ใบหน้าหล่อเหลาที่ปกคลุมไปด้วยหน้ากากรูปแบบเปลวไฟกำลังขมวดคิ้วอยู่ในขณะนี้ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงวุ่นวายราชวงศ์อยู่เสมอ ตระกูลชนชั้นสูงมีความห่างเหินโดยธรรมชาติและไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงของราชวงศ์ เพื่ือจะไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนโดยพื้นฐานแล้วทุกคนในตระกูลชนชั้นสูงต่างก็ตระหนักดีถึงเรื่องนี้ ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาได้ติดต่อกับราชวงศ์อย่างลับ ๆ พวกเขาก็ต้องรักษาระยะห่างและความเหมาะสมภายนอกแต่นางกลับเปิดให้คนอื่นเห็นในเวลากลางวันแสกๆ เดินเข้าออกวังแทบจะพักในนั้นเลยในความเป็นจริง หากต้องหาเหตุผลที่ทำไมจั๋วซือหรานถึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ตั้งแต่แรก นั่นจะเป็น'ผลงาน'ที่จั๋วหรูซินสร้างมาในงานดอกไม้ของพระราชวังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นความลับดังนั้นเฟิงเหยียนอาจไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกหงุดหงิดอย่างอธิบายไม่ถูกเมื่อรู้ว่านางมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์เจ้าหน้าที่ของหน่วยสืบสวนพิเศษมีหน้าที่รับผิดชอบในการติดตามจั๋วซือหรานเท่านั้นและรายงานที่อยู่และการเคลื่อนไหวของนาง พวกเขาไม่ทราบเรื่องต่าง ๆ ของจั๋วซือหรานเพียงแต่เขาสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงรัศมีของใต้เท้าได้อย่างชัดเจน
จ้านหลูคิดอยู่พักหนึ่ง เขาอดไม่ได้ที่ต้องถามอีกครั้งว่า "เช่นนั้น... มันเป็นในนามของใต้เท้าหรือในนามของซื่อจื่อขอรับ"หากส่งของขัวญไปในนามของหน่วยสืบสวนพิเศษ ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ เพราะ จั๋วซือหรานสอบติดแพทย์กลั่นยาในหน่วยสืบสวนพิเศษแต่ชายบนเบาะนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกว่า "ตัวเลือกอันหลัง"“รับทราบ“......จั๋วซือหรานออกมาวัง เมื่อนางกลับมาที่จวนของนางนางเห็นฝูซูกำลังทำหน้าเคร่งขรึมที่ห้องโถงด้านหน้า“เป็นอะไร” จั๋วซือหรานเดินเข้ามาเมื่อนางเดินเข้าไป นางจึงสั่งเกตนอกจากฝูซู ยังมีคนอีกสองคนยืนอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้าจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว นางทราบตัวตนของพวกเขาคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าของคนรับใช้ของจวนอ๋องชินยวี่ และส่วนอีกคนสวมเสื้อผ้าของคนรับใช้ของจวนเฟิงฃคนรับใช้ของจวนอ๋องชินยวี่มาเยี่ยมบ้าน จั๋วซือหรานรู้สึกไม่แปลกใจแต่จวนเฟิงหรือสีหน้าของจั๋วซือหรานไม่มีการเปลี่ยนแปลง นางมองพวกเขาอย่างสงบคนรับใช้ขอจวนอ๋องชินยวี่ทำความเคารพแก่จั๋วซือหรานและกล่าวว่า " ขอแม่นางจิ่วมีสุขภาพที่ดี ข้าได้รับคำสั่งจากอ๋องชิน อ๋องชินให้ข้านำของขวัญมาส่งถึงจวนของแม่นางจิ่ว เพื่
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคนรับใช้ของจวนเฟิงจะเป็นคนรับใช้ในบ้าน พวกเขายังคงมีความภาคภูมิใจในตัวเอง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พูดอะไรสักคำ และเพียงกล่าวคำอำลาจั๋วซือหรานบังเอิญฝูซูเพิ่งส่งคนรับใช้ของจวนอ๋องชินเส็จและเดินกลับมา เมื่อเขาเห็นคนรับใช้ของตระกูลเฟิงเดินออกไป เขาก็แปลกใจเล็กน้อย "คุณหนูขอรับ ทำไมไม่ให้ข้าส่งแขกล่ะขอรับ เขาไปเองหรือขอรับ"จั๋วซือหรานะยิ้ม "คนของตระกูลเฟิง แม้แต่คนรับใช้ของตระกูลเฟิงก็มีความเย่อหยิ่งของตัวเอง พวกเขาอาจเห็นเมื่อครู่นี้ ข้าพูดอย่างไรกับคนรับใช้ของจวนอ๋องชิน พวกเขาจึงไม่ยอมทนคำพูดของข้า บางทีพวกเขาอาจจะกลับไปฟ้องข้าก็ได้นะ”ฝูซูตกตะลึง “ฟ้องหรือ นั่นจะไม่แย่หรือขอรับ” ฝูซูเกาหัว “เมื่อครู่นี้ข้าอ่านใบรายการของขวัญที่เฟิงซื่อจื่อส่งมา มีของดี ๆ มากมาย”ก่อนหน้านี้ คุณหนูยังไม่โวยวายต้องแต่งงานกับฉินตวนหยาง ตอนนั้นตระกูลยังเอ็นดูนางอย่างมากฝูซูรับใช้จั๋วซือหราน ดังนั้นเขามีโอกาสเห็นของดี ๆ มากมาย เขาไม่ใช่คนที่มีสายตาสั้น ดังนั้นหากฝูซูยอมรับว่ามีของดี ๆ มากมาย แสดงว่ามีของดีเยอะจริง ๆจั๋วซือหรานได้ยินคำพูดของฝูซู นางหัวเราะ “มันไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นข้าต
เฟิงเหยียนมองจ้านหลูอย่างสงบและไม่พูดอะไรจ้านหลูเห็นนายท่านมองเขาเช่นนั้น เขารู้สึกผิดปกติ เขาเลยถามด้วยความสงสัย "ท่านขอรับ ข้าพูดผิดเรื่องอันใดหรือขอรับ"เสียงของอีกคนหนึ่งดังขึ้นจากฉากด้านหลัง เสียงนั้นเต็มไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจกับคำพูดของจ้านหลู“เจ้าโง่เหลือเกิน หากคุณหนูจั๋วจิ่วฝากคนมาขอบคุณนายท่าน นั่นหมายความว่าอย่างไร มันไม่ได้หมายความว่า ในใจของคุณหนูจั๋วจิ่ว นายท่านของเรามีน้ำหนักเท่ากับซือคงยวี่หรือ ไอ้ซือคงยวี่เป็นคนอะไร เที่ยบกับนายท่านของพวกเราได้หรือ"เขากล่าวต่อ " คุณหนูจั๋วจิ่ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย นางมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนและฉลาด ต่อให้มีคนโง่ ๆ อย่างเจ้าสักร้อยคน ยังสู้ความฉลาดของนางนิดเดียวไม่ได้เลย "จ้านหลูถูกเยาะเย้ยมากจนเขาทนไม่ไหวอีกต่อไป "ฉูนจวีน ข้าขอเตือนเจ้าแล้ว พูดดี ๆ และอย่าใส่ฉันบ่อยสิ"“เอาล่ะ” เฟิงเหยียนพูดอย่างสงบ “หากพวกเจ้าจะทะเลาะ ไปต่อยกันที่ข้างนอกเลย”ผู้พิทักษ์เงาที่อยู่รอบ ๆ ของท่านอ๋องไม่ใช่ขุนนางพลเรือนเสียหน่อย พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่ทรงพลังและสามารถรับมือต่าง ๆ ได้เพียงลำพัง โต้แย้งที่นี่ มันไม่มีประโยชน์หรอกก่อนที่จ้านหลูกั
เฟิงเหยียนยังคงนั่งอยู่บนกระเบื้องเคลือบ เขามองนางจากที่สูง ๆ เขาไม่คิดจะลงมาด้วย เขามองจากที่สูง ๆ เช่นนี้ ซึ่งทำให้คนมักรู้สึกเข้าใกล้ชิดเขายากจั๋วซือหรานก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวอย่างรวดเร็ว และเพียงไม่กี่ก้าว นางก็อยู่บนหลังคาแล้ว และนั่งลงข้างเฟิงเหยียน อย่างง่ายดายเฟิงเหยียนเหลือบมองนางจากด้านข้าง การเคลื่อนไหวของนางในเมื่อสักครู่นี้ดูน่าสนใจเล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะไมใช่วิชาใด ๆ และยากที่จะบอกได้ว่าท่านี้เป็นวิชาตัวเบาประเภทใด เห็นได้ชัดว่า ตระกูลจั๋วไม่มีทักษะประเภทนี้กล่าวโดยสรุป เฟิงเหยียนดูเหมือนเห็นมือและเท้าของนางสัมผัสกำแพงกับชายคาอยู่สองสามที จากนั้นก็ขึ้นไปบนหลังคาการเคลื่อนไหวเช่นนี้ทำให้ผู้คนมักนึกถึงคำคำหนึ่ง - ขึ้นหลังคาและรื้อหลังคาเฟิงเหยียนยกมือขึ้น เปิดฝาน้ำเต้าออกแล้วจ่อไปที่ริมฝีปากของเขา และจิบสุราหนึ่งคำ แม้ว่าเขาเพียงจิบก็ตามจั๋วซือหรานได้กลิ่นสุราที่เข้มข้น จมูกของนางก็ปิดลงเบา ๆ และนางก็อดไม่ได้ที่ต้องเข้าหาเขาเพื่อดมกลิ่นสุราเฟิงเหยียนเหลือบมองนาง “ครั้งสุดท้ายที่นางมาเยี่ยมจวนเฟิงตอนกลางคืน เจ้ามาเพื่อกล่าวขอบคุณ วันนี้เจ้ามาเยี่ยมจวนเฟิงตอนก
จั๋วซือหรานฟังคำพูดนี้ นางตกตะลึงทันทีอันที่จริง ฟังคำพูดของเฟิงเหยียน จั๋วซือหรานรู้เลยว่า เขาอาจไม่เคยเชื่อคำพูดที่นางกล่าวว่ารักเขาจนตายตั้งแต่แรกแล้วนางยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไร เฟิงเหยียนพูดเสริม "เจ้าคงไม่ใช่อยากแต่งงานกับข้าจริง ๆ หรอกนะ"เขาสามารถอ่านความคิดของนางได้อย่างชัดเจน แม้ว่าจั๋วซือหรานจะไม่แปลกใจ แต่นางก็ยังรู้สึกเขินอายอยู่เล็กน้อยเฟิงเหยียนพูดถูก สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน นางไม่ต้องกังวลเรื่องที่ตระกูลจั๋วละเลยนาง แม่ของนาง และน้องชายของนางเป็นชั่วคราวเพราะขนาดเจ้าของร่างเดิมยังไม่ได้แสดงผลงานได้อย่างโดดเด่นเหมือนนางในเมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่ตระกูลจั๋วยังไม่เคยละเลยนางเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้นางสร้างผลดีที่โดดเด่นเฟิงเหยียนมองออกทุกเรื่อง จั๋วซือหรานไม่แปลกใจเช่นกัน แม้ว่านางจะไม่แปลกใจ แต่นางก็ค่อนข้างเขินอายและนางเคยพิจารณาแล้ว และหากเป็นไปได้ นางก็ยังอยากทำตามแผนที่นางคิดไว้จั๋วซือหรานจึงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามเฟิงเหยียน"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ"เฟิงเหยียนมองนางจากด้านข้างและไม่ได้พูดอะไร เขาแค่เปิดจุกขวดน้ำเต้า ยกมันขึ้นมาที่ริมฝีปาก เงยหน้าขึ้น ลูกกระเดือกเล
เฟิงเหยียนไม่ได้พูดอะไรหลังจากได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน แต่เขามองนางพร้อมกับม่านตาคู่หนึ่งที่เข้มกว่าและลึกกว่าท้องฟ้าในยามค่ำคืนจั๋วซือหรานถูกเขามองเช่นนี้ นางรู้สึกไม่สบายเล็กน้อยนางถามด้วยเสียงเบา “มีอะไรผิดปกติหรือ”นางไม่มั่นใจว่า เฟิงเหยียนเข้าใจสิ่งที่นางเพิ่งพูดในเมื่อครู่นี้หรือไม่ แต่จั๋วซือหรานไม่อยากพูดซ้ำอีกแล้วนางคิดว่าเขาควรจะเข้าใจได้การสื่อสารระหว่างคนฉลาดมักจะง่ายกว่าเฟิงเหยียนไม่ได้พูดอะไร เขาแค่เปิดจุกน้ำเต้าแล้วจิบสุราจั๋วซือหรานอดไม่ได้ต้องกระซิบถาม"ท่านอ๋องดื่มไวน์อะไร มันมีกลิ่นหอมมาก"เฟิงเหยียนเห็นจั๋วซือหรานถามเขา เขาเหลือบมองนาง "เจ้าอยากดื่มหรือ"จั๋วซือหรานเขินอายเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้าตั้งแต่นางมีชีวิตใหม่ นางได้ตัดสินใจแล้วว่า นางมีชีวิตใหม่ในโลกที่แปลกประหลาดนี้ นางต้องใช้ชีวิตอย่างอิสระ ดื่มสุราที่เข้มข้นที่สุด และนอนร่วมกับชายที่แข็งแกร่งที่สุดนางไม่รู้หรอกว่าสุราของเฟิงเหยียนเข้มข้นหรือไม่ นางรู้แต่สุรานี้มีกลิ่นหอมมาก ยั่วยุใจคนมากทำให้นางโลภเล็กน้อยแต่เฟิงเหยียนไม่ได้ส่งน้ำเต้าสุราให้นาง และเขาไม่พูดสักคำด้วยดูเหมือนเขาจ
แต่จั๋วซือหรานเหลือบเห็นดาบประจำตระกูลของท่านอ๋องนี้ห้อยไว้ที่เอว และดาบนี้ยังไม่ถูกดึงออก เมื่อจั๋วซือหรานจำได้ดาบของเขาจะปล่อยพลัง นางรู้สึกต่อให้นางใช้พลังของตัวเอง แต่ต้องไม่ได้ประโยชน์แน่ ๆนางยังคงต้องการความร่วมมือจากท่านอ๋องในอนาคต และหากนางกับท่านอ๋องสู้กัน นางมันก็ไม่มีประโยชน์ใด ๆ นางเลยค่อย ๆ คลายแหวนเสวียนเหยียนจั๋วซือหรานยังคงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยในใจ นางโกรธเคือง - นี่คือจูบแรกของตัวเองในรอบสองชาติ จูบแรกจั๋วซือหรานยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโกรธ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกตัวเองสูญเสียดังนั้นนางจึงยกมือขึ้น กอดคอของเฟิงเหยียนให้แน่น และจูบเฟิงเหยียนแรง ๆ จากริมฝีปากและฟันของเขา นางดูดซับกลิ่นหอมของสุราได้มากขึ้นเดิมทีเฟิงเหยียนพร้อมที่จะถอนตัวออกแล้ว แต่เขาไม่ทันระวัง และถูกแขนอันนุ่มนวลคู่หนึ่งกอดคอของเขาไว้แน่นซึ่งทำให้ให้เขาขยับตัวไม่ได้ และนางฉวยโอกาสจูบแร ๆ ...สุท้าน ก่อนที่นางจะถอนตัวออก นางยังกัดปลายลิ้นของเขาราวกับจะระบายความโกรธของนางกลิ่นหอมหวานของเลือดสดกระจายอยู่ในช่องปากของชายผู้นี้จากนั้นจั๋วซือหรานจึงปล่อยเขา นางยิ้มและมองเฟิงเหยียน มีรอยเลือดจาง ๆ อ
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั