จั๋วซือหรานฟังคำพูดนี้แล้ว มุมปากกระตุก "มองไม่ออกเลย ว่าข้าจะมีชื่อเสียงขนาดนี้"องครักษ์เงาเอ่ยต่อ "แล้วก็ตระกูลเฟิงเหมือนคิดจะร่วมมือกับพลังแห่งราชวงศ์..."จั๋วซือหรานฟังถึงตรงนี้ ดวงตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "พลังของราชวงศ์หรือ...ถ้าอย่างนั้นก็คงมีแค่ซือคงอวี้เจ้าขยะนั่น ถ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้ข้าก็เกือบจะลืมเรื่องเขาไปแล้วนะ เขาน่ะไม่ได้น่ากลัวอะไร ถ้าเขาไปสมคบคิดกับตระกูลเฟิงจริง วันไหนน่ารำคาญฆ่าทิ้งไปก็จบ"จั๋วซือหรานหลังจากได้รับข่าวนี้ จึงปล่ยอให้พวกเขาไปกินกันอย่างเอร็ดอร่อยส่วนนางหมุนตัวไปที่เรือนข้างๆคืนนี้ การคุ้มกันของตระกูลเฟิงยิ่งเข้มงวดขึ้น!ถ้าบอกว่าเมื่อคืนนี้ยังลาดตระเวนกันอยู่ล่ะก็ คืนนี้ไม่ใช่แค่ลาดตระเวน แต่กำหนดจุดยามเลยทีเดียวบนกำแพงสูงทุกช่วงของตระกูลเฟิง ล้วนมีคนคอยเฝ้าทั้งสิ้นเช่นนี้ ไม่เชื่อเลยว่านางจะยังลอบเข้ามาในจวนตระกูลเฟิงได้!แต่สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ...ในค่ำคืนนี้ ตระกูลเฟิงยังคงมีคนตายทุกคนล้วนรู้ว่าเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงไปผิดใจกับนังบ้าจั๋วไว้เต็มที่แล้ว นางคิดจะสังหารคนจริงๆ! ยิ่งไปกว่านั้นยังมองออกว่า นางสังหารคนแบบไม่มีทิศทางด
องครักษ์เงาเอ่ยขึ้นว่า "คร่าวๆ ก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นข่าวนี้เพียงไม่นานก็ส่งออกมาจากจวนตระกูลเฟิง..."จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว "โอ๋? จวนตระกูลเฟิงก่อนหน้านี้เป็นถึงถังเหล็กเลยนี่ ข่าวไม่ได้รั่วออกมาง่ายขนาดนี้"ตอนนี้ดูท่า เขื่อนพันลี้ก็ยังพังทลายด้วยรังมดจริงๆองครักษ์เงามองจั๋วซือหราน ถามขึ้นว่า "แม่นางจั๋วคิดจะสังหารอีกสักกี่คน จะทำให้พวกเขายิ่งผวาขึ้นไปอีกไหม?"จั๋วซือหรานหัวเราะ "ข้าไม่เคยสังหารคนธรรมดาในตระกูลเสียหน่อย ที่ข้าสังหารไปทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา หรือไม่ก็เป็นสุนัขของพวกเขา"องครักษ์เงาไม่คอ่ยเข้าใจความหมายของจั๋วซือหราน "สังหารสุนัขของพวกเขา...กับสังหารคนธรรมดาในตระกูลมีอะไรแตกต่างกันไหม?"องครักษ์เงาเห็นบนหน้าแม่นางจิ่วยังคงมีรอยยิ้มเฉยเมยแบบนั้นแล้วเอ่ยขึ้นว่า "ต้องแตกต่างกันอยู่แล้ว จุดเด่นของพวกสุนัขก็คือ...จะเป็นพวกที่เหมือนหญ้าบนกำแพง ลมพัดทางไหนก็เอนทางนั้น ดังนั้น ลงมือกับพวกเขาเสียก่อน หนึ่งคือข้าไม่ค่อยรู้สึกผิดมากนัก สองคือ พวกเขาน่าจะสามารถขึ้นไปเอาเรื่องกับพวกผุ้อาวุโสได้"องครักษ์เงาแปลกใจหน่อยๆ แต่พอฟังคำอธิบายนี้ของจั๋วซือหรานแล้ว ก็เข้
แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ คืนวันนี้ จั๋วซือหรานหลังจากเอาของย่างหลายตัวให้กับพวกเขา ก็บอกว่าตนเองจะออกไปสักรอบหนึ่ง พรุ่งนี้ตอนมืดจึงจะกลับ ให้พวกเขาอยู่ในบ้านกันดีดีแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีความเห็นอะไรจะมีจ้านหลูที่อยากรู้อยากเห็น ถามออกมาคำหนึ่ง "แม่นางจิ่วจะออกไปทำอะไรหรือ?"จั๋วซือหรานขานรับคำหนึ่ง "โอ้ ข้าจะออกไปรับใช้จักรพรรดิอย่างขันแข็งเสียหน่อย"ทุกคน "..."คืนนั้น ยังคงเหมือนเดิมในตระกูลเฟิงยังมีคนตาย และยังเป็นพวกสุนัขของผู้อาวุโสไม่ว่าพวกเขาจะคิดหาวิธีอย่างไร ก็เหมือนไม่มีทางที่จะหนีสายฟ้าพายุนี่ได้เลยตอนที่ทุกคนในตระกูลเฟิงยังขวัญผวาอยู่นั้นจั๋วซือหรานกลับถือโอกาสตรงไปยังค่ายทหารในค่ายลาดตระเวนป้องกัน ต่อให้จะเป็นกลางดึก แต่ยังคงจุดไฟสว่างไสวหากคิดจะลอบเข้าไปนั้นเป็นเรื่องยากมากแต่ว่า ในมุมหนึ่งของกระโจมค่ายซือคงเซี่ยน ไม่รู้เมื่อไร ที่ปรากฏร่างเงาดำร่างหนึ่งออกมาซือคงเซี่ยนพักผ่อนไปแล้ว แต่ตอนที่ตื่นขึ้นมางัวเงียกลางดึก หางตาก็เหลือบไปเห็นเงาดำร่างหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้จึงตื่นขึ้นมาทันที!คิดจะตะคอกขึ้นมาทันทีว่า...ใครกัน?!แต่ยังไม่ทันที่เขาจะอ้าปาก ก็ไ
ซือคงเซี่ยนพยักหน้า "ก็ได้ยินมาบ้าง แต่เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเขาก็แค่คิดจะร่วมมือกับซือคงอวี้เท่านั้น เพราะพูดขึ้นมา เจ้าเองก็เหมือนจะมีความแค้นกับซือคงอวี้อยู่นี่"เรื่องครั้งที่แล้วของซือคงอวี้ พังไม่เป็นท่าเพราะการปรากฏตัวของนาง"แต่ว่าตอนนี้ซือคงอวี้เดิมทีก็มีปัญหาอยู่มากมาย ยุ่งตัวเป็นเกลียว เอาจริงๆ ยังไม่มีเวลามาสนใจเรื่องของข้าทางนี้หรอกกระมัง ข้ารู้" จั๋วซือหรานพยักหน้าเบาๆ"ถูกต้อง ดังนั้นเจ้าจึงไม่ต้องกังวลมากนัก" ซือคงเซี่ยนเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานกลับเอ่ยขึ้นว่า "แต่ว่า จะอย่างไรก็ยังเป็นภัยเงียบอยู่ น่ารำคาญเหมือนกัน แก้ไขไปก่อนจะดีกว่า"ซือคงเซี่ยนมองนาง " แต่เจ้าไม่ใช่ว่าจะไม่สังหารเขาหรอกหรือ?"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็เลิกคิ้วงามซือคงเซี่ยนหัวเราะ "ถ้าเจ้าคิดจะสังหารเขา เขาคงตายไปนานแล้ว ข้าคิดว่า เจ้าน่าจะไม่อยากมีความแค้นหยั่งลึกกับราชวงศ์กระมัง?"จั๋วซือหรานยิ้มปากโค้ง ซือคงเซี่ยนพูดไว้ถูกต้องจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ดังนั้น ท่านอ๋องรีบลุกเถอะ ไปกับข้า ข้าต้องการท่าน"ถึงแม้จะบอกว่าจั๋วซือหรานไม่มีความหมายนั้น แต่พอได้ยินประโยคนี้ในคำพูดของนางที่ว่าต้องการเขาในใจซื
จั๋วซือหรานตอบกลับ "ไปช่วยกอบกู้บ้านเมือง ช่วยเหลือจักรพรรดิ""อะไรนะ?!" ซือคงเซี่ยนบางทีน่าจะเพราะตกตะลึงเกินไป เสียงในสายลมจึงค่อนข้างแตก!"หยุดก่อน ซือหราน รีบหยุดที!" ซือคงเซี่ยนร้อนรนหน่อยๆ รีบเอ่ยขึ้นมาจั๋วซือหรานตบให้ราชาหมาป่าน้ำแข็งนั่งลงมันยังวิ่งต่อไปอีกพักถึงหยุดลงตามความเคยชินจั๋วซือหรานเองหน้ามองซือคงเซี่ยนด้านหลัง "ทำไมหรือ?""ตอนนี้ที่วังสวนของเสด็จพ่อมีทหารเฝ้าอยู่หนาแน่น! ไม่ยอมให้คนเข้าออก นี่เป็นฝีมือของซือคงอวี้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้สถานการณ์ของเสด็จพ่อด้วย ว่ายังมีชีวิตอยู่ไหม สุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง...""ดังนั้นข้ากับแม่ทัพอิงเซ่าและแม่ทัพฉีฮ่าว จึงยังหารือวิธีการกันอยู่ ว่าทำอย่างไรจึงจะช่วยเหลือเสด็จพ่อออกมาได้อย่างราบรื่น แล้วเจ้าเข้าไปแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง มันจะบุ่มบ่ามไปหน่อย"จั๋วซือหรานเอ่ยตอบ "วิธีการก็มีอยู่ ข้าจะเข้าไป""อะไรนะ?" ซือคงเซี่ยนไม่เข้าใจความหมายของนาง"ข้าจะเข้าไปรอบหนึ่ง ก็รู้แล้วว่าสถานการณ์ของฝ่าบาทเป็นอย่างไร ถ้าหากถูกขังไว้ ข้าจะช่วยเขาออกมา ถ้าหากป่วย ข้าก็ยังรักษษเขาได้ ถ้าหากถูกหลอกล่อจนไม่รู้สถานการณ์ภายนอกเป็
แน่นอน ด้วยมาตราฐานของจั๋วซือหรานแล้ว ถือว่าราบรื่นแต่ถ้าในสายตาคนอื่น...การบิดคอคนคุ้มกันสองคน เอาชุดพวกเขามาใส่ น่าจะถือว่าไม่ใช่เรื่องราบรื่นนักจั๋วซือหรานจัดระเบียบเสื้อผ้า บนใบหน้างาม คิ้วขมวดขึ้นมา ทำหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะเพราะชุดของคนคุ้มกันพวกนี้กลิ่นไม่ค่อยน่าดมนัก ทำเอานางหงุดหงิดขึ้นมาและทำให้จั๋วซือหรานยิ่งอยากทำภารกิจให้เสร็จไวไวในวังสวนของราชวงศ์ ทิวทัศน์ทุกจุดล้วนสวยงาม ศาลาน้อยหอสูง สวนดอกไม้อาคารริมน้ำ...ดังนั้นจึงหาลำบากจริงๆ องค์จักรพรรดิจะถูกจัดให้อยู่ทางไหน บอกได้ยากมากจะไปค้นหาทีละเรือนๆ ก็ดูจะไม่เข้าท่าจั๋วซือหรานครุ่นคิด เหลือบมองหน่วยลาดตระเวนนั่นกำลังเข้ามาหน่วยลาดตระเวนในวังสวนราชวงศ์ไม่ใช่สี่คนก็แปดคนใช้ได้อยู่ กลุ่มที่เข้ามานี้ เป็นกลุ่มที่มีสี่คน"ดวงดีใช้ได้" จั๋วซือหรานแอบคิด จากนั้นนางรวมนิ้วหากัน แล้วดีดนิ้วเสียงป้าบออกไปสองเสียงทำการเคลื่อนไหวล่อให้พวกเขาเข้ามาตรงจุดที่นางซ่อนอยู่แล้วจัดการซะ จะได้ไม่เป็นการตีหญ้าให้...เอ เหมือนจะพูดแบบนี้ไม่ได้ เอาเป็นว่านางกลัวจะยุ่งยากแล้วกันแต่ว่าใครจะรู้ กลุ่มสี่คนนี้พอได้ยินเสียงดีดนิ้ว
แต่ไฟวิเศษของมันคือความแข็งแกร่งที่สุดของพวกมันเพียงไม่นาน คนคุ้มกันสี่คนนั้นก็ถูกเจ้าก้อนเนื้อทั้งสี่ควบคุม ทั้งหมดถูกลากกลับมาจุดที่จั๋วซือหรานซ่อนอยู่พวกเขาถลึงตาเบิกโพลง มองจั๋วซือหรานตาไม่กระพริบจั๋วซือหรานถามขึ้น "ข้ามีคำถามจะถามพวกเจ้า หวังว่าพวกเจ้าจะตอบมาดีดี"พวกเขายังคงถลึงตามองนาง เพียงแต่ในดวงตามีแต่ความดูหมิ่น เหมือนกำลังเยาะเย้ยถากถางคำพูดของนางน่าจะเพราะจั๋วซือหรานรูปร่างเล็กบาง แล้วยังสวมชุดคลุมของคนคุ้มกันอีก ดูแล้วมันออกจะ...ประหลาดอยู่หน่อยๆยากที่จะทำให้พวกเขาเกิดความระวังตัวจั๋วซือหรานยิ้มตาโค้ง เอ่ยต่อว่า "ถึงแม้จะไม่รู้ว่าในวังสวนราชวงศ์ที่พวกเจ้าอยู่ จะเคยได้ยินชื่อของข้าไหม แต่ก็แนะนำตัวเสียหน่อยแล้วกัน ข้าสกุลจั๋ว จั๋วซือหราน"ตอนที่ทั้งสี่คนได้ยินชื่อนี้ ดวงตาก็เบิกโพลงกว้างกว่าเดิม อย่างกับแทบจะทะลักร่วงจากเบ้าตาแล้วความดูหมิ่นในสายตาก่อนหน้านี้ หายวับจนหมดในพริบตา ในดวงตาเหลือไว้เพียงความหวาดกลัว"ดูท่าจะเคยได้ยินชื่อของข้าสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเรียบๆ "ไม่มีความแค้นก็ไม่ใช่ศัตรูกัน เข้าไม่อยากจะสร้างความลำบากใจให้คนบริสุทธิ์ ขอแค่พวกเจ้า
"ข้าจะพูดทั้งหมด! จริงๆ!"คนคุ้มกันคนนี้รีบตอบกลับ ราวกับว่าถ้าช้าไปนิดหน่อย จั๋วซือหรานจะลงโทษเขาอย่างไรอย่างนั้นแต่ในใจเขากลับแอบคิดว่า แค่ล่อให้จั๋วซือหรานไปยังจุดที่คนคุ้มกันเยอะที่สุดก็พอ นางจบไม่สวยแน่สองมือหรือจะสู้หลายคน!ไหนจะเรื่องที่นางเป็นแค่หญิงสาวคนเดียวอีก! ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากนางมีฝีมือจริง คงไม่ต้องเอาพวกเขาทั้งสี่คนควบคุมมาซ่อนเพื่อเค้นปากตรงนี้หรอกนางบุกเข้าไปก็จบแล้วไหม?เขาเห็นจั๋วซือหรานพยักหน้าอย่างพอใจ ในใจก็แอบคิด นี่จะทำให้นางติดกับ!"ฝ่าบาทอยู่ที่...!"เขายังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นหญิงสาวใบหน้าสะสวยคนนี้ ดวงตาโค้ง อยู่ในท่าทางยิ้มจนทำให้คนรำคาญไม่ลงบอกกับเขาว่า "ไม่ ไม่ต้องบอกข้า นำทางข้าไปก็พอ ถ้าหากกล้าเล่นตุกติก ข้าก็จะเชือดเจ้าตรงนั้นเลยค่อยหนีออกไป ส่วนเจ้าแล้วเพื่อนเจ้าที่เหลือ แน่นอนว่าไม่รอด"จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า "ข้าจะปลูกไหมกู่เอาไว้บนตัวพวกเจ้า"สายตาพวกเขาเปลี่ยนไปทันทีขนาดคนคุ้มกันคนนี้ที่เดิมที่วางแผนอะไรในใจอยู่ ก็ยังต้องหยุดคิดไปเลยจั๋วซือหรานเอ่ยต่อว่า "ไป เดินสิ"ไหมกู่ของขนมถั่วแดงทิ้งไว้บนตัวคนนั้น แล้วเอาคนคนนี้ทิ้งไว้ใน
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด