มีภาพวาดแขวนอยู่บนผนังตรงทางเข้าด้านหน้า มันเป็นภาพเหตุการณ์เพลิงไหม้รุนแรง ยังประกอบไปด้วยสตรีและเด็กอยู่ในภาพนั้น ก่อนจะมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นพวกเขาพยายามดิ้นรนหลบหนี แต่ก็ไม่อาจหนีจากเพลิงที่โหมกระหน่ำมาได้เมื่อหนีไม่ทัน พวกเขาจึงต้องตายในเปลวเพลิง“น้องหญิงชิงยวน?”เมื่อเห็นว่านางตะลึงไป ลั่วหลางหลางก็เอ่ยเรียกจากนั้นลั่วชิงยวนก็กลับมามีสติอีกครั้ง และยิ่งมองเข้าไปใกล้มากขึ้น ภาพวาดนั้นก็แสดงให้เห็นภาพของสตรีกิริยาอ่อนโยนกำลังอุ้มเด็กเอาไว้ผู้คนในภาพดูคล้ายจะมีชีวิตอยู่อย่างไร้กังวลลั่วชิงยวนขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัวหลังจากที่ลั่วหลางหลางเข้าไปในห้อง ลั่วชิงยวนก็ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก ทั้งห้องเต็มไปด้วยภาพวาดที่คล้ายกันมีทั้งรูปเดี่ยวของสตรีและรูปเดียวของเด็กแขวนอยู่ด้วยจะเห็นได้ว่า ภาพวาดเหล่านี้ไม่ได้ถูกวาดโดยศิลปินคนเดียวกันทั้งหมด อีกทั้งมันยังมีรูปแบบการวาดที่แตกต่างกันอีกด้วย และแน่นอนว่าภาพวาดบุคคลเหล่านี้ถูกวาดตามคำอธิบายของมหาราชครูลั่ว นั่นก็เพราะว่าเขามีภาพวาดในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน แต่ให้ความรู้สึกราวกับเป็นคนละคนเกือบทั้งห้องถูกรายล้อมไปด้วยภาพบุคคลและสิ
ลั่วหลางหลางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลั่วชิงยวน ครั้นยังวัยเยาว์พวกนางมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แม้ว่าแม่ของพวกนางจะไม่ยอมให้พวกนางคบหากัน แต่พวกนางก็จะได้พบกันโดยบังเอิญในโอกาสพิเศษบางอย่างและจะได้เล่นด้วยกันเสมอหลังจากที่ลั่วชิงยวนป่วยและมีรูปร่างอวบอ้วนขึ้น พวกนางก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยนั่นเพราะลั่วชิงยวนไม่ยอมออกมานอกจวน“ถ้าท่านปู่รองได้รับรู้ถึงอาการของอวิ๋นสี่ เขาจะต้องกังวลและเศร้าโศกเป็นแน่ อีกทั้งเขาทำเรื่องพวกนี้ก็เพราะต้องการอัญเชิญวิญญาณของคนที่เขารัก ทั้งจะทำให้เขาตำหนิตัวเองเปล่า ๆ เช่นนั้นเราอย่าได้บอกเรื่องนี้กับท่านปู่จะดีกว่า"เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วชิงยวน ดวงตาของลั่วหลางหลางก็เป็นประกายขึ้น นางพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม "เจ้านี่คิดได้รอบคอบทีเดียว"“น้องหญิงชิงยวน ยังฉลาดเหมือนตอนเด็กไม่มีผิด!”ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนข้างนอกต่างหัวเราะเยาะลั่วชิงยวน ด่าว่าลั่วชิงยวนว่าเป็นหมู นางรวบรวมความกล้าโต้เถียงกับพวกคนเหล่านั้นอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังถูกรังแกอย่างน่าสังเวชอยู่ดีนางไม่อาจปกป้องลั่วชิงยวนได้ และรู้สึกเสียใจทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ทันทีที่ได้เห็นนางว
ลั่วหรงเข้ามาฟังลั่วชิงยวนกระซิบหลังจากได้ยินสิ่งนี้ ดวงตาของลั่วหรงเป็นประกาย "เจ้าทำเช่นนั้นได้จริงหรือ?”“เชื่อข้าเถิด” ลั่วชิงยวนยิ้มและพยักหน้าอย่างมั่นคงลั่วหรงคิดว่า ตนไม่ใช่คนประเภทเชื่อใจใครง่าย ๆ ยังไม่รวมว่านางเพิ่งกลับใจได้เมื่อคืน และไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไรแต่เมื่อได้เห็นท่าทางมั่นใจของลั่วชิงยวน นางก็รู้สึกว่ามันน่าเชื่อถืออย่างอธิบายไม่ถูก“เอาล่ะ ข้าขอโทษที่รบกวนเจ้า! หากมันได้ผลจริง ข้าจะขอบคุณเจ้ามาก!” ลั่วหรงยกแขนขึ้นและโค้งคำนับลั่วชิงยวนช่วยพยุงนางไว้และพูดว่า "ท่านอา ข้าเต็มใจช่วย เพราะการช่วยท่าน ข้าก็เหมือนได้ช่วยตัวข้าเองด้วย"ว่ากันตามตรง การให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาก็ถือเป็นประโยชน์ของตัวนางเองด้วยสิ่งนี้ทำให้ลั่วหรงรู้สึกชอบลั่วชิงยวนขึ้นอีกเล็กน้อยอาจกล่าวได้ว่า ลั่วชิงยวนไม่ได้ประสงค์ร้ายอะไร จุดประสงค์ของนางค่อนข้างชัดเจน แล้วไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ทั้งยังสามารถสัมผัสได้ถึงความจริงใจของนางอีกด้วยลั่วชิงยวนบอกกับพวกนางถึงสิ่งที่ต้องระวังเป็นพิเศษ และวิธีจัดการกับสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นก่อนที่นางจะเดินทางออกจากจวนมหาราชครูไป
ทันใดนั้นก็มีเสียงอันสง่างามดังมาจากด้านหลัง“เมื่อคืนนี้ พระชายาอยู่ที่จวนของหม่อมฉันจริง ๆ เพคะ!”ลั่วชิงยวนหันหลังกลับไปมองและเห็นลั่วหรงเดินมาอย่างช้า ๆ โดยมีนางรับใช้อยู่เบื้องหลังนางหลายคน ในมือนางถือถุงผ้าเอาไว้นางจึงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อยฟู่เฉินหวนเองก็ประหลาดใจเช่นกันเมื่อเห็นผู้มาเยือน และสุภาพขึ้นกว่าเก่า "ฮูหยินลั่ว"ฮูหยินลั่วหรงสาวเท้าเข้ามาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า นางเหลือบมองลั่วชิงยวนแล้วพูดว่า "ชิงยวนช่วยหม่อมฉันได้มากทีเดียว แถมหม่อมฉันยังไม่มีเวลาได้ขอบคุณเลยด้วยซ้ำ เพราะมาคิด ๆ ดูแล้ว หม่อมฉันรู้สึกว่า มันไม่เหมาะสม หม่อมฉันจึงตั้งใจนำโอสถมาให้นาง”ลั่วหลางหลางย้ำเตือน ลั่วชิงยวนเคยป่วยหนักมาก่อน เพราะเหตุนี้นางถึงได้เป็นสตรีอ้วนหน้าตาอัปลักษณ์จวนของนางมีเครื่องยาสมุนไพรมากที่สุด เพราะใครต่อใครต่างก็มอบของกำนัลมาให้ทุกปี จวนของนางไม่เคยรับของเหล่านั้นไว้เนื่องจากมันมีมูลค่ามากเกินไป เมื่อเวลาผ่านไปคนเหล่านั้นจึงเปลี่ยนมามอบเครื่องยาสมุนไพรแทน พวกเขาบอกว่าให้ใช้เพื่อรักษาโรคและบำรุงสุขภาพของมหาราชครู เช่นนั้นของขวัญเหล่านั้นจึงไม่ถูกปฏิเสธแม้ว่านางจะไ
ฟู่เฉินหวนศึกษาตำรารอจนถึงเที่ยง ก่อนที่ซูโหยวจะกลับมารายงาน “ท่านอ๋อง คนรับใช้ของจวนมหาราชครูนั้นแทบไม่ปริปากอะไรเลย กระหม่อมรู้แค่ว่า พระชายาพาลั่วอวิ๋นสี่กลับจวนไปเมื่อวานนี้ และฮูหยินลั่วก็ให้ที่พักแก่พระชายาเป็นเวลาหนึ่งคืนพ่ะย่ะค่ะ”“คนของกระหม่อมเเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้านนอกจวนมหาราชครูมานานกว่าหนึ่งก้านธูป ทุกคนในจวนม่วนอยู่กับการทำความสะอาดจวน ดูเหมือนเมื่อคืนจะมีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น แต่จวนมหาราชครูทั้งหลังกลับปิดสนิท ลอบสอบถามอะไรมิได้เลยพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟู่เฉินหวนก็มีร่องรอยความโกรธเกิดขึ้นระหว่างคิ้วทั้งสองข้างของตัวเองลั่วชิงยวนคิดจะทำอะไรกันแน่!แค่เพราะนางตามหาลั่วอวิ๋นสี่เจอ และเหตุใดฮูหยินลั่วถึงได้นำเครื่องยาสมุนไพรมามอบให้ด้วยตัวเองเช่นนี้ยิ่งไปกว่านั้น ของแทนน้ำใจทั้งหมดนั่นยังเป็นเครื่องยาสมุนไพรที่หายาก และมีราคาแพงมากอีกด้วยขณะที่เขากำลังคิดถึงเรื่องนี้ ก็มีเสียงฝีเท้าและเสียงร้องอันคุ้นหูดังอยู่ข้างนอก“ท่านอ๋อง...” ลั่วเยวี่ยอิงเจ็บปวดมากจนพูดไม่ชัด น้ำตาของนางไหลอาบหน้า อีกทั้งดวงตายังบวมจากการร้องไห้เพิ่มเข้าไปอีกหัวใจของฟู่เฉินหวนเจ็บ
แต่ข้าไม่ได้คาดหวังว่า เมื่อถึงตอนค่ำจะได้รับข่าวของฟู่อวิ๋นโจวเสียก่อน“พระชายา ทุกคนในตำหนักต่างพูดกันถึงเรื่องนี้ วันนี้องค์ชายห้าถูกคนทำร้ายอยู่ข้างนอก! อาการบาดเจ็บสาหัส!”ลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อย "ถูกทำร้าย ได้อย่างไรกัน?"เขาเป็นถึงองค์ชายใครจะกล้าทำอะไรองค์ชายเช่นเขา?“ข้าได้ยินมาว่า… วันนี้ชายสูงศักดิ์กลุ่มหนึ่งกำลังนินทาพระชายา พูดจาส่อเสียดและดูหมิ่น องค์ชายห้าที่บังเอิญผ่านมาได้ยินเข้าจึงออกหน้าเถียงแทนอยู่สองสามคำ อีกฝ่ายกลับบอกว่าพระชายาก็ไม่ต่างจากองค์ชาย องค์ชายห้าทำกิริยาลับ ๆ ล่อ ๆ น่าเกลียด และเป็นชู้กับสตรีไปทั่ว”“องค์ชายห้าโกรธจึงเริ่มลงไม้ลงมือกับพวกเขาบางคน เป็นผลให้ร่างอันอ่อนแอขององค์ชายห้าถูกคนกลุ่มนั้นทำร้ายจนลงไปกองกับพื้นลุกขึ้นยืนแทบไม่ไหว ว่ากันว่าพระองค์ถูกหามกลับเข้ามาในตำหนัก ด้วยอาการสาหัส ช่างน่าอนาถจริง ๆ!”แม่นมเติ้งแทบจะทนเล่าจนจบไม่ไหวลั่วชิงยวนรู้สึกแย่ลงไปอีกเมื่อนางได้ยินว่า อีกฝ่ายบาดเจ็บเพราะต้องการที่จะปกป้องไม่ให้นางเสียหาย“แม่นมเติ้ง ไปดูทีเถิดว่าอาการบาดเจ็บขององค์ชายห้าเป็นอย่างไรบ้าง”เนื่องจากตอนนี้ค่ำมืดแล้ว นางจึงรู้สึกไ
“พระชายา… แล้วเราควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ? ก่อนหน้านี้องค์ชายห้าได้มอบโอสถให้พระชายามากมาย แต่ตอนนี้เขากำลังลำบาก...” แม่นมเติ้งแทบทนไม่ได้“เราจะทำอะไรได้เล่า?” ดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชาและเดินออกจากห้องไปนางตรงไปที่ห้องตำราของฟู่เฉินหวนทันทีนางรู้ว่าฟู่เฉินหวนจงใจปฏิเสธที่จะรักษาฟู่อวิ๋นโจวด้วยยาเพื่อบังคับให้นางนำบัวหิมะเทียนซานมาแลกเปลี่ยน นางเกรงว่าหากนางตรงไปที่เรือนทักษิณานางจะไม่อาจเข้าไปที่นั่นได้นางจึงจำเป็นต้องไปหาฟู่เฉินหวนเท่านั้น!ในห้องตำรา ร่างที่เย็นชานั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ปลายนิ้วของเขาเคาะที่จับเก้าอี้ช้า ๆ อย่างสบายใจ สีหน้าของเขาดูสงบและติดจะฟุ้งซ่านอยู่บ้างแต่ในสายตาของลั่วชิงยวน นี่เป็นท่าทางที่เย่อหยิ่งที่สุดเขาดูไม่แปลกใจเลยกับการมาถึงของนาง แถมยังไม่ถามด้วยซ้ำว่า นางมาทำอะไรที่นี่ ราวกับว่าเขารู้ทุกอย่างดีอยู่ก่อนแล้ว“เหตุใดท่านไม่ทรงยอมให้หมอกู้ใช้โอสถรักษาองค์ชายห้า ท่านอยากให้เขาตายอยู่ที่ตำหนักนี้งั้นหรือ?”น้ำเสียงของลั่วชิงยวนเย็นชาฟู่เฉินหวนหรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาล้ำลึกราวกับทะเลสาบน้ำแข็ง“มาถึงที่นี่เพื่อไถ่ถามข้า
เพียงแต่ เรื่องราวมิง่ายเสียขนาดนั้น ลั่วชิงยวนนั่งอยู่ภายในห้อง หนังตากระตุกแรง เดิมทีนางอยากจะวาดภาพ แต่อย่างไรก็สงบลงมิได้ จึงล้มเลิกไป“พระชายามีเรื่องรำคาญใจอะไรหรือเจ้าคะ” แม่นมเติ้งถามไถ่อย่างห่วงใย ลั่วชิงยวนเงยหน้ามองท้องฟ้าราตรีที่ไร้ซึ่งดวงดาว และกล่าวพึมพำ “คืนนี้ อาการของลั่วเยวี่ยอิงจะสาหัสขึ้น เจ้าว่า ฟู่เฉินหวนจะมีการตอบสนองอย่างไรกัน?” ลั่วชิงยวนยกมือกดหน้าอกของตนอย่างอดไม่ได้ เพื่อหวังประโลมความเจ็บใจและอาการหายใจไม่ออกของตน “ข้าเพียงรู้สึกเจ็บใจ จึงอยากจะระบาย” และอยากระบายให้กับลั่วชิงยวนคนเดิมด้วย เขาทำทุกวิธีเพื่อช่วยคนในใจ จนทำร้ายและลงมือกับนางครั้งแล้วครั้งเล่า ในใจนาง มีความโกรธเคืองที่ยังปล่อยวางมิได้ ยิ่งเขาเป็นแบบนี้ นางยิ่งไม่อยากให้ลั่วเยวี่ยอิงได้ใช้ชีวิตที่ดี เหตุใดทุกคนจึงต้องรังแกนางกันหมด นางไม่ได้มีชีวิตที่ดี คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตที่ดี ไม่ทันได้กล่าววาจาใด นอกเรือนมีเสียงร้องไห้ที่เจ็บปวดจวนตายดังขึ้น พร้อมกับเสียงฝีเท้าร้อนรน แม่นมเติ้งได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปฉับพลัน นางรีบลุกขึ้นไปตรวจดูทันที ประตูเรือนถูกเตะออกด้วยแรง
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา
ฟู่จิ่งหานมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่กลับรู้สึกผิดเล็กน้อยที่พระราชโองการนั้นทำให้ลั่วชิงยวนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ จึงพูดว่า “มิเป็นอะไร การประลองครั้งนี้ก็มิได้ห้ามมิให้แคว้นเพื่อนเรือนเคียงเข้าร่วม”“พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการสามารถเอาชนะองค์ชายเผ่านอกด่าน แล้วยกให้เป็นน้องชายได้ นับว่าความสามารถเป็นที่ประจักษ์แก่ข้าแล้ว!”“พระชายามีบาดแผล อนุญาตให้พระชายาและองค์ชายหล่างมู่ออกไปก่อนได้”ลั่วชิงยวนก้มหน้าลงเล็กน้อย “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”แล้วหล่างมู่ก็พยุงลั่วชิงยวนออกไปเนื่องจากหอฝูเสวี่ยอยู่มิไกลและสามารถมองเห็นการประลองจากชั้นสามได้ ลั่วชิงยวนจึงพาหล่างมู่ไปพักผ่อนที่หอฝูเสวี่ยก่อนซิ่งอวี่ต้มยามาให้นางกินลั่วชิงยวนนั่งข้างหน้าต่าง มองดูการประลองที่ยังคงดำเนินต่อไป เมื่อเห็นฟู่อวิ๋นโจวเอาชนะทุกคนได้ นางก็รู้ว่าเขากำลังจะเข้าสู่ราชสำนักแล้ว“พี่หญิง ยังเจ็บบาดแผลอยู่หรือไม่ขอรับ?” หล่างมู่ยกชามาให้หนึ่งถ้วยลั่วชิงยวนส่ายหน้า “มิเป็นอะไรแล้ว บาดแผลมิสาหัส พักสักสองสามวันก็หาย”“หล่างมู่ เจ้ามาเมืองหลวงได้อย่างไร? ในเผ่านอกด่านเกิดเรื่องใหญ่อันใดหรือไม่? รีบร้อนมาเช่นนี้เลยหรือ?
ฟู่อวิ๋นโจว!หล่างมู่กำหมัดแน่น แล้วกระโจนเข้าไปอีกครั้งผู้คนมากมายต่างเป็นห่วงฟู่อวิ๋นโจว หล่างมู่เป็นคนเผ่านอกด่าน ฝีมือของเขาเป็นที่ประจักษ์ของทุกคนแล้วร่างกายที่อ่อนแอของฟู่อวิ๋นโจวจะรับมือได้อย่างไรแต่ลั่วชิงยวนรู้ดีว่าเวลาที่ฟู่อวิ๋นโจวปรากฏตัวนั้นเหมาะสม นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะแสดงความสามารถฟู่อวิ๋นโจวรับหมัดของหล่างมู่ได้อย่างแน่นอนจากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือดหลายสิบกระบวนท่าทำให้ผู้คนในที่นั้นต่างตกตะลึง“นี่คือองค์ชายห้าหรือ?”“ฝีมือของเขาแข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”“ใช่แล้ว มิใช่ว่าเขาป่วยอยู่หรอกหรือ?”ขณะที่ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ฟู่อวิ๋นโจวก็พบจุดอ่อนของหล่างมู่แล้ว จึงเหวี่ยงหล่างมู่ลงไปกับพื้น แล้วชกเข้าที่ใบหน้าของหล่างมู่ลั่วชิงยวนรีบวิ่งเข้าไปห้าม “หยุดนะ!”ฟู่อวิ๋นโจวสะดุ้งแล้วลดมือลงหล่างมู่ลุกขึ้นยืนและกำลังจะตอบโต้ แต่ถูกลั่วชิงยวนดึงไว้“หล่างมู่แพ้แล้ว” ลั่วชิงยวนประกาศผลทันทีสายตาของนางมองฟู่อวิ๋นโจวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “ขอแสดงความยินดีกับองค์ชายห้าเพคะ”เขายังคงมิได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและเรียบง่าย แต่กลั
ฟู่เฉินหวนใจตึงเครียดจนฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อลั่วชิงยวนพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่กลับไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้เหยียนผิงเซียวชกเข้าที่ท้องของลั่วชิงยวนอีกครั้ง เลือดสีแดงฉานพุ่งออกมาจากปากนางเหยียนผิงเซียวจิกผมของนางแล้วกระซิบข้างหูอย่างร้ายกาจว่า “เจ้าเก่งนักมิใช่หรือ! ทำให้ท่านพ่อของข้าต้องลาออกจากตำแหน่งกลับไปยังเมืองฉิน เจ้าเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของตำหนักอ๋องนี่!”“เจ้าลองเดาดูสิว่าฟู่เฉินหวนจะช่วยเจ้าหรือไม่?”“แต่มิสำคัญแล้ว เพราะข้าต้องการเพียงให้เจ้าตายเท่านั้น!”เหยียนผิงเซียวใช้ร่างของลั่วชิงยวนบังสายตาของผู้คนส่วนมืออีกข้างที่กำหมัดแน่นมีแผ่นเหล็กแหลมคมติดอยู่ แล้วกระแทกลงไปที่ท้องของลั่วชิงยวนอย่างแรงลั่วชิงยวนเห็นอาวุธลับนั้นแล้วก็ตึงเครียดมากฟู่เฉินหวนแทบขาดใจ ความรู้สึกมิสบายใจอย่างรุนแรงถาโถมเข้ามาฟู่อวิ๋นโจวผู้นั่งอยู่มุมห้องใต้หลังคาก็กำมือแน่นด้วยความตึงเครียดเช่นกันแม้ว่าฝีมือของลั่วชิงยวนจะสู้เหยียนผิงเซียวมิได้ แต่ก็มิควรจะไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบโต้เช่นนี้จะลงมือช่วยนางตอนนี้เลยดีหรือไม่!ฟู่อวิ๋นโจวลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วในวินาทีนั้นเองเงาร่
ในมิช้าการประลองก็เริ่มขึ้นโชคดีที่ลั่วเยวี่ยอิงมิได้ก่อเรื่องวุ่นวายอีก นางเฝ้าดูการประลองอย่างสงบลั่วชิงยวนใช้โอกาสนี้ทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ ดาบและกระบี่นั้นไร้ตา ดังนั้นการประลองครั้งนี้จึงห้ามใช้ดาบและอาวุธลับแต่เมื่อปรมาจารย์ต่อสู้กันก็อาจจะควบคุมมือมิทัน เพื่อให้ทุกคนได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่ การประลองครั้งนี้ ความเป็นความตายจึงเป็นเรื่องของชะตาฟ้าลิขิตชัยชนะครั้งสุดท้ายมิใช่ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดสิ่งสำคัญคือการแสดงผลงานในระหว่างการประลอง ฟู่เฉินหวนจะคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นบางคนสำหรับฟู่จิ่งหาน การประลองครั้งนี้มิใช่เพียงการคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเท่านั้น แต่ยังเป็นการชมการประลองที่น่าตื่นเต้นด้วย ดังนั้นจึงมีความอิสระสูงทุกคนสามารถขึ้นไปท้าทายได้ หนึ่งรอบมีผู้แข่งขันสิบคน ผู้ชนะจะได้พักแล้วเข้าสู่รอบที่สองดังนั้นผู้ชนะในแต่ละรอบจะสามารถท้าทายคู่ต่อสู้ที่ตนคิดว่าแข็งแกร่งกว่าได้อย่างอิสระการประลองรอบแรกจบลงอย่างรวดเร็ว ฟู่เฉินหวนกับฟู่จิ่งหานวิเคราะห์ผู้ที่เหมาะสมในรอบนี้อย่างจริงจังฟู่จิ่งหานพยักหน้าให้ขันทีที่ยืนอยู่ด้านข้างจดบันทึกชื่อทุกอย่าง
“พระชายา เหตุใดมิลงไปหามาให้ข้าเล่า? หากขุดพบรากบัวได้สองหัว ข้าจะเมตตาตกรางวัลให้อย่างงาม!”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความเยาะเย้ยและหยิ่งผยองนั้น มิใช่ปฏิบัติต่อลั่วชิงยวนดุจพระชายา หากแต่ปฏิบัติเสมือนทาสบริวารเหล่าผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึงพรึงเพริดตำแหน่งของลั่วชิงยวนในตำหนักอ๋องนั้นต่ำต้อยถึงเพียงนี้เชียวหรือ?ฟู่เฉินหวนอดรนทนมิไหวอีกต่อไป จึงพูดเสียงเย็นเยียบว่า “ฤดูกาลนี้จะมีรากบัวอยู่ได้อย่างไร มิต้องลำบากเช่นนั้นเลย”ลั่วเยวี่ยอิงกลับคว้าแขนฟู่เฉินหวนพลางทำท่าทางออดอ้อน“ไม่เพคะ ท่านอ๋อง เผื่อว่าจะมีก็ได้! โปรดให้พระชายาลงไปค้นหาดูเถิดเพคะ!”นางกล่าวจบก็ถอดกำไลหยกที่ข้อมือ แล้วขว้างลงไปในบึงจากนั้นเชิดหน้าพูดกับลั่วชิงยวนว่า “ไปสิ กำไลหยกวงนี้เป็นรางวัลของเจ้า!”ท่าทางเช่นนี้ประหนึ่งว่ากำลังสั่งการสุนัขตัวหนึ่งฟู่เฉินหวนกำมือแน่น รู้สึกปวดร้าวที่ศีรษะอย่างยิ่งลั่วชิงยวนเห็นดังนั้นก็กังวลเพราะอาการของฟู่เฉินหวน นัยน์ตานางฉายแววเย็นชาขณะมองหน้าลั่วเยวี่ยอิง แล้วหันหลังกระโดดลงไปในสระน้ำเมื่อเสียงน้ำกระเพื่อมดังขึ้น เสียงฮือฮาต่างก็ดังมาจากทั่วบริเวณ“นางกระโดดลงไปจริง ๆ
“องค์จักรพรรดิทรงมีรับสั่งว่าการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ต้องการให้ท่านอ๋องคัดเลือกผู้มีความสามารถ จึงอนุญาตให้ท่านอ๋องพาพระชายาทั้งสองไปชมการประลองได้พ่ะย่ะค่ะ!”ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วฟู่เฉินหวนรับพระราชโองการมาดู แล้วพบว่าเป็นพระราชโองการจริงจิ่นชูมองแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ครั้งนี้องค์จักรพรรดิทรงรับสั่งให้ท่านอ๋องพาพระชายาทั้งสองไปด้วย เหตุใดจึงมิเห็นพระชายารองหรือเพคะ?”ยามนี้ลั่วเยวี่ยอิงรู้ข่าวการประลองยุทธ์แล้ว นางส่งเสียงโวยวายอยากไปด้วยอยู่หน้าประตู “ท่านอ๋อง! ท่านอ๋องเพคะ! พาหม่อมฉันไปด้วยเถิดเพคะ!”จิ่นชูได้ยินเสียงนี้แล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ท่านอ๋องอย่าลืมพระชายารองนะเพคะ”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้ว “การประลองยุทธ์มิเกี่ยวกับนาง นางมิจำเป็นต้องไปก็ได้”จิ่นชูถามด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นท่านอ๋องจะขัดต่อพระราชโองการหรือเพคะ?”คำพูดนี้ทำให้ฟู่เฉินหวนจำต้องพาลั่วเยวี่ยอิงไปด้วยเพราะสุดท้ายแล้วนั่นก็คือพระราชโองการมหาราชาจารย์เหยียนเพิ่งลาออก ตระกูลเหยียนกำลังตกต่ำ หากเขาขัดพระราชโองการในเวลานี้ก็จะดูเหมือนอวดดี มิเคารพองค์จักรพรรดิฟู่เฉินหวนสบตากับลั่วชิงยวน ทั้งสองต่างก็รู้สึกว่าครั้
ฟู่เฉินหวนตกใจเมื่อได้ฟังถ้อยคำของลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนอธิบาย “หม่อมฉันได้คำนวณดูแล้ว เหตุการณ์วุ่นวายในแคว้นเทียนเชวียกำลังจะอุบัติขึ้น เริ่มต้นจากทางทิศใต้เพคะ”“และเมืองฉินก็ตั้งอยู่ทางทิศใต้พอดี!”“ตระกูลเหยียนรุ่งเรืองมาจากเมืองฉิน มีอิทธิพลสูงส่งยิ่งนัก การที่มหาราชาจารย์เหยียนลาออกจากตำแหน่งแล้วกลับไปยังเมืองฉินอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เกรงว่าจะมีอำนาจมืดใหญ่หลวงซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังเพคะ”เมื่อฟู่เฉินหวนก็ได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นกว่าเดิม“เช่นนั้นก็แสดงว่าตาแก่ผู้นี้จะเริ่มแผนการแล้วสินะ”กล่าวจบ ฟู่เฉินหวนก็คว้ามือของลั่วชิงยวนไว้ “ชิงยวน ขอบใจเจ้ามาก”ลั่วชิงยวนถึงกับตะลึงงันไป “ขอบใจหม่อมฉันเรื่องอะไรเพคะ?”“ขอบใจเจ้าที่บอกเรื่องสำคัญเช่นนี้แก่ข้า”ลั่วชิงยวนถามด้วยความสงสัย “แล้วท่านจะทำอย่างไรเพคะ?”ฟู่เฉินหวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาฉายแววเย็นชา “เมื่อเขาลาออกจากตำแหน่งแล้วออกจากเมืองหลวง เช่นนั้นก็อย่าให้เขากลับมาได้อีกเลย!”ลั่วชิงยวนก็เห็นด้วยกับวิธีการนี้มีเพียงมหาราชาจารย์เหยียนสิ้นชีพลงเท่านั้น ทุกอย่างจึงจะสงบลงได้“หม่อมฉันจะ
ฟู่เฉินหวนเก็บขนมกุ้ยฮวาไปด้วยความผิดหวัง แล้วพูดปลอบโยน “มิเป็นอะไร รอชิมฝีมือหัวหน้าพ่อครัวเถิด”ดูเหมือนจะมิถูกใจ ถึงแม้เขาจะเรียนรู้จากหัวหน้าพ่อครัว แต่รสชาติก็ยังแตกต่างออกไป ดูเหมือนต้องฝึกฝนให้มากขึ้นลั่วชิงยวนเห็นความผิดหวังในสายตาของเขา จึงยกยิ้มหวานแล้วพูดว่า “หวานมาก! อร่อยมากเพคะ!”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเมื่อเห็นรอยยิ้มที่เย้ายวนใจ ใจชายหนุ่มก็รู้สึกหวั่นไหว จึงอดมิได้ที่จะประคองหน้าลั่วชิงยวนแล้วจุมพิตถึงแม้จะรู้ว่านางอาจจะปลอบใจเขา แต่เพียงเห็นรอยยิ้มของนางเขาก็สุขใจมากแล้วหัวหน้าพ่อครัวมองไปทางอื่น ทำเป็นมิเห็นในมิช้า อาหารและขนมก็ถูกยกมาอย่างต่อเนื่องทั้งสองกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุขจนดึกดื่นเมื่อออกจากหอหมื่นสุข ลั่วชิงยวนอิ่มจนแทบจะเดินมิไหวฟู่เฉินหวนจับมือลั่วชิงยวนเดินไปข้างหน้า “เดินเล่นสักหน่อย แล้วเดี๋ยวข้าค่อยส่งเจ้ากลับ”ลั่วชิงยวนเรอเบา ๆ “ท่านตั้งใจจะทำให้หม่อมฉันอ้วนขึ้นหรือเไร หากหม่อมฉันอ้วนเหมือนเดิม ท่านก็จะดีใจใช่หรือไม่เพคะ?”ฟู่เฉินหวนอุ้มนางขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าฉลาดมาก”“ท่าน!” ลั่วชิงยวนยกมือขึ้นฟู่เฉินหวนจับมือน