ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “หากเจ้าสามารถรักษาฉินเชียนหลี่ได้จริง ๆ ข้าก็จะตกลง”“แต่เงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ในตอนแรกจะมิสามารถใช้ได้อีกต่อไป” “สามารถมอบม้าและวัวให้แก่เจ้าได้ทั้งหมด แต่เมืองผิงหนิงจะมิสามารถเปิดประตูให้แก่เจ้าได้อีกต่อไป”“และเงื่อนไขของข้าจะต้องมีการเพิ่มอีกข้อหนึ่ง”“คือต้องตัดหัวของหล่างชิ่นมาแลก”เมื่อทุกคนได้ฟังดังนั้นก็ตกใจลั่วชิงยวนตอบตกลงในทันที “ได้! พาข้าไปหาฉินเชียนหลี่ก่อน”“นำตัวพวกเขากลับไปขังไว้ก่อน” ฟู่เฉินหวนสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาจากนั้นก็พาลั่วชิงยวนเดินจากไป……เมื่อเข้ามาในห้องลั่วชิงยวนเห็นกรงเหล็กนั้นมันเป็นกรงเหล็กที่แคบมาก แขนขาของฉินเชียนหลี่ถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนทั้งสี่ สภาพยับเยินน่าสังเวชเมื่อเห็นภาพนี้ ความเกลียดชังที่ลั่วชิงยวนมีต่อหล่างชิ่นก็เพิ่มขึ้นหลายเท่าลั่วชิงยวนเดินไปจับข้อมือของเขาแต่ฉินเชียนหลี่กลับมิได้สติและคำรามใส่นางยื่นมือออกมาหมายจะตะปบลั่วชิงยวนอย่างแรงในเสี้ยววินาทีนั้น ฟู่เฉินหวนก็จับไหล่ของลั่วชิงยวนแล้วดึงถอยหลังกลับมาหลบหลีกฝ่ามือของฉินเชียนหลี่ได้ทันลั่วชิงยวนฉวยโอกาสนี้คว้าข้อมือข
“ถูจิน หงเซียว พวกเจ้าคิดกบฏหรือ? จับตัวลั่วชิงยวนมาให้ข้า!”ลั่วชิงยวนตกใจเป็นไปมิได้ราชาเผ่านอกด่านมิได้ตั้งใจจะสู้รบต่อไป แม้ว่าจะต้องต่อต้านกองทัพที่ล้อมรอบเพื่อปกป้องตนเอง แต่ก็เป็นไปมิได้ที่จะมอบบัลลังก์ให้แก่หล่างชิ่นหล่างมู่วิ่งเข้าไปในเมืองเพื่อช่วยนาง แต่กลับถูกจับตัวไป อาจเป็นฝีมือของหล่างชิ่นก็ได้นางต้องการเป็นรัชทายาทเพียงคนเดียวในยามวิกฤติครั้งนี้สายตาเฉียบคมของถูจินและหงเซียวสบกันแล้วกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “หล่างชิ่น เจ้าทำอะไรลงไป?”“องค์ราชาได้มอบบัลลังก์ให้แก่หยวนหนิงแล้ว เป็นไปมิได้ที่จะมอบให้แก่เจ้า!”แววตาของหล่างชิ่นฉายแววโหดเหี้ยม“หยวนหนิง หยวนหนิง! พวกเจ้าบ้าไปแล้วรึ? คิดว่าลูกสาวอัครเสนาบดีแคว้นเทียนเชวียเป็นลูกสาวราชาเผ่านอกด่านงั้นรึ?”“นางคือลั่วชิงยวน! เป็นชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการ!”“ดี ในเมื่อพวกเจ้ายอมรับลั่วชิงยวนแล้ว ข้าก็จะมิเกรงใจความเป็นพี่น้องอีกต่อไป”“ทหาร! จับตัวไปให้หมด!”ลู่หยิ่งก็เข้าร่วมการต่อสู้ด้วยลั่วชิงยวนถูกปิดล้อมอย่างหนัก นางรับมืออย่างตึงเครียด พยายามฝ่าวงล้อมเข้าไปในกระโจมเพื่อดูว่าราชาเผ่านอกด่านเป็นอย่างไรบ้า
“แม้เจ้าจะมิใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของข้า แต่ตลอดหลายปีมานี้ ข้ามิเคยปล่อยให้เจ้าต้องลำบากเลย”“และยังปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนลูกสาวแท้ ๆ เสมอ”แววตาของราชาเผ่านอกด่านมีความเจ็บปวด หล่างชิ่นเพิ่งรู้ในตอนนี้ว่าทุกสิ่งที่นางทำไปล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของเขาดวงตาของหล่างชิ่นเต็มไปด้วยน้ำตาขณะหัวเราะเยาะ “ใช่! ข้าเป็นเพียงตัวแทนที่ท่านรับมาเลี้ยงเพื่อปลอบใจตัวเองเท่านั้น”“ดังนั้นข้าจะยังมีทางรอดอยู่อีกหรือ ข้าทำได้เพียงเท่านี้เพราะท่านเป็นคนบังคับข้าเอง!”นางรู้มาตั้งแต่เด็กว่าพ่อมีลูกสาวที่ล่วงลับไปแล้วในห้องที่พ่อของนางอยู่มีภาพวาดของหยวนหนิงมากมาย รวมถึงมีสิ่งของของหยวนหนิงอยู่ทุกหนทุกแห่งนางอิจฉายิ่งนัก นางคิดว่าตราบใดที่นางพยายามอย่างหนักและแข็งแกร่งพอ พ่อก็จะลืมหยวนหนิงและมีเพียงนางในใจแต่ในวันนี้นางเพิ่งรู้ว่านางมิใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อดังนั้นความพยายามทั้งหมดของนางจึงสูญเปล่านางไม่มีวันแข่งกับหยวนหนิงที่ตายไปแล้วได้ราชาเผ่านอกด่านถอนหายใจ “ทุกอย่างเป็นทางเลือกของเจ้าเอง ไม่มีใครบังคับเจ้า”“เมื่อเจ้าลอบสังหารเหยี่ยนหลัว ข้ายังให้โอกาสเจ้า”“แต่เจ้ากลับทำให้ข้าผิดหวัง”รา
“กรี๊ด” เสียงกรีดร้องโหยหวนอันน่าสยดสยองดังก้องกังวานไปทั่ว พร้อมกับเสียงร้อนฉ่าที่น่าสะพรึงกลัว ภาพอันน่าเวทนาปรากฏอยู่เบื้องหน้าลั่วชิงยวนมิได้กะพริบตาแม้แต่น้อย เมื่อวางเหล็กเผาไฟลง ใบหน้าของหล่างชิ่นก็ปรากฏบาดแผลไหม้เป็นรูปอักขระหนึ่งทาส“เจ้าชอบบังคับให้ผู้อื่นเป็นทาสของเจ้านักมิใช่รึ? บัดนี้จงลิ้มลองรสชาติของการเป็นทาสดูบ้างแล้วกัน”“ทุกสิ่งที่เจ้าได้กระทำต่อฉินเชียนหลี่ เจ้าจะได้รับผลตอบแทนเป็นสองเท่า”ดวงตาของหล่างชิ่นแดงก่ำ โซ่ตรวนที่พันธนาการร่างกายไว้สั่นไหว“ลั่วชิงยวน! หากเจ้ามิสังหารข้า สักวันข้าจะต้องสังหารเจ้า!”ลั่วชิงยวนยกยิ้มมุมปาก “เจ้าจะไม่มีโอกาสนั้น”ลั่วชิงยวนชักดาบออกมา ดาบที่เปล่งประกายราวกับแสงจันทร์ถูกปลดจากฝักจากนั้นค่อย ๆ แทงไปยังข้อมือของหล่างชิ่น คมดาบแทงทะลุข้อมือแล้วเฉือนเส้นเอ็นอย่างแช่มช้า เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังก้องไปทั่วคุกแล้วลั่วชิงยวนก็ค่อย ๆ เฉือนเส้นเอ็นที่มือและเท้าของหล่างชิ่นครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือฟาดลงไปที่ไหล่ของหล่างชิ่นอย่างแรง เสียงกระดูกหักดังกังวานอึกเลือดสีแดงฉานพุ่งออกมาจากปากหล่า
ลั่วชิงยวนยิ้มแล้วพยักหน้านางคิดว่าอาจเป็นเพราะราชาเผ่านอกด่านได้ประกาศสละบัลลังก์ให้แก่นางแล้ว หล่างมู่จึงหมดทางเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ และเปลี่ยนทัศนคติต่อนางไปมากถึงเพียงนี้เลยหรือ?เพราะอย่างน้อยนางกับเขาก็เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน ครั้งนั้นนางถึงขั้นเกือบเอาชีวิตมิรอดเลยทีเดียวเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า กองทัพก็หยุดพักตั้งค่ายพักแรม คนออกล่าสัตว์ก็ไปล่าสัตว์ ส่วนคนทำอาหารก็ทำอาการ กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งค่ายลั่วชิงยวนเดินเล่นแล้วบังเอิญไปพบกับบ่อน้ำพุร้อนจึงอยากอาบน้ำ เพราะต้องเฝ้าปกป้องเมืองมาสิบกว่าวัน ตอนนี้ตัวนางจึงเหม็นจนแทบทนมิไหวแล้วเนื่องจากไม่มีใครอยู่ใกล้ นางจึงแอบลงไปในน้ำอย่างเงียบเชียบ แต่มินานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น มีผู้ชายหลายคนมาตักน้ำที่นี่“เอ๊ะ เหมือนว่าจะมีคนอยู่ในน้ำ”ลั่วชิงยวนจึงตัดสินใจซ่อนตัวอยู่ในน้ำ มิกล้าโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ“ลงไปดูเลย! ขอให้อย่าเป็นศัตรู”หัวใจของลั่วชิงยวนเต้นแรงทันใดนั้นเสียงของหญิงสาวก็ดังขึ้น “ทำอะไรกันอยู่!”“พวกเราพี่หญิงน้องหญิงจะมาอาบน้ำที่นี่ พวกเจ้าออกไปกันก่อนเถิด”เหล่าชายหนุ่มจึงจากไป สักพักก็ได้ย
“จึงได้ช่วยให้เรารอดพ้นจากความตายหนีรอดออกมาได้”“พี่หญิงได้รับบาดเจ็บเพราะข้า มีไข้สูงติดต่อกันหลายวันจนเกือบเสียชีวิต แต่ขณะที่พี่หญิงหมดสติก็เอ่ยสั่งเสียอย่างหนักแน่น มิให้หมอแจ้งความจริงแก่เสด็จพ่อและเสด็จแม่”“สาเหตุพี่หญิงได้รับบาดเจ็บจึงถูกปกปิดไว้”“เพื่อช่วยให้ข้ารอดพ้นจากการลงโทษ”“ภายหลังที่พี่หญิงสิ้นชีพ ข้าเกือบจะตามไปด้วยแล้ว”“เสด็จพ่อบอกข้าว่า มีนักบวชผู้ทรงฤทธิ์สามารถช่วยพี่หญิงให้ฟื้นคืนชีพได้”“ดังนั้นจึงมีหล่างชิ่นมา”“เสด็จพ่อกล่าวว่า นางคือพี่หญิงที่ฟื้นคืนชีพแล้ว เพียงแต่สูญเสียความทรงจำในวัยเยาว์ไป ข้าจึงเชื่อ”“ถึงแม้ว่านิสัยของนางจะเปลี่ยนไป แต่ข้าก็ยังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะชดเชยและทำดีกับนาง”“อาจเป็นเพราะข้าหลอกตัวเองเพื่อลดความรู้สึกผิดในใจของตัวข้าเองมาโดยตลอด”น้ำเสียงของหล่างมู่หนักอึ้งเมื่อลั่วชิงยวนได้ฟังจบก็รู้สึกตกตะลึงในใจดังนั้นหล่างชิ่นจึงมิใช่ลูกสาวแท้ ๆ ของราชาเผ่านอกด่าน การปรากฏตัวของนางเป็นเพียงการหลอกลวงของราชาเผ่านอกด่าน เพื่อเป็นกำลังใจให้หล่างมู่มีชีวิตอยู่ต่อไปจึงมิน่าแปลกใจที่หล่างมู่ไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน มิได้คิด
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกใจยิ่งนัก “หมายความว่าอย่างไร?”หล่างมู่ครุ่นคิดแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เผ่านอกด่านของเรานั้น นอกจากเผ่าที่ท่านเห็นแล้วยังมีเผ่าเร่ร่อนอีกหลายเผ่า พวกเขามิได้ยอมสวามิภักดิ์และมิเชื่อฟังคำสั่งของเรา”“ดังนั้นจึงมักจะโจมตีผู้คนของแคว้นเทียนเชวียที่ชายแดนเพื่อแย่งชิงเสบียง”“หล่างชิ่นก็เคยทำเช่นนั้นมาแล้ว”“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉินเชียนหลี่ปักหลักอยู่ที่เมืองผิงหนิงและต่อสู้กับหล่างชิ่นหลายร้อยครั้ง หล่างชิ่นน่าจะหลงรักฉินเชียนหลี่ แต่ก็เกลียดชังเขาด้วยเช่นกัน”“นางมองฉินเชียนหลี่เป็นคู่ต่อสู้ ต้องการพิชิตเขาให้ได้ แต่ฉินเชียนหลี่มีจิตใจที่เข้มแข็ง มิยอมจำนน”“ด้วยความหลงใหลจนบ้าคลั่ง นางจึงร่วมมือกับตระกูลเหยียนด้วยเป้าหมายเพียงเพื่อจับฉินเชียนหลี่”“ข้าเคยได้ยินนางพูดกับฉินเชียนหลี่ว่า หากเขายอมสวามิภักดิ์ หล่างชิ่นจะรับเขาเป็นสามี เพียงแต่เขาต้องละทิ้งความคิดที่จะกลับไปแคว้นเทียนเชวีย”“แต่ฉินเชียนหลี่มิยอมตกลง ดังนั้นนางจึงลงโทษฉินเชียนหลี่อย่างโหดร้าย”“เป็นหล่างชิ่นเองที่เสนอแนะต่อเสด็จพ่อว่าให้โจมตีแคว้นเทียนเชวีย นางรบเร้าเสด็จพ่อมา
พระราชวังหลังหนึ่ง! มิใช่พระราชวังที่โอ่อ่าตระการตาเหมือนในแคว้นเทียนเชวีย แต่เป็นพระราชวังที่เงียบสงบและงดงามราวกับภาพวาด คล้ายคลึงกับที่พำนักที่อาจารย์เคยอาศัยอยู่มากอย่างมิน่าเชื่อ! แม้กระทั่งการจัดวางสิ่งของ ภาพเขียนและของสะสมต่าง ๆ ก็เหมือนกันทุกประการ เมื่อก้าวเข้ามาแล้ว ความรู้สึกคุ้นเคยที่หายไปนานก็ทำให้ใจของลั่วชิงยวนหวั่นไหว อารมณ์ที่ซับซ้อนหลั่งไหลออกมา“ดูเหมือนว่าที่นี่จะสร้างมานานแล้วสินะ”ราชาเผ่านอกด่านกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะเอามือไพล่หลัง “ที่นี่คือที่ที่พ่อสร้างให้นาง นางกล่าวว่า นี่คือรูปลักษณ์ของบ้านนางในแคว้นหลี”“ในอดีต นางได้เสียสละเพื่อพ่อมากมาย พ่อเกรงว่านางจะคิดถึงบ้านจนเศร้าใจ จึงสร้างที่นี่ให้เหมือนกับบ้านเดิมของนางทุกประการ”“การจัดวางสิ่งของ แม้กระทั่งโต๊ะและเก้าอี้ ล้วนเป็นฝีมือของพ่อเอง”ลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก “ฝีมือของท่านหรือ?”“ท่านกับนางมีความสัมพันธ์เช่นไรกัน?”“หรือว่านางตามท่านมา...”ดวงตาของราชาเผ่านอกด่านฉายแววเศร้าหมองขณะกล่าวด้วยความเสียใจ “หากจะกล่าวว่าไม่มีความรู้สึกรักเลยก็เป็นเท็จ หากปราศจากความรู้สึกรัก เราจะยอมท
และสองคือช่วยจือเฉาขนของสิ่งที่ทำให้จือเฉาตกใจคือ เดิมทีนางคิดว่าจะไปที่หอฝูเสวี่ยเพื่อเบิกเงิน แต่กลับพบว่าองครักษ์ช่วยจ่ายเงินให้นางจือเฉางุนงงตลอดทาง มิเข้าใจว่าท่านอ๋องต้องการทำอะไรกันแน่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ร้านค้าที่เปิดมีมิมาก ดังนั้นจือเฉาจึงต้องวิ่งไปหลายที่โดยเฉพาะการหาสมุนไพร นางแทบจะต้องเคาะประตูโรงหมอและร้านขายยาทั่วเมืองหลวง......ในคืนนั้นลั่วชิงยวนนอนซมอยู่บนเตียง ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกลมหนาวพัดโชยเข้ามา ทำให้ลั่วชิงยวนไอออกมา“แค่กแค่กแค่ก... จือเฉา ดูสิว่าหน้าต่างถูกลมพัดเปิดออกหรือไม่... แค่กแค่กแค่กแค่กแค่ก...”ลั่วชิงยวนไอมิหยุด ได้แต่มุดเข้าไปในผ้าห่มแต่ทันใดนั้น ผ้าห่มก็ถูกกระชากออกลั่วชิงยวนสะดุ้งตื่น เงยหน้าขึ้นจึงเห็นฟู่เฉินหวนนางพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง “ท่านจะทำอะไร?”นางอ่อนแอจนแม้แต่การถามในตอนนี้ก็ยังไร้เรี่ยวแรงแต่ฟู่เฉินหวนกลับมิพูดอะไรสักคำจากนั้นองครักษ์ก็กรูกันเข้ามาในห้อง จับแขนของลั่วชิงยวนและลากนางออกจากห้องความหนาวเหน็บถาโถมเข้ามา ลั่วชิงยวนอ้าปากจะพูด แต่กลับถูกองครักษ์ปิดปากไว้แน่นลั่วชิงยวนที่บาด
“หากต้องการแก้ไข มีเพียงการที่หม่อมฉันต้องไปซีหลิงด้วยตัวเอง”ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างหนักแน่นนี่เป็นหนทางรอดเดียวของนางเมื่อฟู่เฉินหวนได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเขามองนางด้วยความสงสัย “นี่เป็นผลลัพธ์เดียวหรือ?”“เพคะ”แต่ฟู่เฉินหวนกลับมิค่อยเชื่อ มองนางด้วยแววตาดุดัน “ไม่มีเข็มทิศอาณัติสวรรค์ จะทำนายได้แม่นยำหรือ?”“แม่นยำเพคะ”“เข็มทิศอาณัติสวรรค์เป็นเพียงตัวช่วย มิใช่สิ่งจำเป็น”“ทิศทางหลักจะมิผิดพลาด”แท้จริงแล้วนางทำนายหนทางรอดของตัวเองการทำนายโชคชะตาบ้านเมือง มีเพียงเข็มทิศอาณัติสวรรค์เท่านั้นที่ทำนายได้กองทัพแคว้นหลีบุกประชิด เป็นนางเองที่บอกให้เฉินชีทำ สิ่งที่นางต้องการทำนายคือเส้นทางของตัวเองหลังจากที่ฟู่เฉินหวนฟังแล้วก็มิได้ตอบ เพียงแค่หันหลังเดินจากไป......ลั่วฉิงกำลังรอข่าวจากฟู่เฉินหวนอย่างกระวนกระวาย เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจเมื่อเห็นฟู่เฉินหวนมาแล้ว จึงรีบเข้าไปถาม “เป็นอย่างไรบ้าง? ผลลัพธ์คืออะไร?”ฟู่เฉินหวนตอบ “เป็นภัยพิบัติของซีหลิง”ได้ยินดังนั้น ลั่วฉิงก็ตกใจเล็กน้อย “ภัยพิบัติของซีหลิงหรือ? หมายความว่าอย่างไร? แคว้นหลีต้องการยึดครองซีหลิงงั้นหรื
สายลมหนาวพัดผ่านมา ปอยผมของลั่วชิงยวนปลิวไสวตัดกับผ้าคลุมสีขาว ทำให้ร่างบางของนางดูราวกับจะปลิวหายไปกับสายลมในตอนนั้นก็มีขบวนคนเดินมาเมื่อเห็นบุคคลที่อยู่ข้างหน้าในชั่วขณะที่สบตากันก็เกิดอารมณ์ที่ซับซ้อนเมื่อเฉินชีเห็นฟู่เฉินหวน เขายกยิ้มอย่างเย็นชา โอบนางไว้แน่นขึ้นลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน“เฉินชี! เจ้ายังกล้ามาอีกรึ!” ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าบึ้งตึง โทสะปะทุในใจองครักษ์รีบเข้ามาล้อมเฉินชีและลั่วชิงยวนไว้เฉินชีจำใจปล่อยลั่วชิงยวนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาเหลา ข้าจะรอเจ้า”กล่าวจบ เขาก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดหนีไปองครักษ์รีบไล่ตามส่วนลั่วชิงยวนยืนนิ่งอยู่กับที่ มองฟู่เฉินหวนที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาฟู่เฉินหวนมีสีหน้าบึ้งตึง แววตาซับซ้อนนั้นแฝงไปด้วยความโกรธ“บทเรียนเมื่อวานคงยังมิเพียงพอ เจ้ายังกล้าแอบออกจากตำหนักมาพบเฉินชีอีกรึ?!”ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะอธิบาย ได้แต่ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “หากท่านคิดเช่นนั้น หม่อมฉันก็มิมีทางเลือก”“เหตุใดหม่อมฉันจึงมาอยู่ที่นี่ ในใจของท่านน่าจะรู้ดีกว่าหม่อมฉัน”เมื่อคืนฟู่เฉินหวนมิสามารถเค้นวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์จากนางได้ จึงส่งนา
ทั้งสองหันไปมองจึงเห็นเฉินชีที่แผ่รังสีอำมหิตเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าเฉินชีมองลั่วฉิงด้วยสายตาเย็นชา “เจ้ากำลังทำอะไร?”ลั่วฉิงถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก “ข้าสิต้องถามเจ้า เหตุใดจึงส่งกองทัพมากะทันหัน? นี่มิได้อยู่ในแผนของเรา และเจ้าก็มิได้บอกข้าล่วงหน้า”เฉินชีหรี่ตาลง “ข้าจะทำอะไรต้องรายงานเจ้าด้วยรึ? เจ้าเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรมาขัดขวางข้า?”ลั่วฉิงรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย นางรีบคว้าเข็มทิศอาณัติสวรรค์มาถือไว้ เพราะกลัวว่าของล้ำค่าที่ได้มาจะหายไป“เฉินชี! ข้าแค่ต้องการสิ่งที่เราตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก!”เฉินชีมองลั่วชิงยวน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ก่อนจะพุ่งเข้าไปบีบคอของลั่วฉิงแล้วต่อยเข้าที่หน้าอกของลั่วฉิงลั่วฉิงกระอักเลือด ร่างกระเด็นออกไปนอกหน้าต่างลั่วชิงยวนได้ยินเสียงร่างตกกระทบพื้นจากที่สูง จึงรู้ว่าที่นี่คือชั้นสองน่าจะเป็นโรงเตี๊ยมเฉินชีเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไป เห็นเพียงร่างของลั่วฉิงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนหายไปในฝูงชนเดิมทีเฉินชีอยากจะตามไป แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็มิได้ตามไปหากลั่วฉิงตาย ลั่วชิงยวนก็จะไม่มีภัยคุกคาม นางอาจจะมิยอมไปแคว้นหลีกับเขาเช่นนั
นางเอ่ยปากอย่างอ่อนแรง “ได้”ลั่วฉิงพยุงนางขึ้น แล้วโยนนางลงบนเก้าอี้ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะพูด “ข้าต้องการสมุนไพร”มือทั้งสองข้างของนางวางอยู่บนที่วางแขน แท่งเหล็กยังคงปักอยู่ เลือดไหลอาบมิหยุด ขยับร่างกายมิได้เลยลั่วฉิงมองนางอย่างเย็นชา ก่อนจะกดมือของนางไว้แล้วดึงแท่งเหล็กออกอย่างรวดเร็ว“กรี๊ด”ลั่วชิงยวนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดลั่วฉิงโน้มตัวลงมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ก่อนหน้านี้เจ้ามิเคยกลัวความเจ็บปวดเช่นนี้ ลั่วเหลา”ลั่วชิงยวนตัวสั่น มองนางด้วยความตกใจ“นี่ก็เป็นสิ่งที่ฟู่เฉินหวนบอกเจ้าเช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนรู้สึกทั้งโกรธและสิ้นหวังในใจลั่วฉิงนำยามาทำแผลให้พลางหัวเราะอย่างดูถูก “มินึกเลยว่านักบวชระดับสูงลั่วเหลาผู้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก ถูกอาจารย์เอ็นดูทะนุถนอมมาโดยตลอด สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับบุรุษ”ในน้ำเสียงของลั่วฉิงแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยาลั่วชิงยวนมองนางด้วยแววตาเย็นชา “ข้ากับเจ้ามิเคยมีเรื่องบาดหมางกันมิใช่หรือ”แววตาของลั่วฉิงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มองนางอย่างเย็นชา “ในสายตาของเจ้า อาจจะไม่มีเรื่องบาดหมาง”“แต่สำหรับข้า เรื่องบาดหมางนั้นใหญ่หลวงนัก
“กรี๊ด” ลั่วชิงยวนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ได้แต่ขดตัวอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า แท่งเหล็กถูกแทงลึกลงไปอีก ความรู้สึกที่กระดูกถูกแยกออกจากกันนั้นทำให้เจ็บปวดจนอยากตาย“ดี ยังมิยอมบอกอีกใช่หรือไม่”ลั่วฉิงหยิบแท่งเหล็กอีกอันแทงเข้าไปในมืออีกข้างของลั่วชิงยวนอย่างแรงตลอดทั้งคืน ลั่วชิงยวนถูกทรมานจนเหมือนตายแล้วเกิดขึ้นใหม่ หลายครั้งที่สลบไปเพราะความเจ็บปวด แล้วก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดจนในที่สุด คอของนางก็แหบแห้งจนส่งเสียงร้องมิได้ด้วยซ้ำฟ้าสางแล้ว แสงแดดสาดส่องเข้ามา ลั่วชิงยวนนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นราวกับแอ่งโคลนเปียก มิขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยเลือดเปรอะเปื้อนอาภรณ์ของนางจนเป็นสีแดงฉาน แสงแดดส่องกระทบกองเลือดจนเป็นประกาย......ตำหนักอ๋องมีเสียงคำรามด้วยความโกรธดังมาจากห้องตำรา“ยังไม่มีใครมารายงานข้าสักคน! รีบไปหา! ออกไปหาให้หมด!”ฟู่เฉินหวนโกรธจัด มึนหัวจนต้องเอามือยันโต๊ะไว้ถึงแม้จะนั่งลงเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ แต่ก็ยังมิสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ร้อนรุ่มใจยิ่งนักได้แต่หวังว่านางจะออกจากตำหนักไปเองจือเฉายังคงอยู่ที่หน้าประ
ในชั่วขณะนั้น นางเกือบจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เหตุใดนางจึงเห็นลั่วฉิงแต่คำพูดของลั่วฉิงในวินาทีต่อมา ทำให้นางรู้สึกราวกับตกอยู่ในหุบเหวลึก“แม้แต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังจัดการคนดื้อรั้นเช่นเจ้ามิได้ ต้องให้ข้ามาเองเลยหรือ”ร่างของลั่วชิงยวนสั่นเทามิหยุด หนาวเหน็บจนแทบจะไร้ความรู้สึกน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าซีดเซียวหยดลงบนพื้นทีละหยดลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าที่นี่คือห้องห้องหนึ่งแต่มิใช่ในตำหนักอ๋อง“เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” นางจำได้ว่าหลังจากที่จือเฉาทายาให้แล้วนางก็หลับไปลั่วฉิงหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนส่งเจ้ามาให้ข้า”“เขาเค้นคำตอบจากเจ้ามิได้ จึงต้องให้ข้ามาจัดการเอง”ได้ยินดังนั้น หัวใจของลั่วชิงยวนก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้งเขายังคิดว่าตัวเองยังโหดร้ายมิพออีกหรือ จึงส่งนางให้ลั่วฉิงเช่นนี้นี่ต้องการทรมานนางจนตายจึงจะหายแค้นหรืออย่างไรลั่วฉิงหยิบกล่องใบหนึ่งมาเปิดออก ข้างในเต็มไปด้วยแท่งเหล็กขนาดเท่าหัวแม่มือแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าต้องการอะไร”“หากตอนนี้เจ้าบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”“หากพลาดโอกาสนี้
ในวินาทีต่อมา องครักษ์ก็กรูกันเข้ามาลากลั่วชิงยวนออกไปที่ลานหลังจากกดนางลงกับพื้นก็ใช้หวายฟาดลงบนร่างของนางอย่างมิปรานีความเจ็บปวดแล่นริ้ว ลั่วชิงยวนจิกเล็บลงบนพื้นหิมะจนเป็นรอยลึกจือเฉากระโจนเข้ามาจากนอกลาน “หยุด! หยุด!”“ท่านอ๋อง เหตุใดจึงทำกับพระชายาเช่นนี้ พระชายาทำผิดอันใดหรือเพคะ!”“ท่านอ๋อง ขอได้โปรดปล่อยพระชายาเถิดเพคะ! ตั้งแต่เข้าเหมันตฤดู แผลบนร่างของพระชายาก็ยังมิหาย! หากโบยเช่นนี้ต่อไปคงจะสิ้นใจเป็นแน่เพคะ!”“ท่านอ๋องทรงพระกรุณาด้วยเพคะ!” จือเฉาโผเข้ากอดลั่วชิงยวนเพื่อรับหวายแทนแต่กลับถูกองครักษ์ดึงตัวออกไปจือเฉาร้องขอความเมตตาสุดเสียง แต่บุรุษที่ยืนอยู่ใต้ชายคากลับมีสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาฉายแววเย็นชาไร้ซึ่งความอบอุ่น“พระชายา...” จือเฉาร้อนใจ แทบจะเป็นลมเพราะร้องไห้หนักลั่วชิงยวนเจ็บปวดจนแทบมิได้ยินเสียงของจือเฉา มีเพียงความเจ็บปวดมิรู้จบ ยาวนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุดหลังจากที่ลั่วชิงยวนสลบไป ฟู่เฉินหวนจึงสั่งให้หยุดแล้วจากไปด้วยความโกรธจือเฉาโผเข้าหาลั่วชิงยวน เมื่อเอื้อมมือไปสัมผัสก็พบว่ามือเปื้อนไปด้วยเลือด นางรีบชักมือกลับมองเลือดที่ไหลนองเต็มพื
ฟู่เฉินหวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาที่น่ารังเกียจนั้นทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทงลั่วชิงยวนกัดฟันพลางกลั้นน้ำตาไว้ “ท่านมิได้บอกว่าจะเชื่อหม่อมฉันหรอกหรือเพคะ?”“หากหม่อมฉันบอกท่านทั้งหมด ท่านก็จะเชื่อหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ!”ฟู่เฉินหวนมีแววตาเย็นชา มองนางอย่างเฉยเมย “แต่เจ้าบอกข้าทั้งหมดแล้วหรือยังเล่า? เจ้ายังคงปิดบัง ยังคงหลอกลวง!”เสียงตำหนินั้นเต็มไปด้วยความโกรธทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนแทบแตกสลาย“ฟู่เฉินหวน วันนี้ท่านมาก็เพื่อหลอกลวงหม่อมฉันอีกแล้วใช่หรือไม่”“จุดประสงค์สุดท้ายของท่านคือ หลอกล่อให้หม่อมฉันบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ เพราะลั่วฉิงใช้มันมิได้ ใช่หรือไม่!”ลั่วชิงยวนตะโกนด้วยความโกรธ“หม่อมฉันช่างโง่เขลาที่เชื่อใจท่าน บอกความลับทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านก็หลอกลวงหม่อมฉันอีกครั้ง...”พูดไปน้ำตาของลั่วชิงยวนก็ไหลรินในเวลานี้ หัวใจของลั่วชิงยวนราวกับถูกควักออกมาผ่าเป็นสองซีกเจ็บปวดเจียนตายแต่ฟู่เฉินหวนกลับมิเปลี่ยนสีหน้า แววตายิ่งเย็นชาขึ้นเขาบีบคอของนางด้วยความโกรธ“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ข้าก็ขี้เกียจเสแสร้งกับเจ้าแล้ว”“เข็มท