เขาร้องตะโกนทีหนึ่ง ลั่วไห่ผิงตกใจจนก้าวถอยหลังไปหลายก้าว คนใช้สีหน้าซีดเทา ใต้ตาดำมืด ดวงตาคู่นั้นขาวโพลนราวกับปลาตาย มองแล้วดูน่ากลัวนัก “เจ้าเดินไม่มีเสียงงั้นหรือ? บังอาจเสียจริง!“ ลั่วไห่ผิงสงบจิตใจ เขาที่เป็นท่านอัครมหาเสนาบดี ตกใจบ่าวคนหนึ่งถึงขั้นนี้ หากคนอื่นรู้เข้าคงเสียหน้าแย่! เขาสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปด้วยน้ำโห ทันทีที่เขาจากไป หัวของบ่าวผู้นั้นก็บิดหันอย่างแข็งทื่อ ดวงตาราวกับปลาตายคู่นั้นจ้องไปที่เขา “มองบ้าอะไร?” ลั่วไห่ผิงโมโห วินาทีต่อมา มือที่ขาวซีดคู่หนึ่ง ยกบีบมาที่เขาฉับพลัน และตะครุบลั่วไห่ผิงจนล้มนอนบนพื้น ลั่วไห่ผิงเดินออกจากเรือนได้ไม่นาน ลั่วชิงยวนก็ได้ยินเสียงตะโกนตกใจทันที หว่างคิ้วของนางกระตุก “ท่านปู่ ข้าไปตรวจดูเสียก่อน” ท่านมหาราชครูลั่งพยักหน้า จากนั่นหยิบภาพวาดไร้หน้าผืนนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง ลั่วชิงยวนเดินไปตามเสียง แม้จะไม่มีเสียงตะโกนแล้ว แต่นางกลับสามารถได้ยินเสียงต่อสู้ เมื่อเหยียบที่เรือนเปลี่ยวร้าง ลั่วชิงยวนสามารถรับรู้ถึงพลังวิญญาณชั่วร้ายอย่างชัดเจน นางกวาดล้างสิ่งอัปมงคลของจวนมหาราชครูไปจนสิ้นแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดที่นี่…
ลั่วหรงโน้มตัวมองดูศพบนพื้นอย่างตั้งใจ พร้อมกล่าว “เขามิใช่คนใช้ในจวนของเรา แต่เป็นคนใช้ชั่วคราว ที่รับมาเพื่อจัดงานฉลองของท่านพ่อ เข้ามาในจวนได้เพียงห้าวัน!” “เพียงแต่ใบหน้าของเขาตอนนั้น… ยังมิได้น่ากลัวเช่นนี้…” ลั่วหรงรู้สึกขนลุก คนผู้นี้ตายในจวนตั้งแต่เมื่อใดกัน… หรือว่า ที่เข้ามาในจวนมันไม่ใช่คนตั้งแต่แรก… “ผู้ใดบ้างที่รับเข้ามาชั่วคราว? รวมตัวพวกเขา แล้วควบคุมตัวไว้ทันที!” ลั่วชิงยวนรู้สึกเรื่องนี้มันแปลกประหลาดเกินไป ดูท่าเรื่องธงอัญเชิญวิญญาณเมื่อครั้งที่แล้ว จะยังไม่จบ! คนใช้ถูกควบคุมตัวไว้อย่างรวดเร็ว แม้ทุกคนจะลืมตาอยู่ แต่สีหน้าซีดเผือด ลูกตานูนขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าไร้ซึ่งกลิ่นไอชีวิต ทำนางรับใช้ตกใจกันไม่น้อย ลั่วชิงยวนสั่งให้คนนำเชือกมามัดตัวพวกเขาไว้ ในปากของพวกเขาต่างถูกยัดด้วยกระดาษยันต์ เพื่อยืนยันว่า จริง ๆ แล้วพวกเขาเป็นเพียงซากศพที่เดินได้ ไม่สามารถต่อสู้ได้ ดูท่าคนที่โจมตีลั่วไห่ผิงเมื่อครู่ จะเผลอแสดงอาการก่อน แต่แล้วเมื่อนับจำนวนคน ผู้ดูแลกลับบอก “ยังขาดอากุ้ยอีกคนหนึ่ง!” “อากุ้ยไปไหนแล้ว? ใครเห็นบ้างว่านางไปไหน?” ลั่วหรงถามอย่างร้อนรน นางรับ
ระหว่างทางไปปีกตะวันตก ฟู่เฉินหวนรู้สึกวิงเวียนศีรษะ มีร่างบางร่างปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา ร่างนั้นส่ายไปมาเขาขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นโบก แต่มันก็หายไปอีกแต่เมื่อเขาเริ่มก้าวเท้า มันก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ร่างสองสามร่างเหล่านั้นมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันทันใดนั้นวิสัยทัศน์ของเขาก็พร่ามัว และร่างที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ดูเหมือนจะเป็น... ท่านมหาราชครูลั่ว?เขารีบตามชายผู้นั้นไป แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง สายตาของเขากลับพร่ามัวเขาหยุดเดินดูคล้ายกับเสียงของมหาราชครูลั่วยังดังก้องในหูเขา และร่างที่พร่ามัวตรงหน้าก็มองกลับมาที่เขาด้วย“เฉินหวน มานี่สิ ท่านไปยืนทำไมอยู่ตรงนั้น?”ฟู่เฉินหวนพยักหน้า “ข้ามาแล้ว”เขาส่ายหน้าอย่างแรงและเดินไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วฟู่เฉินหวนไม่รู้ตัวเลยว่าในขณะนี้เขาเดินมาถึงจุดสิ้นสุดของปีกตะวันตกแล้ว………ลั่วชิงยวนรีบไปที่ปีกตะวันตกเกือบจะในทันที ก่อนจะบุกเข้าไปด้านในโดยไม่เคาะประตู “พี่หญิงหลางหลาง!”เมื่อเปิดประตูเข้าไป นางก็เห็นลั่วหลางหลางนอนอยู่บนเตียง!สีหน้าของนางแปลเปลี่ยนไปอย่างมาก หรือว่านางจะมาสายเกินไป?!หัวใจของนางหล่นไปที่ตาตุ่ม
ฟู่เฉินหวนอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสไม่มีเรี่ยวแรงโต้กลับ เขาถูกนางเตะอย่างแรงจนไม่อาจต้านทานไหวลั่วชิงยวนรู้ดีแก่ใจว่า ฟู่เฉินหวนไม่มีทางจะมาที่เรือนของลั่วหลางหลางด้วยความตั้งใจของเขาเองยิ่งไปกว่านั้น สีหน้าของเขาก็ดูไม่ปกติอีกด้วยนี่คงถูกใครสักคนจัดฉากอย่างแน่นอนถึงอย่างนั้นนางก็ยังด่าทอเขาอยู่ดี! โอกาสทองเช่นนี้ใช่จะมาหานางบ่อย ๆ!ฟู่เฉินหวนโกรธจนอดไม่ได้ที่จะตอบโต้ เขาคว้าข้อมือของลั่วชิงยวนเอาไว้ ก่อนพลิกตัวนางแล้วกดนางลงกับเตียง“ลั่วชิงยวน! เจ้าจะพอได้หรือยัง?”ลั่วชิงยวนพยายามขัดขืน แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการได้ นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่มีเส้นเลือดปูดโปน อีกทั้งดวงตาของเขาก็ดูดุร้ายนัก“ปล่อยข้านะ!” ลั่วชิงยวนโกรธและไม่ยอมแพ้ นางยังยกขาขึ้นและกดมันลงไปที่บริเวณตรงกลางระหว่างขาของฟู่เฉินหวนอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยปากขู่ "ท่านอ๋อง หากท่านไม่ปล่อย เช่นนั้นหม่อมฉันจะไม่เกรงใจแล้วนะ!”นางจะใช้เตะนี้เล่นงานเขาจริง ๆ ด้วย!ฟู่เฉินหวนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งโกรธ ความเจ็บปวดสาหัสทำให้เขากัดฟันแน่น "ลั่วชิงยวน ถ้าเจ้าอยากตายก็ลองขยับดูสิ!"ขณะนี้ทั้งสองต
ใบหน้าของฟู่เฉินหวนหม่นลงหลังจากได้ยินสิ่งนี้“ท่านอ๋อง เชิญนั่งเถิดเพคะ” ลั่วชิงยวนสวมรองเท้าเสร็จแล้ว จึงจัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบ นั่งที่โต๊ะก่อนผายมือเป็นท่าทางเชิญชวนฟู่เฉินหวนจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมอยู่ให้เป็นระเบียบและนั่งลงด้วยสีหน้าเศร้าหมองทันทีที่เขานั่งลง เขาก็เห็นลั่วชิงยวนดึงเข็มออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ นางยิ้มอย่างเย็นชาก่อนจะเอ่ยว่า "ท่านอ๋อง ใบหน้าของท่านดูไม่ดีเลย ท่านจำเป็นต้องได้รับการฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการบัดเดี๋ยวนี้เพคะ"ดวงตาของฟู่เฉินหวนเย็นชา แม้ว่าเขาจะนึกลังเล แต่ก็ยังยอมยื่นมือออกไปลั่วชิงยวนหยิบเข็มออกมา แทงเข็มลงบนข้อมือของฟู่เฉินหวนหลายจุด ทำให้ฤทธิ์ของยาที่ฟู่เฉินหวนได้รับบรรเทาลงเล็กน้อยรังสีสังหารในดวงตาของเขาหายไปอย่างรวดเร็วมาก แต่เส้นเลือดยังคงปูดโปนไม่หายเดาว่านี่อาจเป็นความเจ็บปวดของการถูกนางเตะผ่าหมาก…ท้ายที่สุดเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเบาใจขึ้นเป็นอย่างมากลั่วหรงรีบไปยังเรือนปีกตะวันตกอย่างกังวล นางได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ตะโกนดังออกมาว่า ท่านอ๋องเมามายและรีบวิ่งเข้าไปในเรือนปีกตะวันตก นั่นทำให้หัวใจของนางตกไ
“และเหตุใดท่านถึงได้กล่าวว่า ท่านอ๋องรีบเร่งเข้ามาในเรือนทางปีกตะวันตกอย่างบ้าคลั่งด้วยล่ะ?” คนอื่นถามขึ้นอีกใบหน้าของฟู่เฉินหวนมืดมนและเขาพูดอย่างเย็นชา "พวกท่านอยากเข้ามาทานอาหารด้วยกันก่อนหรือไม่?"คำพูดนี้มีความหมายว่า เขาไม่ชอบให้คนอื่น ๆ พูดจาอะไรให้มากความทุกคนมองดูท่านอ๋องที่ดูคล้ายกำลังจะเสียสติ ใบหน้าของเขามืดมน และดูเหมือนใกล้จะกินหัวใครสักคนเข้าแล้ว“แค่เรื่องเข้าใจผิดนี่เอง เอาล่ะ เอาล่ะ! อย่าได้รบกวนท่านอ๋องและพระชายาจากมื้ออาหารของพวกเขาเลย!”เมื่อประโยคนั้นจบลง หลายต่อหลายคนก็ก้าวออกจากห้องไป“ข้าก็นึกว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น แต่กลายเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น”ผู้คนเริ่มจากไปทีละคนเมื่อเห็นว่าไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับลั่วหลางหลาง ลั่วหรงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ก่อนรีบส่งแขกให้กลับไปยังพื้นที่จัดงานฉลองที่ลานในจวนหลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว ลั่วหรงก็กลับมา "ชิงยวน หลางหลาง..." ลั่วชิงยวนรีบเดินไปที่ด้านหลังเตียง แล้วพยุงลั่วหลางหลางออกมานอนบนเตียงดังเดิมเมื่อเห็นใบหน้าที่แดงระเรื่อของลั่วหลางหลาง ลั่วอวิ๋นสี่ก็วิตกกังวลอย่างหนักและจ้องมองไปที่ลั่วชิงยวน "พี่
“ในจวนของท่านมีที่ใดบ้างที่ชื้นแฉะอยู่ตลอดเวลา?” ลั่วชิงยวนถามอย่างรวดเร็วลั่วหรงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถามเพราะเหตุใด แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ตอบออกไปว่า "ด้านทิศเหนือของจวนเป็นพื้นที่ป่าไผ่ มีน้ำตกเล็ก ๆ และลำธารอยู่ที่นั่น พื้นที่บริเวณนั้นจึงชื้นแฉะอยู่ตลอดเวลา อวิ๋นสี่เคยพักอยู่ที่เรือนแถวนั้น หลังจากย้ายออกไป แถวนั้นก็ว่างเปล่า”ทันทีที่นางพูดจบ ลั่วชิงยวนก็เห็นว่าสีหน้าของหลินอวี้เวยเปลี่ยนไปดวงตาของลั่วชิงยวนเป็นประกาย นางยกยิ้มมุมปาก "อย่างนี้นี่เอง!"ลั่วหรงรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ ๆ ลั่วชิงยวนถึงอยากไปพื้นที่ในบริเวณนั้น นางจึงได้แต่นำทางลั่วชิงยวนและฟู่เฉินหวนไปยังป่าไผ่แห่งนั้นด้วยตนเองบริเวณป่าไผ่ทางทิศเหนือของจวนมหาราชครูแทบไม่มีคนย่างกรายเข้ามาเลย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่อันเงียบสงบที่สุดในจวน เมื่อเปิดประตูสวนเข้าไป ก็ปรากฏรอยเท้าให้เห็นอยู่ทั่วลั่วหรงขมวดคิ้ว “ที่นี่ไม่มีใครอยู่อาศัยมาตั้งนานแล้ว ใครกันที่เข้ามาที่นี่?”“หลินอวี้เวย” ลั่วชิงยวนพูด เมื่อสังเกตจากรอยเท้าบนพื้นมันดูใกล้เคียงกับรอยเท้าของหลินอวี้เวย ดังนั้นจึงน่าจะเป็นนาง“เจ้ารู้ไ
เมื่อได้เห็นท่าทางหวาดกลัวของหลิ่วจิ้นแล้ว ลั่วชิงยวนก็รู้สึกเย้ยหยันในใจจนถึงตอนนี้หลินอวี้เวยก็ยังไม่คิดจะสารภาพ และถึงกับยอมเสี่ยงซ่อนตัวหลิ่วจิ้นไว้ในจวนมหาราชครูซึ่งเป็นผลให้ชายผู้นี้หันกลับมาแว้งกัดนางหลินอวี้เวยเสียเองยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหลินอวี้เวยถูกผิดเช่นไร เพียงเมื่อได้เห็นเช่นนี้แล้วนางก็รู้สึกว่าหลินอวี้เวยช่างน่าสมเพชเสียจริง“นางฝังอะไรไว้ที่ใดเล่า?” ลั่วหรงถามทันทีหลิ่วจิ้นยืนขึ้นและชี้ไปที่น้ำตก "ตรงนั้นขอรับ!"เขาเดินไปข้างหน้าลั่วชิงยวนมองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้น้ำตกได้ในเสี้ยววินาที และทันใดนั้นดวงตาของนางก็เป็นประกายนางก้าวไปข้างหน้าและหยิบของออกมาจากใต้ม่านน้ำตกนั้น“นี่มัน…” ลั่วหรงมองดูสิ่งนี้อย่างคุ้นเคย“ธงชี้นำศพ” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนเย็นชาเล็กน้อย “ไม่แปลกใจแล้วที่วันนี้จวนมหาราชครูจะมีผีดิบพวกนั้นอยู่ ดูเหมือนว่าคนเหล่านั้นจะกลายเป็นผีดิบอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะเข้ามาในจวน”“เพราะมีธงชี้นำศพซ่อนอยู่ในบ้าน พวกมันจึงสามารถปลอมแปลงเป็นคนธรรมดาได้ เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงแผนการชั่วร้ายเล็ก ๆ อีกแล้ว”หากในวันนี้พวกเขาไม่อาจค้นพบได้ทันเวลา ผีดิบเหล่าน
ลั่วชิงยวนตกตะลึง อารมณ์ความรู้สึกของนางดำดิ่งเป็นไปตามที่นางคาดเดาเอาไว้ว่ามิเหลือแม้แต่ศพอย่างนั้นหรือ?“มิพบศพด้วยซ้ำ” อวี๋โหรวกล่าวเสียงขรึมดวงตาของลั่วชิงยวนหม่นลง ดูเหมือนว่าร่างนั้นจะถูกกำจัดไปแล้วจริง ๆ ส่วนจะกำจัดอย่างไรและทิ้งไว้ที่ไหน บางทีอาจมีเพียงฆาตกรเท่านั้นที่รู้“น่าเสียดายจริง ๆ” ลั่วชิงยวนทอดถอนใจด้วยความเสียดายอวี๋โหรวจ้องนางด้วยสายตาจริงจังและพูดอย่างหนักแน่น “มิน่าเสียดายหรอก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นนางคนต่อไป!”ทันใดนั้น สายตาที่จริงจังของอวี๋โหรวก็ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลังและยังสงสัยด้วยว่าอวี๋โหรวจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างหรือไม่ทว่าแม้แต่ศิษย์น้องหญิงก็จำนางมิได้ อีกทั้งอวี๋โหรวก็มิได้สนิทสนมกับนาง แล้วจะจำนางได้อย่างไรลั่วชิงยวนยิ้มและกล่าวว่า “ข้าจะถือว่านั่นคือคำปลอบใจก็แล้วกัน”อวี๋โหรวพูดอย่างจริงจัง “ข้ามิได้ปลอบใจเจ้า ข้าพูดจริง”หลังจากนั้น อวี๋โหรวก็ยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ทางข้ายังพอมียาอยู่บ้าง หากเจ้าต้องการอะไรก็บอกข้าได้เลย”ลั่วชิงยวนมิค่อยเข้าใจว่า เหตุใดอวี๋โหรวถึงทำดีกับนางนางมิค่อยรู้จักอวี๋โหรวมากนัก ในภาพจ
หรือเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในพลังความแข็งแกร่งของลั่วชิงยวน?แต่เมื่อมาครุ่นคิดดูตอนนี้ สตรีที่สามารถทำให้เซินฉีหลงใหลได้ถึงเพียงนี้คงไม่มีทางที่จะเป็นขยะไร้ค่าแม้จะมิได้แข็งแกร่งกว่าเฉินชี แต่ก็เป็นคนที่สามารถต่อกรกับเขาได้อย่างสูสีเพราะเช่นนี้เขาจึงมิแลเกาเหมียวเหมี่ยวเลยด้วยซ้ำ……เมื่อกลับมาถึงห้องลั่วชิงยวนก็นั่งลงพักผ่อนเฉินชีเดินตามเข้ามาและนั่งลงข้าง ๆ นาง พร้อมกับรินชาสองจอก“สมแล้วที่เป็นอาเหลา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่กล้าทำให้เกาเหมียวเหมี่ยวตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น! ข้าชอบ!” มีแสงประกายเจิดจ้าส่องสว่างในดวงตาของเฉินชีสายตาของเขาดูเหมือนอยากจะกลืนกินลั่วชิงยวนเข้าไปทั้งตัวลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกาเหมียวเหมี่ยวได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาทกับฮองเฮาคงมิยอมปล่อยข้าไปแน่ คงต้องให้เจ้าช่วยออกหน้าให้แล้ว”เฉินชียิ้มมุมปาก “วางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน”ลั่วชิงยวนที่ยังกังวลอยู่เล็กน้อยกำชับด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เฉินชี ครั้งนี้เจ้าจะยืนนิ่งดูดายอีกมิได้แล้ว เพราะหากข้าตาย แผนทั้งหมดของเจ้าก็จะสูญเปล่า”“ใต้หล้านี้ไม่มีลั่วเหลาคนที่สองหรอกนะ”เฉินชีพยักหน้าอย่างจริงจ
เลือดสด ๆ ยังคงไหลมิหยุด ไหลนองไปตามร่องลึกของลวดลายวงเวทบนพื้นดินคาดมิถึงว่ามันจะค่อย ๆ ทำให้อักษรเวทของวงเวทส่องแสงขึ้นจากนั้นหมอกสีเขียวจาง ๆ ก็กระจายฟุ้งอยู่รอบตัวลั่วชิงยวนสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นไอโอสถทั้งสิ้นหอรักษ์ดาราแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่สามารถกลั่นไอโอสถจากเลือดได้ และไอโอสถเหล่านี้ก็สามารถรักษาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ลั่วชิงยวนหลับตาและสูดลมหายใจด้วยความเพลิดเพลิน ทำให้ร่างกายที่ปวดร้าวของนางดูเหมือนจะผ่อนคลายลงนี่อาจจะเป็นความหมายของการมีอยู่ของแท่นประลองหอรักษ์ดาราแต่ไอโอสถนี้ก็จางลงอย่างรวดเร็วลั่วชิงยวนปล่อยเกาเหมียวเหมี่ยว นางยืนขึ้นพร้อมกับยืดเส้นยืดสาย และเดินลงจากแท่นประลองคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองมาที่นางด้วยสายตาที่หวาดกลัวมากขึ้น และพวกเขาก็มิกล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามนางเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วลั่วชิงยวนกวาดตามองอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็มองไปที่เฉินชีด้วยสายตาลึกซึ้งแล้วเดินจากไปเกาเหมียวเหมี่ยวที่ได้รับบาดเจ็บถูกปลดแส้ออกอย่างรวดเร็วและถูกช่วยลงจากแท่นประลอง นางกัดฟันแน่นพลางจ้องตามหลังลั่วชิงยวนที่กำลังเดินออกไปครู่ต่อมา นางก็เห
“โอ้สวรรค์ ข้าคงมิได้ตาลายใช่หรือไม่?”“นางไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน!”ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าเกาเหมียวเหมี่ยวคือใครนางมิเพียงมีสถานะองค์หญิงที่สูงส่งเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่จะได้สืบราชบัลลังก์ในภายภาคหน้าอีกด้วยเนื่องจากองค์ชายใหญ่มีความสามารถปานกลาง จึงมิเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิและฮองเฮา ทว่าองค์หญิงผู้นี้กลับแข็งแกร่งและไร้ความปรานี จึงได้รับความโปรดปรานจากพวกเขาไม่มีใครในเมืองหลวงกล้าขัดใจนางเว้นเสียแต่ เฉินชีเพราะนางชอบเขาทว่าแม้จะเป็นเฉินชี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาก็ให้เกียรตินางมากลั่วชิงยวนผู้นี้กล้ามากถึงขั้นเหยียบย่ำองค์หญิงต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้!เกาเหมียวเหมี่ยวพยายามดิ้นพร้อมกับก่นด่าไปด้วย “ลั่วชิงยวน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! หากเจ้ามิปล่อยข้า ข้าจะทำให้เจ้าตายจนหาที่ฝังมิได้เลยคอยดู!”“ท่านนี่พูดมากนัก เงียบเสีย!”ลั่วชิงยวนมองนางด้วยสายตาเย็นชา พลางคว้าแส้แล้วดึงมันอย่างแรงทันใดนั้นแส้ที่คอของเกาเหมียวเหมี่ยวก็รัดแน่นขึ้นบังคับให้เกาเหมียวเหมี่ยวต้องเชิดหน้าขึ้นสูงแต่ยังคงถูกแส้รั้งไว้จนหน้าแดงนางหายใจมิออกจนเส้นเลือดแตกและตา
ลั่วชิงยวนถูกแส้ฟาดจนกระอักเลือด ทำให้อาภรณ์ชุดขาวของนางมีรอยเปื้อนสีแดงมีรอยแส้ที่น่าสะเทือนใจพาดอยู่บนหลังของนางเป็นเส้น ๆทุกคนที่อยู่รอบนอกต่างรู้สึกหวาดกลัวมีคนที่อดมิได้ที่จะกระซิบขึ้นว่า “มิยุติธรรมเลย คนหนึ่งมีอาวุธ แต่อีกคนไม่มี นี่มันจงใจแกล้งกันชัด ๆ มิใช่หรือ”“ชู่! พระนางเป็นองค์หญิง ถึงพระนางจะจงใจฆ่าลั่วชิงยวน แล้วใครจะพูดอะไรได้ ระวังไว้เถิด หากนางจับได้ เจ้าได้เดือดร้อนแน่”ทุกทิศมีแต่ความเงียบงันไม่มีใครกล้าพูดอะไรใครใช้ให้เกาเหมียวเหมี่ยวเป็นองค์หญิงเล่า?นางคือองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมาตั้งแต่ยังเล็กนางกลายเป็นคนเย่อหยิ่งบ้าอำนาจ และวิธีการของนางเลวทรามมิน้อยไปกว่าเฉินชีเลยทุกคนในที่นี้ล้วนไม่มีใครกล้าขัดทว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยลั่วชิงยวนได้ แต่คนผู้นั้นกลับนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ พลางมองลั่วชิงยวนที่ถูกฟาดบนพื้นจนร่างกายเต็มไปด้วยเลือดมีแสงประกายเจิดจ้าอยู่ในดวงตาของเขาและเจือไปด้วยความยินดีปรีดาลั่วชิงยวนกลิ้งไปบนพื้นและทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมาเต็มปากนางเงยหน้าขึ้นมาและเห็นสายตาที่แสดงถึงความตื่นเต้นดีใจของเฉินชี เขาม
“สตรีนางนี้ตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งนัก”“การตอบสนองเร็วเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเอาชนะคู่ต่อสู้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”“พลังความสามารถของจั๋วฉ่างตงนั้นสูงมาก แม้แต่บรรดาคนที่อยู่ที่นี่ก็ยังมีเพียงมิกี่คนเท่านั้นที่สามารถเอาชนะนางได้”ผลลัพธ์ของการประลองครั้งนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแล้วทว่าขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นจั๋วฉ่างตงก็ล้มลงอย่างแรงเมื่อทุกคนจ้องมองไปและแน่ใจว่าคนที่ลอยตกลงมาคือจั๋วฉ่างตง พวกเขาก็พากันตกตะลึงงัน“ข้าเห็นมิชัดเลย จั๋วฉ่างตงกระเด็นออกไปได้อย่างไรกัน?”ทุกคนต่างสงสัยจั๋วฉ่างตงกระอักเลือดและเงยหน้ามองคนผู้นั้นด้วยความตกตะลึง ดวงตาของนางเยือกเย็นจนน่าหวาดกลัวเป็นไปได้อย่างไรกันนางเป็นขยะไร้ค่ามิใช่รึคราวก่อนที่ส่งคนไปทดสอบ ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าไม่มีพลังที่จะรับมือได้เลย เป็นไปมิได้ที่จู่ ๆ นางจะเปลี่ยนมาร้ายกาจถึงเพียงนี้!จั๋วฉ่างตงมิยอมรับ นางดีดตัวขึ้นและพุ่งไปหาลั่วชิงยวนอีกครั้งดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา ร่างกายของนางเคลื่อนไหวรวดเร็วจนกลายเป็นภาพลวงตา พลางปล่อยหมัดออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าลั่วชิงยวนต่อยจั๋วฉ่างตงอย่างรุนแรงจนกระเด็น จากน
“ได้ยินมาว่านางจะประลองกับจั๋วฉ่างตงที่หอรักษ์ดาราในวันพรุ่ง”แม้หลายปีมานี้จั๋วฉ่างตงจะมิได้ดำรงตำแหน่งขุนนางใด ๆ แต่กำลังความสามารถของนางก็ถือว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดาคนรุ่นเดียวกันอย่างแน่นอน“แล้วเจ้ามิช่วยนางเล่า? เหตุใดจึงปล่อยให้นางขโมยโอสถทะลวงปราณไป?”ขณะนี้ เฉินชีที่อยู่ในห้องเดินออกมาอย่างช้า ๆ พร้อมมองไปยังทิศทางที่ลั่วชิงยวนหนีไปด้วยดวงตาที่เป็นประกายริมฝีปากของเขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา“ข้าชอบที่เห็นนางอยู่ในสภาพบาดเจ็บเลือดตกยางออก”“ยิ่งนางจนมุมข้าก็ยิ่งปรีดา”เฒ่าโอสถขมวดคิ้วและส่ายหัวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “สตรีบ้านไหนได้เจอเจ้า ถือว่าโชคร้ายที่สุดจริง ๆ”……หลังจากกลับมาถึงห้องอย่างปลอดภัยแล้ว ลั่วชิงยวนก็รีบเปลี่ยนอาภรณ์และนั่งขัดสมาธิบนตั่งนุ่มข้างหน้าต่างนางหยิบโอสถทะลวงปราณ และนำเข็มทิศอาณัติแห่งสวรรค์ออกมาทำการบำเพ็ญตนแค่คืนเดียวก็เพียงพอที่จะนำเอาประสิทธิภาพสูงสุดของโอสถทะลวงปราณออกมาได้แม้จะมิสามารถฟื้นฟูพลังยุทธได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็สามารถฟื้นคืนมาได้อย่างน้อยเจ็ดถึงแปดในสิบส่วนเพียงแค่จัดการกับจั๋วฉ่างตงได้ก็พอแล้ว……วันต่อมาเวลารุ่งสางบริเวณร
เกาเหมียวเหมี่ยวกำหมัดแน่น รู้สึกโมโหมากจนแทบจะปรี๊ดแตกออกมาความรู้สึกอับอายถาโถมเข้ามาหานางเหมือนกับคลื่นยักษ์“เฉินชี คอยดูเถอะ!” เกาเหมียวเหมี่ยวจ้องมองเขาด้วยความโกรธเกรี้ยวนางสวมอาภรณ์แล้วหนีไปทันที……คืนก่อนวันประลองที่หอรักษ์ดาราทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงบหลังจากลั่วชิงยวนพักผ่อนได้หนึ่งวัน นางก็เปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดท่องราตรีนางแอบเปิดประตูห้องแล้วอาศัยจังหวะที่บริเวณรอบ ๆ ไม่มีคน มุ่งหน้าไปยังหอปรุงโอสถทั้งยังปล่อยเตี่ยฉุยออกมาเพื่อช่วยนางดูคนที่ผ่านไปมาให้อีกแรงหอปรุงโอสถเป็นสถานที่สำคัญของสำนักนักบวช บุคคลทั่วไปมิได้รับอนุญาตให้เข้าไปตามใจชอบ หากนางถูกจับได้ จะต้องตายสถานเดียวทว่าหากมิขโมยโอสถ วันพรุ่งก็ต้องตายในการประลองที่หอรักษ์ดาราอยู่ดีดังนั้นนางจึงทำได้เพียงยอมเสี่ยงดูสักครั้งลั่วชิงยวนอาศัยความที่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ได้อย่างรวดเร็ว ทำการหลบเลี่ยงจุดที่อาจจะมีคนและมาถึงด้านนอกของหอปรุงโอสถขณะนี้ หอปรุงโอสถเงียบสงบและไม่มีใครเฝ้ายามลั่วชิงยวนเดินเข้ามาในลานจนถึงประตูที่ลงกลอนเอาไว้นางดึงปิ่นปักผมออกมาปลดกลอนประตูอย่างชำนาญจากนั้นก
“ใครให้เจ้าใช้กลิ่นกล้วยไม้? คิดว่าตัวเองคู่ควรกับมันรึ?”แววตาอันชั่วร้ายและกลิ่นอายสังหารทั่วร่างที่แผ่ออกมาทำให้หลานจีหวาดกลัวจนต้องดิ้นรนอย่างสุดชีวิต“ท่าน… ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นให้ข้าใช้มันเองนะเจ้าคะ”ดวงตาของเฉินชีเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น เขาโยนหลานจีออกจากห้องอย่างโหดร้าย“นับตั้งแต่วันนี้ห้ามใช้น้ำหอมกลิ่นกล้วยไม้อีก ไสหัวไป!”หลานจีล้มออกมานอกห้องอย่างแรงจนกลิ้งตกขั้นบันไดและกระอักเลือดออกมา ทำให้ตกอยู่ในสภาพที่ดูมิได้อย่างยิ่งนางเงยหน้าขึ้นด้วยความมิอยากเชื่อ มิเข้าใจว่าเหตุใดอารมณ์ของท่านแม่ทัพถึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเมื่อก่อนเขาชอบดูนางร่ายรำเป็นที่สุด และชอบกลิ่นหอมของกล้วยไม้บนตัวของนางด้วยเช่นกันเหตุใดจู่ ๆ ถึง…หลานจีพยายามลุกขึ้นจากพื้นพลางมองไปที่เฉินชีที่ยังคงดื่มอยู่ในห้อง “ท่านแม่ทัพมีเรื่องอันใดมิสบายใจใช่หรือไม่เจ้าคะ หลานจียินดีช่วยแบ่งเบาความกังวลให้ท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ!”ทันใดนั้นก็มีบุคคลหนึ่งก้าวออกมาจากด้านหลัง ร่างนั้นเดินผ่านหน้านาง และได้ตบนางอย่างแรงทำให้หลานจีล้มลงกับพื้นอีกครั้ง“ไล่ให้เจ้าไสหัวไปแต่กลับมิทำ จะรอข้ามาถลกหนังรึไร?” ดวงตาของเก