จั๋วซือหรานพอได้ยินคำนี้ เพียงแค่หัวเราะ ในรอยยิ้มไม่มีความอบอุ่นอยู่เลยหานกวงอดสั่นเทาขึ้นมาไม่ได้ นางเพิ่งสังเกตเห็นว่าแม่นางจิ่วคนนี้ เนื่องจากมองพวกเขาเป็นคนของตนเอง ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาเห็ฯจึงล้วนเป็นด้านที่อ่อนโยนของนางทำให้พวกเขารู้สึกราวกับได้สัมผัสสายลมเย็ฯสบายในฤดูใบไม้ผลิ ถูกโอบล้อมด้วยความอบอุ่นรู้สึกว่าแม่นางจิ่วอบอุ่นยิ่งกว่าดวงตะวันเสียอีกแต่พอเห็นสายตาเย็นชาที่เหมือนจะไปสังหารศัตรูเช่นนี้ของจั๋วซือหรานหานกวงจึงเพิ่งรู้ตัวว่า คนในสายตาพวกเขาที่อบอุ่นเหมือนดวงตะวัน สำหรับศัตรูแล้ว อาจจะกลายเป็นเปลวเพลิงร้อนแรงที่สามารถแผดเผาทำลายล้างก็ได้ มีพลังที่น่ากลัวมากความเย็นชาในดวงตาจั๋วซือหรานค่อยๆ กระจายออก นางกลอกตาไปมองหานกวง รอยยิ้มกลับมาอบอุ่นอ่อนโยนและสงบอีกครั้งน้ำเสียงฟังแล้วก็เหมือนก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยน "ใช่สิ เจ้านายของเจ้าทางที่ดีก็ต้องเป็นแบบนี้ล่ะ ไม่อย่างนั้น ข้าจะต้องคิดหาวิธีชิงตัวเขากลับมา จับแขวนแล้วอัดให้หายอยากแน่ๆ"หานกวงรู้สึกว่า เนื้อหาในคำพูดของแม่นางจิ่วฟังแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องล้อเล่น แต่ในใจหานกวงกลับอดเหงื่อแตกแทนเจ้านายของตนเองไม่ได้"
หลังจากกินเสร็จ อารมณ์ของจั๋วซือหรานก็เหมือนจะดีขึ้นมาจริงๆหานกวงถาม "คุณหนูจิ่ว ท่านอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อยแล้วใช่ไหม?"จั๋วซือหรานตอบ "เอาอย่างนั้นนั่นล่ะ แต่ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ ตอนบ่ายน่าจะมีคนมาหาพวกเจ้า"หานกวงเดิมทียังไม่รู้ว่าความหมายของจั๋วซือหรานคืออะไรใครจะรู้ ว่าตอนบ่ายก็มีคนเข้ามาจริงๆตอนที่หานกวงเข้ามารายงาน ใบหน้าดูแข็งทื่ออยู่บ้าง "แม่นางจิ่ว มีคนมาขอพบท่าน"จั๋วซือหรานเดิมทีนั่งอยู่บนแคร่ จิตใต้สำนึกอยู่ในมิติ กำลังจัดระเบียบมิติของตนเอง และถือโอกาสเข้าไปดูแลเหล่าสัตว์เลี้ยงของตนเองด้วยขนมเผือกกวนกับขนมชามที่เพิ่งกลับมา และยังแมงมุมน้อยที่เพิ่งคลอดกับลูกหลายๆ ตัวของมันรวมถึงสัตว์อสูรอีกหลายตัวที่จั๋วซือหรานได้มาจากซางเชวี่ยเพราะตอนที่ซางเชวี่ยต่อสู้กับนาง การบีบบังคับของวิชาควบคุมสัตว์ซางเชวี่ย ทำให้สัตว์อสูรทุกตัวล้วนบาดเจ็บสาหัสดังนั้นต่อให้ชุบเลี้ยงในมิติของจั๋วซือหรานมาแล้วระยะหนึ่ง สภาพจึงยังไม่ถือว่าดีนัก ดูยังไม่สดใสเท่าไรนักจั๋วซือหรานยังไม่วางใจนัก ดังนั้นพอมีเวลาว่างจึงอยากจะรักษาพวกมันให้ดีขึ้นเสียหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้สึกว่าเจ้าพวกนี้
คนที่มาไม่ใช่ใครอื่น ผู้อาวุโสเจ็ดจั๋วอี้จากตระกูลจั๋วนั่นเองจั๋วอี้มองแล้ว ดูจะเหี่ยวเฉาลงกว่าก่อนหน้าเล็กน้อยสายตาเขามองลูกสาวตรงหน้าอย่างซับซ้อน ในใจก็พูดไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไรจั๋วอี้ถึงแม้จะเป็นผู้อาวุโสของตระกูลจั๋ว แต่เนื่องจากลำดับค่อนไปทางด้านหลัง แล้วปกติยังค่อนข้างเก็บตัว ขั้วอำนาจตระกูลเบื้องหลังจึงค่อนข้างอ่อนแอดังนั้นในกลุ่มผู้อาวุโส อำนาจในการตัดสินใจจึงไม่ได้มากนักก่อนหน้านี้ มักถูกผู้อาวุโสสามผู้อาวุโสห้าที่เป็นพวกปกติชอบโอ้อวดหยิ่งผยองคอยกดขี่อยู่เสมอถ้าหากไม่ใช่เพราะจั๋วซือหรานโดดเด่นขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด...พูดแล้วจั๋วซือหรานเองก็ไม่ได้โดดเด่นขึ้นมาหรอก เพียงแต่หลังจากถูกใส่ร้ายป้ายสีไป จู่ๆ ก็เหมือนระเบิดขึ้นมาเลยหลังจากการระเบิดนั่น สถานการณ์ของตระกูลจั๋วก็แย่ลงทุกวันและเพราะเรื่องของนาง ผู้อาวุโสสามกับผู้อาวุโสห้าก็ถูกตำหนิและด่าทออย่างหนัก เขาในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสเจ็ด ตอนนี้อำนาจตัดสินใจในตระกูลก็เหมือนจะสูงขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วยจั๋วอี้ไม่เห็นด้วยกับการกระทำบางอย่างของตระกูลมาโดยตลอด อย่างเช่นตอนแรกเพื่อจะปกป้องพวกขี้แพ้อย่างจั๋วหยุนเฟิงในตอนนั้น
และตระกูลจั๋ว ถ้าเทียบกับอิจฉา สิ่งที่มากกว่าน่จะเป็น...เสียใจภายหลังกระมังเดิมที นี่เป็นอัจฉริยะของตระกูลพวกเขา เดิมที น่าจะเองคนตระกูลอื่นที่มาอิจฉาตระกูลเขาเดิมทีนี่น่าจะเป็นอัจฉริยะที่เจิดจ้าที่สุดของตระกูลพวกเขา ในห้าตระกูลใหญ่ ไม่มีใครเทียบได้เลยเพราะคนในตระกูลพวกนั้นทำแต่เรื่องบ้าๆ ทีละนิดทีละหน่อยจนมาถึงจุดนี้ มันก็สมควรแล้วหลังจากรู้ข่าวของตระกูลฮั่ว ตระกูลจั๋วก็รีบหารือกันตลอดทั้งคืน หลังจากหารือไปหลายครั้ง ในที่สุดก็ตัดสินใจ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองไปหาจั๋วซือหรานเสียหน่อยลองดูว่าจะดึงคนในตระกูลคนนี้กลับมาได้ไหมลองดูว่าจะเปลี่ยนใจจั๋วซือหรานกลับมาได้ไหมเพียงแต่ว่าเรื่องนี้ใครไปทำก็กลายเป็นปัญหาทั้งนั้น ผู้อาวุโสสามกับผู้อาวุโสห้าช่วงนี้บารีมีในตระกูลจั๋วก็ลดต่ำลงทุกวี่วันเดิมทีคิดจะให้พวกเขาทำเรื่องนี้แต่ผู้อาวุโสสามก็ปฏิเสธ บอกว่าจั๋วซือหรานมีความแค้นกับเขา ถ้าหากตนเองไปล่ะก็ น่าจะทำให้จั๋วซือหรานอารมณ์ไม่ดี เกรงว่าจะได้ผลตรงกันข้ามมาแทนถึงแม้ใครก็ฟังออกว่านี่เป็นการปฏิเสธของผู้อาวุโสสาม แต่ก็จำใจต้องพิจารณา ว่าคำพูดของเขาเองก็มีเหตุผลดังนั้นท้ายสุด ผู้อ
จั๋วอี้พยักหน้าตอบรับ รู้ว่าในขวดนั่นใส่อะไรไว้ นี่คือเงื่อนไขที่จั๋วซือหรานร่วมมือกับตระกูลฮั่ว ยาลูกกลอนขั้นสี่จั๋วอี้เองก็มองออก เดิมทีนางน่าจะไม่มีความคิดหยิบยาลูกกลอนเหล่านี้ออกมา แล้วมอบให้กับเขาเพราะเห็นแก่ที่เขานำของขวัญมาส่ง...เด็กสาวคนนี้ ไม่ใช่หญิงสาวคนนั้นที่ไม่มีพ่อคอยช่วยเหลือ ทำได้แค่ดิ้นรนอยู่คนเดียวแบบที่พวกเขารู้จักแล้วหรือก็คือ พวกเขาอันที่จริงก็นึกไม่ค่อยออก ว่าจั๋วซือหรานในความทรงจำน่าจะเป็นแบบไหนหรือบางทีอาจะเพราะ หลังจากที่จั๋วซือหรานถูกไม่ถูกใส่ร้ายจนไปแต่งกับฉินตวนหยาง นางก็ชนะขึ้นมาตลอดจนถึงตอนนี้ นึกตัวนางในอดีตกันไม่ออกไปนานแล้วจำกันได้แต่ภาพนางในชุดแดงที่แข็งแกร่งกระฉับกระเฉงทรงพลังจั๋วอี้หลังจากออกไป หานกวงก็ขมวดคิ้วอยู่ข้างๆ ดูมีท่าทีต่อจั๋วอี้...เอาให้ถูกคือรู้สึกดูถูกต่อพฤติกรรมหญ้าข้างกำแพงของตระกูลจั๋วอย่างมากทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยจะดีกับแม่นางจิ่วเลย ตอนนี้กลับรู้ว่าต้องมาเอาอกเอาใจหานกวงถาม "แม่นางจิ่ว ท่านทำไมจึงไม่บอกเขาไปล่ะ ว่าองค์จักรพรรดิเฒ่ายอมส่งช่องทางการค้าส่งราชวงศ์ทั้งหมดของตระกูลจั๋วให้กับท่านไปแล้วล่ะ? เช่นนั้นถึงจะทำ
แม่นางจั๋วจิ่วยังทำเหมือนก่อนหน้านี้ จัดการพวกลิ่วล้อของผู้อาวุโสตระกูลเฟิงเหมือนว่าข่าวการหมั้นของเฟิงเหยียน ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับนางเลยแม้แต่น้อยข่าวการร่วมมือของจั๋วซือหรานกับตระกูลฮั่ว กระจายออกไปจากการผลักดันของตระกูลฮั่วรวมถึงเงื่อนไขที่ร่วมมือกับตระกูลฮั่วด้วย ทำเอาคนทั้งหมดตกตะลึงไปถ้าหากบอกว่า ทุกคนก่อนหน้าล้วนบอกว่าตระกูลเฟิงกับตระกูลจั๋วไม่ค่อยฉลาด ดันปล่อยสมบัติล้ำค่าแบบนี้ทิ้งไปข่าวนี้พอออกไป ทุกคนก็พูดกันว่าตระกูลเฟิงกับตระกูลจั๋วนั้นโง่เง่าและตอนนี้เอง ตระกูลที่โง่กว่าก็ปรากฏตัวแล้ว"ที่แต่เหยียนหยี่หลิงของตระกูลเหยียนก็คือคู่หมั้นของซื่อจื่อตระกูลเฟิงครั้งนี้นี่เอง!""บ้าหรือเปล่า? ตระกูลเหยียนสมองมีรูหรือเปล่าเนี่ย ยังผิดใจกับแม่นางจั๋วจิ่วไม่พอหรือไรกัน? นี่มันไปขุดดินบนหัวเทพไท่ซุ่ยชัดๆ...""น่าจะเพราะก่อนหน้านี้เดิมพันไม่ชนะแม่นางจั๋วจิ่ว ตอนนี้เลยไม่มีทางเลือกแล้วกระมั่ง ถ้าไม่ร่วมมือกับตระกูลเฟิงก็คงไม่เหลือทางเดินอีกแล้ว"ตอนที่จั๋วซือหรานรู้ข่าวนี้ กำลังนั่งเล่นแส้ในมือที่ห้องโถง แต่พอมองอย่างละเอียดก็จะรู้ ว่านั่นไม่ใช่แส้! แต่เป็นงูสีขาวตัวหน
จั๋วซือหรานอัญเชิญสัตว์อสูรปีกที่ตัวนั้นที่เก็บมาจากซางเชวี่ยออกมาพอผ่านการรักษาและพักฟื้้นมาระยะหนึ่ง จั๋วซือหรานก็เลี้ยงมันจนใช้ได้แล้ว อย่างน้อยก็ดูสง่างามน่าเกรงขามขึ้นมากจั๋วซือหรานขึ้นไปนั่งหานกวงรู้สึกประหลาดใจ "แม่นางจิ่ว ท่านจะไปแบบนี้หรือ?"จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว "ไม่อย่างนั้นจะให้ข้าไปอย่างไร? ข้าเองก็ไม่ใช่คุณหนูสูงศักดิ์จากตระกูลอะไรเสียหน่อย ข้าต้องนั่งรถม้ากอดพิณผีพาบังหน้าไว้ด้วยหรือ?"หานกวงมองเห็นรอยยิ้มสบายๆ บนหน้าแม่นางจิ่วจั๋วซือหรานยิ้มบอกต่อว่า "ข้ามันก็แค่สามัญชน ต้องไปแบบนี้นั่นล่ะ"หานกวงตอนที่ได้ยินคำพูดนี้ของจั๋วซือหราน จู่ๆ ก็รู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกันหานกวงยิ้มตอบ "เช่นนั้นแม่นางจิ่วก็ระวังตัวด้วย พวกข้าน้อยจะรอฟังข่าวดีจากท่านนะ"แต่สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ สิ่งที่รอกลับกลายเป็นจั๋วซือหรานในชุดแดงขาดรุ่ย สภาพที่บาดแผลเต็มดัว...แต่นั่นก็เป็นเรื่องหลังจากนี้ตอนนี้ จั๋วซือหรานออกเดินทางจากบ้านตนเอง ตรงไปยังสวนชิวอีสวนชิวอีอยู่ในเมืองหลวง เป็นสวนแห่งหนึ่งที่จักรพรรดิเฒ่าตอนนั้นให้มาเพราะสงสารซือคงอวี้ สวยงามมาก ไม่ใช่แค่ทิวทัศน์งดงาม แต่
"เอาล่ะสิ บีบตระกูลเฟิงแบบนี้ เอาคนอื่นยกให้เฟิงเหยียน ข้าจะดูว่าจั๋วจิ่วจะทำอย่างไร นางไม่ใช่ว่าชอบเฟิงเหยียนมากที่สุดหรอกหรือ?""ใช่สิ นางไม่ใช่บอกต่อหน้าทุกคนแค่ครั้งเดียว ว่าตนเองรักเฟิงเหยียนอย่างลึกซึ้งนี่นา""ตระกูลเฟิงนี่ก็จริงๆ เลย ไม่กลัวผิดใจนางแล้วนางจะสังหารคนมากขึ้นเหรือ?""ฮ่าๆๆ..." มีคนแอบหัวเรา "ให้ข้าว่านะ ตระกูลเฟิงทำไมไม่ยกซื่อจื่อให้นางไปเลย แลกกับความสงบสุข"ตอนนี้เอง ข้างๆ ก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้น"พวกเจ้านี่มันก็ทำได้แค่ซุบซิบนินทาอยู่ข้างหลังเท่านั้น ถึงจะไม่พูดว่าตระกูลเฟิงกับจั๋วจิ่วมีความแค้นอะไรกัน จะผิดใจหรือไม่ แต่พวกเจ้าเองก็ไม่กลัวผิดใจกับพวกเราเลยนี่..."เสียงของผู้อาวุโสตระกูลเฟิงคนหนึ่งดังลอดเข้ามาอย่างเย็นชาข้างๆกลุ่มคนที่ซุบซิบกันอยู่แต่เดิม ก็ยิ้มขึ้นอย่างกระดากขึ้นมาทันทีผู้อาวุโสตระกูลเฟิงร้องเชอะ "ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่ต้องให้พวกเจ้ามาพูดให้ตระกูลเฟิงของพวกเราเสื่อมเสียหรอก จั๋วจิ่วหรือ? ก็แค่ตัวตลกตัวหนึ่งเท่านั้น ที่นางสังหารไปก็มีแต่พวกลูกหลานที่ฝึกฝนมาต่ำเตี้ยเรี่ยดินของตระกูลเฟิง นางมันก็แค่หญิงสาวที่ขี้ขลาดคนหนึ่งเท่านั้น!""เจ้าก็ด
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด