เขาร้องตะโกนทีหนึ่ง ลั่วไห่ผิงตกใจจนก้าวถอยหลังไปหลายก้าว คนใช้สีหน้าซีดเทา ใต้ตาดำมืด ดวงตาคู่นั้นขาวโพลนราวกับปลาตาย มองแล้วดูน่ากลัวนัก “เจ้าเดินไม่มีเสียงงั้นหรือ? บังอาจเสียจริง!“ ลั่วไห่ผิงสงบจิตใจ เขาที่เป็นท่านอัครมหาเสนาบดี ตกใจบ่าวคนหนึ่งถึงขั้นนี้ หากคนอื่นรู้เข้าคงเสียหน้าแย่! เขาสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปด้วยน้ำโห ทันทีที่เขาจากไป หัวของบ่าวผู้นั้นก็บิดหันอย่างแข็งทื่อ ดวงตาราวกับปลาตายคู่นั้นจ้องไปที่เขา “มองบ้าอะไร?” ลั่วไห่ผิงโมโห วินาทีต่อมา มือที่ขาวซีดคู่หนึ่ง ยกบีบมาที่เขาฉับพลัน และตะครุบลั่วไห่ผิงจนล้มนอนบนพื้น ลั่วไห่ผิงเดินออกจากเรือนได้ไม่นาน ลั่วชิงยวนก็ได้ยินเสียงตะโกนตกใจทันที หว่างคิ้วของนางกระตุก “ท่านปู่ ข้าไปตรวจดูเสียก่อน” ท่านมหาราชครูลั่งพยักหน้า จากนั่นหยิบภาพวาดไร้หน้าผืนนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง ลั่วชิงยวนเดินไปตามเสียง แม้จะไม่มีเสียงตะโกนแล้ว แต่นางกลับสามารถได้ยินเสียงต่อสู้ เมื่อเหยียบที่เรือนเปลี่ยวร้าง ลั่วชิงยวนสามารถรับรู้ถึงพลังวิญญาณชั่วร้ายอย่างชัดเจน นางกวาดล้างสิ่งอัปมงคลของจวนมหาราชครูไปจนสิ้นแล้วมิใช่หรือ? เหตุใดที่นี่…
ลั่วหรงโน้มตัวมองดูศพบนพื้นอย่างตั้งใจ พร้อมกล่าว “เขามิใช่คนใช้ในจวนของเรา แต่เป็นคนใช้ชั่วคราว ที่รับมาเพื่อจัดงานฉลองของท่านพ่อ เข้ามาในจวนได้เพียงห้าวัน!” “เพียงแต่ใบหน้าของเขาตอนนั้น… ยังมิได้น่ากลัวเช่นนี้…” ลั่วหรงรู้สึกขนลุก คนผู้นี้ตายในจวนตั้งแต่เมื่อใดกัน… หรือว่า ที่เข้ามาในจวนมันไม่ใช่คนตั้งแต่แรก… “ผู้ใดบ้างที่รับเข้ามาชั่วคราว? รวมตัวพวกเขา แล้วควบคุมตัวไว้ทันที!” ลั่วชิงยวนรู้สึกเรื่องนี้มันแปลกประหลาดเกินไป ดูท่าเรื่องธงอัญเชิญวิญญาณเมื่อครั้งที่แล้ว จะยังไม่จบ! คนใช้ถูกควบคุมตัวไว้อย่างรวดเร็ว แม้ทุกคนจะลืมตาอยู่ แต่สีหน้าซีดเผือด ลูกตานูนขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าไร้ซึ่งกลิ่นไอชีวิต ทำนางรับใช้ตกใจกันไม่น้อย ลั่วชิงยวนสั่งให้คนนำเชือกมามัดตัวพวกเขาไว้ ในปากของพวกเขาต่างถูกยัดด้วยกระดาษยันต์ เพื่อยืนยันว่า จริง ๆ แล้วพวกเขาเป็นเพียงซากศพที่เดินได้ ไม่สามารถต่อสู้ได้ ดูท่าคนที่โจมตีลั่วไห่ผิงเมื่อครู่ จะเผลอแสดงอาการก่อน แต่แล้วเมื่อนับจำนวนคน ผู้ดูแลกลับบอก “ยังขาดอากุ้ยอีกคนหนึ่ง!” “อากุ้ยไปไหนแล้ว? ใครเห็นบ้างว่านางไปไหน?” ลั่วหรงถามอย่างร้อนรน นางรับ
ระหว่างทางไปปีกตะวันตก ฟู่เฉินหวนรู้สึกวิงเวียนศีรษะ มีร่างบางร่างปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา ร่างนั้นส่ายไปมาเขาขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นโบก แต่มันก็หายไปอีกแต่เมื่อเขาเริ่มก้าวเท้า มันก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ร่างสองสามร่างเหล่านั้นมุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันทันใดนั้นวิสัยทัศน์ของเขาก็พร่ามัว และร่างที่อยู่ตรงหน้าเขาก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ดูเหมือนจะเป็น... ท่านมหาราชครูลั่ว?เขารีบตามชายผู้นั้นไป แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง สายตาของเขากลับพร่ามัวเขาหยุดเดินดูคล้ายกับเสียงของมหาราชครูลั่วยังดังก้องในหูเขา และร่างที่พร่ามัวตรงหน้าก็มองกลับมาที่เขาด้วย“เฉินหวน มานี่สิ ท่านไปยืนทำไมอยู่ตรงนั้น?”ฟู่เฉินหวนพยักหน้า “ข้ามาแล้ว”เขาส่ายหน้าอย่างแรงและเดินไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วฟู่เฉินหวนไม่รู้ตัวเลยว่าในขณะนี้เขาเดินมาถึงจุดสิ้นสุดของปีกตะวันตกแล้ว………ลั่วชิงยวนรีบไปที่ปีกตะวันตกเกือบจะในทันที ก่อนจะบุกเข้าไปด้านในโดยไม่เคาะประตู “พี่หญิงหลางหลาง!”เมื่อเปิดประตูเข้าไป นางก็เห็นลั่วหลางหลางนอนอยู่บนเตียง!สีหน้าของนางแปลเปลี่ยนไปอย่างมาก หรือว่านางจะมาสายเกินไป?!หัวใจของนางหล่นไปที่ตาตุ่ม
ฟู่เฉินหวนอดทนต่อความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสไม่มีเรี่ยวแรงโต้กลับ เขาถูกนางเตะอย่างแรงจนไม่อาจต้านทานไหวลั่วชิงยวนรู้ดีแก่ใจว่า ฟู่เฉินหวนไม่มีทางจะมาที่เรือนของลั่วหลางหลางด้วยความตั้งใจของเขาเองยิ่งไปกว่านั้น สีหน้าของเขาก็ดูไม่ปกติอีกด้วยนี่คงถูกใครสักคนจัดฉากอย่างแน่นอนถึงอย่างนั้นนางก็ยังด่าทอเขาอยู่ดี! โอกาสทองเช่นนี้ใช่จะมาหานางบ่อย ๆ!ฟู่เฉินหวนโกรธจนอดไม่ได้ที่จะตอบโต้ เขาคว้าข้อมือของลั่วชิงยวนเอาไว้ ก่อนพลิกตัวนางแล้วกดนางลงกับเตียง“ลั่วชิงยวน! เจ้าจะพอได้หรือยัง?”ลั่วชิงยวนพยายามขัดขืน แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการได้ นางเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่มีเส้นเลือดปูดโปน อีกทั้งดวงตาของเขาก็ดูดุร้ายนัก“ปล่อยข้านะ!” ลั่วชิงยวนโกรธและไม่ยอมแพ้ นางยังยกขาขึ้นและกดมันลงไปที่บริเวณตรงกลางระหว่างขาของฟู่เฉินหวนอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยปากขู่ "ท่านอ๋อง หากท่านไม่ปล่อย เช่นนั้นหม่อมฉันจะไม่เกรงใจแล้วนะ!”นางจะใช้เตะนี้เล่นงานเขาจริง ๆ ด้วย!ฟู่เฉินหวนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งโกรธ ความเจ็บปวดสาหัสทำให้เขากัดฟันแน่น "ลั่วชิงยวน ถ้าเจ้าอยากตายก็ลองขยับดูสิ!"ขณะนี้ทั้งสองต
ใบหน้าของฟู่เฉินหวนหม่นลงหลังจากได้ยินสิ่งนี้“ท่านอ๋อง เชิญนั่งเถิดเพคะ” ลั่วชิงยวนสวมรองเท้าเสร็จแล้ว จึงจัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบ นั่งที่โต๊ะก่อนผายมือเป็นท่าทางเชิญชวนฟู่เฉินหวนจัดเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมอยู่ให้เป็นระเบียบและนั่งลงด้วยสีหน้าเศร้าหมองทันทีที่เขานั่งลง เขาก็เห็นลั่วชิงยวนดึงเข็มออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ นางยิ้มอย่างเย็นชาก่อนจะเอ่ยว่า "ท่านอ๋อง ใบหน้าของท่านดูไม่ดีเลย ท่านจำเป็นต้องได้รับการฝังเข็มเพื่อบรรเทาอาการบัดเดี๋ยวนี้เพคะ"ดวงตาของฟู่เฉินหวนเย็นชา แม้ว่าเขาจะนึกลังเล แต่ก็ยังยอมยื่นมือออกไปลั่วชิงยวนหยิบเข็มออกมา แทงเข็มลงบนข้อมือของฟู่เฉินหวนหลายจุด ทำให้ฤทธิ์ของยาที่ฟู่เฉินหวนได้รับบรรเทาลงเล็กน้อยรังสีสังหารในดวงตาของเขาหายไปอย่างรวดเร็วมาก แต่เส้นเลือดยังคงปูดโปนไม่หายเดาว่านี่อาจเป็นความเจ็บปวดของการถูกนางเตะผ่าหมาก…ท้ายที่สุดเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเบาใจขึ้นเป็นอย่างมากลั่วหรงรีบไปยังเรือนปีกตะวันตกอย่างกังวล นางได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ตะโกนดังออกมาว่า ท่านอ๋องเมามายและรีบวิ่งเข้าไปในเรือนปีกตะวันตก นั่นทำให้หัวใจของนางตกไ
“และเหตุใดท่านถึงได้กล่าวว่า ท่านอ๋องรีบเร่งเข้ามาในเรือนทางปีกตะวันตกอย่างบ้าคลั่งด้วยล่ะ?” คนอื่นถามขึ้นอีกใบหน้าของฟู่เฉินหวนมืดมนและเขาพูดอย่างเย็นชา "พวกท่านอยากเข้ามาทานอาหารด้วยกันก่อนหรือไม่?"คำพูดนี้มีความหมายว่า เขาไม่ชอบให้คนอื่น ๆ พูดจาอะไรให้มากความทุกคนมองดูท่านอ๋องที่ดูคล้ายกำลังจะเสียสติ ใบหน้าของเขามืดมน และดูเหมือนใกล้จะกินหัวใครสักคนเข้าแล้ว“แค่เรื่องเข้าใจผิดนี่เอง เอาล่ะ เอาล่ะ! อย่าได้รบกวนท่านอ๋องและพระชายาจากมื้ออาหารของพวกเขาเลย!”เมื่อประโยคนั้นจบลง หลายต่อหลายคนก็ก้าวออกจากห้องไป“ข้าก็นึกว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น แต่กลายเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น”ผู้คนเริ่มจากไปทีละคนเมื่อเห็นว่าไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับลั่วหลางหลาง ลั่วหรงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ก่อนรีบส่งแขกให้กลับไปยังพื้นที่จัดงานฉลองที่ลานในจวนหลังจากที่ทุกคนจากไปแล้ว ลั่วหรงก็กลับมา "ชิงยวน หลางหลาง..." ลั่วชิงยวนรีบเดินไปที่ด้านหลังเตียง แล้วพยุงลั่วหลางหลางออกมานอนบนเตียงดังเดิมเมื่อเห็นใบหน้าที่แดงระเรื่อของลั่วหลางหลาง ลั่วอวิ๋นสี่ก็วิตกกังวลอย่างหนักและจ้องมองไปที่ลั่วชิงยวน "พี่
“ในจวนของท่านมีที่ใดบ้างที่ชื้นแฉะอยู่ตลอดเวลา?” ลั่วชิงยวนถามอย่างรวดเร็วลั่วหรงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายถามเพราะเหตุใด แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ตอบออกไปว่า "ด้านทิศเหนือของจวนเป็นพื้นที่ป่าไผ่ มีน้ำตกเล็ก ๆ และลำธารอยู่ที่นั่น พื้นที่บริเวณนั้นจึงชื้นแฉะอยู่ตลอดเวลา อวิ๋นสี่เคยพักอยู่ที่เรือนแถวนั้น หลังจากย้ายออกไป แถวนั้นก็ว่างเปล่า”ทันทีที่นางพูดจบ ลั่วชิงยวนก็เห็นว่าสีหน้าของหลินอวี้เวยเปลี่ยนไปดวงตาของลั่วชิงยวนเป็นประกาย นางยกยิ้มมุมปาก "อย่างนี้นี่เอง!"ลั่วหรงรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ ๆ ลั่วชิงยวนถึงอยากไปพื้นที่ในบริเวณนั้น นางจึงได้แต่นำทางลั่วชิงยวนและฟู่เฉินหวนไปยังป่าไผ่แห่งนั้นด้วยตนเองบริเวณป่าไผ่ทางทิศเหนือของจวนมหาราชครูแทบไม่มีคนย่างกรายเข้ามาเลย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่อันเงียบสงบที่สุดในจวน เมื่อเปิดประตูสวนเข้าไป ก็ปรากฏรอยเท้าให้เห็นอยู่ทั่วลั่วหรงขมวดคิ้ว “ที่นี่ไม่มีใครอยู่อาศัยมาตั้งนานแล้ว ใครกันที่เข้ามาที่นี่?”“หลินอวี้เวย” ลั่วชิงยวนพูด เมื่อสังเกตจากรอยเท้าบนพื้นมันดูใกล้เคียงกับรอยเท้าของหลินอวี้เวย ดังนั้นจึงน่าจะเป็นนาง“เจ้ารู้ไ
เมื่อได้เห็นท่าทางหวาดกลัวของหลิ่วจิ้นแล้ว ลั่วชิงยวนก็รู้สึกเย้ยหยันในใจจนถึงตอนนี้หลินอวี้เวยก็ยังไม่คิดจะสารภาพ และถึงกับยอมเสี่ยงซ่อนตัวหลิ่วจิ้นไว้ในจวนมหาราชครูซึ่งเป็นผลให้ชายผู้นี้หันกลับมาแว้งกัดนางหลินอวี้เวยเสียเองยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหลินอวี้เวยถูกผิดเช่นไร เพียงเมื่อได้เห็นเช่นนี้แล้วนางก็รู้สึกว่าหลินอวี้เวยช่างน่าสมเพชเสียจริง“นางฝังอะไรไว้ที่ใดเล่า?” ลั่วหรงถามทันทีหลิ่วจิ้นยืนขึ้นและชี้ไปที่น้ำตก "ตรงนั้นขอรับ!"เขาเดินไปข้างหน้าลั่วชิงยวนมองเห็นสิ่งที่อยู่ใต้น้ำตกได้ในเสี้ยววินาที และทันใดนั้นดวงตาของนางก็เป็นประกายนางก้าวไปข้างหน้าและหยิบของออกมาจากใต้ม่านน้ำตกนั้น“นี่มัน…” ลั่วหรงมองดูสิ่งนี้อย่างคุ้นเคย“ธงชี้นำศพ” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนเย็นชาเล็กน้อย “ไม่แปลกใจแล้วที่วันนี้จวนมหาราชครูจะมีผีดิบพวกนั้นอยู่ ดูเหมือนว่าคนเหล่านั้นจะกลายเป็นผีดิบอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะเข้ามาในจวน”“เพราะมีธงชี้นำศพซ่อนอยู่ในบ้าน พวกมันจึงสามารถปลอมแปลงเป็นคนธรรมดาได้ เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพียงแผนการชั่วร้ายเล็ก ๆ อีกแล้ว”หากในวันนี้พวกเขาไม่อาจค้นพบได้ทันเวลา ผีดิบเหล่าน
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้
ตามแผนที่นั้น ลั่วชิงยวนนำทางพวกเขาอ้อมไปอ้อมมา ในที่สุดก็มาถึงถ้ำที่โหยวเซียงผลักนางลงไปเนื่องจากก่อนหน้านี้โหยวเซียงนำคนมาไล่ตามพวกนางจากด้านล่าง ด้านบนจึงไม่มีสิ่งใดปิดบังแล้วและบนผนังหินก็มีเถาวัลย์ยาวห้อยลงมาด้วยเมื่อลองดึงเถาวัลย์นั้นก็พบว่าแข็งแรงมาก“ไปกันเถอะ”คนใบ้ยังคงเดินนำหน้า เขาจับเถาวัลย์ปีนขึ้นไปเมื่อขึ้นไปถึงด้านบนแล้วลั่วชิงยวนก็ปีนตามไปสุดท้ายก็ดึงโฉวสือชีขึ้นไปทัศนวิสัยเบื้องหน้าพลันสว่างและกว้างขึ้นลั่วชิงยวนมองไปที่คนใบ้ “ยามนั้นเจ้าถูกลากตัวมาที่นี่หรือ?”คนใบ้พยักหน้าโฉวสือชีกล่าวว่า “ข้าก็เหมือนจะเคยมาที่นี่เช่นกัน รู้สึกว่าที่นี่มีพลังหยินเข้มข้นนัก”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ถูกต้อง ก็ที่นี่แหละ”นี่คือจุดหมายที่สองของพวกเขาลั่วชิงยวนทำได้เพียงค้นหาไปทีละแห่ง ตามตำแหน่งที่อยู่ใกล้พวกนางมากที่สุดนางหยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ออกมาเริ่มค้นหาตำแหน่งที่แน่นอนทั้งสามถือโอกาสพักผ่อนในป่าสักครู่และหาอะไรกินเพื่อเติมพลังยามนี้ก็บ่ายแล้ว เห็นได้ชัดว่าฟ้าใกล้จะมืดลง ทั้งสามจึงออกเดินทางต่ออีกครั้งจนได้พบถ้ำแห่งหนึ่งด้านนอกถูกปกคลุมไปด้วยพุ่มไม้หนา เ
ทั้งสามรีบวิ่งหนีไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วในมิช้า โหยวเซียงและต่งอวิ๋นซิ่วก็นำผู้คนจำนวนมากมาถึงที่นี่อย่างรีบร้อนแต่เมื่อทั้งคณะพุ่งเข้าไปในถ้ำ กลับพบว่าสิ่งนั้นหายไปแล้ว!สีหน้าของต่งอวิ๋นซิ่วเปลี่ยนไป นางตวาดเสียงดัง “ตามหาให้ทั่ว!”“ข้ามิเชื่อหรอกว่าจะยังมีใครที่เดินเหินไปมาอย่างอิสระในเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ได้!”ยามนี้ลั่วชิงยวนมีแผนที่อยู่ในมือ นางสามารถเดินไปไหนมาไหนในเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ได้อย่างอิสระจริง ๆนางถึงขนาดรู้ทุกซอกทุกมุมในเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ดีกว่าต่งอวิ๋นซิ่วและพรรคพวกด้วยซ้ำเพราะนั่นคือแผนที่ที่อวี๋ตันเฟิ่งวาดให้นาง ซึ่งละเอียดลออยิ่งส่วนพวกต่งอวิ๋นซิ่ว ท้ายที่สุดแล้วความทุ่มเทที่พวกนางมีต่อเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ย่อมมิอาจเทียบกับอวี๋ตันเฟิ่งได้ ความเข้าใจที่พวกนางมีจึงด้อยกว่าอวี๋ตันเฟิ่งลั่วชิงยวนเดินตามแผนที่ มิได้วิ่งหนีเข้าไปในหน้าผาหากไปในเส้นทางนั้นก็อาจถูกตามทันได้ขณะที่วิ่งหนี ลั่วชิงยวนก็แหงนหน้ามองตามผนังหินไปด้วยในที่สุดก็พบทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่งแม้จะสูงไปสักหน่อยแต่ทางขึ้นไปก็มิได้ชันมาก ปีนป่ายขึ้นไปก็ได้แล้ว“ปีนขึ้นไปทางนั้น!”เมื่อ