อสังหาริมทรัพย์แบบนี้ มีเยอะไว้ก็ดีถึงจะบอกว่า...ได้รับไปก็อาจจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ แต่อุทยานหลิ่วพ่านก็สวยงามมากจริงๆเป็นที่พักผ่อนที่ไม่เลวเลยจักรพรรดิเฒ่าพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นเขาจึงเตรียมพูดเรื่องหลังจากนี้จั๋วซือหรานไม่รอให้เขาพูดอะไร เอ่ยขึ้นมาก่อนว่า "ฝ่าบาทถ้าหากรังเกียจ สวนชิวอีกับจวนชินอ๋องอวี้จะยกให้ข้าด้วยกันก็ได้นะ ข้าไม่รังเกียจจริงๆ จริงๆ นะ..."จักรพรรดิเฒ่าพอได้ยินคำนี้ ก็งงงันขึ้นทันทีเขางงงันไปครู่หนึ่ง ในสายตาก็เกิดประกายลึกซึ้ง "เจ้าอยากได้จริงหรือ?""ใช่" จั๋วซือหรานตาโค้ง รอยยิ้มในดวงตาเองก็ดูสบายๆ ไร้กังวล ราวกับว่า...ดวงตาพญาหงส์ดำขลับคู่นี้ สามารถมองทะลุได้ทุกสิ่งองค์จักรพรรดิเฒ่ารู้สึกว่า นางคงมองทะลุความคิดตนเองแล้วแน่นอน ดังนั้นจึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาจั๋วซือหรานพูดต่อ "ฝ่าบาทเองก็รู้ ข้าอยู่ในเมืองหลวงไม่มีตระกูล ไม่มีสำนัก ไม่มีที่พึ่งพา ดังนั้นของนอกกายเหล่านี้ แน่นอนว่ายิ่งมีมากก็ยิ่งดี คนอื่นจะได้ไม่ดูถูกข้า""ช่างเถอะ แล้วแต่เจ้าละกัน แต่ว่า..." องค์จักรพรรดิเฒ่าคิดจะพูดแต่หยุดไว้จั๋วซือหรานยิ้ม "อา ฝ่าบาทโปรดวางใจ ที่ดินของข้า ข้าจะ
นางอดมองไปบนกำแพงสูงไม่ได้คนของ...ตระกูลเฟิงหรือ? หรือว่า...ในลานเกิดความวุ่นวายขึ้นทันที แต่เพราะจักรพรรดิเฒ่าไม่เป็นอะไร ในลานจึงสงบลงมาอย่างรวดเร็วแต่หัวข้อสนทนาเรื่องจะจัดอภิเษกเมื่อครู่ ก็ถูกปัดตกไปแล้วตอนนี้ถ้าถูกยกขึ้นมาใหม่ ก็ไม่ได้เป็นทางการแบบเมื่อครู่แล้วจั๋วซือหรานมองไปทางจักรพรรดิเฒ่า นางครุ่นคิด หลังจากคิดคำพูดอยู่พักหนึ่ง จึงเอ่ยขึ้นว่า "ฝ่าบาท ข้ารู้สึกว่า ตัวตนฐานะข้าตอนนี้เหมาะสมไหม ฝ่าบาทคิดว่าอย่างไร? ในเมืองหลวง...ยังวุ่นวายกันอยู่เลย"จักรพรรดิเฒ่าฉลาดเสียขนาดไหน พอได้ยินคำนี้ของจั๋วซือหราน ก็เข้าใจความหมายที่นางคิดจะแสดงออกมาทันทีพริบตานี้ จักรพรรดิเฒ่าเองรู้สึกแค่ว่า...อยากจะถอนใจเสียเหลือเกิน หญิงสาวคนนี้ฉลาดจริงๆไม่ใช่คนธรรมดาเลยจริงๆยิ่งไปกว่านั้นยังไม่บอกว่าลูกเจ็ดคู่ควรกับนางหรือไม่ถ้าหากจะนำหญิงสาวแบบนี้ไปพันธนาการไว้ในกรงทองวังหลังล่ะก็ เท่ากับเป็นการทำลายของมีค่าไปหญิงสาวเช่นนี้ สมควรจะบินทะยานจักรพรรดิเฒ่าฟังความหมายคำพูดเมื่อครู่ของจั๋วซือหรานออกแน่นอนตัวตนตอนนี้ของนางเหมาะมากเพราะตัวตนของนางตอนนี้ ไม่ชัดเจนอย่างที่สุดจะบอก
จักรพรรดิเฒ่ามองไปทางซือคงเซี่ยน ถามขึ้นมาคำหนึ่ง "น้องเจ็ด เจ้าว่าอย่างไรล่ะ?"ซือคงเซี่ยนมองออกว่า เสด็จพ่อประทับใจคำพูดเมื่อครู่ของจั๋วซือหรานเข้าแล้วยิ่งไปกว่านั้นในคำพูดเมื่อครู่ของจั๋วซือหราน ซือคงเซี่ยนเองก็สังเกตออก ว่านางมีท่าทีไม่ยอมรับต่อการการมอบงานอภิเษกของเสด็จพ่อดังนั้นซือคงเซี่ยนจึงเอ่ยว่า "ลูก...ไม่มีความเห็น แล้วแต่เสด็จพ่อจะจัดวางเลย"จักรพรรดิเฒ่าได้ยินคำนี้ของซือคงเซี่ยน ในใจก็อดถอนใจไม่ได้อันที่จริงถ้าหากน้องเจ็ดกัดฟันพูดว่าต้องการงานอภิเษกนี้ล่ะก็จักรพรรดิเฒ่าคิดว่า ตนเองจะยอมรับอยู่แต่ว่าลูกชายของตนเองนั้น...ถ้าหากบอกว่าน้องห้าทะเยอทะยานเกินไป เช่นนั้นน้องเจ็ดก็...ไม่มีความทะเยอะทะยานเอาเสียเลยน่าจะเพราะพระสนมเอกคิดได้อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่แรกนางรู้ว่าฐานะของตัวเองและอำนาจทางตระกูลฝ่ายแม่ จะสร้างความระแวงต่อนางและอ๋องเซี่ยนรวมถึงตระกูลฝ่ายแม่ของนางกับองค์จักรพรรดิภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สิ่งแรกที่ต้องวางลงมาก็คือความทะเยอทะยานที่ไม่เหมาะสมสรุปคือ จักรพรรดิเฒ่าไม่เห็นความเร่งร้อนกับความปรารถนาใดจากในตาของซือคงเซี่ยน เห็นแค่ความผิดหวังรางๆ เท่านั้
"จั๋วจิ่ว! เจ้าคิดว่าเจ้าจะมีจุดจบอย่างไรกัน?! แดนใต้ไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่""สำนักพวกเราเองก็จะไม่ปล่อยเจ้าด้วย!""สภาผู้อาวุโสก็จะไม่ปล่อยเจ้า!""จั๋วจิ่วเจ้าจะไม่ตายดี! เจ้าจะไม่ได้ตายดี!"จั๋วซือหรานได้ยินเสียงก่นด่าของพวกเขา สีหน้ายังคงเรียบเฉยแต่รองแม่ทัพที่อยู่ข้างๆ นาง พอได้ยินคำนี้ กระทั่งคิ้วก็ยังขมวดขึ้นมาเขากำลังจะเตือนจั๋วซือหรานว่าไม่ต้องโกรธ อย่าไปใส่ใจคำพูดของคนพวกนี้แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูด ก็ได้ยินหญิงสาวข้างกาย เอ่ยขึ้นมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ "โอ้ ถ้าอย่างนั้นตอนเจ้าไปเข้าฝันพวกเขาก็อย่าจำผิดล่ะ ข้าชื่อจั๋วซือหราน"เพียงไม่นาน คนเหล่านี้ก็ตอบอะไรนางไม่ได้อีกรองแม่ทัพดูจนใจขึ้นมา "ท่านไม่ได้โกรธเลยสินะ...""จะไปโกรธอะไรกับคนใกล้ตายกัน" จั๋วซือหรานกลอกตามองรองแม่ทัพ "มาหาข้ามีอะไรหรือ?"รองแม่ทัพพยักหน้า "ท่านแม่ทัพเชิญท่านเข้าไปน่ะ"จั๋วซือหรานขานรับคำหนึ่ง เงยหน้าเหลือบมองคานหัวมนุษย์ผาดหนึ่ง แล้วจึงหมุนตัวขึ้นม้ากลับไปในค่ายในกระโจมค่าย ฉีฮ่าวนั่งอยู่ที่นั่น ไม่ใช่แค่ฉีฮ่าว แต่ยังมีกลุ่มขุนพลของเขาด้วยอยู่กันครบองค์ประชุม"คึกครื้นขนาดนี้เชี
และเพราะนางยิ้มอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นยังยิ้มอย่างอัธยาศัยดีด้วย ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่านางตอบรับแล้วอย่างน้อยปฏิกิริยาแรกของฉีฮ่าวก็คือนางตอนรับแล้ว ดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า "เช่นนั้นก็ขอบคุณ..."พูดไปได้แค่ครึ่งเดียว ฉีฮ่าวจึงเพิ่งตั้งตัวได้ ว่านางบอกว่าไม่ได้นี่นาชั่วขณะหนึ่งก็งงงันไป"ไม่ ไม่...ไม่ได้หรือ?" ฉีฮ่าวถามงึมงำขึ้นมาจั๋วซือหรานพยักหน้า "อืม ไม่ได้"ข้างๆ มีขุนพล ที่น่าจะรู้สึกหวั่นไหวกับอาวุธนี้จริงๆบวกกับอาการร้อนรน จึงเอ่ยขึ้นทันที "ทำไมจึงไม่ได้หรือ? ถ้าหากอาวุธเช่นนี้สามารถมอบให้กับกองทหารได้ จะยกระดับความสามารถการทำสงครามขึ้นมหาศาลเลย...""แต่นั้นเกี่ยวอะไรกับข้าหรือ" จั๋วซือหรานมองไปทางเขาขุนพลคนนี้ถูกคำพูดของนางทำให้ชะงัก ชั่วขณะหนึ่งพูดอะไรไม่ออกแต่ก็มองออกไม่ยาก สีหน้าแข็งกร้าวขึ้นมาแล้ว ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า "ท่านเป็นประชาชนของต้าชาง ของเช่นนี้ หากมอบให้กับกงอทหาร จะนำคุณประโยชน์มาได้มากมาย"จั๋วซือหรานมองเขาเย็นชา "ตอนที่ข้าถูกคนเป็นหมื่นตำหนิ ก็ไม่เห็นว่าพวกเจ้าจะมาปกป้องข้าในฐานะคนของต้าชางเลย"ฉีฮ่าวพอได้ยินน้ำเสียงของจั๋วซือหราน ในใจก็สั่นกึก ฉั
แต่ว่าเนื้อหาในคำพูด กลับมีเหตุผล และชัดเจนมากเหล่าขุนพลไม่มีใครฟังไม่เข้าใจเข้าใจความคิดที่ฉีฮ่าวต้องการแสดงออกมาในทันที ถ้าหากพวกเขาเหล่านี้เป็นทหาร หากสูญเสียจิตใจปวงประชาไป เช่นนั้นก็จบสิ้นกันแล้ว...เช่นนั้นพวกเขาจะต่างอะไรกับโจรขโมย?จั๋วซือหรานยืนอยู่ข้างๆ ฟังฉีฮ่าวพูดประโยคเหล่านี้นางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่า ฉีฮ่าวแม้จะเป็นชายชาติทหารร่างใหญ่กักขฬะ แต่ในจุดนี้กลับเข้าใจเป็นอย่างดีนางไม่ได้คิดจะมอบให้เปล่าๆ นางไม่ใช่พวกทำการกุศลอะไรแคว้นชางอะไร กองทหารอะไร นั่นโน่นนี่ถ้าเจ้าของร่างเดิมก็อาจจะมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งอยู่กระมัง?แต่จั๋วซือหรานอย่างนางนั้นไม่มีนางไม่ใช่ว่าคิดจะไม่มอบให้ เพียงแต่ว่านางคิดจะทำขึ้นเอง ถ้าเป็นไปได้ก็จะหขายให้กับกองทหารมีทักษะเช่นนี้ แน่นอนว่าอยู่ในมือตนเองจะมั่นคงกว่านางมาจากต่างโลก ต่างโลกที่เทคโนโลยีก้าวหน้ากว่าโลกใบนี้พูดได้ว่ายืนอยู่บนบ่าของยักษ์ใหญ่แล้วยักษ์ใหญ่ก็ไม่ได้มีไว้ให้คนอื่นขโมยไป...คนคนนั้นเดินเข้ามา คุกเข่าลงตรงหน้าจั๋วซือหราน"ข้าขอโทษ แม่นางจิ่ว ข้ายอมรับโทษแล้ว!" ขุนพลเอ่ยขึ้น เขาหยิบหน้าไม้กลสอง
ใกล้จะตายแล้วฉีฮ่าวมากับจั๋วซือหราน ตอนที่ตามคนผู้นี้มาด้วยกัน แค่เห็นน้องชายเขาผาดเดียวก็มองออกแล้ว ว่าคนผู้นี้กำลังจะตายสีหน้าเขาไม่มีสีเลือดแล้ว เขียวคล้ำ หายใจออกแรงหายใจเข้าเบา...บางทีไม่ควรพูดว่าหายใจออกแรงหายใจเข้าเบาด้วยซ้ำ นี่เหมือนไม่ได้ยินเสียงหายใจเข้าของเขาด้วยซ้ำตอนที่พวกเขาเข้าไป ทหารราบที่มาโขกศีรษะกับจั๋วซือหรานก่อนหน้าคนนั้น ก็รีบตะโกนขึ้นว่า "ท่านพี่! ท่านพี่! เจ้ารีบตื่นเร็ว! ข้าพาคนมาแล้ว ข้าพาคนมาช่วยเจ้าแล้ว! ข้าพาแม่นางจิ่วมาช่วยเจ้าแล้ว!"ไม่รู้ว่าเพราะได้ยินเสียงที่คุ้นเคยหรือเปล่า หรือว่าได้ยินคำว่าแม่นางจิ่ว จึงทำให้เขาเชื่อมั่นขึ้นมาเขาที่เดิมทีตาปรืออยู่แล้ว ตอนนี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาเล็กน้อยดวงตาที่พร่ามัว ฝืนตัวเพ่งสมาธิขึ้นมาอีกครั้งตกมาอยู่บนตัวจั๋วซือหรานหลังจากนั้นก็เหมือนว่าจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อยฉีฮ่าวขมวดคิ้วอยู่ข้างๆ มองด้านบนผ้าที่คลุมร่างเขาไว้ เลือดสดดวงใหญ่นั่น...ฉีฮ่าวเอ่ยขึ้นกับทหารที่โขกศีรษะคนนั้นก่อน "พี่ชายเจ้าสภาพแบบนี้..."ทหารคนนี้ขยี้ตาอย่างแรง เอ่ยขึ้นว่า "พี่ชายข้ายังพอช่วยไหวไหม..."ฉีฮ่าวเอ่ยตอบ "เกรงว่าจะ...ย
ถ้าในชาติที่แล้วคือไม่น้อยเลยต่อให้ไม่ใช่ชาติที่แล้ว ในโลกที่การรักษาล้าหลังอย่างที่นี่ จั๋วซือหรานเองก็เคยมีประสบการณ์มาแล้วแพทย์ทหารพอได้ยินคำนี้ก็งงงันไป น่าจะเพราะคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบมั่นใจนี้จากปากจั๋วซือหราน"อะ อะ...อะไรนะ?" แพทย์ทหารมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ เขาจ้องจั๋วซือหรานนิ่งจากนั้นนึงดึงผ้าที่คลุมบนตัวคนเจ็บผืนนั้นออก เอ่ยขึ้นว่า "ท่านว่าอาการอย่างนี้น่ะนะ?!"การกระทำที่ตามมาหลังคำพูด คือการเปิดเผยอาการบาดเจ็บออกมายังสายตาคนทั้งหมดบาดแผลที่น่ากลัว ช่องท้องเปิดโหว่ ประจักษ์เข้ามาในสายตาคนทั้งหมดคนทั้งหมดในนี้ล้วนเป็นขุนพลสายบู๊ทุกคนไม่กลัวกับภาพสยดสยองที่เลือดเนื้อเหวอะหวะแต่ไม่กลัวมันก็ส่วนไม่กลัวแต่เพระาเคยเห็นเลือดกับความตายมาแล้ว ตอนที่เจอกับอาการบาดเจ็บเช่นนี้ก็แทบจะคิดถึงปลายทางได้เลย ถ้าหากจากความคิดพวกเขา แค่รู้สึกว่า...มอบความเมตตาให้เขาไปสบายจะดีกว่าไหม?ใครจะคิดว่าคำตอบที่จั๋วซือหรานให้มากลับเป็น..."อืม บาดแผลแบบนี้เลย คุ้มค่าที่จะลองดู" จั๋วซือหรานยิ้มเรียบๆ นางเดินขึ้นไปก้าวหนึ่งส่วนน้องชายคนเจ็บ เดิมทีถูกปฏิกิริยาของแพทย์ทหารเมื่อครู่ทำ
"เสร็จแล้ว พวกเจ้าค่อยๆ พักฟื้นไป เดี๋ยวพอพวกกองหนุนสำนักเมฆาวารีพวกนั้นของผู้เฒ่าเหอมาถึง พวกเราค่อยออกเดินทาง เรื่องนี้สำหรับข้ามันสำคัญมาก จะล่าช้าไม่ได้เด็ดขาด"จั๋วซือหรานเหลือบมองเขาผาดหนึ่ง "ดังนั้นเวลาพักฟื้นของพวกเจ้าเดิมทีก็เหลือไม่มากแล้ว อย่าไปทำอะไรบ้าๆ บอๆ อีก""รับทราบ!" เหลียนเจินขานรับเสียงขรึม"ข้าจะรักษาให้พวกเขา จากนั้นเจ้าก็เอายาทาให้พวกเขาเสีย แค่อย่าไปทำอะไรบ้าๆ บอๆ ทายาตามเวลา ไม่นานก็หายดีแล้ว"จั๋วซือหรานหลังจากรักษาคนคุ้มกันไปหลายคน ก็กลับมาที่ห้องตนเอง ไปค้นคว้าบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนเจ้าสิ่งนี้ล้ำค่ามากจริงๆ แต่ในเมื่อเขาให้นางมาแล้ว นางเองก็พอจะรับได้อยู่ ดังนั้นจึงไม่ต้องเกรงใจเกินไปนักตอนที่จั๋วซือหรานย้ายบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนไปปลูกที่ดินในมิติแล้ว ราชาแมงมุมหน้าผีกับแมงมุมหน้าผีตัวอื่นๆ แล้วก็แมงมุมกู่ ก็มาล้อมอยู่ข้างๆ นางแมงมุมที่ขนาดใหญ๋กว่าปกติหลายเท่า ล้อมนางเอาไว้ ฉากนี้ถ้าหากคนอื่นมาเห็น ก็คงรู้สึกหวาดผวาขึ้นแน่ๆแต่สีหน้าของจั๋วซือหรานก็นิ่งอย่างมาก กระทั่งบนหน้ายังยิ้มละไม หลังจากปลูกบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนไว้ในดินแล
ด้วยนิสัยซื่อสัตย์ภักดีของพวกเขา ถ้าหากจั๋วซือหรานคิดจะตั้งชื่อเหล่านี้ให้พวกเขาจริงๆไม่แน่พวกเขาอาจจะต้องบีบจมูกยอมรับไปจริงๆแต่ชื่อเหล่านี้มันดูจะ...ดังนั้นจึงคิดวิธีที่จะดิ้นรนต่ออีกหน่อย"กลัวหรือ?" จั๋วซือหรานเลิกคิ้วมองพวกเขาหัวหน้าคนคุ้มกันพยักหน้าหงึกหงักจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "พวกเจ้าบาดเจ็บขนาดนี้ยังกล้าตักน้ำมาเช็ดมาล้างได้ ข้าคิดว่าพวกเจ้าจะกล้าจนไม่กลัวอะไรแล้วเสียอีก ทำไมแค่ชื่อผลไม้แค่นี้ก็ยังกลัวกัน?"หัวหน้าคนคุ้มกันฟังไม่เข้าใจเสียที่ไหน แม่นางจงใจทำให้พวกเขาตกใจ เพื่อจะลงโทษพวกเขาที่เมื่อครู่พูดกันว่าจะจัดการแผลแบบขอไปทีหัวหน้าคนคุ้มกันรีบเอ่ยขึ้นมา "แม่นาง พวกเราไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าแล้ว แค่กังวลว่าท่านอยู่ในเมืองหยางจะมีภาระหน้าที่เยอะอยู่แล้ว แต่ยังต้องมาคอยห่วงเรื่องยิบย่อยของพวกเราอีก..."จั๋วซือหรานยกมือตบลงไปที่หนึ่งที่หลังเขาหัวหน้าคนคุ้มกันร้องอั่กออกมา แต่ก็รีบอดทนเอาไว้เดิมทียังคิดว่านี่คือการลงโทษเสียอีก คิดไม่ถึงเลย...ตอนที่แม่นางฟาดมือลงมา รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาก่อน จากนั้นก็รู้สึกเหมือนมีพลังที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับนุ่มนวลละมุนละไมลูบผ่าน
"นายท่านอารมณ์ดีก็ดีแล้ว" เจิ้นเจียงพอเห็นจั๋วซือหรานอารมณ์ดี เขาเองก็อารมณ์ดีตามขึ้นมา จึงได้พูดว่า "จัดแจงคนคุ้มกันเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาล้วนบาดเจ็บกันหมด"จั๋วซือหรานร้องอืม "ดี ข้าจะไปดูหน่อย เดี๋ยวจะตั้งชื่อให้พวกเขาด้วย อยู่ในตระกูลเหอไม่มีชื่อเลยมีแต่หมายเลข เจ้าไปที่โรงเตี๊ยมแล้วหาของกินมาให้พวกเขาหน่อย""ขอรับ" เจิ้นเจียงรับคำสั่ง คิดๆ แล้วจึงเอ่ยถามขึ้นว่า "...อาหารนี่น่าจะไม่ถูกทำอะไรลงไปหรอกกระมัง?"จั๋วซือหรานพอได้ยิน ก็ยกมุมปากขึ้น "พวกเจ้าจะลองดูก็ได้นี่"พอได้ยินนายท่านพูดหยามขึ้นเช่นนี้ เจิ้นเจียงก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว"เช่นนั้นข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้"เจิ้นเจียงเพิ่งเตรียมจะเดินไปโถงหน้า จั๋วซือหรานคิดๆ แล้วก็เรียกเขาขึ้นมา "จริงด้วย""อื๋อ? แม่นางยังมีอะไรกำชับอีกหรือ?""คุณชายเยี่ยนที่โถงหน้าคนนั้น เป็นคนที่มีบุญคุณกับข้า ถ้าหากเขายังไม่ไป เจ้าเองก็ช่วยดูแลหน่อย""รับทราบ!" เจิ้นเจียงรับคำสั่งแล้วออกไปและระหว่างทางที่จั๋วซือหรานตรงไปเรือนหลัง ในสมองก็มีภาพตอนที่ชายหนุ่มหักตะเกียบก่อนหน้านี้ปรากฏออกมา แก้มที่ตึงกับสายตาที่มีแววตาแบบนั้นจั๋วซือหราน
สัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มของปลายนิ้วหญิงสาวที่แตะลงมาบนริมฝีปากและได้ยินเสียงอ่อนโยนพูดคำที่ว่าต้องแต่งงานด้วยคิ้วของ 'เยี่ยนหราน' ขมวดแน่นขึ้นมากระทั่งตนเองยังไม่ทันตระหนักถึง ว่าทำไมต้องออกแรงที่นิ้ว แล้วทำไมที่น้ิวต้องออกแรงแล้วท้ายสุด เสียง 'กร๊อบ' ก็ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันตะเกียบไม้ในมือเขาหักครึ่งเป็นสองท่อน!แก้มของชายหนุ่มตึงเป็นเส้นโค้ง เขาเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "แม่นางก็ดูแลตัวเองด้วย"จั๋วซือหรานหัวเราะขึ้นเบาๆ "คุณชายขี้อายขนาดนี้เชียว? หน้าตาก็หล่อเหลาดี ไม่คิดว่า...จะใสซื่อขนาดนี้"เสียงของชายหนุ่มดังลอดออกมาจากไรฟัน ฟังแล้วรู้สึกกระด้างหน่อยๆ "แล้วก็ออกไปด้านนอก การบุ่มบ่ามลดความสงสัยต่อตัวคนอื่นลง มันคือความประมาทเลินเล่อ"มุมปากจั๋วซือหรานเหมือนมีรอยยิ้มบางๆ ดูแล้วเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้มไม่ได้ปฏิเสธคำพูดเขา เพียงเอ่ยขึ้นว่า "ขอบคุณคุณชายเยี่ยนที่เตือน หลังจากนี้ข้าจะระวังให้มาก เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน..."ในที่สุดนางก็หมุนตัวจากไปหลังจากเห็นแผ่นหลังนางเดินห่างไปแล้ว'เยี่ยนหราน'...หรือบางทีควรจะเรียกว่าเฟิงเหยียนตอนนี้จึงมองมายังมือตนเอง บนปลายหัวแม่มือ มีแผ
รอยยิ้มบนใบหน้าจั๋วซือหรานไม่เปลี่ยน "เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก""ไม่เป็นไร" 'เยี่ยนหราน' เอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วซือหรานยังคงยิ้มบาง "บัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนนี้เป็นสิ่งมีพิษกระมัง?""อืม" เขาไม่ได้ตระหนักถึงว่าอะไรผิดปกติ พยักหน้าตอบกลับ "เป็นสิ่งมีพิษที่มีอยู่ไม่มากนัก สามารถสร้างหมอกพิษขึ้นในป่าได้ ต้นของมันเดิมทีก็มีพิษร้ายแรงอยู่"อาหารรสชาติไม่เลวเลย น้ำแกงทำเอาตัวคนผ่อนคลายลงมาเลยทีเดียวเขาค่อนข้างผ่อนคลาย...หรือบางที สิ่งที่ทำให้เขาผ่อนคลายไม่ใช่น้ำแกงร้อน แต่เป็นเสียงอ่อนโยนของนาง...เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันดังนั้น ตอนนี้เขาจึงไม่ได้สังเกตถึงอะไรที่ผิดปกติพอได้ยินคำถามที่จั๋วซือหรานเพิ่งถาม ก็ตอบกลับนางมาตรงๆหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงหญิงสาวใสเย็น เพียงแต่ว่า ไม่ได้อ่อนโยนแบบก่อนหน้านี้แล้วเพียงแค่เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า "เป็นของดีจริงๆ เพียงแต่ว่า..." นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา "ไม่รู้ว่าคุณชายเยี่ยนรู้ได้อย่างไร...หรือทำไมจึงรู้สึกว่า ข้าสามารถทนทานต่อธาตุพิษได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร?"มือที่จับตะเกียบของชายหนุ่ม หยุดนิ่งไปในชั่วพริบตาเขาแหงนตา มองไปยังสีหน้าของหญิงสาว อั
คำพูดนี้ของจั๋วซือหรานไม่ได้มีเจตนาอะไรเป็นพิเศษแต่นางหน้าตาดี แล้วยังฉลาดเฉลียว ปกติเวลาปฏิบัติต่อใครก็จะมีท่าทีเย็นชา ดังนั้นต่อให้จะสวย แต่ก็ยังรู้สึกเหินห่างด้วยเช่นกันแต่ตอนนี้ท่าทีของนาง กลับไม่ได้เย็นชาเหมือนปกตินางยิ้มตาโค้ง ยิ้มสวยหยาดเยิ้มราวกับดวงดาวพร่างพราวอยู่เต็มฟ้า เหมือนมีมนต์สะกดที่ไม่รู้จัก สามารถทำให้คนจมดิ่งเข้าไปได้ในพริบตา'เยี่ยนหราน' มองตานางนิ่ง ไม่ย้ายสายตาไปไหนเลยพักหนึ่ง"ทำไมหรือ?" จั๋วซือหรานถามขึ้นเบาๆ'เยี่ยนหราน' ตอนนี้จึงส่งเสียงฮึจากจมูกออกมาเป็นเชิงถาม คล้ายกับเพิ่งจะรู้สึกตัวจั๋วซือหรานหัวเราะ ถามขึ้นว่า "คุณชายเยี่ยนเหม่อไปแล้วหรือ? ชื่อดวงดาวที่เจ้าบอกล่ะ?"ตอนนี้เขาจึงเอ่ยขึ้น "เหลียนเจิน เทียนเยว่ เทียนจี เทียนเซี่ยง เทียนถง เทียนเหลียง..."หลังจากจั๋วซือหรานได้ยิน ก็เลิกคิ้วขึ้น "ไม่เลวจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่คุณชายว่าแล้วกัน ขอบคุณมาก"ปฏิกิริยาเหล่านี้ของ 'เยี่ยนหราน' จั๋วซือหรานรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างเห็นได้ชัดและรู้สึกว่าใกล้เคียงแล้ว จึงลุกขึ้นยืน "คุณชายเยี่ยนค่อยๆ กินเถิด ข้าจะไปดูพวกคนรับใช้ที่บาดเจ็บพอดี แล้วจะบอก
"เอาที่อร่อยดีกว่า" ขนมชามเองก็ใสซื่อ เอ่ยขึ้นว่า "นายท่านเองก็หิวแล้วนี่"จั๋วซือหรานยื่นนิ้วออกมานิ้วหนึ่ง จับไปที่ขนมชามเบาๆยิ้มตาโค้ง "เด็กดี"จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ "เอาล่ะ ถือว่าเขาโชคดีแล้วกัน"โชคดีที่มาเจอเข้ากับขนมชามที่นิสัยอ่อนโยนที่ด้านนอก ถ้าหากขนมถั่วแดงอยู่ด้านนอกล่ะก็ คงได้เสนออีกข้อหนึ่งมาแน่จั๋วซือหรานหยิบวัตถุดิบออกมาจากในมิติ คิดจะทำอาหารสักมื้อหลักๆ คือ อันที่จริงเดิมทีนางก็อยากจะทำให้ใจเขาปั่นป่วนอยู่แต่พอคิดๆ แล้วก็รู้สึกว่า ถ้าหากจะปั่นป่วนจิตใจเขาจริง ก็เหมือนจะไม่ใช่วิธีการที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชาตาของจั๋วซือหรานหรี่ลง พริบตานี้...ก็เหมือนมีแผนการใหม่ขึ้นมาแล้วประมาณราวสามเค่อกับข้าวสี่อย่างน้ำแกงหนึ่งอย่างอันหอมหวนชวนกิน ก็เสร็จสิ้นลงจากเตา"นี่คือปลาเปรี้ยวหวาน ขานกย่าง เนื้อกระดูกหอมเกรียม คะน้าไฟแดง แล้วก็มีน้ำแกงเต้าหู้กระดูกปลาอีกที่ด้วย"จั๋วซือหรานนำอาหารหอมหวนชวนกิน ยกมาวางกองลงตรงหน้า 'เยี่ยนหราน'จากนั้นจึงเลิกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นข้อมือขาว หยิบตะเกียบแล้วเอ่ยขึ้นว่า "คุณชายเยี่ยน ลองชิมฝีมือของข้าหน่อย"ตอนที่พูดค
เหล่าคนค้มกันทยอยกันมองไปทางหัวหน้าคนคุ้มกัน ในสายตาเต็มไปด้วยความต้องการความช่วยเหลืออย่างจริงใจหัวหน้าคนคุ้มกันกัดฟันถามขึ้น "แม่ แม่นาง...คงจะไม่คิดจะตั้งชื่อ..."เขาชะงักไป เปลี่ยนทิศทางคำพูด เอ่ยต่อว่า "...อะไรทำนองนี้หรอกใช่ไหม?"ไม่หรอกกระมัง?จั๋วซือหรานเองก็ไม่ได้โง่ ฟังไม่ออกถึงความกังวลพวกเขาเสียที่ไหนนางเหลือบมองพวกเขาผาดหนึ่ง จงใจแหย่พวกเขา เอ่ยขึ้นว่า "ทำไมล่ะ ไม่ดีหรือ? ลาย่างไฟ ขนมไส้หมู หมูชุบกรอบ เป็ดหมักน้ำจิ้ม หมูผัดเปรี้ยวหวาน"นางพูดไปด้วยพลางชี้นิ้วไปทางพวกเขาจากนั้นจึงเห็นว่าสีหน้าของเหล่าคนคุ้มกันแทบจะร้องไห้กันออกมาแล้วตอนนี้เอง เสียงหัวเราะแผ่วเบาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่ประตูจั๋วซือหรานมองไปตามเสียง ก็เห็นร่างเงาหนึ่งที่คุ้นเคย"เจ้าทำไมมาอยู่ที่นี่?" จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว มองคนที่มาใหม่ด้วยสายตาลึกซึ้ง จากนั้นก็พ่นชื่อออกมา "เยี่ยนหราน? ข้าจำชื่อไม่ผิดใช่ไหม"ชายหนุ่มร่างตรงแน่วเดินเข้ามาจากประตู พยักหน้าเบาๆ "ถูกต้อง"จั๋วซือหรานแหงนตามองเขา ไม่พูดอะไรชายหนุ่มก้มหน้ามองนาง สบตากันครู่หนึ่ง อันที่จริงในใจเขาก็ไม่ค่อยสงบนัก แค่คิดว่านางมองอะไรอ
นางหมายถึง...กองหนุนที่ย้ายมาจากสำนักเมฆาวารีของผู้เฒ่าเหอสินะ!?แต่ใครก็ตามที่มีความคิดเช่นนี้ เขาคงจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายหยิ่งผยองโอหังถึงที่สุดหญิงสาวตรงหน้าคนนี้ ตอนที่เผยความหมายนี้ออกมากลับไม่ทำให้เขารู้สึกถึงความหยิ่งผยองโอหังแม้แต่น้อยเพราะ เรื่องราวเหมือนจะเป็นเช่นนี้จั๋วซือหรานเหมือนจะงึมงำกับตนเองขึ้นว่า "พอเข้าใจวิชาหุ่นเชิดกับหุ่นเชิดมนุษย์แล้ว มันน่าสนใจจริงๆ ทางที่ดีขอให้พวกเขาเอาเจ้าพวกนี้มาเล่นด้วย จะได้ไม่เสียเวลาที่ให้ข้ารอนานขนาดนี้...เจิ้นเจียงเหลือบมองทุกคนที่มีบาดแผลพอคิดๆ ก็ถามจั๋วซือหรานขึ้น "แม่นาง แล้วจะเรียกพวกเขาว่าอย่างไรกัน? เหมือนว่าจะบาดเจ็บกันหนักมาก ข้าพาพวกเขาไปพักผ่อนดีไหม?"หัวหน้าคนคุ้มกันมองออก ว่าคนรับใช้คนนี้ของนายท่าน เหมือนจะไม่ได้กังวลอะไรเลยกับสถานการณ์ที่นายท่านกำลังจะเผชิญแม้ไม่รู้ว่าผ่านเรื่องอะไรมา ถึงทำให้บ่าวมีความเชื่อมั่นที่เด็ดขาดขนาดนี้แต่ไม่ว่าจะผ่านอะไรมาอันที่จริงคนคุ้มกันอย่างพวกเขา ก็เพิ่งจะผ่านการถูกตระกูลเหอปฏิบัติอย่างโหดร้ายมานี่เองและยังเห็นเจิ้นเจียงมีความเชื่อมั่นที่เด็ดขาดขนาดนี้ต่อนายท่านแม้พวกเขา