เหยียนหยี่หลิงยิ่งเห็นจั๋วซือหรานมีท่าทีเช่นนี้ นางไม่พอใจมากขึ้น นางฉวยโอกาสพูดทันที "ดูสิ เจ้าอธิบายไม่ได้ ถึงอย่างไร เจ้าก็เป็นหญิงสูงศักดิ์ในเมืองหลวงเช่นกัน และเจ้ามีชื่อเสียงอย่างมาก เจ้าจะเลวทรามขนาดนี้ได้อย่างไร ไม่น่าแปลกใจเลยที่หลังจากตระกูลเฟิงเลิกหมั้นกับเจ้าแล้ว พวกเขาไม่อยากติดต่อกับเจ้าเลย…”คำพูดของเหยียนหยี่หลิง ซึ่งฟังแล้วค่อนข้างสมเหตุสมผลเมื่อฟังแรก ๆ ทำให้หลายคนเริ่มเชื่อคำพูดของนาง และมีบางคนเริ่มพยักหน้าเห็นด้วยแล้ว"ใช่ ๆ ตระกูลเหยียนไม่แย่งอะไรกับคนอื่นมาตลอด จั๋วจิ่วนี่มันจริง ๆ เลย มาหาเรื่องกับคนดี ๆ อย่างคนของตระกูลเหยียน เสมอ"“แถมยังทำให้เหยียนชางเป็นเช่นนี้ เหยียนชางซวยจริง ๆ ต้องเสียชื่อเสียงที่เขารักษามานาน…”“นี่ แม่นางจั๋วจิ่ว อะไรที่ให้อภัยได้ ให้อภัยเถิด เจ้ารีบเอายาถอนพิษออกมาสิ อย่าทำให้สองตระกูลต้องโกรธกัน”แต่ก็ยังมีบางคนที่ยังคงรู้เรื่องอยู่และไม่ถูกคำพูดนั้นปิดบังสายตา ตัวอย่างเช่น คุณชายห้าของตระกูลฮั่ว ฮั่วชิงหยวน เขาขมวดคิ้วและพึมพำว่า "ไม่ใช่สิ ทั้ง ๆ ที่จั๋วจิ่วเป็นผู้ที่ได้รับความอยุติธรรมอย่างเห็นได้ชัด มันจะเป็นความผิดของนางได้อ
ทุกประโยคกำลังตบหน้าเหยียนหยี่หลิงและสมาชิกของตระกูลเหยียนเหยียนหยี่หลิงอ้าปาก เหมือนอยากพูดอะไรอีกแต่ชายหนุ่มของตระกูลเหยียนที่อยู่ข้าง ๆ พูดด้วยน้ำเสียงเข้มว "หยี่หลิง ไปกันเถิด อาการของอาสามไม่ดี เรากลับไปก่อน"ว่าเขาอาการไม่ดี แต่จริง ๆ แล้ว หากต้องพูดตามความจริง มันก็เหมือนครร้ายอย่างจั๋วจิ่วพูดในก่อนหน้านี้เหยียนชางเจ็บปวดอันยิ่งใหญ่ จนเขาเกือบหมดสติ... ไม่ อาจไม่สามารถพูดได้ว่าเขาหมดสติต้องยอมรับว่า ฝีมือของซือหลี่ตันติ่งโหดร้ายจริง ๆ ไม่รู้เขาใช้ยาชนิดใด เหยียนชางเจ็บปวดมากจนเกือบจะสูญเสียร่างมนุษย์ แต่เขายังคงตื่นตัวอยู่มาก มีสติอย่างมากเขายังได้ยินคำพูดของพวกเขาเขาไม่อาจเป็นลมได้ เขาทำได้เพียงตื่นตัวและทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดแสนสาหัสเขาจะรู้สึกอย่างไรหลังจากการทรมานนี้จบลง เขาจะโกรธหรือจะเกลียดชัง หรือกลัวจนตัวสั่น ยากที่จะพูดแต่ในขณะนี้ อารมณ์ในใจของเหยียนชางคือความเสียใจ เขาเสียใจจริง ๆ ว่าทำไมเขาถึงยุ่งกับผู้หญิงคนนี้จากตระกูลจั๋ว ทำไมเขาถึงยุ่งกับคนบ้าคนนี้ของตระกูลจั๋วผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วจริง ๆ เมื่อก่อนนางยอมถอนหมั้นกับตระกูลเฟิง และต่อต้านกับตระก
ตอนนี้เขาทำได้เพียงไปจากที่นี่ต่อหน้าทุกคนเท่านั้น ถึงแม้มันจะดูน่าอายนิดหน่อย แต่ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว แม้ว่ามันจะน่าอายหรือต้องเสียหน้า แต่อย่างน้อยก็ยังมีตระกูลเหยียน ที่น่าอายกว่านี้อีก ตระกูลเหยียนและเหยียนชางที่กลั้นขับถ่ายไม่อยู่เสียหน้าหนักกว่าเขาเพียงแต่คุณท่านจั๋วลิ่วยังไม่ทันกัดฝันไปจากที่นี่มีคนฝูงหนึ่งรีบมาที่นี่แล้วผู้คนจำนวนมากในปัจจุบันต่างมาจากครอบครัวชนชั้นสูง ดังนั้นพวกเขาจึงจำคนฝูงนี้ได้โดยดูจากเสื้อผ้าของพวกเขา“นั่นเป็นเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลจั๋ว …ไม่ใช่หรือ”“ดูท่าทาง ข่าวจะแพร่กระจายเร็วพอเนี่ยนะ”แน่นอนว่า พวกคนที่กำลังมานั้นไม่ใช่ผู้อาวุโสของสำนักงานใหญ่ของตระกูลจั๋ว แต่เป็นคนรับใช้ของผู้อาวุโสแต่ละคน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงคนรับใช้ แต่ฐานะของพวกเขาในตระกูลจั๋ว ก็ไม่ได้ต่ำเกินไปการที่พวกเขามาที่นี่ โดยพื้นฐานแล้วแสดงถึงเจตจำนงของผู้เฒ่าแต่ละท่านแล้วคนรับใช้สองคนเดินไปหาคุณท่านจั๋วลิ่ว ส่วนคนรับใช้อีกสองคนเดินไปหาจั๋วซือหรานคนรับใช้สองคนกำลังเดินไปหาคุณท่านจั๋วลิ่วด้วยใบหน้าบูดบึ้งและกระซิบว่า " คุณท่านลิ่ขอรับ เหล่าผู้อาวุโสอยากให้ท่านกลับไปประเดี๋
ถังหยวนมีนิสัยเช่นเดียวกันกับผู้อาวุโสใหญ่ เป็นคนที่พูดไม่มาก หลังจากได้เขายินคำพูดของจั๋วซือหราน เขาก็เงียบไปสองสามวินาทีแล้วพยักหน้า“ข้าน้อยเข้าใจขอรับ ข้าจะถ่ายทอดคำพูดของคุณหนูแก่ผู้อาวุโสใหญ่ขอรับ ”ถังหยวนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามอีก"ข้าน้อยอยากจะถามคุณหนูอีกครั้ง พลังแห่งสายเลือดของตระกูลจั๋วตื่นตัวจริง ๆ หรือขอรับ"จั๋วซือหรานยิ้มอย่างเดียว แต่นางไม่ได้ตอบคำถามนี้ นางเพียงแค่พูดว่า " ท่านลุงถัง สรุปข้าต้องให้พลังแห่งสายเลือดของตระกูลจั๋วตื่นตัวก่อน ถึงจะได้รับความยุติธรรม หรือความยุติธรรมจะมีอยู่เสมอเจ้าคะ"ถังหยวนได้ยินคำพูดนี้ เขาไม่พูดอะไร ในที่สุดก็หันหลังกลับไปกับคนรับใช้อีกคนความตื่นเต้นเกือบจะสิ้นสุดลงแล้ว จั๋วซือหรานไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป นางมองไปที่ผู้คนรอบตัวนางที่กำลังรอดูเรื่องตลกของนางนางพูดเสียงดัง"วันนี้ทุกคนมาที่นี่เพื่อดูเรื่องตลกของข้า ข้าขอโทษที่ข้าทำให้ทุกคนดูเรื่องตลกไม่ได้ แต่วันนี้มีการแสดงที่ดีให้ทุกคนชม ดังนั้นทุกคนไม่ได้มาเสียเปล่า ๆ ""การแข่งขันที่ตระกูลเหยียนประกาศในอีกไม่กี่วัน ราวกับว่าชัยชนะอยู่ในมือของพวกเขาแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือ
“ใช่ คุณหนูจิ่ว บ้าของข้าจะจัดงานเลี้ยงน้ำชาในอีกสองวันข้างหน้า มิทราบว่าคุณหนูจิ่วโปรดให้เกียรติข้าไหม”ไม่น่าแปลกทำไมคนเหล่านี้จึงเปลี่ยนทัศนคติต่อจั๋วซือหรานทันที เพราะแพทย์กลั่นยาในเมืองหลวงไม่ได้มีฐานะสูงส่งสักเท่าไร ก็เพียงพอที่จะให้เหล่าตระกูลที่พอมีฐานะไปตีสนิทยิ่งไปกว่านั้น แพทย์กลั่นยาคนนี้เป็นลูกหลานของตระกูลจั๋ว ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าตระกูลชนชั้นสูงขุนนางธรรมดา ๆ อย่างพวกเขาสามารถส้างโอกาสกับผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างจั๋วซือหราน และไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเขาจะมีชื่อเสียงที่ดีโดยไม่มีวันเสียหน้าแต่จั๋วซือหรานไม่สนใจการพยายามสร้างความสัมพันธ์ของคนเหล่านี้ ดังนั้นนางจึงจากไปและกลับไปที่จวนของนางโดยตรงฝูซูเห็นคุณหนูของเขาสอบติดแพทย์กลั่นยาอย่างราบรื่น เขาดีใจอย่างมากเขาตื่นเต้นจนนั่งไม่ลงและวนเวียนอยู่ในสนามต่อไป เพื่อแสดงความดีใจของเขา“คุณหนู คุณหนูเก่งมากจริง ๆ เราควรไปบอกเรื่องนี้กับฮูหยิน ฮูหยินจะได้มีความสุขดีไหมขอรับ” ฝูซูเสนอความคิดเห็นจั๋วซือหรานส่ายหัว "ไม่จำเป็นต้องบอกแม่อย่างจงใจ จวนจั๋วต้องรู้เรื่องของวันแล้วแน่ ๆ และแน่นอนว่าเรื่องนี้จะแพร่กระจายไปสู่หูของแม่"
ถึงจะพูดเช่นนั้น ฝูซูยังคงหวาดกลัวเรื่องที่หลิ่วเย่ก่อมา และเขายังคงกลัวคนรับใช้ใหม่ที่มาในช่วงนี้ดังนั้นเขาจึงโน้มน้าวตลอด "จริงสิขอรับ คุณหนู อย่าใช้คนพวกนั้นเลย เท่าที่ข้าเห็นมา มีหลายคนถูกผู้ใหญ่ในจวนจั๋วส่งมา"“คนที่เดิมทีควรจะเป็นพ่อดูแลบ้านของเรานั้นเป็นคนของคุณท่านจั๋วลิ่ว อีกสองคนที่ต้องดูแลชีวิตประจำวันของคุณหนูนั้นเป็นคนของฮูหยินสี่า เท่าที่ข้าเห็น มีคนเหล่านี้แล้ว ขนาดข้ายังโง่มากเลยนะขอรับ และอาจมีอีกหลาย ๆ คน ซึ่งข้ามองไม่ออก”ฝูซูถามอีกครั้ง “คุณหนู เราจำเป็นต้องใช้พวกเขาหรือ”จั๋วซือหรานหัวเราะเมื่อได้ยินสิ่งนี้ "เจ้าเก่งสินะ ตอนนี้ฝูซูฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ และเขาสามารถดูแลงานต่าง ๆ ด้วยตัวเองได้แล้วสินะ"ฝูซูไม่มีความสุขเลยหลังจากได้รับคำชมจากนางเช่นนี้ และยังดูเศร้าใจมาก“คุณหนู คุณหนูอย่าล้อข้าสิขอรับ ข้ากังวลแทบตาย”จั๋วซือหรานกล่าวว่า "มีอะไรต้องกังวล ในเมื่อพวกเขาส่งคนมาที่นี่ เราใช้พวกเขากันเถอะ ทำไมจะไม่ใช้ล่ะ นอกจากรับใช้ข้า ในบ้านเรา ยังมีงานบ้านอีกมากมาย ไม่มีใครทำเลย”“หากเจ้าไม่ให้พวกเขาทำ เจ้าอยากทำเองหรือ เมื่อก่อนหลิ่วเย่ สั่งพวกเจ้าพี่น้องสองคนไปที่
ทันทีที่คุณท่านจั๋วลิ่วและผู้อาวุโสสามกลับมาที่จวนจั๋วพวกเขา พวกเขาถูกสั่งให้ไปที่ห้องโถงใหญ่ทันที บรรยากาศในห้องโถงใหญ่เคร่งเครียดมากผู้อาวุโสหลายคนที่ไม่ค่อยปรากฏตัวในอดีตก็ปรากฏตัวในปัจจุบันทั้งหมดผู้อาวุโสสองมีสีหน้าที่ค่อนข้างโหดร้าย ปกติเขาไม่ค่อยปรากฏบ่อยนัก แต่เมื่อปรากฏตัวในตอนนี้ ก็เริ่มสอบสวนแล้วเขามองคุณท่านจั๋วลิ่วอย่างเฉียบแหลมเขาพูดเข้มงวดมาก "จั๋วเห้อหรง คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้"ใบหน้าของคุณท่านจั๋วลิ่วซีดลง แต่เขาไม่กล้าพูดอะไรสักคำและคุกเข่าลงและยืดหลังตรงในหน้าห้องโถงผู้อาวุโสสามพยายามช่วยพูด "อ้าว ไม่ต้องเข้มงวดขนาดนี้ก็ได้ จั๋วหกทำเพื่อตระกูลเราเอง อีกอย่าง จั๋วซือหรานนางแยกตัวออกจากสำนักงานใหญ่ของตระกูล นั่นเป็นการตัดสินใจของนางด้วย"ผู้อาวุโสทีสองตะโกนด้วยความโกรธจากด้านข้าง "หุบปาก มันเป็นเพราะเจ้าหนุนหลังจั๋วหกตลอด จึงทำให้เขาไม่กลัวอะไร อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าในเรื่องของครั้งนี้ มีการยินยอมของเจ้า ไม่อย่างนั้น สถานการณ์จะไม่แย่ถึงขนาดนี้”ใบหน้าของผู้อาวุโสสามดูน่าเกลียดเล็กน้อย แต่เขาโต้เถียงคำพูดของผู้อาวุโสสองไม่ได้แต่สุดท้ายเขารับคำกล่าวหานั้นไม่
ในสถานการณ์ปัจจุบัน คุณท่านจั๋วลิ่วไม่กล้าพูดอะไร จริง ๆ แล้วเขาไม่ควรพูดอะไรเหล่าผู้อาวุโสกำลังวางแผนที่จะรักษาจั๋วซือหรานไว้ในฐานะที่นางมีพรสวรรค์ และเขาเป็นคนที่ไม่ถูกจั๋วซือหรานมาตลอดไม่ว่าจะเขาพูดอะไรในเวลานี้ ล้วนเป็นความแค้นส่วนตัวเหล่าผู้อาวุโศต้องไม่ปล่อยเขาแน่ ๆ แม้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้พูดอะไร แค่เรื่องที่เขาประกาศต่อสาธารณะว่า จั๋วซือหรานถูกไล่ออกจากสำนักงานใหญ่ของตระกูลโดยไม่ได้รับอนุญาต เขาถูกเหล่าผู้อาวุโสกล่าวหาแน่ ๆเกรงว่า หลังจากที่เหล่าผู้อาวุโสหาทางออกได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการจัดการเขา"ก่อนอื่น เราต้องสอบสวนคดีที่เสียวจิ่วถูกทำลายอย่างละเอียดถี่ถ้วน"“มันง่ายมาก เพียงแค่จับชายขาหักที่กล้าหลอกนางมา และหาวิธีให้เขาสารภาพ จั๋วหลาน คนใกล้ชิดตัวของเจ้า ถังหยวน บังเอิญรู้วิธีการทรมาน ข้าว่าเราจะได้คำตอบอย่างรวดเร็ว”สิ่งที่ผู้อาวุโสหกพูดนั้นเป็นวิธีการที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาอย่างไม่ต้องสงสัยแต่ผู้อาวุโสใหญ่เป็นคนปลอดภัย หลังจากได้ยินคำแนะนำนั้น เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า "แม้ว่าชายขาหักคนนั้นจะเป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง แต่เขาสอบติดบัณฑิตและถื
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั