สายตาของจั๋วซือหรานดูหยิ่งยโส มองลงมายังพวกเขาที่อยู่บนพื้นนางเอ่ยต่อว่า "แล้วพวกเจ้าบอกว่าข้าเป็นหญิงสาวขี้ขลาด กล้าลงมือแต่กับคนธรรมดาในตระกูล ไม่กล้าลงมือกับพวกเจ้าหรือ?"จั๋วซือหรานหัวเราะเบาๆ "ข้าก็แค่คิดว่า น้ำสามารถยกเรือและจมเรือได้ เจ้าลิ่วล้อพวกนั้นของพวกเจ้า ในเมื่อช่วยพวกเจ้าไล่กัดคนอื่น แต่ก็หันกลับมาแว้งกัดพวกเจ้าได้เช่นกัน""ข้าไม่กล้าลงมือกับพวกเจ้ารึ?" จั๋วซือหรานพอสิ้นเสียง ร่างก็ไหววูบออกมาทุกคนเห็นเพียงบนท้องฟ้ามีเงาสีแดงแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีเสียงเผียะดังขึ้นตอนที่ร่างแดงนั่นร่อนลงพื้นในดวงตาเหล่าผู้อาวุโสตระกูลเฟิงคือสีหน้าไม่อยากเชื่อและไฟโกรธที่ยากจะควบคุม แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจคน ที่ดึงดูดความสนใจคนยิ่งกว่า คือรอยนิ้วมือสีแดงสดบนหน้าของเหล่าผู้อาวุโสตระกูลเฟิงเช่นนั้นก็เดาได้ไม่ยากแล้ว ว่าเสียงเพียะๆ เมื่อครู่นี้คือเสียงอะไรเป็นเสียงที่จั๋วซือหรานตบพวกเขาไปนั่นเองตอนที่ทุกคนมองไปยังหญิงสาวในชุดแดงเพลิง ในสายตาก็มีความยำเกรงเพิ่มขึ้นมาพอควรในช่วงที่ผ่านมา การกระทำต่างๆ ของจั๋วซือหราน ถ้าจะบอกว่าไม่ทำให้ใครรู้สึกนับถือเลย
พวกมันล้วนโมโหกัน"ปล่อยข้าออกไป! ข้าจะกัดเขาให้ตายไปเลย!" งูเพลิงเงินเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงเป็นพวกนิสัยหัวรุนแรง "ข้าจะไปฝังไหมกู่ให้เต็มตัวเขาเลย!"กระทั่งราชาแมงมุมหน้าผีที่สุขุมที่สุด ก็ยังพูดว่า "ข้าจะให้เขาได้เจอกับรสชาติของการถูกชำแหละจนตาย"พวกมันเจื้อยแจ้วอยู่ในสมองนาง แต่กลับบรรเทาอารมณ์ของจั๋วซือหรานลงได้ระดับหนึ่งหลังจากเข้ามาในสวนชิวอี ถึงแม้นางจะเดินเพียงคนเดียวแต่ก็มีคนเข้ามาใกล้นาง ทว่าไม่ได้มีเจตนามาหาเรื่องนางผ่านเรื่องไปมากมาย คนเราก็เรียนรู้ที่จะทำตัวให้ว่าง่ายขึ้นไม่น้อย ต่อให้จะไม่ชอบนาง ก็จะไม่ยั่วโมโหนาง ถึงอย่างไร ถ้าไปยั่วโมโหความยุ่งยากใหญ่นี้เข้า ไม่ใช่ตัวเลือกที่ฉลาดนักแน่นอนคนที่เข้ามาหานางก็เพื่อจะมาสร้างความสนิทสนมกับนาง"แม่นางจิ่ว ได้ยินว่าช่วงนี้ท่านร่วมมือกับตระกูลฮั่ว ใช้ยาลูกกลอนขั้นสี่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ไม่ทราบว่าอยากจะมาร่วมมือกับข้าบ้างไหม?""จริงด้วย ขายยาลูกกลอนเหล่านั้นให้พวกข้าบ้างก็ได้นะ"ถึงอย่างไรยาลูกกลอนขั้นสี่หลายครั้งก็ราคาสูงมากจนขายไม่ได้ในเมืองหลวง ต้องนำไปประมูลกัน การประมูลก็ดูไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนด้วย ไม่รู้ว่าจะมีคนโง
"ข้าก็แค่คิดไม่ถึง เจ้ารู้อยู่แล้วว่าเป็นแผนแต่ก็ยังกล้ามา นี่มันพูดว่าหยิ่งยโสไม่ได้แล้ว แต่เป็นโง่เขลาต่างหาก"จั๋วซือหรานได้ยินคำพูดเขา ก็หันหน้ากลับมา แล้วจึงเห็นชายกลางคนคนหนึ่งไม่ใช่คนอื่น บิดาของเฟิงเหยียน เฟิงอวี้นั่นเอง"พวกเขาเอาเฟิงเหยียนมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ไม่ใช่ว่าคิดไว้แล้วว่าข้าจะมาหรือ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้สายตาเฟิงอวี้ดูลึกซึ้งมากจั๋วซือหรานมองดวงตาเขา น้าจะเพราะคิ้วตาใบหน้าของเฟิงอวี้ดูคล้ายกับเฟิงเหยียนจริงๆดังนั้นพอมองดวงตาเฟิงอวี้ ก็คล้ายกับมองดวงตาของเฟิงเหยียนอย่างไรอย่างนั้นพอที่จะอ่านออกมาได้ชัดเจน ว่าในสองตานั่น ไม่มีความคิดอริศัตรูตอนนี้ ไม่เห็นความคิดอริศัตรู แต่กลับเห็นถึงอารมณ์ที่ซับซ้อนลึกซึ้งบางส่วนนางเองก็บอกไม่ถูกว่าคืออะไร แต่ขอแค่ไม่ใช่ความคิดอริศัตรู นางก็ขี้เกียจจะไปใส่ใจจั๋วซือหรานหมุนตัวหันไปโยนหินลงน้ำต่อแต่กลับไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินจากไปลอดเข้ามาทางด้านหลังเฟิงอวี้ยืนอยู่ด้านหลังนางตลอด ไม่ได้เดินไปไหนจั๋วซือหรานไม่ได้ยินเสียงเขาเดินจากไป ดังนั้นหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงหันมาถามว่า "ท่านมีอะไรจะชี้แนะอีกหรือ?"ถึงแ
เขาจ่ายออกไปแล้วจริงๆเจ็บปวดมากดังนั้นเขาจึงหวังว่าลูกชายตนเองจะไม่เดินตามรอยความผิดพลาดของตนเช่นนั้น ขอแค่เหยียนเอ๋อร์ไม่เอาใครมาไว้ในใจ ก็ไม่ต้องเดินตามรอยตนเองแล้วและก็ผ่านไปอีกพักหนึ่งงานเลี้ยงในที่สุดก็เริ่มขึ้นแล้ว จั๋วซือหรานตามเหล่าแขกเหรื่อไปที่โถงจัดเลี้ยงและได้เห็นเหล่าผู้อาวุโสตระกูลเฟิง เข้ามาถึงในห้องจัดเลี้ยงก่อนแล้วนอกเหนือจากนี้ คนของตระกูลเหยียนส่วนหนึ่งก็อยู่ด้วยพวกเขากำลังคุยอะไรบางอย่างกันอยู่คิ้วของจั๋วซือหรานเลิกเล็กน้อย สายตาเย็นชาลงเล็กน้อยตอนที่ทุกคนมากันเกือบครบ ผู้อาวุโสตระกูลเหยียนกับผุ้อาวุโสตระกูลเฟิงก็ยืนขึ้นมา ร่วมประกาศข่าวขึ้นพร้อมกัน"เชื่อว่าทุกคนน่าจะเคยได้ยินกันแล้ว พวกเราสองตระกูลกำลังจะเกี่ยวดองกัน ลูกหลานที่ยอดเยี่ยมสองคนของสองตระกูลเรา ในวันนี้จะทำการหมั้นหมายกันภายใต้สักขีพยานของทุกท่าน หวังว่าจะได้รับการอวยพรของทุกท่าน"ทุกคนไม่อวยพรก็ไม่อวยพรสิ แต่สายตาก็อดมองไปทางจั๋วซือหรานไม่ได้ขึ้นมา ราวกับพยายามจะหาคำตอบหรือเหตุผลจากหน้าบนหน้าจั๋วซือหรานสีหน้าของจั๋วซือหรานไม่มีความอบอุ่นอยู่เลย แต่ก็มองไม่ออกว่าอึดอัดอะไรมีคน
"เจ้ากำลังพูดไร้สาระอะไร? พวกเราไปทำอะไรกับเขาตอนไหน?"ถูกจั๋วซือหรานใช้กระบี่ยาวแทงผู้อาวุโสตระกูลเฟิงคนนี้ไว้บนพื้น เนื่องจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้เขาหน้าบูดเบี้ยวแต่ว่าตอนที่มองจั๋วซือหราน สายตากลับดูภาคภูมิใจขึ้นมาราวกับกำลังบอกกับนางว่า: แล้วเจ้าจะทำอะไรได้? เจ้าโกรธแค้นขนาดนี้เพื่อเฟิงเหยียน ไล่ฆ่าคนไปมากมาย พยายามไปตั้งมากมาย แล้วมีประโยชน์อะไร? เจ้าทำอะไรได้บ้าง?ผู้อาวุโสคนนี้ทนความเจ็บปวดไว้ เสียงกดลงทั้งต่ำทั้งเบา แต่กลับมีความเย้ยหยันกับหยิ่งยโสขึ้นอย่างไม่ปิดบัง บอกกับจั๋วซือหรานว่า "เจ้าไม่ใช่ว่าทุกวันต้องสังหารคนในตระกูลเราหนึ่งคนหรือ? เจ้าไม่ใช่บอกว่า ทุกวันจะสังหารลิ่วล้อของพวกเราคนหนึ่งนี่นะ?"เขาจ้องจั๋วซือหรานนิ่ง หัวเราะเย็นชา "เช่นนั้นเจ้าก็จัดการสังหารเฟิงเหยียนเสียสิ เขาเองก็เป็นลิ่วล้อของพวกเรา ทำไมเจ้าไม่ลงมือ?"ดวงตาของจั๋วซือหรานแดงก่ำขึ้นมา ริมฝีปากเม้มแน่น ไม่พูดอะไรผู้อาวุโสที่ถูกนางกดไว้คนนี้ พูดต่อมาว่า "จั๋วจิ่ว ถ้าเจ้าไม่ลงมือ ข้าก็จะลงมือแล้วนะ"จั๋วซือหรานยังไม่ทันตั้งตัวว่าคำว่า 'ลงมือ' จากปากผู้อาวุโสตระกูลเฟิงหมายความว่าอย
"เฟิงเหยียนเองก็ไร้น้ำใจเกินไปแล้ว""นั่นสิ ต่อให้ไม่ได้เป็นคนรักกัน แต่แม่นางจั๋วจิ่วก็รักเขามากนะ ถึงกับยอมเป็นศัตรูกับทั้งตระกูลเฟิงเพื่อความปลอดภัยของเขาเลย แต่ดันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้""น่าเวทนาจริงๆ หญิงสาวนี่นะ ต่อให้จะเก่งกาจแค่ไหน แต่ถ้ามาหลงใครหัวปักหัวปำเรื่องความรัก ก็จบแล้ว""คนที่อหังการอย่างจั๋วจิ่ว ก็ยังหนีคำว่ารักนี่ไม่พ้นสินะ"ถึงแม้จะไม่อยากได้ยิน แต่ห้องโถงมันก็ใหญ่แค่นี้คำสำคัญในเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ดังก้องจนได้ยินอย่างชัดเจนจั๋วซือหรานยืนอยู่ตรงนั้น นางยกมือขึ้นกุมแขนซ้ายของตนเอง ของเหลวสีแดงสดไหลออกมาตามร้องนิ้ว จนทำเอาแขนเสื้อชุดแดงเพลิงของนาง ย้อมจนกลายเป็นแดงคล้ำนางมองชายคนนั้น มองสีหน้าไร้อารมณ์กับดวงตาลึกซึ้งที่เหม่อลอยของเขาถึงแม้จะไม่อยากยินยอม แต่ก็จำใจต้องยอมรับความจริงหนึ่ง"เจ้าจำข้าไม่ได้แล้ว" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงเรียบเสียงของเฟิงเหยียนไม่มีความอบอุ่นแม้เพียงน้อย ฟังแล้วเลื่อนลอยมาก "ข้าไม่รู้จักเจ้าเลย"จั๋วซือหรานคิดถึงภาพตอนที่ตนเองได้พบชายคนนี้ขึ้นมาครั้งแรกทันทีเขาในตอนนั้น ก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้ พูดจาเฉยเมย เย็นชา ฟังไม่ออกเล
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร น่าจะเพราะพริบตานี้ จู่ๆ ก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาจั๋วซือหรานไม่หลบอีก จู่ๆ นางก็หยุดเท้ายืนนิ่งมองชายที่โบกกระบี่มาทางตนเอง หางตานางแดงรื้นขึ้นมา เหมือนดูอ่อนแอมาก แต่ริมฝีปากกลับเม้มแน่น มองไม่เหมือนคนที่อ่อนแอเลยแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนโบกกระบี่โจมตีมาทางเขา เขากระทั่งคาดการณ์ไว้แล้วล่วงหน้า ว่าหญิงสาวคนนี้จะทำท่ายกกระบี่เพื่อกันไม่รู้เพราะอะไร ถึงแม้เขาจะไม่รู้จักหญิงสาวคนนี้ แต่ระหว่างที่ลงมือกับนาง กลับทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองพูดไม่ถูกว่าเป็นความรู้สึกอะไร และบอกไม่ถูกว่าในใจเป็นอย่างไรหรือว่าจะเพราะ...นางนั้นงดงามมาก ดังนั้นจึงทำให้เขารู้สึกเห็นใจและทะนุถนอมขึ้นมาหรือ?ถึงแม้เขาจะรู้สึกว่าในชีวิตของตนเองนี้ เหมือนไม่เคยเกิดมีคำว่ารู้สึกเห็นใจและทะนุถนอมมาก่อนเลยก็ตามแต่ว่า บาดแผลเหล่านั้นบนตัวนาง...เดิมทีควรจะตัดแขนของนางไปแล้ว แต่ตอนหลังกลับเก็บแรงลงมา จึงทิ้งไว้แค่เพียงแผลถลอกเดิมทีควรจะเป็นการโจมตีที่ทะลวงท้องของนางไป แต่กลับกลายเป็นแผลตื้นๆ แผลหนึ่งที่ข้างเอวนางแทนแน่นอน เฟิงเหยียนคิดว่า น่าจะเพราะนางปฏิกิริยารวดเร็วมาก และเพราะทุกค
แต่กลับไม่ลงมือ กระทั่ง ยังเก็บกระบี่ยาวลงทันควันอีกด้วยเสียงชิ้ง! ดังขึ้น กระบี่เสวียนเหยียนกลับเข้าไปอยู่ในฝักแล้วจั๋วซือหรานมองเขา "ท่านอ๋อง ท่านไม่รู้จักข้าจริงหรือ?""ไม่รู้จัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา แต่ในใจกลับไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร ไม่รู้จักจริงหรือ? แล้วปัญหามันเกิดจากตรงไหนกัน...จั๋วซือหรานหัวเราะเฮอะขึ้น "มองไม่ออกเลย ว่าท่านอ๋องจะมีเมตตากับคนที่ไม่รู้จักแบบนี้ ไม่ใช่บอกว่าจะสังหารข้าหรือ ลงมือไม่ลงแล้วเหรอ?"เฟิงเหยียนไม่พูดอะไรจั๋วซือหรานมองเขา มุมปากเลิกขึ้นเป็นรอยโค้งเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม "หรือก็คือ เพราะข้าหน้าตาดี ท่านอ๋องเลยเห็นใจและสงสารขึ้นมาแล้วสินะ?"เฟิงเหยียนได้ยินคำนี้ นิ่งงันไปพักหนึ่ง "เจ้าถือว่าเป็นหญิงสาวที่ต้องเห็ฯใจและสงสารหรือ?"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็ยิ้มๆ นางมองเขานิ่งไม่รู้เพราะอะไร เฟิงเหยียนมองออกบางส่วนจากในสองตานี้...ทำให้เขามีสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุกระทั่งว่า ตัวนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมถึงต้องตื่นตระหนกแต่เพียงไม่นาน เขาก็มีคำตอบขึ้นมาเพราะวินาทีต่อมา มือที่ห้อยอยู่ข้างตัวนาง กำกระบี่แล้วชูขึ้นมาทันควันแต่
มีฝีมือก็สังหารนางเสียสิจั๋วซือหรานหัวเราะเย็นชา ในสายตาไม่มีความอบอุ่นอยู่เลย จ้องมองซือคงอวี้ เอ่ยขึ้นว่า "ไม่ใช่ว่าปากแข็ง แต่ว่า...ในเมื่อสภาผู้อาวุโสร้ายกาจขนาดนั้น ไม่รู้ว่าพอเจ้าตายไปพวกเขาจะช่วยให้เจ้ารอดกลับมาได้หรือเปล่า"คำพูดนี้ถูกนางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสงบซือคงอวี้งงงันไป ในใจก็แอบรู้สึกไม่ค่อยสงบ บางครั้งก็จะเป็นเช่นนี้ ยิ่งอีกฝ่ายทำท่าทางดุร้ายมากเท่าไร ก็ยิ่งเหมือนดีแต่ขู่ให้กลัวมากกว่าแต่ว่าอีกฝ่ายถ้าหากพูดด้วยน้ำเสียงสงบเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้รู้สึกไม่สงบ เพราะจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นมีความมั่นใจอะไรอยู่สีหน้าซือคงอวี้แข็งไป "เจ้าอย่ามาข่ม..."ปัง!ยังไม่ทันที่ซือคงอวี้จะพูดจบ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น แล้วยังดังมาก ฉับพลันกะทันหัน ทำเอาซือคงอวี้ตกใจสะดุ้งโหยง!ร่างหนึ่งเอียงคะมำไปข้างๆเป็นองครักษ์ติดตามเขา ที่มีปฏิกิริยาฉับไวมาก เข้ามาขวางตรงหน้าเขาได้ทันเวลาพอดีตอนนี้ตำแหน่งใต้กระดูกไหปลาร้า ช่วงอกด้านบน กลายเป็นแผลขนาดใหญ่ที่มีเลือดไหลออกมาอย่างรุนแรงซือคงอวี้ม่านตาหดลง! เขาเคยได้ยินเรื่องอาวุธพิเศษแบบนี้ของจั๋วซือหรานมานานแล้ว และเคยได้ยินตระกูลเฟิงเอ่ยถ
จากท่าทางการสาดเข้ามาของซือคงอวี้ กลิ่นหอมประหลาดเข้มข้นกระจายออกมาในอากาศจั๋วซือหรานขมวดคิ้วเบาๆ มองออกถึงวัตถุดิบหลายอย่างที่อยู่ด้านในซือคงอวี้เอ่ยต่อ "ข้ารู้ว่าเจ้ามีคุณสมบัติร่างกายไม่ธรรมดา พิษแทบไม่มีผลกับเจ้า ดังนั้นข้าจึงให้คนปรับยานี้มาเป็นพิเศษ ด้านในล้วนเป็นยาบำรุง"ซือคงอวี้หัวเราะเหี้ยมเกรียม มองจั๋วซือหราน ถามขึ้นว่า "พิษไม่มีผลกับเจ้า แต่ยาบำรุงก็ควรจะมีผลกระมัง? ยิ่งไปกว่านั้นยานี้ก็มีปฏิกิริยากับไหมกู่บนตัวเจ้าพอดี"จั๋วซือหรานไม่เคยได้กลิ่นหอมประหลาดเข้มข้นแบบนี้มาก่อน จึงรู้ว่ายานี้ของซือคงอวี้มีประสิทธิภาพอะไร มาในจุดประสงค์ไหนก็เดาได้ไม่ยาก ถึงอย่างไรความคิดสกปรกต่อตัวนางของซือคงอวี้ ก็ไม่ใช่เพิ่งมีมาวันสองวันซือคงอวี้ใช้สายตาพิจารณาจั๋วซือหรานทั้งบนล่าง เอ่ยขึ้นว่า "ข้ารอให้เจ้าลงมาคุกเข่าอ้อนวอนข้าเหมือนพวกแมลงน่าสงสาร วางใจได้ ถึงแม้ที่เจ้าพังแผนใหญ่ของข้าไปจะน่าโมโห แต่เห็นแก่หน้าสวยๆ ของเจ้า ถ้าเจ้ายอมมาคุกเข่าอ้อนวอนข้า ข้าก็จะไม่ปฏิเสธเจ้า"จั๋วซือหรานพอได้ยินคำนี้ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ"เจ้ายังขำออกอีกหรือ? ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ" ซือคงอวี
เพราะนี่เป็นตรรกะง่ายๆ ถ้าหากเจ้าอ๋องสุนัขนี่ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อยกับไพ่ลับที่เอาไว้รับมือกับตนเอง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะกล้าโผล่หน้ามาแบบนี้แน่นอน เป็นไปได้ว่าเจ้าอ๋องสุนัขนี่จะสมองไม่ค่อยดี แต่ความเป็นไปได้นี้ก็ไม่ค่อยจะสูงนักจั๋วซือหรานกลับยิ่งรู้สึกว่าซือคงอวี้น่าจะมีอะไรที่ทำให้เขามั่นใจมากอยู่และปฏิกิริยาของนาง ก็ค่อนข้างไว พุ่งตรงเข้าไปหาเขาทันที!จั๋วซือหรานค่อนข้างเข้าใจหลักการที่ว่าลงมือก่อนได้เปรียบแต่ว่า นางกลับยังไม่ทันพุ่งออกจากประตูศาลาริมน้ำนี่ ก็หยุดเอาไว้แล้วจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว มองแล้วสถานการณ์ราวกับว่าถูกสิ่งของไร้รูปร่างบางอย่างขวางเอาไว้แต่อันที่จริงนางก็รู้ ว่าไม่ใช่สิ่งของไร้รูปร่างที่ขวางอยู่แต่เป็นแขนขาทั้งสี่ของตนเองต่างหาก ที่ขยับไม่ได้แล้วชั่วขณะหนึ่ง นางกระทั่งนึกไม่ออกว่าทำไมตนเองจู่ๆ จึงขยับตัวไม่ได้ดังนั้น จั๋วซือหรานพริบตานี้จึงนำพลังวิญญาณของตนเองกระตุ้นไปยังเส้นลมปราณของแขนขาตนเอง พยายามหาต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้นนางตั้งแต่ที่มาถึงสวนชิวอี้ แค่น้ำสักหยดก็ยังไม่ได้ดื่ม แล้วยังไม่ได้กลิ่นอะไรในอากาศด้วยถ้าหากในอากาศมียาอะไรอยู่ เช่นนั
จั๋วซือหรานก็ไม่คิดเยอะ เดินเข้าไปในประตูศาลาริมน้ำใครจะรู้ว่าพอเดินเข้ามาในศาลาริมน้ำ ก็เห็นร่างสีดำคล่องแคล่วผ่านหน้าต่างออกไป...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว ตอนเข้าไปในศษลาก็ไม่เห็นร่างเจ้าโง่คนนั้นก่อนหน้านี้แล้วนางเม้มริมฝีปาก เดิมทีก็ยังไม่อยากยอมรับ แต่กลับจำใจต้องยอมรับ...น่าจะเป็นเฟิงเหยียนจริงๆ สร้างสถานการณ์ล่อนางเข้ามาน่าจะเพราะตระกูลเฟิงร่วมมือกับซือคงอวี้แล้ว และตระกูลเฟิงกับซือคงอวี้ก็ใช้ประโยชน์จากการที่เฟิงเหยียนอยู่ในใจนาง แล้วสร้างสถานการณ์นี้ขึ้นจั๋วซือหรานเดินมาถึงตำแหน่งที่เฟิงเหยียนนั่งอยู่ก่อนหน้า ค่อยๆ นั่งลงมาสีหน้าหม่นจางลงเล็กน้อยไม่สนว่าพวกเขาจะเตรียมสถานการณ์อะไรไว้ นางตัดสินใจจะดูเสียหน่อยแม้ก่อนหน้านี้ในใจจะคิดว่า ยังไม่อยากจะพูดอะไรดีดีกับเจ้าโง่นั่นชั่วคราวเพราะในใจรู้สึกว่า เจ้าโง่นั่นก็โง่จริงๆ จำนางไม่ได้แล้ว แต่อย่างน้อย เขาตอนนี้ก็ปลอดภัยดี เพราะตอนนี้เขากับตนเองไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันในสายตาตระกูลเฟิง ก็น่าจะไม่เป็นอะไรแล้วแต่เจ้าโง่นั่นดันมาช่วยคนชั่วๆ ในบ้านรับมือกับนาง ความเข้าใจนี้ก็ยังทำให้จั๋วซือหรานหงุดหงิดขึ้นมาเลยทีเดียวยิ่
ซือคงเซี่ยนชั่วขณะหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีแต่ว่าจั๋วซือหรานกลับไม่รอให้เขาทันซาบซึ้ง นางดึงชายผ้าคลุมไหล่เล็กน้อย เดินตรงไปทางตำหนักข้างตำหนักข้างจัดเตรียมงานเลี้ยงเสร็จแล้ว เหล่าแขกเหรื่อกำลังกินอย่างมีความสุขล้วนเป็นชนชั้นสูงและเหล่าญาติราชวงศ์ หลักๆ แล้วล้วนเป็นตระกูลเหยียนกับตระกูลเฟิง ตระกูลซางเองก็มีคนบางส่วนมาด้วยแต่ว่ากลับไม่เห็นตระกูลฮั่วกับตระกูลจั๋วมานี่ทำเอาคนนึกไม่ถึงเลย ทุกคนคาดเดาว่า ที่ตระกูลฮั่วไม่มา น่าจะเพราะมีความร่วมมือกับจั๋วซือหรานไว้แต่ตระกูลจั๋วก็ไม่มาหรือ?"จะเพราะอะไรได้ ก็เพราะถูกตระกูลเฟิงถอนหมั้นน่ะสิ""แต่ว่าพวกเขาทั้งสองตระกูลก็สงบศึกกันแล้วหรือ? ก่อนหน้านี้ตอนที่จั๋วจิ่วถูกคนใช้เสน่ห์หนอนพิษกู่เข้าควบคุม ไม่ใช่ยังเคยไปถอนหมั้นกับตระกูลเฟิงหรอกหรือ""ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้จั๋วซือหรานถูกตระกูลเฟิงถอนหมั้น...นางไม่ใช่ว่าออกจากตระกูลจั๋วแล้วหรือ?"เสียงคำวิจารณ์เหล่านี้ ล้วนหยุดลงอย่างฉับพลันตอนที่ร่างงามคลุมผ้าคลุมเดินเข้าไปเท้าของจั๋วซือหรานไม่สะทกสะท้าน เดินมาที่ข้างโต๊ะจัดเลี้ยงตัวหนึ่งแล้วนั่งลงคนที่เดิมทีกำลังคุยกันอยู่ที่โต๊ะนี้
เหยียนหยี่หลิงโมโหจะแย่ แต่ก็ยังกลัวจะเสียหน้า ดังนั้นจึงระงับเสียงต่ำไว้แม้เสียงจะกดต่ำไว้ ความโกรธในน้ำเสียงกลับกดต่ำลงไป"เวลาข้าพูดแล้วยกตระกูลยกผู้อาวุโสออกมา แน่นอนว่าเพราะข้ามีตระกูล! มีผู้อาวุโส! ข้ามีที่พึ่งพาอย่างไรล่ะ! ไม่เหมือนกับเจ้า เจ้ามีตระกูลกับเขาไหม? มีผู้อาวุโสกับเขาบ้างไหม?"ความโกรธในน้ำเสียงเหยียนหยี่หลิงยิ่งเพิ่มขึ้น แต่ในเสียงของจั๋วซือหรานกลับหัวเราะขึ้นมา นางเป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร เวลาศัตรูโกรธ นางก็จะไม่โกรธนี่คือสิ่งที่เรียกว่าการถ่ายทอดพลังงานด้านลบ ไม่อย่างนั้นคงได้ป่วยกันพอดี ใครก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นนี่?จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม "ข้าเป็นต้นไม้ใหญ่ ทำไมจะต้องมีคนมาให้พึ่งพาด้วย? ข้าบอกแล้ว ข้ากับเจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าก็อย่าทำให้ตนเองอับอายขยหน้าดีกว่า อย่ามาทึกทักว่าเป็นเรื่องตัวเอง เจ้าไม่ใช่อยากจะแต่งกับเฟิงเหยียนมาตลอดหรือ ตอนนี้เรื่องก็เสร็จไปครึ่งแล้วนะ จะดีใจก็ดีใจไปคนเดียว จะมาลอยชายต่อหน้าข้าทำไมกัน?"ก็เหมือนกับที่จั๋วซือหรานคิดไว้ ยิ่งคนอื่นโกรธข้าก็จะยิ่งไม่โกรธส่วนความคิดของเหยียนหยี่หลิงเหมือนว่าจะเป็น...คนอื่นยิ่งนิ่ง นางก
ซือคงเซี่ยนไฟโกรธปะทุในใจ เขายังโกรธด้วยหรือ? เขามีคุณสมบัติอะไรมาโกรธ? เขาทำซือหรานบาดเจ็บขนาดนี้เชียว!ซือคงเซี่ยนโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยอิจฉาริษยาใครมาก่อน แต่สำหรับเฟิงเหยียน เขานั้นอิจฉาริษยาจริงๆได้รับใจของหญิงสาวอย่างซือหราน แต่กลับไม่เสียดาย? ทำร้ายนางจนบาดเจ็บขนาดนี้เลยหรือ!ส่วนอีกด้านหนึ่ง เฟิงเหยียนเห็นชายหนุ่มในชุดอ๋องคนนั้น จับแขนจั๋วจิ่วอย่างเสียดายหวงหวน ถามถึงอาการของนางด้วยสายตาอ่อนโยนและกังวลเฟิงเหยียนพูดอะไรไม่ออก แค่รู้สึกว่า...เหมือนในใจถูกกระชากขนออกมากำหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ไม่ได้เจ็บมาก แต่มันคันจะแย่ มองข้ามไปไม่ได้เลยชั่วขณะหนึ่งยิ่งไปกว่านั้น จั๋วซือหรานยังดึงอ๋องเซี่ยนไปข้างๆ แล้วพูดคุยด้วยอีก...ภาพที่ทั้งสองคนอยู่ข้างๆ ยืนใกล้กันมาก คุยกันด้วยเสียงต่ำเบา เหมือนประทับเข้าไปในดวงตาเขาอย่างไรอย่างนั้นจั๋วซือหรานขี้เกียจจะสนใจเขาทางนั้น เอ่ยกับอ๋องเซี่ยนขึ้นว่า "ท่านอ๋องมาครั้งนี้จะปลอดภัยแน่หรือ? ที่นี่ถึงอย่างไรก็เป็นเขตของซือคงอวี้ ข้านะหนีไปเองก็ได้"ซือคงเซี่ยนยิ้มตาโค้งเอ่ยขึ้น "ข้าจะทำให้เจ้าลำบากใจได้อย่างไรล่ะ ข้าจัดการอะไรเรียบร้อยหมดแล้วถึ
เหมือนกับว่า...นี่มันเป็นชื่อเรียกเฉพาะอะไรสักอย่างแต่ว่า นี่มันชื่อเรียกเฉพาะอะไรล่ะ?เฟิงเหยียนขมวดคิ้ว ไม่มีอารมณ์ใดเหยียนหยี่หลิงที่อยู่ข้างๆ ก็ตาแดงรื้นเหมือนจะร้องไห้เพราะตกใจกับเสียงที่เข้มงวดของเขาเฟิงเหยียนขมวดคิ้วเหลือบมองนาง เอาจริงๆ สำหรับหญิงสาวอ่อนหวานแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติแต่บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร เห็นแล้วรู้สึกรำคาญหน่อยๆราวกับว่า...หญิงสาวไม่ควรเป็นเช่นนี้ แล้วมันควรเป็นแบบไหนล่ะ? ไม่มีอารมณ์อย่างนั้นรึจากนั้นก็มองไปยังใบหน้าสวยที่อยู่ห่างออกไปทางนั้น กลับเป็นใบหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ ราวกัว่าต่อให้ตอนนี้ฟ้าถล่มลงมาต่อหน้านาง นางก็จะไม่แม้แต่ขมวดคิ้วเพียงแต่ว่า ถ้าหากเหยียนหยี่หลิงร้องไห้ออกมาตอนนี้ คงทำให้งานยิ่งยุ่งยากเข้าไปอีกเขากลัวความยุ่งยาก ก็เลยยื่นมือไปรับถ้วยชาของเหยียนหยี่หลิงมาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ "ขอบใจ"สีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจของเหยียนหยี่หลิงก่อนหน้านี้จึงหายไปจั๋วซือหรานพอเห็นท่าทางรักใคร่ชอบพอของทางนี้ มุมปากก็ยกขึ้นให้เห็นการเย้ยหยันอย่างเย็นชาขึ้นมาตามหลักการแล้ว นางไม่ควรไปคิดเล็กคิดน้อยกับคนโง่คนรักหนุ่มโง่แล้วทำอย่างไรล่ะ? ก็ต้องใ
อย่างกับจะใช้สายตาจัดการเปลื้องผ้านางออกจนหมดอย่างไรอย่างนั้นในน้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความอยากได้อยากครองอย่างไม่ปิดบัง เอ่ยขึ้นว่า "แม่นางจั๋วจิ่ว ตระกูลเฟิงทำกับท่านแบบนี้ ไม่ได้เห็นใจและสงสารกันเลย! หชื่อเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งสำคัญมาก ทั้งที่ท่านต้องหมั้นหมายกับเฟิงเหยียนชัดๆ ตอนนี้กลับมาเปลี่ยนคนกลางทาง นี่มันไม่เห็นท่านอยู่ในสายตาเลย!"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็ไม่ได้พูดอะไร หลักๆ คือขี้เกียจจะไปตอบ จะลองดูว่าคนผู้นี้จะพูดอะไรออกมาอีกคนผู้นี้พอเห็นจั๋วซือหรานไม่พูดอะไร ก็คิดว่าจั๋วซือหรานยอมรับตัวเขาแล้วจึงรีบพูดต่อว่า "ไหนจะเรื่องที่ให้เจ้าต้องมาเจ็บจนเหวอะหวะไปทั้งตัวนี่เอง รังแกกันเกินไปแล้ว นี่คือยารักษาอาการบาดเจ็บ น้ำใจเล็กน้อยของข้าน้อย ข้าน้อยชื่นชมแม่นางจั๋วจิ่วมานานแล้ว แม่นางเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง จะอย่างไรเบื้องหลังก็ควรมีตระกูลมาคอยสนับสนุนถึงจะถูก..."จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ในที่สุดหัวเราะออกมาอย่างทนไม่ไหว ตาของนางโค้งจนเย็นชาไร้ความอบอุ่น เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "โอ้ นี่ก็มาทันเวลาจริงๆ ถ้ายังไม่เอายามารักษาล่ะก็ แผลของข้าก็ใกล้สมานกันแล้ว"คนผู้นี้สีหน้าแข็งทื่อ รอบๆ ก