เสียงครวญคราง เสียงตะโกน เสียงอ้อนวอนชั่วขณะหนึ่ง เสียงเหล่านี้ดังขึ้นไม่ขาดหูที่ประตูเมือง"ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! ข้ายังไม่อยากตาย!"มีองครักษ์ชินอ๋องอวี้คนหนึ่งถูกระเบิดจนขาขาดทั้งสองข้าง นอนกระเสือกกระสนอยู่บนพื้น นิ้วกำลึกลงไปในดินคำรามแผดเสียงจนตาแทบแตกอาการบาดเจ็บเช่นนี้ของเขา คนรอบๆ ล้วนส่ายหัวกันหมดคิดว่าบาดแผลเขาเช่นนี้ เกรงว่าคงจะมีแค่แม่นางจั๋วจิ่วที่งดงามความสามารถน่าตกตะลึงคนนั้นเท่านั้น ถึงจะสามารถรักษาได้แต่ว่า คนที่สร้างแบดแผลนี้ให้แก่เขา ก็คือแม่นางจั๋วจิ่วที่งดงามความสามารถน่าตกตะลึงคนนั้นและมีทหารราบของค่ายป้องกันลาดตระเวนมองออกแล้ว ว่าคนนี้สังหารทหารราบของพวกเขาไปพอสมควร กระทั่งยังเป็นหนึ่งในองครักษ์ชินอ๋องอวี้ที่นำศพของพวกเขาไปแขวนไว้บนคานประตูด้วยดังนั้นต่อให้เขาตอนนี้จะร้องอย่างน่าเวทนาเพียงใด จากที่พวกเขาเห็นมันก็สมควรแล้ว สาแก่ใจ กรรมตามทันไม่มีความเห็นใจใดๆ ทั้งสิ้นยังมีคนส่วนหนึ่ง ที่มีอาการบาดเจ็บจากระเบิดอยู่ระดับหนึ่งและเหล่าทหารจากฝ่ายต่างๆ ที่ติดตามจั๋วซือหรานมาด้วยกัน ก็จัดการสถานการณ์ยุ่งเหยิง ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้วดังนั้นตอ
"ไม่ต้องให้ท่านลำบากใจหรอก" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ "ข้าจัดการเอง"เสียงนางยังไม่ทันขาด กระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนมือนางที่นี่เงียบลงเป็นเป่าสากไม่ว่าจะคนจากค่ายป้องกันลาดตระเวน หรือว่าคนที่ชินอ๋องอวี้ส่งมา ชั่วขณะหนึ่ง ก็เงียบกันไปหมดสายตาคนทั้งหมดหยุดอยู่บนตัวนางทุกคนล้วนเห็นรอยยิ้มบนมุมปากนางรอยยิ้มที่สวยสด เข้ากับใบหน้างามงด สมบูรณ์แบบจริงๆ!แต่ว่ารอยยิ้มที่งดงามนี้ กลับเต็มไปด้วยความกระหายเลือดเจ้าพวกที่พูดปาวๆ ว่าตนเองเป็นคนของตระกูลใหญ่ก่อนหน้านี้ ไม่ยอมรับการตัดสินจากอำนาจของราชวงศ์ตอนนี้เองก็นิ่งเงียบไปหมดเช่นกัน เพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึง...อันตรายที่น่ากลัวอย่างมากจั๋วซือหรานถือดาบยาวอยู่อย่างนั้น ค่อยๆ เดินตรงไปหาพวกเขาเขาเดินผ่านกลุ่มคน กลุ่มคนก็ทยอยกันเปิดทางให้นางหนังตาบางของจั๋วซือหรานเลิกขึ้น ในดวงตาไม่มีความอบอุ่นใดเหลืออยู่อีก ยิ้มขึ้นอย่างกระหายเลือดและทุกคนก็เห็นริมฝีปากแดงขยับเบาๆ ราวกับกำลังพึมพำอะไร แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน บางทีอาจจะไม่มีใครฟังออกก็ได้นางบ่นขึ้นว่า "ข้าหลับไปสามวัน งานที่ต้องทำก็ไม่ได้ทำ เอาพวกเจ้ามาชดเชยหน่อยแล้วก
หลังจากเห็นจั๋วซือหรานพูดคำนี้จบ ก็เดินมาข้างศพศัตรูที่ล้มอยู่บนพื้นร่างหนึ่ง ดาบยาวในมือก็ลากเฉียดไปบนร่างเขาทุกคนคิดว่า จั๋วซือหรานน่าจะรังเกียจที่ดาบของตนเองเปื้อนเลือด ดังนั้นจึงจึงใช้เสื้อผ้าศัตรูมาเช็ดคราบเลือดให้สะอาดแต่จั๋วซือหรานกลับใช้ปลายดาบเปิดเสื้อผ้าของเขาออกดาบยาวเล่มเรียวอยู่ในมือนาง คล่องแคล่วว่งไวราวกับเป็นมืออีกข้างของนางอย่างไรอย่างนั้นจั๋วซือหรานใช้ปลายดาบเปิดเสื้อผ้าคนผู้นี้ออก จากนั้นปลายดาบก็ยกตราหนึ่งขึ้นมาจากตัวเขา"นี่คือ...ตราขององครักษ์ชินอ๋องอวี้หรือ?" อิงเซ่าเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานพยักหน้า "ในมือข้ามีอยู่ส่วนหนึ่ง จากนั้นที่นี่ก็น่าจะหามาได้ไม่น้อยเลย"ซือคงเซี่ยนตาเป็นประกายอยู่ข้างๆ น่าจะเดาได้ถึงความคิดของจั๋วซือหราน เอ่ยขึ้นว่า "เจ้าคิดจะไปหลอกพวกเขาใช่ไหม?"จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้ง ปลายดาบยกตรานี่ขึ้นมา ใช้นิ้วสองนิ้วบีบเอาไว้ ตอบว่า "ซือคงอวี้ยังหากองหนุนจากภายนอก แล้วจะไม่ให้ข้าไปตบตาเขาได้หรือ..."อิงเซ่าเข้าใจความหมายในคำพูดซือคงอวี้กับความคิดของจั๋วซือหรานแล้ว กวักมือเรียกทหารใต้บัญชามาแล้วกำชับออกไป"ไปหาตราจวนชินอ๋องอวี้จากบนตัวพวกเขาม
สถานการณ์ที่ประตูค่ายเป็นอย่างไร จั๋วซือหรานก็ขี้เกียจจะไปยุ่งแล้วนางเข้าไปในค่ายทหารน่าจะเพราะอิงเซ่ากำชับเอาไว้แล้ว เหล่าหัวกะทิของค่ายป้องกันลาดตระเวนจึงมารอกันอยู่ที่ลานฝึกยุทธ์พอเห็นจั๋วซือหรานเข้ามา แต่ละคนก็สายตาเป็นประกายจั๋วซือหรานหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ "พวกเรากระตือรือล้นขนาดนี้เชียว""ขออุทิศชีวิตแด่แม่นางจิ่ว"เหล่าหัวกะทิทยอยกันตะโกนออกมาซือคงเซี่ยนยืนอยู่ข้างๆ ตอนที่มองไปทางจั๋วซือหราน สายตาก็มีแววทอดถอนใจขึ้นมาเขารออยู่ที่ค่ายป้องกันลาดตระเวนพักหนึ่ง ดังนั้นสำหรับความศรัทธาต่อจั๋วซือหรานของเหล่าทหารนั้นจึงชัดเจนอย่างมากตอนนั้นถ้าหากนางไม่บุกเดี่ยวเข้ามา สถานการณ์พิษกู่เมื่อตอนนั้น ต่อให้อิงเซ่าจะรับมือกับควบคุมได้ทันท่วงทีแต่เรื่องที่ค่ายป้องกันลาดตระเวนจะกลายเป็นนรกบนดินก็อยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้นแล้วนางช่วยชีวิตพวกเขาไว้ ช่วยไว้ทั้งค่ายป้องกันลาดตระเวนทหารราบเหล่านี้ ความศรัทธานับถือต่อจั๋วซือหราน ไม่ได้น้อยไปกว่าอิงเซ่าเลยแม้แต่น้อยสามารถอุทิศชีวิตให้จั๋วซือหรานได้ สามารถติดตามนางไปแก้ไขสถานการณ์ลำบากของค่ายคุ้มกันนอกเมืองได้ พวกเขาต่อให้
จั๋วซือหรานหลังจากได้ยิน ก็หัวเราะขึ้นมาทันทีพอเทียบกับตอนที่ไม่ได้แปลงโฉม สภาพที่เวลานางยิ้มแล้วงดงามล่มเมืองแบบนั้นตอนนี้พอนางยิ้มขึ้นมา มีความสดใสที่เข้มแข็ง เฉลียวฉลาดอย่างเปิดเผย"ถึงอย่างไร...ถ้าคิดจะแต่งให้สวยก็ยากมาก แต่ถ้าคิดจะแต่งให้น่าเกลียดหน่อยคือง่ายแสนง่าย" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นคำพูดนี้ ถ้าคนอื่นมาพูด เกรงว่าคงทำให้คนรู้สึกว่า...หน้าใหญ่เหลือเกินถึงกล้าพูดเช่นนี้แต่ก็มีแค่คุณหนูจั๋วจิ่วคนนี้เท่านั้น ที่พูดคำพูดนี้ออกมาแล้วไม่ทำให้คนรู้สึกแย่กระทั่งยังทำให้คนรู้สึกว่าคำพูดนี้เป็นเรื่องจริงด้วย"แม่นางจิ่วพูดมาถูกต้องอย่างที่สุด" รองแม่ทัพรีบประสานมือเอ่ยขึ้น "แม่นางจิ่ว ข้าเลือกคนเรียบร้อย อยู่ที่นี่กันหมดแล้ว"จั๋วซือหรานพยักหน้าส่งตราออกไป "ให้พวกเขาพกไว้คนละชิ้น""ขอรับ!" รองแม่ทัพขานรับคำหนึ่ง แต่พอคิดๆ ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ "แม่นางจิ่ว พวกเขาไม่ได้สวมชุดของจวนชินอ๋องอวี้ ไม่เป็นไรหรือ?"ก่อนหน้านี้รองแม่ทัพพิจารณาถึงปัญหานี้แล้ว แต่เขารู้สึกว่า แม่นางจิ่วคิดอะไรรอบคอบ ในเมื่อนางกล้าทำเช่นนี้ แน่นอนว่านางจะต้องมีเหตุผลที่มั่นใจจั๋วซือหรานพอได้ยินก็เลิกคิ้
ถ้าจะเล่น ก็ต้องเล่นให้ใหญ่หน่อยรองแม่ทัพรู้สึกเหมือนจิตสังหารบนตัวแม่นางจิ่ว ราวกับเป็นของจริงขึ้นมา!ต่อให้อยู่ข้างๆ นาง ก็เหมือนถูกจิตสังหารอันคมกริบนี้ทิ่มแทงเข้ามาแล้ว!ไม่นานนัก ค่ายคุ้มกันก็มาอยู่ตรงหน้าแล้ว!ค่ายคุ้มกันที่แม่ทัพฮ่าวฉีบัญชาการ เป็นจุดเหมาะสมที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายสิบลี้ ด้านหน้าค่ายเป็นที่ราบกว้างใหญ่ ด้านหลังติดกับหน้าผาสูงชั้นที่ล้อมด้วยป่าหนาทึบยิ่งไปกว่านั้นในค่ายใหญ่ยังสร้างกำแพงสูง บนกำแพงสูงทุกระยะยี่สิบสามสิบเมตรก็จะมีหอธนูอยู่หอหนึ่งพูดได้ว่าป้องกันง่ายโจมตียากตอนนี้ ประตูค่ายมีคนจำนวนมากรวมตัวกันอยู่คนเหล่านี้ล้วนแขวนป้ายจวนชินอ๋องอวี้ไว้ แต่เสื้อผ้านั้นแตกต่างกัน ดูยุ่งเหยิงไปหมดยิ่งไปกว่นั้นยังมองออกไม่ยาก ว่าหน้าตากับบุคลิกคนเหล่านี้...ไม่ใช่คนแคว้นชางทั้งหมดมีคนที่ถักเปียเล็กบนหัว ผิวค่อนข้างคล้ำ ดวงตาลึกซึ้ง มีความเป็นคนต่างแดนมากมีคนที่ผิวขาว ดวงตาดูลึกลับ กระทั่งสีของตาดำยังหลากหลายสีสันอาวุธในมือเองก็มากมายหลายแบบ ดาบหอกกระบองขวานแส้ยาว...มีมันทุกอย่างสำเนียงการพูดก็มีความเป็นต่างแดน หางเสียงยกสูงกดต่ำแตกต่างกันยิ่ง
ฟันของรองแม่ทัพกัดแน่นจนมีเสียง!มือข้างหนึ่งถือกล้องสองทางไกลไว้แน่น จนแทบจะบีบมันจนพัง"ไอ้พวก...เดรัจฉาน!"ต่อให้รู้ว่าชัยชนะและความพ่ายแพ้เป็นเรื่องปกติของสงคราม แต่พอได้เห็นฉากเช่นนี้ ก็ยังรู้สึกอึดอัดในใจ มันเดือดดาล!คนอื่นไม่เห็นภาพที่จั๋วซือหรานกับรองแม่ทัพเห็นแต่ก็ถูกอารมณ์ของรองแม่ทัพระบาดไปแล้วรีบร้อนถามขึ้นว่า "ท่านรองแม่ทัพ ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?"แม้จะได้ยินจั๋วซือหรานพูดว่าตั้งคานประตูขึ้นมาแล้ว จากสถานการณ์ที่ประตูค่ายป้องกันลาดตระเวนก่อนหน้านี้ ก็พอจะเดาได้ ว่าสถานการณ์ทางนั้นจะต้องไม่ได้ใช่ภาพที่น่าดูแน่นอน"พวกเขาตั้งคานประตูด้วยหรือ? ที่ค่ายคุ้มกันเนี่ยนะ? เจ้าพวกเดรัจฉาน..." มีทหารหัวกะทิคนอื่นๆ ก่นด่าตามขึ้นมาแล้วรองแม่ทัพกัดฟันเอ่ยว่า "น่าเวทนากว่าสถานการณ์ประตูค่ายของพวกเราเสียอีก พวกเขาทางนี้...แขวนหัวคนขึ้นไป!"ตอนที่รองแม่ทัพพูดออกมา น้ำเสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันนั่น ก็ราวกับอยากจะดื่มเลือดของอีกฝ่าย กินเนื้อของอีกฝ่ายเสียให้ได้อย่างนั้น"คนที่ตายไปในค่ายคุ้มกัน...มากกว่าในค่ายพวกเรามาก" รองแม่ทัพกัดฟันพูดจั๋วซือหรานพูดขึ้นข้างๆ "แน่นอน พวกต่างแ
"กองทหารที่อ่อนแอเช่นนี้ แคว้นแบบนี้ กลับทำให้ดินแดนทางใต้ของพวกเราสยบมาตั้งนานขนาดนี้""พอคิดถึงเรื่องที่แคว้นเราต้องส่งเครื่องบรรณณาการให้กับแคว้นที่อ่อนแอแบบนี้แล้ว มันน่าโมโหเสียจริง!""นี่! ไอ้พวกอ่อนแอแคว้นชาง! เลิกหดหัวอยู่ในกำแพงสูงแล้วออกมาได้แล้ว!""ให้ตายเถอะ! พวกเจ้าไม่ใช่เก่งนักหรือ! รีบออกมาเร็ว ให้พวกข้าได้สังหารทิ้งเสียหน่อย!""ฮ่าๆๆ! ข้าว่าพวกเขาคงจะกลัวกันแล้ว ตายไปตั้งมากขนาดนี้ กลัวตายกันสินะ คงจะกลัวว่าถ้าออกมาอีกคงถูกวพกเราเด็ดหัวไปแขวนคานประตูล่ะสิ!""ต้าชางอะไรกัน! ข้าเห็นแต่ไอ้พวกอ่อนแอกระจุกหนึ่ง เรียกว่าชางขี้ขลาดไปเลยดีกว่า!"คำวิจารณ์ถากถางเช่นนี้ของศัตรูดังขึ้นไม่ขาดหู ลือเข้าไปถึงในค่ายทหาร ลอดเขาไปในหูของทหารที่อยู่บนกำแพงแล้วจึงผ่านการรายงานของเหล่าทหาร ส่งเข้าไปในกระโจมแม่ทัพทุกถ้อยทุกคำหลังจากที่เหล่าแม่ทัพยุทธ์ไ้ดยินคำพูดเหล่านี้ ก็โมโหจนตาแดงก่ำแทบจะควบคุมเลือดที่เดือดพล่านและความโกรธแค้นในอกไม่อยู่ทันที!อาวุธที่ถืออยู่ก็อยากจะเอาออกไปสั่งสอนเจ้าพวกคนเถื่อนเหล่านี้!"ฝ่าบาท! ท่านแม่ทัพ! ข้าขอติดตามไปด้วย! ต่อให้ตายสักพันครั้งก็ไม่เสีย
"เสร็จแล้ว พวกเจ้าค่อยๆ พักฟื้นไป เดี๋ยวพอพวกกองหนุนสำนักเมฆาวารีพวกนั้นของผู้เฒ่าเหอมาถึง พวกเราค่อยออกเดินทาง เรื่องนี้สำหรับข้ามันสำคัญมาก จะล่าช้าไม่ได้เด็ดขาด"จั๋วซือหรานเหลือบมองเขาผาดหนึ่ง "ดังนั้นเวลาพักฟื้นของพวกเจ้าเดิมทีก็เหลือไม่มากแล้ว อย่าไปทำอะไรบ้าๆ บอๆ อีก""รับทราบ!" เหลียนเจินขานรับเสียงขรึม"ข้าจะรักษาให้พวกเขา จากนั้นเจ้าก็เอายาทาให้พวกเขาเสีย แค่อย่าไปทำอะไรบ้าๆ บอๆ ทายาตามเวลา ไม่นานก็หายดีแล้ว"จั๋วซือหรานหลังจากรักษาคนคุ้มกันไปหลายคน ก็กลับมาที่ห้องตนเอง ไปค้นคว้าบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนเจ้าสิ่งนี้ล้ำค่ามากจริงๆ แต่ในเมื่อเขาให้นางมาแล้ว นางเองก็พอจะรับได้อยู่ ดังนั้นจึงไม่ต้องเกรงใจเกินไปนักตอนที่จั๋วซือหรานย้ายบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนไปปลูกที่ดินในมิติแล้ว ราชาแมงมุมหน้าผีกับแมงมุมหน้าผีตัวอื่นๆ แล้วก็แมงมุมกู่ ก็มาล้อมอยู่ข้างๆ นางแมงมุมที่ขนาดใหญ๋กว่าปกติหลายเท่า ล้อมนางเอาไว้ ฉากนี้ถ้าหากคนอื่นมาเห็น ก็คงรู้สึกหวาดผวาขึ้นแน่ๆแต่สีหน้าของจั๋วซือหรานก็นิ่งอย่างมาก กระทั่งบนหน้ายังยิ้มละไม หลังจากปลูกบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนไว้ในดินแล
ด้วยนิสัยซื่อสัตย์ภักดีของพวกเขา ถ้าหากจั๋วซือหรานคิดจะตั้งชื่อเหล่านี้ให้พวกเขาจริงๆไม่แน่พวกเขาอาจจะต้องบีบจมูกยอมรับไปจริงๆแต่ชื่อเหล่านี้มันดูจะ...ดังนั้นจึงคิดวิธีที่จะดิ้นรนต่ออีกหน่อย"กลัวหรือ?" จั๋วซือหรานเลิกคิ้วมองพวกเขาหัวหน้าคนคุ้มกันพยักหน้าหงึกหงักจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "พวกเจ้าบาดเจ็บขนาดนี้ยังกล้าตักน้ำมาเช็ดมาล้างได้ ข้าคิดว่าพวกเจ้าจะกล้าจนไม่กลัวอะไรแล้วเสียอีก ทำไมแค่ชื่อผลไม้แค่นี้ก็ยังกลัวกัน?"หัวหน้าคนคุ้มกันฟังไม่เข้าใจเสียที่ไหน แม่นางจงใจทำให้พวกเขาตกใจ เพื่อจะลงโทษพวกเขาที่เมื่อครู่พูดกันว่าจะจัดการแผลแบบขอไปทีหัวหน้าคนคุ้มกันรีบเอ่ยขึ้นมา "แม่นาง พวกเราไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าแล้ว แค่กังวลว่าท่านอยู่ในเมืองหยางจะมีภาระหน้าที่เยอะอยู่แล้ว แต่ยังต้องมาคอยห่วงเรื่องยิบย่อยของพวกเราอีก..."จั๋วซือหรานยกมือตบลงไปที่หนึ่งที่หลังเขาหัวหน้าคนคุ้มกันร้องอั่กออกมา แต่ก็รีบอดทนเอาไว้เดิมทียังคิดว่านี่คือการลงโทษเสียอีก คิดไม่ถึงเลย...ตอนที่แม่นางฟาดมือลงมา รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาก่อน จากนั้นก็รู้สึกเหมือนมีพลังที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับนุ่มนวลละมุนละไมลูบผ่าน
"นายท่านอารมณ์ดีก็ดีแล้ว" เจิ้นเจียงพอเห็นจั๋วซือหรานอารมณ์ดี เขาเองก็อารมณ์ดีตามขึ้นมา จึงได้พูดว่า "จัดแจงคนคุ้มกันเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาล้วนบาดเจ็บกันหมด"จั๋วซือหรานร้องอืม "ดี ข้าจะไปดูหน่อย เดี๋ยวจะตั้งชื่อให้พวกเขาด้วย อยู่ในตระกูลเหอไม่มีชื่อเลยมีแต่หมายเลข เจ้าไปที่โรงเตี๊ยมแล้วหาของกินมาให้พวกเขาหน่อย""ขอรับ" เจิ้นเจียงรับคำสั่ง คิดๆ แล้วจึงเอ่ยถามขึ้นว่า "...อาหารนี่น่าจะไม่ถูกทำอะไรลงไปหรอกกระมัง?"จั๋วซือหรานพอได้ยิน ก็ยกมุมปากขึ้น "พวกเจ้าจะลองดูก็ได้นี่"พอได้ยินนายท่านพูดหยามขึ้นเช่นนี้ เจิ้นเจียงก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว"เช่นนั้นข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้"เจิ้นเจียงเพิ่งเตรียมจะเดินไปโถงหน้า จั๋วซือหรานคิดๆ แล้วก็เรียกเขาขึ้นมา "จริงด้วย""อื๋อ? แม่นางยังมีอะไรกำชับอีกหรือ?""คุณชายเยี่ยนที่โถงหน้าคนนั้น เป็นคนที่มีบุญคุณกับข้า ถ้าหากเขายังไม่ไป เจ้าเองก็ช่วยดูแลหน่อย""รับทราบ!" เจิ้นเจียงรับคำสั่งแล้วออกไปและระหว่างทางที่จั๋วซือหรานตรงไปเรือนหลัง ในสมองก็มีภาพตอนที่ชายหนุ่มหักตะเกียบก่อนหน้านี้ปรากฏออกมา แก้มที่ตึงกับสายตาที่มีแววตาแบบนั้นจั๋วซือหราน
สัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มของปลายนิ้วหญิงสาวที่แตะลงมาบนริมฝีปากและได้ยินเสียงอ่อนโยนพูดคำที่ว่าต้องแต่งงานด้วยคิ้วของ 'เยี่ยนหราน' ขมวดแน่นขึ้นมากระทั่งตนเองยังไม่ทันตระหนักถึง ว่าทำไมต้องออกแรงที่นิ้ว แล้วทำไมที่น้ิวต้องออกแรงแล้วท้ายสุด เสียง 'กร๊อบ' ก็ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันตะเกียบไม้ในมือเขาหักครึ่งเป็นสองท่อน!แก้มของชายหนุ่มตึงเป็นเส้นโค้ง เขาเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "แม่นางก็ดูแลตัวเองด้วย"จั๋วซือหรานหัวเราะขึ้นเบาๆ "คุณชายขี้อายขนาดนี้เชียว? หน้าตาก็หล่อเหลาดี ไม่คิดว่า...จะใสซื่อขนาดนี้"เสียงของชายหนุ่มดังลอดออกมาจากไรฟัน ฟังแล้วรู้สึกกระด้างหน่อยๆ "แล้วก็ออกไปด้านนอก การบุ่มบ่ามลดความสงสัยต่อตัวคนอื่นลง มันคือความประมาทเลินเล่อ"มุมปากจั๋วซือหรานเหมือนมีรอยยิ้มบางๆ ดูแล้วเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้มไม่ได้ปฏิเสธคำพูดเขา เพียงเอ่ยขึ้นว่า "ขอบคุณคุณชายเยี่ยนที่เตือน หลังจากนี้ข้าจะระวังให้มาก เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน..."ในที่สุดนางก็หมุนตัวจากไปหลังจากเห็นแผ่นหลังนางเดินห่างไปแล้ว'เยี่ยนหราน'...หรือบางทีควรจะเรียกว่าเฟิงเหยียนตอนนี้จึงมองมายังมือตนเอง บนปลายหัวแม่มือ มีแผ
รอยยิ้มบนใบหน้าจั๋วซือหรานไม่เปลี่ยน "เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก""ไม่เป็นไร" 'เยี่ยนหราน' เอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วซือหรานยังคงยิ้มบาง "บัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนนี้เป็นสิ่งมีพิษกระมัง?""อืม" เขาไม่ได้ตระหนักถึงว่าอะไรผิดปกติ พยักหน้าตอบกลับ "เป็นสิ่งมีพิษที่มีอยู่ไม่มากนัก สามารถสร้างหมอกพิษขึ้นในป่าได้ ต้นของมันเดิมทีก็มีพิษร้ายแรงอยู่"อาหารรสชาติไม่เลวเลย น้ำแกงทำเอาตัวคนผ่อนคลายลงมาเลยทีเดียวเขาค่อนข้างผ่อนคลาย...หรือบางที สิ่งที่ทำให้เขาผ่อนคลายไม่ใช่น้ำแกงร้อน แต่เป็นเสียงอ่อนโยนของนาง...เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันดังนั้น ตอนนี้เขาจึงไม่ได้สังเกตถึงอะไรที่ผิดปกติพอได้ยินคำถามที่จั๋วซือหรานเพิ่งถาม ก็ตอบกลับนางมาตรงๆหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงหญิงสาวใสเย็น เพียงแต่ว่า ไม่ได้อ่อนโยนแบบก่อนหน้านี้แล้วเพียงแค่เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า "เป็นของดีจริงๆ เพียงแต่ว่า..." นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา "ไม่รู้ว่าคุณชายเยี่ยนรู้ได้อย่างไร...หรือทำไมจึงรู้สึกว่า ข้าสามารถทนทานต่อธาตุพิษได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร?"มือที่จับตะเกียบของชายหนุ่ม หยุดนิ่งไปในชั่วพริบตาเขาแหงนตา มองไปยังสีหน้าของหญิงสาว อั
คำพูดนี้ของจั๋วซือหรานไม่ได้มีเจตนาอะไรเป็นพิเศษแต่นางหน้าตาดี แล้วยังฉลาดเฉลียว ปกติเวลาปฏิบัติต่อใครก็จะมีท่าทีเย็นชา ดังนั้นต่อให้จะสวย แต่ก็ยังรู้สึกเหินห่างด้วยเช่นกันแต่ตอนนี้ท่าทีของนาง กลับไม่ได้เย็นชาเหมือนปกตินางยิ้มตาโค้ง ยิ้มสวยหยาดเยิ้มราวกับดวงดาวพร่างพราวอยู่เต็มฟ้า เหมือนมีมนต์สะกดที่ไม่รู้จัก สามารถทำให้คนจมดิ่งเข้าไปได้ในพริบตา'เยี่ยนหราน' มองตานางนิ่ง ไม่ย้ายสายตาไปไหนเลยพักหนึ่ง"ทำไมหรือ?" จั๋วซือหรานถามขึ้นเบาๆ'เยี่ยนหราน' ตอนนี้จึงส่งเสียงฮึจากจมูกออกมาเป็นเชิงถาม คล้ายกับเพิ่งจะรู้สึกตัวจั๋วซือหรานหัวเราะ ถามขึ้นว่า "คุณชายเยี่ยนเหม่อไปแล้วหรือ? ชื่อดวงดาวที่เจ้าบอกล่ะ?"ตอนนี้เขาจึงเอ่ยขึ้น "เหลียนเจิน เทียนเยว่ เทียนจี เทียนเซี่ยง เทียนถง เทียนเหลียง..."หลังจากจั๋วซือหรานได้ยิน ก็เลิกคิ้วขึ้น "ไม่เลวจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่คุณชายว่าแล้วกัน ขอบคุณมาก"ปฏิกิริยาเหล่านี้ของ 'เยี่ยนหราน' จั๋วซือหรานรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างเห็นได้ชัดและรู้สึกว่าใกล้เคียงแล้ว จึงลุกขึ้นยืน "คุณชายเยี่ยนค่อยๆ กินเถิด ข้าจะไปดูพวกคนรับใช้ที่บาดเจ็บพอดี แล้วจะบอก
"เอาที่อร่อยดีกว่า" ขนมชามเองก็ใสซื่อ เอ่ยขึ้นว่า "นายท่านเองก็หิวแล้วนี่"จั๋วซือหรานยื่นนิ้วออกมานิ้วหนึ่ง จับไปที่ขนมชามเบาๆยิ้มตาโค้ง "เด็กดี"จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ "เอาล่ะ ถือว่าเขาโชคดีแล้วกัน"โชคดีที่มาเจอเข้ากับขนมชามที่นิสัยอ่อนโยนที่ด้านนอก ถ้าหากขนมถั่วแดงอยู่ด้านนอกล่ะก็ คงได้เสนออีกข้อหนึ่งมาแน่จั๋วซือหรานหยิบวัตถุดิบออกมาจากในมิติ คิดจะทำอาหารสักมื้อหลักๆ คือ อันที่จริงเดิมทีนางก็อยากจะทำให้ใจเขาปั่นป่วนอยู่แต่พอคิดๆ แล้วก็รู้สึกว่า ถ้าหากจะปั่นป่วนจิตใจเขาจริง ก็เหมือนจะไม่ใช่วิธีการที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชาตาของจั๋วซือหรานหรี่ลง พริบตานี้...ก็เหมือนมีแผนการใหม่ขึ้นมาแล้วประมาณราวสามเค่อกับข้าวสี่อย่างน้ำแกงหนึ่งอย่างอันหอมหวนชวนกิน ก็เสร็จสิ้นลงจากเตา"นี่คือปลาเปรี้ยวหวาน ขานกย่าง เนื้อกระดูกหอมเกรียม คะน้าไฟแดง แล้วก็มีน้ำแกงเต้าหู้กระดูกปลาอีกที่ด้วย"จั๋วซือหรานนำอาหารหอมหวนชวนกิน ยกมาวางกองลงตรงหน้า 'เยี่ยนหราน'จากนั้นจึงเลิกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นข้อมือขาว หยิบตะเกียบแล้วเอ่ยขึ้นว่า "คุณชายเยี่ยน ลองชิมฝีมือของข้าหน่อย"ตอนที่พูดค
เหล่าคนค้มกันทยอยกันมองไปทางหัวหน้าคนคุ้มกัน ในสายตาเต็มไปด้วยความต้องการความช่วยเหลืออย่างจริงใจหัวหน้าคนคุ้มกันกัดฟันถามขึ้น "แม่ แม่นาง...คงจะไม่คิดจะตั้งชื่อ..."เขาชะงักไป เปลี่ยนทิศทางคำพูด เอ่ยต่อว่า "...อะไรทำนองนี้หรอกใช่ไหม?"ไม่หรอกกระมัง?จั๋วซือหรานเองก็ไม่ได้โง่ ฟังไม่ออกถึงความกังวลพวกเขาเสียที่ไหนนางเหลือบมองพวกเขาผาดหนึ่ง จงใจแหย่พวกเขา เอ่ยขึ้นว่า "ทำไมล่ะ ไม่ดีหรือ? ลาย่างไฟ ขนมไส้หมู หมูชุบกรอบ เป็ดหมักน้ำจิ้ม หมูผัดเปรี้ยวหวาน"นางพูดไปด้วยพลางชี้นิ้วไปทางพวกเขาจากนั้นจึงเห็นว่าสีหน้าของเหล่าคนคุ้มกันแทบจะร้องไห้กันออกมาแล้วตอนนี้เอง เสียงหัวเราะแผ่วเบาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่ประตูจั๋วซือหรานมองไปตามเสียง ก็เห็นร่างเงาหนึ่งที่คุ้นเคย"เจ้าทำไมมาอยู่ที่นี่?" จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว มองคนที่มาใหม่ด้วยสายตาลึกซึ้ง จากนั้นก็พ่นชื่อออกมา "เยี่ยนหราน? ข้าจำชื่อไม่ผิดใช่ไหม"ชายหนุ่มร่างตรงแน่วเดินเข้ามาจากประตู พยักหน้าเบาๆ "ถูกต้อง"จั๋วซือหรานแหงนตามองเขา ไม่พูดอะไรชายหนุ่มก้มหน้ามองนาง สบตากันครู่หนึ่ง อันที่จริงในใจเขาก็ไม่ค่อยสงบนัก แค่คิดว่านางมองอะไรอ
นางหมายถึง...กองหนุนที่ย้ายมาจากสำนักเมฆาวารีของผู้เฒ่าเหอสินะ!?แต่ใครก็ตามที่มีความคิดเช่นนี้ เขาคงจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายหยิ่งผยองโอหังถึงที่สุดหญิงสาวตรงหน้าคนนี้ ตอนที่เผยความหมายนี้ออกมากลับไม่ทำให้เขารู้สึกถึงความหยิ่งผยองโอหังแม้แต่น้อยเพราะ เรื่องราวเหมือนจะเป็นเช่นนี้จั๋วซือหรานเหมือนจะงึมงำกับตนเองขึ้นว่า "พอเข้าใจวิชาหุ่นเชิดกับหุ่นเชิดมนุษย์แล้ว มันน่าสนใจจริงๆ ทางที่ดีขอให้พวกเขาเอาเจ้าพวกนี้มาเล่นด้วย จะได้ไม่เสียเวลาที่ให้ข้ารอนานขนาดนี้...เจิ้นเจียงเหลือบมองทุกคนที่มีบาดแผลพอคิดๆ ก็ถามจั๋วซือหรานขึ้น "แม่นาง แล้วจะเรียกพวกเขาว่าอย่างไรกัน? เหมือนว่าจะบาดเจ็บกันหนักมาก ข้าพาพวกเขาไปพักผ่อนดีไหม?"หัวหน้าคนคุ้มกันมองออก ว่าคนรับใช้คนนี้ของนายท่าน เหมือนจะไม่ได้กังวลอะไรเลยกับสถานการณ์ที่นายท่านกำลังจะเผชิญแม้ไม่รู้ว่าผ่านเรื่องอะไรมา ถึงทำให้บ่าวมีความเชื่อมั่นที่เด็ดขาดขนาดนี้แต่ไม่ว่าจะผ่านอะไรมาอันที่จริงคนคุ้มกันอย่างพวกเขา ก็เพิ่งจะผ่านการถูกตระกูลเหอปฏิบัติอย่างโหดร้ายมานี่เองและยังเห็นเจิ้นเจียงมีความเชื่อมั่นที่เด็ดขาดขนาดนี้ต่อนายท่านแม้พวกเขา