"ก็คงไม่บีบคั้นนาง! แล้วนางก็ไม่ต้องมาฆ่าคนด้วย!""มีคนไปผิดใจนางมาตั้งเยอะ ก็ยังไม่เคยเห็นนางคลั่งจนฆ่าคนแบบนี้เลย!""พวกท่านทำไมต้องทำแบบนี้? งานหมั้นหมายก่อนหน้านี้ก็เป็นพวกท่านที่กำหนด แล้วตอนนี้ทำไมถึงไปขับไล่พวกเขา""ทำไมคนที่ตายไม่ใช่พวกท่านกัน?"เหล่าผู้อาวุโสถลึงตาโต มองหน้ากันไปมา เบิกตาอ้าปากค้างตามหลักการที่พวกเขาพูดกับเหล่าอาวุโสแบบบี้ถือว่ากำเริบเสิบสาน แต่ชั่วขณะหนึ่ง เหล่าผู้อาวุโสกระทั่งลืมที่จะตะคอกออกไปด้วยซ้ำเพราะวพกเขาก็รู้อยู่รางๆ ว่าเรื่องราวมันค่อยๆ ควบคุมไม่อยู่แล้วมีเรื่องบางอย่างเหมือนกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่พวกเขาควบคุมไม่ได้...อีกด้านหนึ่ง จั๋วซือหรานนั่งดื่มชาอยู่ในโรงน้ำชา ดื่มไปคำหนึ่งก็ขมวดคิ้วไม่อร่อยเลยกินกับข้าวไปคำหนึ่ง ก็ขมวดคิ้วอีกห่วยแตกเจี่ยงเทียนซิงรู้สึกจนใจ หัวเราะเอ่ยขึ้นว่า "พวกเรารีบมารับช่วงต่อ ก็ไม่ห่วยแตกแบบนี้แล้ว"จากนั้น ที่ประตูก็มีเงาคนลับๆ ล่อๆ เดินเข้ามาบนหัวสวมหมวกปิดหัว เดินไปมาอย่างรีบร้อน ปิดบังหน้าส่วนใหญ่ไว้ แต่ตราประทับจันทร์เสี้ยวบนหน้าผากนั่นก็ยังเผยออกมาอย่างชัดเจนจั๋วซือหรานมองแล้วก็พูดไม่ออก เจ
จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้ง "มาก็มาแล้ว ทุกครั้งไม่เคยจะเข้ามาเสียที เอาแต่แอบฟังอยู่ข้างๆ มันใช่เรื่องไหม?"ฮั่วจือโจวเดินเข้ามา มองนางอย่างจำใจ "แม่นางจิ่วไม่รู้จริงหรือว่าตัวเองเป็นตัวยุ่งยากระดับไหน? ที่ข้าเข้ามา ก็ถือว่าเสี่ยงอันตรายมากแล้วนะ"จั๋วซือหรานฟังคำพูดเขา หัวเราะพยักหน้า "ข้ารู้อยู่แล้วว่าข้าเป็นตัวยุ่งยาก เป็นความเสี่ยง"ฮั่วจือโจวคิดจะพูดต่อ แต่จั๋วซือหรานก็ชิงพูดมาก่อน "แต่ว่านะ ถึงแม้ข้าจะเป็นความเสี่ยง แต่ว่ากำไรกับความเสี่ยงมันก็ของคู่กันไม่ใช่หรือ?""ดังนั้นข้าถึงคอยฟังอยู่นี่ไง อยากจะฟังว่าเจ้าจะให้ผลกำไรอะไรกับข้า" ฮั่วจือโจวเอ่ยขึ้น "ถึงอย่างไรจากสถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้ ตระกูลเฟิงถ้าเจ้าคิดจะผิดใจให้ถึงที่สุด แล้วถ้าตะรกูลเฟิงไปจับมือกับตระกูลขุนนางอื่นล่ะก็..."ฮั่วจือโจวพูด ส่ายหัวเบาๆ "แม่นางจิ่ว ถึงตอนนั้นต่อให้ข้าอยากจะร่วมมือกับเจ้าแค่ไหน แต่ที่ตระกูลก็คงสร้างแรงกดดันกับข้าอย่างมาก ไม่ยอมให้ข้าทำเรื่องเช่นนี้แน่นอน ""ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่มันก็เป็นอย่างที่เจ้าพูดนั่นล่ะ ตระกูลขุนนางก็เป็นกันเช่นนี้ เหนื่อสิ่งอื่นใดทั้งหมด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือผลปร
"เท่าไรนะ?!""เจ้าบอกว่าเท่าไรนะ?!"ทั้งสามคนแทบจะร้องออกมาพร้อมกันจั๋วซือหรานแหงนตามองพวกเขา "แปดเม็ด ทำไมหรือ?"ฮั่วจือโจวพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ ยื่นมือชี้ไปที่นาง สายตาตกตะลึง ครู่ต่อมา จึงพยักหน้าเอ่ยว่า "ขอตัวก่อน! จือโจวจะกลับไปหารือกับผู้อาวุโสทันที"จั๋วซือหรานขานรับอืมไปเสียงหนึ่ง นางคิดๆ เสิรมขึ้นมาว่า "มีแค่โอกาสเดียวเท่านั้นนะ""อะไรนะ?" ฮั่วจือโจวไม่ค่อยเข้าใจความหมายของจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานเอ่ยต่อว่า "ถ้าหากเจ้าปฏิเสธครั้งนี้ จากนี้จะมาเสียใจแล้วอยากร่วมมือกับข้า ข้าก็จะไม่รับปากแล้วนะ"ฮั่วจือโจวมองรอยยิ้มบนหน้านาง และได้ยินเสียงใสของนางดังขึ้นว่า "ข้าเป็นคนนิสัยแบบนี้ล่ะ ทำอะไรก็จะขีดเส้นไว้ ต่อให้เป็นศัตรู ถ้าไม่เกินเลยมากนักข้าก็จะให้โอกาสอีกสักครั้ง"ฮั่วจือโจวตอบ "ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แล้ว"หลังจากฮั่วจือโจวออกไป เจี่ยงเทียนซิงกับอินเจ๋ออันในที่สุดก็อดกลั้นไม่ไหว โดยเฉพาะอินเจ๋ออัน ท่าทางนั่น จั๋วซือหรานแทบอยากจะพุ่งไปบีบคอเขาจริงๆ"เจ้า! เจ้านี่จริงๆเลย""ทำไมจึงไปรับปากเงื่อนไขแบบนั้น? เจ้ารุ้ไหมว่าลูกกลอนขั้นสี่มมันมูลค่าสูงแค่ไหน?"หายากนะเนี่ย ที่เจี
อินเจ๋ออันงึมงำขึ้นมา "เจ้านี่มันสุดยอดไปเลย!"จั๋วซือหรานยิ้มยิ้ม "แต่นี่ข้าก็แค่พูดกับพวกเจ้าเท่านั้นนะ เพราะข้ากับพวกเจ้ามีความสัมพันธ์ที่อยู่ในเรือลำเดียวกันแล้ว ส่วนฮั่วจือโจวทางนั้น..."สายตาจั๋วซือหรานลึกซึ้ง "เขาดูแล้วถึงจะเหมือนว่านิสัยไม่เลวก็เถอะ แต่ข้าก็ไม่เคยชื่อใจพวกตระกูลขุนนาง ดังนั้น เรื่องนี้ยังไม่ต้องบอกพวกเขาแล้วกัน"เจี่ยงเทียนซิงกับอินเจ๋ออันเดิมทียังไม่ได้สติกลับมา แต่เห็นได้ชัด ว่าไม่ใช่เรื่องว่าจะบอกหรือไม่บอกพวกตระกูลขุนนาง แต่ว่าเรื่องนี้เดิมทีก็เพียงพอจะทำให้พวกเขาตกตะลึงไปแล้ว"หก หกสิบเม็ด?" เจี่ยงเทียนซิงงึมงำจั๋วซือหรานพยักหน้า "หกสิบแปด หลังจากนี้ถ้าพัฒนาขึ้นก็น่าจะได้มากขึ้นไปอีก"อันที่จริงนี่คือการที่นักกลั่นยาของนางเลื่อนขั้นขึ้นมา ตอนนี้นางจะกลั่นยาลูกกลอนขั้นห้าออกมาก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ว่าเรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องไปบอกให้ใครรู้ส่วนที่ว่าทำไมปริมาณการผลิตถึงได้มาก นี่ก็เป็นวิธีการใหม่ที่จั๋วซือหรานค้นพบ ตนเองขอแค่กลั่นยาในมิติน้ำพุวิเศษ ถึงแม้มาตรฐานขั้นการกลั่นยาจะไม่ได้แตกต่างกับการกลั่นยาภายนอกมากนักแต่ปริมาณการผลิดกลับเปลี่ยนไปอย่าง
จั๋วซือหรานฟังคำพูดนี้แล้ว มุมปากกระตุก "มองไม่ออกเลย ว่าข้าจะมีชื่อเสียงขนาดนี้"องครักษ์เงาเอ่ยต่อ "แล้วก็ตระกูลเฟิงเหมือนคิดจะร่วมมือกับพลังแห่งราชวงศ์..."จั๋วซือหรานฟังถึงตรงนี้ ดวงตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "พลังของราชวงศ์หรือ...ถ้าอย่างนั้นก็คงมีแค่ซือคงอวี้เจ้าขยะนั่น ถ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้ข้าก็เกือบจะลืมเรื่องเขาไปแล้วนะ เขาน่ะไม่ได้น่ากลัวอะไร ถ้าเขาไปสมคบคิดกับตระกูลเฟิงจริง วันไหนน่ารำคาญฆ่าทิ้งไปก็จบ"จั๋วซือหรานหลังจากได้รับข่าวนี้ จึงปล่ยอให้พวกเขาไปกินกันอย่างเอร็ดอร่อยส่วนนางหมุนตัวไปที่เรือนข้างๆคืนนี้ การคุ้มกันของตระกูลเฟิงยิ่งเข้มงวดขึ้น!ถ้าบอกว่าเมื่อคืนนี้ยังลาดตระเวนกันอยู่ล่ะก็ คืนนี้ไม่ใช่แค่ลาดตระเวน แต่กำหนดจุดยามเลยทีเดียวบนกำแพงสูงทุกช่วงของตระกูลเฟิง ล้วนมีคนคอยเฝ้าทั้งสิ้นเช่นนี้ ไม่เชื่อเลยว่านางจะยังลอบเข้ามาในจวนตระกูลเฟิงได้!แต่สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือ...ในค่ำคืนนี้ ตระกูลเฟิงยังคงมีคนตายทุกคนล้วนรู้ว่าเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงไปผิดใจกับนังบ้าจั๋วไว้เต็มที่แล้ว นางคิดจะสังหารคนจริงๆ! ยิ่งไปกว่านั้นยังมองออกว่า นางสังหารคนแบบไม่มีทิศทางด
องครักษ์เงาเอ่ยขึ้นว่า "คร่าวๆ ก็เป็นเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นข่าวนี้เพียงไม่นานก็ส่งออกมาจากจวนตระกูลเฟิง..."จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว "โอ๋? จวนตระกูลเฟิงก่อนหน้านี้เป็นถึงถังเหล็กเลยนี่ ข่าวไม่ได้รั่วออกมาง่ายขนาดนี้"ตอนนี้ดูท่า เขื่อนพันลี้ก็ยังพังทลายด้วยรังมดจริงๆองครักษ์เงามองจั๋วซือหราน ถามขึ้นว่า "แม่นางจั๋วคิดจะสังหารอีกสักกี่คน จะทำให้พวกเขายิ่งผวาขึ้นไปอีกไหม?"จั๋วซือหรานหัวเราะ "ข้าไม่เคยสังหารคนธรรมดาในตระกูลเสียหน่อย ที่ข้าสังหารไปทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา หรือไม่ก็เป็นสุนัขของพวกเขา"องครักษ์เงาไม่คอ่ยเข้าใจความหมายของจั๋วซือหราน "สังหารสุนัขของพวกเขา...กับสังหารคนธรรมดาในตระกูลมีอะไรแตกต่างกันไหม?"องครักษ์เงาเห็นบนหน้าแม่นางจิ่วยังคงมีรอยยิ้มเฉยเมยแบบนั้นแล้วเอ่ยขึ้นว่า "ต้องแตกต่างกันอยู่แล้ว จุดเด่นของพวกสุนัขก็คือ...จะเป็นพวกที่เหมือนหญ้าบนกำแพง ลมพัดทางไหนก็เอนทางนั้น ดังนั้น ลงมือกับพวกเขาเสียก่อน หนึ่งคือข้าไม่ค่อยรู้สึกผิดมากนัก สองคือ พวกเขาน่าจะสามารถขึ้นไปเอาเรื่องกับพวกผุ้อาวุโสได้"องครักษ์เงาแปลกใจหน่อยๆ แต่พอฟังคำอธิบายนี้ของจั๋วซือหรานแล้ว ก็เข้
แต่ที่คิดไม่ถึงก็คือ คืนวันนี้ จั๋วซือหรานหลังจากเอาของย่างหลายตัวให้กับพวกเขา ก็บอกว่าตนเองจะออกไปสักรอบหนึ่ง พรุ่งนี้ตอนมืดจึงจะกลับ ให้พวกเขาอยู่ในบ้านกันดีดีแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีความเห็นอะไรจะมีจ้านหลูที่อยากรู้อยากเห็น ถามออกมาคำหนึ่ง "แม่นางจิ่วจะออกไปทำอะไรหรือ?"จั๋วซือหรานขานรับคำหนึ่ง "โอ้ ข้าจะออกไปรับใช้จักรพรรดิอย่างขันแข็งเสียหน่อย"ทุกคน "..."คืนนั้น ยังคงเหมือนเดิมในตระกูลเฟิงยังมีคนตาย และยังเป็นพวกสุนัขของผู้อาวุโสไม่ว่าพวกเขาจะคิดหาวิธีอย่างไร ก็เหมือนไม่มีทางที่จะหนีสายฟ้าพายุนี่ได้เลยตอนที่ทุกคนในตระกูลเฟิงยังขวัญผวาอยู่นั้นจั๋วซือหรานกลับถือโอกาสตรงไปยังค่ายทหารในค่ายลาดตระเวนป้องกัน ต่อให้จะเป็นกลางดึก แต่ยังคงจุดไฟสว่างไสวหากคิดจะลอบเข้าไปนั้นเป็นเรื่องยากมากแต่ว่า ในมุมหนึ่งของกระโจมค่ายซือคงเซี่ยน ไม่รู้เมื่อไร ที่ปรากฏร่างเงาดำร่างหนึ่งออกมาซือคงเซี่ยนพักผ่อนไปแล้ว แต่ตอนที่ตื่นขึ้นมางัวเงียกลางดึก หางตาก็เหลือบไปเห็นเงาดำร่างหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้จึงตื่นขึ้นมาทันที!คิดจะตะคอกขึ้นมาทันทีว่า...ใครกัน?!แต่ยังไม่ทันที่เขาจะอ้าปาก ก็ไ
ซือคงเซี่ยนพยักหน้า "ก็ได้ยินมาบ้าง แต่เจ้าไม่ต้องกังวล พวกเขาก็แค่คิดจะร่วมมือกับซือคงอวี้เท่านั้น เพราะพูดขึ้นมา เจ้าเองก็เหมือนจะมีความแค้นกับซือคงอวี้อยู่นี่"เรื่องครั้งที่แล้วของซือคงอวี้ พังไม่เป็นท่าเพราะการปรากฏตัวของนาง"แต่ว่าตอนนี้ซือคงอวี้เดิมทีก็มีปัญหาอยู่มากมาย ยุ่งตัวเป็นเกลียว เอาจริงๆ ยังไม่มีเวลามาสนใจเรื่องของข้าทางนี้หรอกกระมัง ข้ารู้" จั๋วซือหรานพยักหน้าเบาๆ"ถูกต้อง ดังนั้นเจ้าจึงไม่ต้องกังวลมากนัก" ซือคงเซี่ยนเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานกลับเอ่ยขึ้นว่า "แต่ว่า จะอย่างไรก็ยังเป็นภัยเงียบอยู่ น่ารำคาญเหมือนกัน แก้ไขไปก่อนจะดีกว่า"ซือคงเซี่ยนมองนาง " แต่เจ้าไม่ใช่ว่าจะไม่สังหารเขาหรอกหรือ?"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็เลิกคิ้วงามซือคงเซี่ยนหัวเราะ "ถ้าเจ้าคิดจะสังหารเขา เขาคงตายไปนานแล้ว ข้าคิดว่า เจ้าน่าจะไม่อยากมีความแค้นหยั่งลึกกับราชวงศ์กระมัง?"จั๋วซือหรานยิ้มปากโค้ง ซือคงเซี่ยนพูดไว้ถูกต้องจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ดังนั้น ท่านอ๋องรีบลุกเถอะ ไปกับข้า ข้าต้องการท่าน"ถึงแม้จะบอกว่าจั๋วซือหรานไม่มีความหมายนั้น แต่พอได้ยินประโยคนี้ในคำพูดของนางที่ว่าต้องการเขาในใจซื
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด