ยิ่งไปกว่านั้น บนมือนางยังมีสิ่งที่มันชอบเอามากๆ อยู่ด้วย พลังวิญญาณที่สบายสุดๆสบายจนหนวนทั้งหมดลองมันยังห้อยลงมา กระทั่งเสียงก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนก่อนหน้านี้แล้วเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนว่า “พวกมันมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนั้นพอโดนพลังเมื่อครู่ไปผลกระทบเลยมากขึ้นตามไปด้วย ผลกระทบที่ข้าได้รับน้อยลงมาหน่อย”จั๋วซือหรานมองขนมถั่วแดง “เจ้ารู้ด้วยหรือว่าตัวเองเป็นคุณสมบัติอะไร?”ขนมถั่วแดงรู้สึกเหมือนถูกดูถูก เสียงที่อ่อนยวบแต่เดิมก็เหมือนจะแข็งขึ้นมา ขนาดหนวดก็ยังชี้ขึ้นด้วยเขียนไว้ทั้งตัว...ว่าข้าเก่งมากนะ!ขนมถั่วแดงพูดมาว่า “แน่นอนสิ! พวกเราไวต่อพลังมากกว่ามนุษย์อีกนะ แน่นอนว่าต้องรู้อยู่แล้วว่าตัวเองเป็นคุณสมบัติอะไร!”ราชาแมงมุมหน้าผีที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นมาบ้าง “เดิมทีก็ไม่ได้ไวขนาดนี้หรอก แต่พอผ่านการหล่อหลอมจากพลังนั่นวันนี้ไปไวขึ้นมาแล้ว”ราชาแมงมุมหน้าผีไม่รู้ว่าสำหรับขนมถั่วแดงที่มีนิสัยหยิ่งทะนงหน่อยๆ คำพูดนี้กระชากมันลงมาจากเวทีอย่างไม่ปราณีเลยทีเดียวหนวดของขนมถั่วแดงก็ห่อเหี่ยวลงมาเหมือนกันจั๋วซือหรานหัวเราะขึ้นมา เล่นกับหนวดของมัน “เจ้าถั่วแดงไหนบอกมาหน่อย ว่าเจ้าม
ก็ไม่ใช่จะไม่มีข้อยกเว้น สองตัวที่เหลืออย่างขนมหยกขาวกับขนมปุยเมฆที่จับออกมาจากแม่ทัพอิงเซ่าและแม่ทัพฉีฮ่าว ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสูดรับไฟวิเศษมาหรือเปล่าพอรับการหล่อหลอมที่น้อยหน่อย ดังนั้นการตื่นของพวกมันจึงช้าไปบ้าง การพูดจาก็ยังดูเชื่องช้าแต่พอเทียบกับก่อนหน้านี้ที่รู้จักแต่งอตัวไปมาบนมือจั๋วซือหราน ก็ยังดูสนุกสนานขึ้นมากเลยสัตว์เลี้ยงในบ้านพัฒนากันหมดแล้วจั๋วซือหรานตอนนี้สิ่งเดียวที่ยังรู้สึกเสียดายก็คือ แมลงกู่ร้อยไหมตัวนั้นที่จับกลับมาจากตัวเฮยหลิง เพรานางวางเอาไว้บนตัวชิ่งหมิงเพื่อรักษาโรคเรื้อรังที่เกิดขึ้นจากการติดพิษและยังมีแมลงกู่ร้อยไหมอีกตัวที่เด็ดออกมาจากในชีพจรหัวใจเฟิงช่านอีกตัว เจ้าขนมชามก่อนหน้านี้ตอนที่นางอยู่ที่บ้านตระกูลเฟิง ขณะที่ปะทะกับเฟิงจื๋อ จับยัดเข้าไปในปากของเฟิงจื๋อแล้วดังนั้น สองตัวนี้เนื่องจากไม่ได้อยู่ในมิติน้ำพุวิเศษ จึงไม่ได้มาเจอกับคลื่นหล่อหลอมนี้ขาดทุนไปเสียแล้วจั๋วซือหรานเดินมาที่ริมน้ำพุวิเศษ ล้างมือของตนเองด้วยน้ำพุวิเศษ น้ำพุวิเศษนี้แม้จะยังไม่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้โดยตรงอย่างเช่นถ้าหากใครได้รับอาการบาดเจ็บแบบถึงชีวิต น้
เพิ่งกลับมาถึงจวนของตนเอง อิ๋นไห่ก็ตรงเข้ามาหานาง“แม่นางจิ่ว!” อิ๋นไห่คารวะอย่างนอบน้อม“อื๋อ? มีอะไรหรือ?” จั๋วซือหรานมองเขา “เรื่องการทดสอบไกล่เกลี่ยตัดสินใหม่หรือ?”อิ๋นไห่พยักหน้า “ใช่แล้ว แม่นางจิ๋ว เวลาของการทดสอลไกล่เกลี่ยตัดสินใหม่ เจ้าสำนักจันทร์เงินมาแจ้งกับเจ้านักแล้ว กดหนดให้เป็นคืนนี้ตอนค่ำ”จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว “คืนนี้? ได้ กลับไปบอกเจี่ยงเทียนซิงด้วย ว่าข้ารู้แล้ว”“เจ้าสำนักให้ข้าน้อยมาบอกต่อแม่นางจิ่ว ว่าเจ้าสำนักเฟิ่งเสวี่ยทั้งสองคนจะมาชมการประลองด้วย”จั๋วซือหรานคิดถึงพี่น้องหอเฟิ่งเสวี่ยสองคนนั้น จึงพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”อิ๋นไห่พอนำคำพูดมาบอกต่อเสร็จ ก็เตรียมจะออกไปแต่จั๋วซือหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ร้องเรียกเขาไว้ “ช้าก่อน”“แม่นางจิ่วมีอะไรจะกำชับหรือ?” อิ๋นไห่ถือว่าศิโรราบทั้งกายใจต่อจั๋วซือหรานแล้ว ดังนั้นท่าทีจึงนอบน้อมอย่างมากจั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “ให้คนคอยจับตาดูสถานการณ์ของบ้านตระกูลเฟิงไว้ด้วย”“บ้านตระกูลเฟิง?” อิ๋นไห่ประหลาดใจหน่อยๆ แต่ก็พยักหน้ากลับอย่างรวดเร็ว “ขอรับ แม่นางจิ่วโปรดวางใจ”เฮยหลิงทำตามที่จั๋วซือหรานกำชับไว้ ‘ชี้แนะ’ ใ
ดังนั้นเฮยหลิงจึงเชื่อมั่นต่อจั๋วซือหรานแต่พอเขาหันหน้า ก็ห็นว่าสีหน้าของจั๋วซือหรานเหม่อลอยไปบ้างเสียงฟังแล้วก็เหมือนดูจะเหม่อลอยหน่อยๆจั๋วซือหรานงึมงำขึ้นมา “เดิมทีก็ไม่กังวลหรอก แต่ตอนนี้เพิ่งจะหล่อหลอมมา...ยิ่งไปกว่านั้นยังกำลังรีบเก็บเกี่ยวอยู่อีกด้วย”เฮยหลิงฟังคำจั๋วซือหราน ไม่ค่อยเข้าใจหน่อยๆ แต่พอมองท่าทางจั๋วซือหรานที่เหม่อลอยเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าในใจนางน่าจะ...มีความเครียดอยู่ไม่น้อย“จริงด้วย” จั๋วซือหรานดึงสติกลับมา กลอกตามองไปทางเฮยหลิง“แม่นางเชิญเข้ามาก่อน” เฮยหลิงเอ่ยขึ้น“จะว่าไป ก็มีเรื่องที่ให้อยากเจ้าทำอยู่เหมือนกัน”เฮยหลิงพอได้ยินคำนี้ของนางจึงกลอกตามองไป และเห็นเข้ากับประกายเล่ห์เหลี่ยมมีชีวิตชีวาของนางราวกับว่าทั้งหมดอยู่ในกำมือช่วงใกล้ค่ำตลาดมืดทางนั้นก็คึกคักจนผิดปกติ ผู้คนล้วนหลั่งไหลไปยังทิศสนามทดสอบของตลาดมืดมีทั้งคนที่ไม่รู้เรื่อง และมีทั้งคนที่ประหลาดใจ แต่คนเราก็ล้วนชอบมหรสพอยู่แล้ว ดังนั้นต่อให้ไม่รู้เรื่อง ก็ตามกันไปที่ด้านสนามทดสอบของตลาดมืดกันก่อนจากนั้นค่อยหาข่าว“วันนี้คึกคักขนาดนี้เชียว? วันนี้มีงานอะไรกันหรือ? เฮยหลิงไม่ใช่ว่
“ท่านยังอารมณ์เสียอีกหรือ?” ฝูซูมองนาง รู้สึกเหมือนถ้าแค่นางพูดว่าไม่ดีออกมา เขาก็จะโกรธขึ้นแล้วจั๋วซือหรานพยักหน้า “อารมณ์ดีอยู่นะ...”ตอนนี้เอง ชายที่ดูเจ้าเล่ห์คนหนึ่งเห็นรูปร่างของจั๋วซือหราน แล้วยังสวมหมวกปีกกว้างอีก รู้สึกว่าต้องเป็นหญิงสาวแน่ก็เลยถือโอกาสที่คนเยอะแยะ จงใจเบียดตัวเข้ามา คิดจะชนไปที่ตัวจั๋วซือหรานคิดจะแต๊ะอั๋งนิดๆ หน่อยๆถึงอย่างไรที่นี่ก็คนเยอะแยะ เบียดเสียดไปมาก็เป็นเรื่องปกติ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ก็เป็นตลาดมืดด้วยแต่แค่ชายชุดของจั๋วซือหรานก็ยังแตะไม่โดน พอเบียดเข้ามาอย่างเจ้าเล่ห์ ก็ถูกจั๋วซือหรานบีบคอเอาไว้“อ่อก...แค่ก!” ชายคนนี้หน้าซีดไปทันที “เจ้าทำ...ทำอะไรน่ะ? ปล่อย...ปล่อยข้านะ!”จั๋วซือหรานสะบัดเขาไปข้างๆ คนผู้นี้ยืนไม่มั่นคง ล้มจ้ำเบ้าลงบนพื้นเขาถลึงตามองจั๋วซือหราน “คนมากขนาดนี้ ไปโดนตัวเจ้าอย่างไม่ระวังบ้างแล้วเป็นอะไรไปกัน?!”“มีที่ตั้งมากให้เบียด แต่เจ้ากลับคิดจะเบียดมาข้างตัวหญิงสาว ก็ไม่มีอะไรหรอก ให้ขาหักขาเจ้าทิ้ง แล้วก็ไปรักษาตัวอยู่ที่บ้าน จะได้ไม่ต้องมาดูงานแบบนี้เสียเลยดีไหม?” จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงเรียบคนผู้นี้ก่อนหน้าเจอ
ตอนนี้เป็นช่วงค่ำใกล้อาหารเย็น อีกเดี๋ยวการประลองของพวกเขาก็จะเริ่มแล้วเจี่ยงเทียนซิงเช็ดเศษขนมปิ่งที่มุมปากนางจนสะอาด เอ่ยขึ้นอย่างจนใจ “ถ้าอย่างนั้นให้เอาของมารองท้องให้เจ้าก่อนดีไหม?”จั๋วซือหรานโบกไม้โบกมือ “ไม่ต้องแล้ว สู้เสร็จแล้วข้าค่อยกินแล้วกัน ข้าเห็นร้านอาหารที่น่าจะไม่เลวอยู่ เดี๋ยวสู้เสร็จเจ้าเลี้ยงข้าวข้าที่นั่นก็พอ”เจี่ยงเทียนซิงพยักหน้า เอ่ยขึ้นว่า “เอาเรื่องสนามทดสอบมาไว้ก่อนอาหารค่ำถือว่ามีเหตุผลอยู่”ไม่รอให้เขาได้อธิบาย จั๋วซือหรานก็พยักหน้าตอบ “ข้ารู้ จัดการสูบเงินค่าข้าวจากผีพนันพวกนั้นมาก่อนสินะ ดังนั้นข้าถึงพูดว่าไม่มีมีมนุษยธรรมขึ้นมานี่ไง”เจี่ยงเทียนซิงเดิมทียังคิดว่านางไม่รู้ คิดไม่ถึงว่านางจะเข้าใจอย่างกระจ่างเลยทีเดียวเจียงเทียนซิงมองหน้าจั๋วซือหราน “ข้ารู้สึกว่าสีหน้าเจ้าไม่ค่อยดีนัก”จั๋วซือหรานโบกไม้โบกมือ “ช่างเถอะ เมื่อคืนนี้ไปจวนตระกูลเฟิงแล้วอาละวาดไปรอบหนึ่ง บาดเจ็บมาหน่อย”เจียงเทียนซิงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที “เจ้า? คนเดียวหรือ?! ไปบ้านตระกูลเฟิง? เจ้าคงไม่ได้ไปหาเรื่องตระกูลเฟิง...เพราะคนที่สาวงามที่ซ่อนไว้ในห้องทองคนนั้นจริงๆ หรอกใ
“ดังนั้นเจ้าน่ะ! ไม่ยอมดูแลตัวเองให้ดี แต่วิ่งแจ้นออกไปทะเลาะกับตระกูลเฟิงจนตัวเองบาดเจ็บมันใช้ได้ที่ไหนกัน?” ในใจเจี่ยงเทียนซิงรู้สึกว่ายังปล่อยผ่านไปไม่ได้ ดังนั้นจึงหยิบออกมาพูดอีกถามขึ้นอย่างทนไม่ไหว “เจ้าไปสู้กับใครมากัน? ถึงทำตัวเองบาดเจ็บแบบนี้?”เจี่ยงเทียนซิงรู้สึกว่า จั๋วซือหรานที่มีวิชาแปลกประหลาดอยู่ตั้งมากมาย ต่อให้เอาชนะไม่ได้ แต่ปกติคิดจะทำร้ายนางก็ไม่น่าทำได้ง่ายๆ นี่นาจั๋วซือหรานเบ้ปาก “พ่อของเฟิงเหยียนน่ะ”เจี่ยงเทียนซิงทำหน้าเหมือนกินแมลงวันเข้าไป ถลึงตาโต พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดออกมาว่า “กลางค่ำกลางคืนแต่เจ้ากลับไปหาเรื่องต่อยตีกับพ่อสามีในอนาคตหรือ?”“นี่มันไม่ใช่สาระสำคัญ สาระสำคัญคือ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าคนที่จะสู้กับข้าวันนี้น่าจะเป็นทรยศจากตระกูลซาง? ชื่ออะไรล่ะ?” จั๋วซือหรานถามขึ้นเจี่ยงเทียนซิงมองนาง “นั่นยังไม่สำคัญอีกหรือ? แต่คนเขาชื่ออะไรสำคัญกว่าหรือ? คนทรยศของตระกูลซาง ไม่ว่าจะชื่ออะไรก็ไม่มีทางเป็นพวกอ่อนแอ ต้องเป็นคนแข็งแกร่งแน่นอน”จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว “คนแข็งแกร่ง? แกร่งแค่ไหนกัน?”จั๋วซือหรานถามขึ้น “นักภาษาสัตว์หรือ?”เจี
“เจ้านี่มัน...” เจี่ยงเทียนซิงคิดไม่ออกว่าจะใช้คำว่าอะไรมาพรรณนาจั๋วซือหรานดีเหล่มองอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “...เจ้าเล่ห์เหลือเกิน”จั๋วซือหรานมองเขา “ข้าคิดว่าเจ้านิ่งไปค่อนวันแล้วจะหาคำดีดีมาเรียกข้าได้เสียอีก”“เจ้าไม่เข้าใจ” เจี่ยงเทียนซิงโบกไม้โบกมือ “ในปากของพ่อค้าคนหนึ่ง สามารถใช้คำว่าเจ้าเล่ห์มาพรรณนาตัวเจ้าได้ ถือว่าเป็นคำชมที่ยอดเยี่ยมแล้ว”จั๋วซือหรานมองเขา “อย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นก็ขอบคุณที่ชม จะว่าไปเจ้าถามอินเจ๋ออันแล้วหรือยัง วันนี้การทดสอบจะประลองกี่ยก?”“ยังจะกี่ยกได้ล่ะ ปกติก็แค่ยกเดียวไม่ใช่หรือ?” เจี่ยงเทียนซินตอบคำถามนี้ออกมาอย่างคล่องแคล่วจั๋วซือหรานมองเขา “เวลาพูดก็พูดกันอย่างนี้นั่นล่ะ แต่ข้ามันพวกมีประสบการณ์แย่ๆ มาก่อน ตอนนั้นที่ตระกูลเหยียนประลองกับข้า ก็ยังทำตัวไม่ตรงไปตรงมาเลย...”เจี่ยงเทียนซิงพอได้ยินคำนี้ของจั๋วซือหราน ก็คิดถึงตอนที่ตระกูลเหยียนประลองกับนางเมื่อครั้งนั้น มันก็เป็นสถานการณ์ที่ขายหน้าจริงๆคิ้วขมวดขึ้นมา จากนั้นจึงเรียกอิ๋นไห่มาทันที“นายท่าน มีอะไรหรือ?” อิ๋นไห่ถามขึ้นเจียงเทียนซิงขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นเสียงขรึม “เจ้าไป ถามอิน
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด