เสียงครวญคราง เสียงตะโกน เสียงอ้อนวอนชั่วขณะหนึ่ง เสียงเหล่านี้ดังขึ้นไม่ขาดหูที่ประตูเมือง"ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! ข้ายังไม่อยากตาย!"มีองครักษ์ชินอ๋องอวี้คนหนึ่งถูกระเบิดจนขาขาดทั้งสองข้าง นอนกระเสือกกระสนอยู่บนพื้น นิ้วกำลึกลงไปในดินคำรามแผดเสียงจนตาแทบแตกอาการบาดเจ็บเช่นนี้ของเขา คนรอบๆ ล้วนส่ายหัวกันหมดคิดว่าบาดแผลเขาเช่นนี้ เกรงว่าคงจะมีแค่แม่นางจั๋วจิ่วที่งดงามความสามารถน่าตกตะลึงคนนั้นเท่านั้น ถึงจะสามารถรักษาได้แต่ว่า คนที่สร้างแบดแผลนี้ให้แก่เขา ก็คือแม่นางจั๋วจิ่วที่งดงามความสามารถน่าตกตะลึงคนนั้นและมีทหารราบของค่ายป้องกันลาดตระเวนมองออกแล้ว ว่าคนนี้สังหารทหารราบของพวกเขาไปพอสมควร กระทั่งยังเป็นหนึ่งในองครักษ์ชินอ๋องอวี้ที่นำศพของพวกเขาไปแขวนไว้บนคานประตูด้วยดังนั้นต่อให้เขาตอนนี้จะร้องอย่างน่าเวทนาเพียงใด จากที่พวกเขาเห็นมันก็สมควรแล้ว สาแก่ใจ กรรมตามทันไม่มีความเห็นใจใดๆ ทั้งสิ้นยังมีคนส่วนหนึ่ง ที่มีอาการบาดเจ็บจากระเบิดอยู่ระดับหนึ่งและเหล่าทหารจากฝ่ายต่างๆ ที่ติดตามจั๋วซือหรานมาด้วยกัน ก็จัดการสถานการณ์ยุ่งเหยิง ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้วดังนั้นตอ
"ไม่ต้องให้ท่านลำบากใจหรอก" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ "ข้าจัดการเอง"เสียงนางยังไม่ทันขาด กระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนมือนางที่นี่เงียบลงเป็นเป่าสากไม่ว่าจะคนจากค่ายป้องกันลาดตระเวน หรือว่าคนที่ชินอ๋องอวี้ส่งมา ชั่วขณะหนึ่ง ก็เงียบกันไปหมดสายตาคนทั้งหมดหยุดอยู่บนตัวนางทุกคนล้วนเห็นรอยยิ้มบนมุมปากนางรอยยิ้มที่สวยสด เข้ากับใบหน้างามงด สมบูรณ์แบบจริงๆ!แต่ว่ารอยยิ้มที่งดงามนี้ กลับเต็มไปด้วยความกระหายเลือดเจ้าพวกที่พูดปาวๆ ว่าตนเองเป็นคนของตระกูลใหญ่ก่อนหน้านี้ ไม่ยอมรับการตัดสินจากอำนาจของราชวงศ์ตอนนี้เองก็นิ่งเงียบไปหมดเช่นกัน เพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึง...อันตรายที่น่ากลัวอย่างมากจั๋วซือหรานถือดาบยาวอยู่อย่างนั้น ค่อยๆ เดินตรงไปหาพวกเขาเขาเดินผ่านกลุ่มคน กลุ่มคนก็ทยอยกันเปิดทางให้นางหนังตาบางของจั๋วซือหรานเลิกขึ้น ในดวงตาไม่มีความอบอุ่นใดเหลืออยู่อีก ยิ้มขึ้นอย่างกระหายเลือดและทุกคนก็เห็นริมฝีปากแดงขยับเบาๆ ราวกับกำลังพึมพำอะไร แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน บางทีอาจจะไม่มีใครฟังออกก็ได้นางบ่นขึ้นว่า "ข้าหลับไปสามวัน งานที่ต้องทำก็ไม่ได้ทำ เอาพวกเจ้ามาชดเชยหน่อยแล้วก
หลังจากเห็นจั๋วซือหรานพูดคำนี้จบ ก็เดินมาข้างศพศัตรูที่ล้มอยู่บนพื้นร่างหนึ่ง ดาบยาวในมือก็ลากเฉียดไปบนร่างเขาทุกคนคิดว่า จั๋วซือหรานน่าจะรังเกียจที่ดาบของตนเองเปื้อนเลือด ดังนั้นจึงจึงใช้เสื้อผ้าศัตรูมาเช็ดคราบเลือดให้สะอาดแต่จั๋วซือหรานกลับใช้ปลายดาบเปิดเสื้อผ้าของเขาออกดาบยาวเล่มเรียวอยู่ในมือนาง คล่องแคล่วว่งไวราวกับเป็นมืออีกข้างของนางอย่างไรอย่างนั้นจั๋วซือหรานใช้ปลายดาบเปิดเสื้อผ้าคนผู้นี้ออก จากนั้นปลายดาบก็ยกตราหนึ่งขึ้นมาจากตัวเขา"นี่คือ...ตราขององครักษ์ชินอ๋องอวี้หรือ?" อิงเซ่าเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานพยักหน้า "ในมือข้ามีอยู่ส่วนหนึ่ง จากนั้นที่นี่ก็น่าจะหามาได้ไม่น้อยเลย"ซือคงเซี่ยนตาเป็นประกายอยู่ข้างๆ น่าจะเดาได้ถึงความคิดของจั๋วซือหราน เอ่ยขึ้นว่า "เจ้าคิดจะไปหลอกพวกเขาใช่ไหม?"จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้ง ปลายดาบยกตรานี่ขึ้นมา ใช้นิ้วสองนิ้วบีบเอาไว้ ตอบว่า "ซือคงอวี้ยังหากองหนุนจากภายนอก แล้วจะไม่ให้ข้าไปตบตาเขาได้หรือ..."อิงเซ่าเข้าใจความหมายในคำพูดซือคงอวี้กับความคิดของจั๋วซือหรานแล้ว กวักมือเรียกทหารใต้บัญชามาแล้วกำชับออกไป"ไปหาตราจวนชินอ๋องอวี้จากบนตัวพวกเขาม
สถานการณ์ที่ประตูค่ายเป็นอย่างไร จั๋วซือหรานก็ขี้เกียจจะไปยุ่งแล้วนางเข้าไปในค่ายทหารน่าจะเพราะอิงเซ่ากำชับเอาไว้แล้ว เหล่าหัวกะทิของค่ายป้องกันลาดตระเวนจึงมารอกันอยู่ที่ลานฝึกยุทธ์พอเห็นจั๋วซือหรานเข้ามา แต่ละคนก็สายตาเป็นประกายจั๋วซือหรานหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ "พวกเรากระตือรือล้นขนาดนี้เชียว""ขออุทิศชีวิตแด่แม่นางจิ่ว"เหล่าหัวกะทิทยอยกันตะโกนออกมาซือคงเซี่ยนยืนอยู่ข้างๆ ตอนที่มองไปทางจั๋วซือหราน สายตาก็มีแววทอดถอนใจขึ้นมาเขารออยู่ที่ค่ายป้องกันลาดตระเวนพักหนึ่ง ดังนั้นสำหรับความศรัทธาต่อจั๋วซือหรานของเหล่าทหารนั้นจึงชัดเจนอย่างมากตอนนั้นถ้าหากนางไม่บุกเดี่ยวเข้ามา สถานการณ์พิษกู่เมื่อตอนนั้น ต่อให้อิงเซ่าจะรับมือกับควบคุมได้ทันท่วงทีแต่เรื่องที่ค่ายป้องกันลาดตระเวนจะกลายเป็นนรกบนดินก็อยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้นแล้วนางช่วยชีวิตพวกเขาไว้ ช่วยไว้ทั้งค่ายป้องกันลาดตระเวนทหารราบเหล่านี้ ความศรัทธานับถือต่อจั๋วซือหราน ไม่ได้น้อยไปกว่าอิงเซ่าเลยแม้แต่น้อยสามารถอุทิศชีวิตให้จั๋วซือหรานได้ สามารถติดตามนางไปแก้ไขสถานการณ์ลำบากของค่ายคุ้มกันนอกเมืองได้ พวกเขาต่อให้
จั๋วซือหรานหลังจากได้ยิน ก็หัวเราะขึ้นมาทันทีพอเทียบกับตอนที่ไม่ได้แปลงโฉม สภาพที่เวลานางยิ้มแล้วงดงามล่มเมืองแบบนั้นตอนนี้พอนางยิ้มขึ้นมา มีความสดใสที่เข้มแข็ง เฉลียวฉลาดอย่างเปิดเผย"ถึงอย่างไร...ถ้าคิดจะแต่งให้สวยก็ยากมาก แต่ถ้าคิดจะแต่งให้น่าเกลียดหน่อยคือง่ายแสนง่าย" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นคำพูดนี้ ถ้าคนอื่นมาพูด เกรงว่าคงทำให้คนรู้สึกว่า...หน้าใหญ่เหลือเกินถึงกล้าพูดเช่นนี้แต่ก็มีแค่คุณหนูจั๋วจิ่วคนนี้เท่านั้น ที่พูดคำพูดนี้ออกมาแล้วไม่ทำให้คนรู้สึกแย่กระทั่งยังทำให้คนรู้สึกว่าคำพูดนี้เป็นเรื่องจริงด้วย"แม่นางจิ่วพูดมาถูกต้องอย่างที่สุด" รองแม่ทัพรีบประสานมือเอ่ยขึ้น "แม่นางจิ่ว ข้าเลือกคนเรียบร้อย อยู่ที่นี่กันหมดแล้ว"จั๋วซือหรานพยักหน้าส่งตราออกไป "ให้พวกเขาพกไว้คนละชิ้น""ขอรับ!" รองแม่ทัพขานรับคำหนึ่ง แต่พอคิดๆ ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ "แม่นางจิ่ว พวกเขาไม่ได้สวมชุดของจวนชินอ๋องอวี้ ไม่เป็นไรหรือ?"ก่อนหน้านี้รองแม่ทัพพิจารณาถึงปัญหานี้แล้ว แต่เขารู้สึกว่า แม่นางจิ่วคิดอะไรรอบคอบ ในเมื่อนางกล้าทำเช่นนี้ แน่นอนว่านางจะต้องมีเหตุผลที่มั่นใจจั๋วซือหรานพอได้ยินก็เลิกคิ้
ถ้าจะเล่น ก็ต้องเล่นให้ใหญ่หน่อยรองแม่ทัพรู้สึกเหมือนจิตสังหารบนตัวแม่นางจิ่ว ราวกับเป็นของจริงขึ้นมา!ต่อให้อยู่ข้างๆ นาง ก็เหมือนถูกจิตสังหารอันคมกริบนี้ทิ่มแทงเข้ามาแล้ว!ไม่นานนัก ค่ายคุ้มกันก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว!ค่ายคุ้มกันที่แม่ทัพฮ่าวฉีบัญชาการ เป็นจุดเหมาะสมที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายสิบลี้ ด้านหน้าค่ายเป็นที่ราบกว้างใหญ่ ด้านหลังติดกับหน้าผาสูงชั้นที่ล้อมด้วยป่าหนาทึบยิ่งไปกว่านั้นในค่ายใหญ่ยังสร้างกำแพงสูง บนกำแพงสูงทุกระยะยี่สิบสามสิบเมตรก็จะมีหอธนูอยู่หอหนึ่งพูดได้ว่าป้องกันง่ายโจมตียากตอนนี้ ประตูค่ายมีคนจำนวนมากรวมตัวกันอยู่คนเหล่านี้ล้วนแขวนป้ายจวนชินอ๋องอวี้ไว้ แต่เสื้อผ้านั้นแตกต่างกัน ดูยุ่งเหยิงไปหมดยิ่งไปกว่นั้นยังมองออกไม่ยาก ว่าหน้าตากับบุคลิกคนเหล่านี้...ไม่ใช่คนแคว้นชางทั้งหมดมีคนที่ถักเปียเล็กบนหัว ผิวค่อนข้างคล้ำ ดวงตาลึกซึ้ง มีความเป็นคนต่างแดนมากมีคนที่ผิวขาว ดวงตาดูลึกลับ กระทั่งสีของตาดำยังหลากหลายสีสันอาวุธในมือเองก็มากมายหลายแบบ ดาบหอกกระบองขวานแส้ยาว...มีมันทุกอย่างสำเนียงการพูดก็มีความเป็นต่างแดน หางเสียงยกสูงกดต่ำแตกต่างกันยิ่ง
ฟันของรองแม่ทัพกัดแน่นจนมีเสียง!มือข้างหนึ่งถือกล้องสองทางไกลไว้แน่น จนแทบจะบีบมันจนพัง"ไอ้พวก...เดรัจฉาน!"ต่อให้รู้ว่าชัยชนะและความพ่ายแพ้เป็นเรื่องปกติของสงคราม แต่พอได้เห็นฉากเช่นนี้ ก็ยังรู้สึกอึดอัดในใจ มันเดือดดาล!คนอื่นไม่เห็นภาพที่จั๋วซือหรานกับรองแม่ทัพเห็นแต่ก็ถูกอารมณ์ของรองแม่ทัพระบาดไปแล้วรีบร้อนถามขึ้นว่า "ท่านรองแม่ทัพ ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?"แม้จะได้ยินจั๋วซือหรานพูดว่าตั้งคานประตูขึ้นมาแล้ว จากสถานการณ์ที่ประตูค่ายป้องกันลาดตระเวนก่อนหน้านี้ ก็พอจะเดาได้ ว่าสถานการณ์ทางนั้นจะต้องไม่ได้ใช่ภาพที่น่าดูแน่นอน"พวกเขาตั้งคานประตูด้วยหรือ? ที่ค่ายคุ้มกันเนี่ยนะ? เจ้าพวกเดรัจฉาน..." มีทหารหัวกะทิคนอื่นๆ ก่นด่าตามขึ้นมาแล้วรองแม่ทัพกัดฟันเอ่ยว่า "น่าเวทนากว่าสถานการณ์ประตูค่ายของพวกเราเสียอีก พวกเขาทางนี้...แขวนหัวคนขึ้นไป!"ตอนที่รองแม่ทัพพูดออกมา น้ำเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันนั่น ก็ราวกับอยากจะดื่มเลือดของอีกฝ่าย กินเนื้อของอีกฝ่ายเสียให้ได้อย่างนั้น"คนที่ตายไปในค่ายคุ้มกัน...มากกว่าในค่ายพวกเรามาก" รองแม่ทัพกัดฟันพูดจั๋วซือหรานพูดขึ้นข้างๆ "แน่นอน พวกต่างแ
"กองทหารที่อ่อนแอเช่นนี้ แคว้นแบบนี้ กลับทำให้ดินแดนทางใต้ของพวกเราสยบมาตั้งนานขนาดนี้""พอคิดถึงเรื่องที่แคว้นเราต้องส่งเครื่องบรรณณาการให้กับแคว้นที่อ่อนแอแบบนี้แล้ว มันน่าโมโหเสียจริง!""นี่! ไอ้พวกอ่อนแอแคว้นชาง! เลิกหดหัวอยู่ในกำแพงสูงแล้วออกมาได้แล้ว!""ให้ตายเถอะ! พวกเจ้าไม่ใช่เก่งนักหรือ! รีบออกมาเร็ว ให้พวกข้าได้สังหารทิ้งเสียหน่อย!""ฮ่าๆๆ! ข้าว่าพวกเขาคงจะกลัวกันแล้ว ตายไปตั้งมากขนาดนี้ กลัวตายกันสินะ คงจะกลัวว่าถ้าออกมาอีกคงถูกวพกเราเด็ดหัวไปแขวนคานประตูล่ะสิ!""ต้าชางอะไรกัน! ข้าเห็นแต่ไอ้พวกอ่อนแอกระจุกหนึ่ง เรียกว่าชางขี้ขลาดไปเลยดีกว่า!"คำวิจารณ์ถากถางเช่นนี้ของศัตรูดังขึ้นไม่ขาดหู ลือเข้าไปถึงในค่ายทหาร ลอดเขาไปในหูของทหารที่อยู่บนกำแพงแล้วจึงผ่านการรายงานของเหล่าทหาร ส่งเข้าไปในกระโจมแม่ทัพทุกถ้อยทุกคำหลังจากที่เหล่าแม่ทัพยุทธ์ไ้ดยินคำพูดเหล่านี้ ก็โมโหจนตาแดงก่ำแทบจะควบคุมเลือดที่เดือดพล่านและความโกรธแค้นในอกไม่อยู่ทันที!อาวุธที่ถืออยู่ก็อยากจะเอาออกไปสั่งสอนเจ้าพวกคนเถื่อนเหล่านี้!"ฝ่าบาท! ท่านแม่ทัพ! ข้าขอติดตามไปด้วย! ต่อให้ตายสักพันครั้งก็ไม่เสีย
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด