงยวนอย่างมุ่งมั่น “เอาของข้าไป”ลั่วชิงยวนเตือนเขา “ชะตาของฉินเชียนหลี่มีเคราะห์ร้าย แม้ว่าเขาจะรอดหายนะคราวนี้มาได้ ก็จะมีครั้งต่อ ๆ ไปอีก”“ครั้งนี้ข้าช่วยท่านช่วยชีวิตเขา นี่คือการกระทำที่จะเ
ฉินไป๋หลี่กระอักเลือดออกมาอึกใหญ่ ภาพตรงหน้าทำหลิวฮุ่ยเซียงตกใจ เข็มที่ดึงออกมาได้ครึ่งหนึ่งค้างอยู่กลางอากาศ “ไป๋หลี่! ไป๋หลี่เจ้าเป็นอะไรไป? อย่าทำข้าตกใจสิ!” หลิวฮุ่ยเซียงลนลาน ลั่วชิงยวนผลักหลิวฮุ่ยเซียงออกทันที นางนั่งลง ดึงเข็มออกอย่างระมัดระวัง และกล่าวอย่างโกรธเคือง “เจ้าโง่! เจ้ารู้หรือไม่การที่เจ้าทำเช่นนี้จะทำฉินไป๋หลี่ตาย!” ขั้นตอนที่อันตรายเช่นนี้ หลิวฮุ่ยเซียงกลับดึงเข็มโดยมิคำนึงถึงสิ่งใด เข็มนี้ทั้งเล็กทั้งยาว หากลืมยั้งแรงบนมือจะโดนเส้นเลือดใหญ่ทันที! ซึ่งอาจเสียชีวิตได้! หลิวฮุ่ยเซียงนิ่งอยู่กับที่ สีหน้าของนางว้าวุ่น เมื่อได้สติจึงกล่าวโต้แย้ง “เจ้าต่างหาก! เจ้าเป็นคนทำ!” เวลานี้เอง ในที่สุดด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าส่งมา แม่ทัพใหญ่ฉินรู้จากคนใช้ว่าหลิวฮุ่ยเซียงวิ่งมาที่นี่ หนำซ้ำยังทำร้ายคนใช้ไปสองคน เขาจึงมาที่นี่อย่างขุ่นเคือง แต่ยังคงมาช้าไปก้าวหนึ่ง เขามองฉินไป๋หลี่ที่เลือดไหลกองตรงมุมปาก รู้สึกพิโรธเป็นอย่างมาก “ใครให้เจ้าเข้ามากัน!” แม่ทัพใหญ่ฉินถามหลิวฮุ่ยเซียงด้วยโทสะ หลิวฮุ่ยเซียงกลัวจนร่างสั่นคลอน นางเอ่ยพูดเสียงเบา “ท่านพ่อ… ท่านให้ลั่วชิง
แม่ทัพใหญ่ฉินห้ามปรามมิได้ เพราะหลิวฮุ่ยเซียงเชิญพ่อของนางมา เจ้ากรมหลิวเดินเข้าห้อง เห็นฉินไป๋หลี่บาดเจ็บหนักเช่นนี้ หน้าของเขาถอดสี และตะครุบขึ้นไปอย่างร้อนรน “ลูกเขย เหตุใดเจ้าจึงเป็นเช่นนี้ได้? ผู้ใดทำร้ายเจ้ากัน?!” ส่วนหลิวฮุ่ยเซียงตะครุบที่เตียงและร้องโฮ “สามีของข้า! ท่านจะเป็นอะไรไปมิได้เด็ดขาด หากท่านเกิดเรื่อง ข้าจะทำเช่นไร…” แม่ทัพใหญ่ฉินปวดหัวเป็นที่สุด เขาติเสียงเย็น “เลิกโวยวาย! จะร้องก็ออกไปร้องด้านนอก!” เจ้ากรมหลิวกลับดึงแม่ทัพใหญ่ฉินไว้ “ท่านจะพูดเช่นนี้มิได้ ไป๋หลี่เป็นลูกชายแท้ ๆ ของท่าน ท่านทนเห็นเขาถูกคนไม่ดีทำร้ายกับตาของท่านเองได้อย่างไร!” “ล้่วชิงยวนอยู่ไหน? วันนี้ข้าจักถามนางให้ชัดเจนเอง!” เจ้ากรมหลิวรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก แม่ทัพใหญ่ฉินเองก็เกือบจะปะทุโทสะเช่นกัน เวลานี้เอง นอกประตูมีเสียงเย็นชาดังขึ้น “ข้าอยู่นี่ ท่านมีอะไรจะถามข้ากัน?” แม่ทัพใหญ่ฉินเห็นนางเดินออกมา เขาเกร็งขึ้นมาในทันที “พระชายา เรื่องนี้…” ลั่วชิงยวนเช็ดเหงื่อยางบนหน้าผาก และโยนแผนที่ให้เขา แม่ทัพใหญ่ฉินเปิดออกและมองสัญลักษณ์ด้านบนทีหนึ่ง ดีใจขึ้นมาทันตาเห็น เขารีบวิ่งออกไ
หลิวฮุ่ยเซียงกำปกเสื้อของลั่วชิงยวนไว้อย่างแน่น ลั่วชิงยวนมองอย่างเย็นชาด้วยท่าทีสงบ หมอหลวงเลี่ยวกล่าวต่อ “แต่โชคดีที่รักษาทันการ จึงปกป้องเส้นเลือดหัวใจไว้ได้!” สิ้นเสียง เขาจึงโค้งคำนับให้ลั่วชิงยวนทีหนึ่ง “พระชายา ก่อนหน้านี้ท่านได้เชิญหมอมาหรือไม่?” เขารู้สึกตะลึง หมอท่านใดกันที่มีวิชารักษาเก่งกาจเช่นนี้ บาดแผลสาหัสจนเกือบคร่าชีวิตนั่น! อาการคงที่ได้เพราะการกินยา! ลั่วชิงยวนมองหลิวฮุ่ยเซียงอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง และผลักนางออกอย่างเย็นชา นางเอ่ยตอบหมอหลวงเลี่ยว “ข้าเป็นคนจ่ายยาเอง” สีหน้าหลิวฮุ่ยเซียงซีดเผือดลงทันขวัญ ได้ยินดังนี้ ดวงตาของหมอหลวงเลี่ยวเป็นประกาย “พระชายามีวิชารักษาเก่งกาจเช่นนี้เชียว? ข้าน้อยขอดูเทียบยาได้หรือไม่ขอรับ?” “ได้ ข้าเอาเทียบยาให้ท่านแม่ทัพใหญ่ไปแล้ว ประเดี๋ยวท่านไปเอาที่เขาเถิด” หมอหลวงเลี่ยวได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และกล่าวขอบคุณอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงกล่าวกับเจ้ากรมหลิว “แม้คุณชายฉินจะบาดเจ็บหนัก แต่ยังรักษาชีวิตไว้ได้ หากทานยาที่พระชายาจ่ายให้ต่ออาการน่าจะดีขึ้น ข้าน้อยอยู่ที่นี่ไปก็มิมีประโยชน์ จึงขอตัวก่อนขอรับ!” หมอหลว
เมื่อฟังความเป็นมาของเรื่องราวจบ แผ่นหลังของแม่ทัพใหญ่ฉินเย็นซ่าน และไฟโทสะลุกพล่าน ได้ยินว่าลูกสะใภ้และหลานของตนถูกขังอยู่ในภาพ อีกทั้งถูกไฟแผดเผาทุกวัน แม่ทัพใหญ่ฉินกุมอกของตนเองไว้ “เพราะเหตุใด! เหตุใดพวกมันจึงร้ายกาจเช่นนี้!” “ผู้ใดเป็นคนทำ? ผู้ใดกัน!” เส้นเลือดบนขมับของแม่ทัพใหญ่ฉินนูนขึ้น ความโกรธพุ่งทะยาน ลั่วชิงยวนลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลัง แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลิวฮุ่ยเซียง” แม่ทัพใหญ่ฉินได้ยิน ก็ตกใจจนหน้าถอดสี เมื่อสงบลง เขากำมือแน่น “มิน่า นางจึงไปทำตัวบ้าคลั่งหน้าตำหนักอ๋อง…” บัดนี้ แผ่นหลังของแม่ทัพใหญ่ฉินเย็นเฉียบ ไม่คิดว่าหลิวฮุ่ยเซียงจะเป็นคนที่โหดร้ายและเลือดเย็นเช่นนี้ หลังเคืองเสร็จ แม่ทัพใหญ่ฉินก็ถามเกร็ง ๆ “พระชายา ความสามารถของท่านมากเช่นนี้ ลูกสะใภ้และหลานของข้า ยังสามารถ…” แม่ทัพใหญ่ฉินยังมีความหวังที่ยากจะเป็นไปได้ แต่ลั่วชิงยวนกลับขัดเขาไว้เสียก่อน “คนตายเกิดใหม่มิได้” “ข้าทำได้เพียงส่งต่อคำพูดของพวกเขา และช่วยทำเรื่องที่พวกเขาอยากทำให้สำเร็จ” สีหน้าของท่านแม่ทัพใหญ่ผิดหวังลงในทันที เขาทุบหน้าอกพร้อม
หลังเซียวชูจากไป ซูโหยวมักส่ายหัวถอนหายใจ “พระชายาเก่งกาจจนสามารถรู้เรื่องของชายแดนใต้ได้ น่าจะช่วยแม่ทัพใหญ่ฉินจัดการเรื่องนี้ได้เช่นกัน มิคิดว่า…” ประโยคนี้ทำฟู่เฉินหวนชะงักอีกครั้ง นัยน์ตาเขาราวกับมีเมฆครึ้มเกาะกลุ่ม เสียงของเขาทั้งทุ่มต่ำและเยือกเย็น “หากว่า… มีคนเอาเรื่องที่ชายแดนใต้ไปบอกนางล่ะ?” ซูโหยวตะลึง “มีคนบอกหรือ? กระหม่อมก็เพิ่งรู้เรื่อง จะมีผู้ใดที่รู้เรื่องเร็วกว่านี้อีกหรือขอรับ?” “ในวัง” ฟู่เฉินหวนเขียนต่อ ตาที่มองต่ำแฝงไปด้วยความเหน็บหนาวลึกซึ้ง ซูโหยวแสดงสีหน้าตกตะลึง จริงด้วย ข่าวเช่นนี้ต้องส่งถึงในวังก่อน ในวังต่างหากที่รู้เรื่องนี้เร็วที่สุด และช่วงนี้องค์ชายห้าเข้าวังทุกวัน ดังนั้น องค์ชายห้าเป็นคนบอกพระชายางั้นหรือ? …… ลั่วเยวี่ยอิงรู้เรื่องที่ลั่วชิงยวนถูกรถม้าของจวนแม่ทัพใหญ่ส่งกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ โกรธจนตัวสั่นระริก นางอดทนไม่เขวี้ยงของ แต่หยิบกรรไกรมาตัดใบไม้ในกระถางจนเละ “ลั่วชิงยวนนังสารเลว! นังชั่ว!” เห็นลั่วชิงยวนที่รู้จักกับอำนาจยิ่งอยู่ยิ่งมาก ในใจของลั่วเยวี่ยอิงร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ นางอยากจะหักห้าม แต่เนื่องด้วยใบหน้าของนางยังไ
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมองหล่างมู่อย่างช่วยมิได้“หล่างมู่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปทำธุระก่อน” ลั่วชิงยวนหันหลังวิ่งไปหล่างมู่ถือลูกถังหูลู่สองไม้วิ่งตามไปสองสามก้าว “พี่หญิง ท่านจะไปที่ใด? ไฉนมิพาข้าไปด้วยเล่า?”ลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจ รีบวิ่งออกจากถนนไปแล้วเมื่อไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่หอฝูเสวี่ยแล้ว นางจึงไปที่ร้านอย่างเงียบเชียบเมื่อไปถึงลานด้านหลังก็พบกับซ่งเชียนฉู่ที่กำลังแบกตะกร้ากลับมาจากประตูหน้า ท่าทางดูรีบร้อนนัก“ท่านมาพอดี ท่านเห็นประกาศบนถนนหรือไม่? องค์จักรพรรดิจะเชิญท่านเข้าวังเพื่อแต่งตั้งท่านเป็นมหาปราชญ์!” ซ่งเชียนฉู่ส่งประกาศให้“นี่เป็นประกาศที่ติดอยู่ที่ประตูร้านเรา”“มิกี่วันที่ผ่านมา ข้าออกไปเก็บสมุนไพร พวกเขาคงจะมาหาท่าน แต่ไม่มีใครอยู่จึงติดประกาศไว้”“จะทำอย่างไรดี?”ซ่งเชียนฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกันลั่วชิงยวนรับประกาศมาดูอีกครั้ง ในนั้นยังเขียนด้วยว่าให้นางเข้าวังหลวงเพื่อทำนายชะตาของแคว้นเทียนเชวียแล้วแต่งตั้งเป็นมหาปราชญ์ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ข้าคิดว่าครั้งนี้ ตัวตนของท่านคงจะปกปิดมิได้แล้ว”“คอยดูกันต่อไปเถิด” ลั่วชิงยวนยังมิรู้ว่าจะบอกฟู่เฉินหวนอย่างไร
น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหึงหวงอยู่ลั่วชิงยวนปอกส้มแล้วป้อนให้ฟู่เฉินหวนพลางพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หล่างมู่มองหม่อมฉันเป็นเพียงพี่หญิงจริง ๆ เพคะ”“เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่หญิงของเขาเสียชีวิตเพราะเขา จึงเป็นบ่วงกรรมและความเสียใจตลอดชีวิตของเขา”“ต่อมาหล่างชิ่นกลายเป็นพี่หญิงของเขา เขาเชื่อฟังหล่างชิ่นทุกอย่าง แต่สุดท้ายหล่างชิ่นกลับต้องการให้เขาตาย”“หลังจากนั้นเมื่อหม่อมฉันไปยังเผ่านอกด่าน ราชาเผ่านอกด่านบอกว่าหม่อมฉันเป็นพี่หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงมองหม่อมฉันเป็นพี่หญิงแท้ ๆ มาโดยตลอด”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยยิ่งนัก “พูดตามตรงคือข้ายังคงมิเข้าใจเลยว่าเหตุใดราชาเผ่านอกด่านจึงมั่นใจว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเขา”ลั่วชิงยวนพูดเสียงเบาว่า “ราชาเผ่านอกด่านกับลั่วไห่ผิงมีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ! พวกเขาเป็นพี่น้องกันเพคะ!”“ก่อนที่ท่านแม่ของหม่อมฉันจะมาเมืองหลวงแล้วแต่งงานกับลั่วไห่ผิง นางเคยมีความสัมพันธ์กับราชาเผ่านอกด่าน แต่สุดท้ายก็มิได้ลงเอยกันจึงมาเมืองหลวงและแต่งงานกับลั่วไห่ผิงเพคะ”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงยิ่งนักเมื่อได้ฟัง“
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา
ฟู่จิ่งหานมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่กลับรู้สึกผิดเล็กน้อยที่พระราชโองการนั้นทำให้ลั่วชิงยวนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ จึงพูดว่า “มิเป็นอะไร การประลองครั้งนี้ก็มิได้ห้ามมิให้แคว้นเพื่อนเรือนเคียงเข้าร่วม”“พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการสามารถเอาชนะองค์ชายเผ่านอกด่าน แล้วยกให้เป็นน้องชายได้ นับว่าความสามารถเป็นที่ประจักษ์แก่ข้าแล้ว!”“พระชายามีบาดแผล อนุญาตให้พระชายาและองค์ชายหล่างมู่ออกไปก่อนได้”ลั่วชิงยวนก้มหน้าลงเล็กน้อย “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”แล้วหล่างมู่ก็พยุงลั่วชิงยวนออกไปเนื่องจากหอฝูเสวี่ยอยู่มิไกลและสามารถมองเห็นการประลองจากชั้นสามได้ ลั่วชิงยวนจึงพาหล่างมู่ไปพักผ่อนที่หอฝูเสวี่ยก่อนซิ่งอวี่ต้มยามาให้นางกินลั่วชิงยวนนั่งข้างหน้าต่าง มองดูการประลองที่ยังคงดำเนินต่อไป เมื่อเห็นฟู่อวิ๋นโจวเอาชนะทุกคนได้ นางก็รู้ว่าเขากำลังจะเข้าสู่ราชสำนักแล้ว“พี่หญิง ยังเจ็บบาดแผลอยู่หรือไม่ขอรับ?” หล่างมู่ยกชามาให้หนึ่งถ้วยลั่วชิงยวนส่ายหน้า “มิเป็นอะไรแล้ว บาดแผลมิสาหัส พักสักสองสามวันก็หาย”“หล่างมู่ เจ้ามาเมืองหลวงได้อย่างไร? ในเผ่านอกด่านเกิดเรื่องใหญ่อันใดหรือไม่? รีบร้อนมาเช่นนี้เลยหรือ?
ฟู่อวิ๋นโจว!หล่างมู่กำหมัดแน่น แล้วกระโจนเข้าไปอีกครั้งผู้คนมากมายต่างเป็นห่วงฟู่อวิ๋นโจว หล่างมู่เป็นคนเผ่านอกด่าน ฝีมือของเขาเป็นที่ประจักษ์ของทุกคนแล้วร่างกายที่อ่อนแอของฟู่อวิ๋นโจวจะรับมือได้อย่างไรแต่ลั่วชิงยวนรู้ดีว่าเวลาที่ฟู่อวิ๋นโจวปรากฏตัวนั้นเหมาะสม นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะแสดงความสามารถฟู่อวิ๋นโจวรับหมัดของหล่างมู่ได้อย่างแน่นอนจากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือดหลายสิบกระบวนท่าทำให้ผู้คนในที่นั้นต่างตกตะลึง“นี่คือองค์ชายห้าหรือ?”“ฝีมือของเขาแข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”“ใช่แล้ว มิใช่ว่าเขาป่วยอยู่หรอกหรือ?”ขณะที่ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ฟู่อวิ๋นโจวก็พบจุดอ่อนของหล่างมู่แล้ว จึงเหวี่ยงหล่างมู่ลงไปกับพื้น แล้วชกเข้าที่ใบหน้าของหล่างมู่ลั่วชิงยวนรีบวิ่งเข้าไปห้าม “หยุดนะ!”ฟู่อวิ๋นโจวสะดุ้งแล้วลดมือลงหล่างมู่ลุกขึ้นยืนและกำลังจะตอบโต้ แต่ถูกลั่วชิงยวนดึงไว้“หล่างมู่แพ้แล้ว” ลั่วชิงยวนประกาศผลทันทีสายตาของนางมองฟู่อวิ๋นโจวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “ขอแสดงความยินดีกับองค์ชายห้าเพคะ”เขายังคงมิได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและเรียบง่าย แต่กลั
ฟู่เฉินหวนใจตึงเครียดจนฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อลั่วชิงยวนพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่กลับไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้เหยียนผิงเซียวชกเข้าที่ท้องของลั่วชิงยวนอีกครั้ง เลือดสีแดงฉานพุ่งออกมาจากปากนางเหยียนผิงเซียวจิกผมของนางแล้วกระซิบข้างหูอย่างร้ายกาจว่า “เจ้าเก่งนักมิใช่หรือ! ทำให้ท่านพ่อของข้าต้องลาออกจากตำแหน่งกลับไปยังเมืองฉิน เจ้าเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของตำหนักอ๋องนี่!”“เจ้าลองเดาดูสิว่าฟู่เฉินหวนจะช่วยเจ้าหรือไม่?”“แต่มิสำคัญแล้ว เพราะข้าต้องการเพียงให้เจ้าตายเท่านั้น!”เหยียนผิงเซียวใช้ร่างของลั่วชิงยวนบังสายตาของผู้คนส่วนมืออีกข้างที่กำหมัดแน่นมีแผ่นเหล็กแหลมคมติดอยู่ แล้วกระแทกลงไปที่ท้องของลั่วชิงยวนอย่างแรงลั่วชิงยวนเห็นอาวุธลับนั้นแล้วก็ตึงเครียดมากฟู่เฉินหวนแทบขาดใจ ความรู้สึกมิสบายใจอย่างรุนแรงถาโถมเข้ามาฟู่อวิ๋นโจวผู้นั่งอยู่มุมห้องใต้หลังคาก็กำมือแน่นด้วยความตึงเครียดเช่นกันแม้ว่าฝีมือของลั่วชิงยวนจะสู้เหยียนผิงเซียวมิได้ แต่ก็มิควรจะไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้เช่นนี้จะลงมือช่วยนางตอนนี้เลยดีหรือไม่!ฟู่อวิ๋นโจวลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วในวินาทีนั้นเองเงาร่
ในมิช้าการประลองก็เริ่มขึ้นโชคดีที่ลั่วเยวี่ยอิงมิได้ก่อเรื่องวุ่นวายอีก นางเฝ้าดูการประลองอย่างสงบลั่วชิงยวนใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ ดาบและกระบี่นั้นไร้ตา ดังนั้นการประลองครั้งนี้จึงห้ามใช้ดาบและอาวุธลับแต่เมื่อปรมาจารย์ต่อสู้กันก็อาจจะควบคุมมือมิทัน เพื่อให้ทุกคนได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ การประลองครั้งนี้ ความเป็นความตายจึงเป็นเรื่องของชะตาฟ้าลิขิตชัยชนะครั้งสุดท้ายมิใช่ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดสิ่งสำคัญคือการแสดงผลงานในระหว่างการประลอง ฟู่เฉินหวนจะคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นบางคนสำหรับฟู่จิ่งหาน การประลองครั้งนี้มิใช่เพียงการคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการชมการประลองที่น่าตื่นเต้นด้วย ดังนั้นจึงมีความอิสระสูงทุกคนสามารถขึ้นไปท้าทายได้ หนึ่งรอบมีผู้แข่งขันสิบคน ผู้ชนะจะได้พักแล้วเข้าสู่รอบที่สองดังนั้นผู้ชนะในแต่ละรอบจะสามารถท้าทายคู่ต่อสู้ที่ตนคิดว่าแข็งแกร่งกว่าได้อย่างอิสระการประลองรอบแรกจบลงอย่างรวดเร็ว ฟู่เฉินหวนกับฟู่จิ่งหานวิเคราะห์ผู้ที่เหมาะสมในรอบนี้อย่างจริงจังฟู่จิ่งหานพยักหน้าให้ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างจดบันทึกชื่อทุกอย่าง
“พระชายา เหตุใดมิลงไปหามาให้ข้าเล่า? หากขุดพบรากบัวได้สองหัว ข้าจะเมตตาตกรางวัลให้อย่างงาม!”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเยาะเย้ยและหยิ่งผยองนั้น มิใช่ปฏิบัติต่อลั่วชิงยวนดุจพระชายา หากแต่ปฏิบัติเสมือนทาสบริวารเหล่าผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึงพรึงเพริดตำแหน่งของลั่วชิงยวนในตำหนักอ๋องนั้นต่ำต้อยถึงเพียงนี้เชียวหรือ?ฟู่เฉินหวนอดรนทนมิไหวอีกต่อไป จึงพูดเสียงเย็นเยียบว่า “ฤดูกาลนี้จะมีรากบัวอยู่ได้อย่างไร มิต้องลำบากเช่นนั้นเลย”ลั่วเยวี่ยอิงกลับคว้าแขนฟู่เฉินหวนพลางทำท่าทางออดอ้อน“ไม่เพคะ ท่านอ๋อง เผื่อว่าจะมีก็ได้! โปรดให้พระชายาลงไปค้นหาดูเถิดเพคะ!”นางกล่าวจบก็ถอดกำไลหยกที่ข้อมือ แล้วขว้างลงไปในบึงจากนั้นเชิดหน้าพูดกับลั่วชิงยวนว่า “ไปสิ กำไลหยกวงนี้เป็นรางวัลของเจ้า!”ท่าทางเช่นนี้ประหนึ่งว่ากำลังสั่งการสุนัขตัวหนึ่งฟู่เฉินหวนกำมือแน่น รู้สึกปวดร้าวที่ศีรษะอย่างยิ่งลั่วชิงยวนเห็นดังนั้นก็กังวลเพราะอาการของฟู่เฉินหวน นัยน์ตานางฉายแววเย็นชาขณะมองหน้าลั่วเยวี่ยอิง แล้วหันหลังกระโดดลงไปในสระน้ำเมื่อเสียงน้ำกระเพื่อมดังขึ้น เสียงฮือฮาต่างก็ดังมาจากทั่วบริเวณ“นางกระโดดลงไปจริง ๆ