“ท่านยังอารมณ์เสียอีกหรือ?” ฝูซูมองนาง รู้สึกเหมือนถ้าแค่นางพูดว่าไม่ดีออกมา เขาก็จะโกรธขึ้นแล้วจั๋วซือหรานพยักหน้า “อารมณ์ดีอยู่นะ...”ตอนนี้เอง ชายที่ดูเจ้าเล่ห์คนหนึ่งเห็นรูปร่างของจั๋วซือหราน แล้วยังสวมหมวกปีกกว้างอีก รู้สึกว่าต้องเป็นหญิงสาวแน่ก็เลยถือโอกาสที่คนเยอะแยะ จงใจเบียดตัวเข้ามา คิดจะชนไปที่ตัวจั๋วซือหรานคิดจะแต๊ะอั๋งนิดๆ หน่อยๆถึงอย่างไรที่นี่ก็คนเยอะแยะ เบียดเสียดไปมาก็เป็นเรื่องปกติ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ก็เป็นตลาดมืดด้วยแต่แค่ชายชุดของจั๋วซือหรานก็ยังแตะไม่โดน พอเบียดเข้ามาอย่างเจ้าเล่ห์ ก็ถูกจั๋วซือหรานบีบคอเอาไว้“อ่อก...แค่ก!” ชายคนนี้หน้าซีดไปทันที “เจ้าทำ...ทำอะไรน่ะ? ปล่อย...ปล่อยข้านะ!”จั๋วซือหรานสะบัดเขาไปข้างๆ คนผู้นี้ยืนไม่มั่นคง ล้มจ้ำเบ้าลงบนพื้นเขาถลึงตามองจั๋วซือหราน “คนมากขนาดนี้ ไปโดนตัวเจ้าอย่างไม่ระวังบ้างแล้วเป็นอะไรไปกัน?!”“มีที่ตั้งมากให้เบียด แต่เจ้ากลับคิดจะเบียดมาข้างตัวหญิงสาว ก็ไม่มีอะไรหรอก ให้ขาหักขาเจ้าทิ้ง แล้วก็ไปรักษาตัวอยู่ที่บ้าน จะได้ไม่ต้องมาดูงานแบบนี้เสียเลยดีไหม?” จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงเรียบคนผู้นี้ก่อนหน้าเจอ
ตอนนี้เป็นช่วงค่ำใกล้อาหารเย็น อีกเดี๋ยวการประลองของพวกเขาก็จะเริ่มแล้วเจี่ยงเทียนซิงเช็ดเศษขนมปิ่งที่มุมปากนางจนสะอาด เอ่ยขึ้นอย่างจนใจ “ถ้าอย่างนั้นให้เอาของมารองท้องให้เจ้าก่อนดีไหม?”จั๋วซือหรานโบกไม้โบกมือ “ไม่ต้องแล้ว สู้เสร็จแล้วข้าค่อยกินแล้วกัน ข้าเห็นร้านอาหารที่น่าจะไม่เลวอยู่ เดี๋ยวสู้เสร็จเจ้าเลี้ยงข้าวข้าที่นั่นก็พอ”เจี่ยงเทียนซิงพยักหน้า เอ่ยขึ้นว่า “เอาเรื่องสนามทดสอบมาไว้ก่อนอาหารค่ำถือว่ามีเหตุผลอยู่”ไม่รอให้เขาได้อธิบาย จั๋วซือหรานก็พยักหน้าตอบ “ข้ารู้ จัดการสูบเงินค่าข้าวจากผีพนันพวกนั้นมาก่อนสินะ ดังนั้นข้าถึงพูดว่าไม่มีมีมนุษยธรรมขึ้นมานี่ไง”เจี่ยงเทียนซิงเดิมทียังคิดว่านางไม่รู้ คิดไม่ถึงว่านางจะเข้าใจอย่างกระจ่างเลยทีเดียวเจียงเทียนซิงมองหน้าจั๋วซือหราน “ข้ารู้สึกว่าสีหน้าเจ้าไม่ค่อยดีนัก”จั๋วซือหรานโบกไม้โบกมือ “ช่างเถอะ เมื่อคืนนี้ไปจวนตระกูลเฟิงแล้วอาละวาดไปรอบหนึ่ง บาดเจ็บมาหน่อย”เจียงเทียนซิงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที “เจ้า? คนเดียวหรือ?! ไปบ้านตระกูลเฟิง? เจ้าคงไม่ได้ไปหาเรื่องตระกูลเฟิง...เพราะคนที่สาวงามที่ซ่อนไว้ในห้องทองคนนั้นจริงๆ หรอกใ
“ดังนั้นเจ้าน่ะ! ไม่ยอมดูแลตัวเองให้ดี แต่วิ่งแจ้นออกไปทะเลาะกับตระกูลเฟิงจนตัวเองบาดเจ็บมันใช้ได้ที่ไหนกัน?” ในใจเจี่ยงเทียนซิงรู้สึกว่ายังปล่อยผ่านไปไม่ได้ ดังนั้นจึงหยิบออกมาพูดอีกถามขึ้นอย่างทนไม่ไหว “เจ้าไปสู้กับใครมากัน? ถึงทำตัวเองบาดเจ็บแบบนี้?”เจี่ยงเทียนซิงรู้สึกว่า จั๋วซือหรานที่มีวิชาแปลกประหลาดอยู่ตั้งมากมาย ต่อให้เอาชนะไม่ได้ แต่ปกติคิดจะทำร้ายนางก็ไม่น่าทำได้ง่ายๆ นี่นาจั๋วซือหรานเบ้ปาก “พ่อของเฟิงเหยียนน่ะ”เจี่ยงเทียนซิงทำหน้าเหมือนกินแมลงวันเข้าไป ถลึงตาโต พูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดออกมาว่า “กลางค่ำกลางคืนแต่เจ้ากลับไปหาเรื่องต่อยตีกับพ่อสามีในอนาคตหรือ?”“นี่มันไม่ใช่สาระสำคัญ สาระสำคัญคือ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าคนที่จะสู้กับข้าวันนี้น่าจะเป็นทรยศจากตระกูลซาง? ชื่ออะไรล่ะ?” จั๋วซือหรานถามขึ้นเจี่ยงเทียนซิงมองนาง “นั่นยังไม่สำคัญอีกหรือ? แต่คนเขาชื่ออะไรสำคัญกว่าหรือ? คนทรยศของตระกูลซาง ไม่ว่าจะชื่ออะไรก็ไม่มีทางเป็นพวกอ่อนแอ ต้องเป็นคนแข็งแกร่งแน่นอน”จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว “คนแข็งแกร่ง? แกร่งแค่ไหนกัน?”จั๋วซือหรานถามขึ้น “นักภาษาสัตว์หรือ?”เจี
“เจ้านี่มัน...” เจี่ยงเทียนซิงคิดไม่ออกว่าจะใช้คำว่าอะไรมาพรรณนาจั๋วซือหรานดีเหล่มองอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “...เจ้าเล่ห์เหลือเกิน”จั๋วซือหรานมองเขา “ข้าคิดว่าเจ้านิ่งไปค่อนวันแล้วจะหาคำดีดีมาเรียกข้าได้เสียอีก”“เจ้าไม่เข้าใจ” เจี่ยงเทียนซิงโบกไม้โบกมือ “ในปากของพ่อค้าคนหนึ่ง สามารถใช้คำว่าเจ้าเล่ห์มาพรรณนาตัวเจ้าได้ ถือว่าเป็นคำชมที่ยอดเยี่ยมแล้ว”จั๋วซือหรานมองเขา “อย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นก็ขอบคุณที่ชม จะว่าไปเจ้าถามอินเจ๋ออันแล้วหรือยัง วันนี้การทดสอบจะประลองกี่ยก?”“ยังจะกี่ยกได้ล่ะ ปกติก็แค่ยกเดียวไม่ใช่หรือ?” เจี่ยงเทียนซินตอบคำถามนี้ออกมาอย่างคล่องแคล่วจั๋วซือหรานมองเขา “เวลาพูดก็พูดกันอย่างนี้นั่นล่ะ แต่ข้ามันพวกมีประสบการณ์แย่ๆ มาก่อน ตอนนั้นที่ตระกูลเหยียนประลองกับข้า ก็ยังทำตัวไม่ตรงไปตรงมาเลย...”เจี่ยงเทียนซิงพอได้ยินคำนี้ของจั๋วซือหราน ก็คิดถึงตอนที่ตระกูลเหยียนประลองกับนางเมื่อครั้งนั้น มันก็เป็นสถานการณ์ที่ขายหน้าจริงๆคิ้วขมวดขึ้นมา จากนั้นจึงเรียกอิ๋นไห่มาทันที“นายท่าน มีอะไรหรือ?” อิ๋นไห่ถามขึ้นเจียงเทียนซิงขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นเสียงขรึม “เจ้าไป ถามอิน
“นี่เจ้าพูดจริงจังหรือ?” ดวงตาเจี่ยงเทียนซิงเบิกโพลงขึ้นอีกพอควรต่อให้นางควบคุมสัตว์ได้ เจี่ยงเทียนซิงก็ยังไม่รู้สึกตกตะลึงนัก คนอย่างจั๋วซือหราน ทำให้ผู้คนตกตะลึงมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วนางเป็นวิชาแพทย์ กลั่นยาได้ ต่อยตีก็ได้ จะควบคุมสัตว์ได้ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เกินคาดนักแต่ควบคุมสัตว์ได้กับเป็นนักภาษาสัตว์มันคนละเรื่องกันจั๋วซือหรานยิ้มตอบกลับมา “เจ้าว่าอย่างไรล่ะ?”“ข้าว่า...” เจี่ยงเทียนซิงขมวดคิ้ว แต่ก็เห็นว่าจั๋วซือหรานตอนนี้ก็ยังมีท่าทีเย้าแหย่เขาจู่ๆ เขาก็เหมือนจะไม่ได้กังวลเหมือนก่อนหน้านี้แล้วเจี่ยงเทียนซิงหันไปบอกกับอิ๋นไห่ “ไปถามอินเจ๋ออันเสีย ว่าประลองกี่ยก”“ขอรับ!” อิ๋นไห่ออกไปทันทีตอนนี้เอง ในหอจันทร์เงินอินเจ๋ออันกำลังนั่งดื่มชา “วันนี้ก็ฝากเจ้าด้วยนะ”ข้างๆ อินเจ๋ออันมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ สวมหน้ากากปิดบังครึ่งล่างใบหน้าไว้ มองเห็นแค่สันจมูกโด่งคมชัดรวมถึงโครงหน้าคมกริบของเขาเท่านั้นดวงตาลึกซึ้งของเขา ม่านตามีสีน้ำเงินอ่อนๆ ดูลึกลับพอได้ยินคำพูดของอินเจ๋ออัน ดูจากรูปทรงคิ้วตาของเขาก็มองออกได้ไม่ยากว่าเขากำลังยิ้มอยู่เล็กน้อย“จะว่าไป” เขาเอ่ยขึ
“ลองฟังดูหน่อยก็ได้” ซางถิงเอ่ยขึ้นมา“ก็ได้” อินเจ๋ออันส่งสายตาให้กับคนรับใช้ไม่นานนัก อิ๋นไห่ก็ถูกเชิญเข้ามา“นายท่านของเจ้ามีอะไรมาบอกข้าหรือ?” อินเจ๋ออันถามเสียงของอิ๋นไห่มีมารยาทและเกรงใจ “ท่านเจ้าสำนักหอจันทร์เงิน นายท่านของข้าให้ข้ามาถามท่านวัน การทดสอบไกล่เกลี่ยตัดสินวันนี้ ท่านคิดจะต่อสู้กันกี่ยกหรือ?”อินเจ๋ออันพอได้ยินคำนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาก่อน ในใจคิดว่าการทดสอบไกล่เกลี่ยตัดสินมันไม่ใช่ว่าแค่ยกเดียวก็พอหรือ? ยังจะเอาสักกี่ยกกัน?แต่อินเจ๋ออันพอคิด ในใจก็มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามา เขาเอียงตามองซางถิงผาดหนึ่งซางถิงเลิกคิ้วอินเจ๋ออันบอกกับอิ๋นไห่ว่า “ปกติ...ไม่ใช่ว่าสามยกหรอกหรือ?”หลังจากนั้นเขาก็เห็นสีหน้าแข็งทื่อของอิ๋นไห่อย่างที่คาดไว้อินเจ๋ออันรู้สึกสะใจขึ้นในนใจทันที เจี่ยงเทียนซิงคงไม่คิดอย่างแน่นอนว่าเขาจะจัดสามยก คงคิดว่าจะมีแค่ยกเดียวกระมัง?ไม่แปลกที่สีหน้าของอิ๋นไห่จะปั้นยากแบบนี้“เจ้าไปบอกเจ้านายเจ้าตามนี้แล้วกัน” อินเจ๋อไห่เอ่ยขึ้น“ขอรับ” หลังจากอิ๋นไห่ขานรับ_ก็หมุนตัวจากไปสีหน้ายังคงแข็งอยู่ หลังจากเดินออกไปก็ถอนใจเบาออกมาเบาๆแม่นางจิ่วเดาไ
จั๋วซือหรานยิ้มๆ ลุกขึ้นยืน สะบัดแขนกับเท้าเล็กน้อย “เวลาน่าจะใกล้แล้ว ข้าลงไปก่อนนะ”พูดจบ จั๋วซือหรานก็เอาหน้ากากชิ้นหนึ่งสวมไปบนหน้าเจี่ยงเทียนซิงเอ่ยขึ้น “ข้าส่งเจ้าไปแล้วกัน”จั๋วซือหรานโบกไม้โบกมือ “ไม่ต้องหรอก เจ้ารอที่นี่เถอะ จำไว้ว่าต้องลงเดิมพันก็ลงเสีย ในเมื่อมีสามยก ยกแรกกับยกสองก็อย่าว่างนักล่ะ ครั้งถ้าไม่โกยเงินจาก ‘เปาบุ้นจิ้น’ นั่นมาให้มากหน่อย เดี๋ยวจะเนรคุณที่เขาลงทุนลงแรงจัดเสียขนาดนี้เอา”“อืม” เจี่ยงเทียนซิงยิ้ม พยักหน้า “เจ้าเองก็ระวังด้วย อย่าบาดเจ็บล่ะ”จั๋วซือหรานเดินออกมาจากห้องหรู ตอนเดินผ่านข้างตัวฝูซู ก็กำชับกับเขา “เจ้าคอยตามเจ้าสำนักหอฟ้าดาวไปก็พอ”จากนั้นจึงเดินออกจากห้องหรูไปฝูซูเดินมาอยู่ข้างกายเจี่ยงเทียนซิง จึงเห็นว่าเจ้าสำนักตลาดมืดที่หนุ่มแน่นคนนี้ กำลังหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดมืออย่างไม่รีบไม่ร้อนอยู่เพราะตอนที่เจ้าสำนักคนนี้ปอกผลไม้ให้กับคุณหนูของเขาก่อนหน้านี้ มือเปื้อนน้ำในผลไม้ไปนั่นเองฝูซูอันที่จริงก็เหมือนสัมผัสอะไรได้รางๆ ...แต่ก็พูดออกมาไม่ได้ตอนนี้เอง เจี่ยงเทียนซิงก็หันหน้ามามองเขา “เจ้ารับใช้ข้างกายซือหรานมานานแล้วกระมัง?”
จากเวลาเริ่มประลองที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ตลาดมืดก็คึกคักขึ้นเรื่อยๆ เช่นกันเพราะการประลองกับเฮยหลิงก่อนหน้านี้ แม้หอฟ้าดาวจะไม่ได้พูดชัดเจนว่าเป็นจั๋วซือหรานแต่ที่ต่อมาที่เฮยหลิงไปเป็น ‘เทพประตู’ ให้เปล่าๆ ที่เรือนของจั๋วซือหราน ทุกคนจึงคาดเดากันว่าคนที่ประมือกับเฮยหลิงครั้งนั้น จะต้องเป็นจั๋วซือหรานแน่นอน!เพียงแต่ว่า เรื่องราวมากมายส่วนใหญ่มักเป็นเช่นนี้ ถ้าแค่ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน มันก็เป็นได้แค่สิ่งทีเรียกว่าข่าวลือเท่านั้นและเจ้าข่าวลือนี้ พอยิ่งมีความไม่แน่นอนมากขึ้น แน่นอนว่าจึงมีทั้งคนที่เชื่อ และมีคนที่ไม่เชื่อเหล่าประชาชนที่แจ้นไปรักษากับจั๋วซือหรานก่อนหน้านี้ กว่าครึ่งนั้นเชื่อ รู้สึกว่าจั๋วซือหรานมีฝีมือ ดันั้นจึงสามารถเอาชนะเฮยหลิงได้ ทำให้พวกผีพนันพวกนั้นได้จดได้จำ โดนสั่งสอนกันไปตามระเบียบแต่ในสายตาผีพนันเหล่านั้น ก็มักจะหาข้ออ้างให้กับตนเอง รู้สึกว่าต้องไม่ใช่แน่ จะเป็นไปได้อย่างไร ไม่มีทางที่ทุกเรื่องจะเป็นฝีมือของนาง เพียงเพราะว่าช่วงนี้นางกำลังโด่งดังที่สุดในเมืองหลวงหรอกกระมัง?ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากเป็นนางจริง แล้วทำไมตระกูลขุนนางเหล่านั้นถึงไม่ออกมาพูดถึงเ
"ถ้าอย่างนั้นข้าขอกินก่อนละ หิวแล้ว" จั๋วซือหรานยกบะหมี่รวมมิตรออกมาชามหนึ่งกลิ่นหอมนั่นลอยเข้ามาในจมูกซางถิงทันที ลูกกระเดือกเขากลิ้งไหล หิว...ขึ้นมาทันทีเขาพูดขึ้นเสียงต่ "ก็ไม่ใช่ขนาดนั้นทั้งหมดหรอก"จั๋วซือหรานเองก็เหลือบตามองเขา แต่ก็ไม่ได้ขี้งก แบ่งให้เขาชามหนึ่งดังนั้นเพียงไม่นาน ซางถิงเดิมทีที่คิดจะพูดคุยอย่างจริงจังกับนาง ก็จริงจังขึ้นมาไม่ได้ในชั่วพลันเสียแล้วทั้งสองคนสูดบะหมี่ไปด้วย คุยกันไปด้วย แล้วมันจะจริงจังไปได้แค่ไหนกันดังนั้นถึงได้มีการเจรจจาบนโต๊ะอาหารโต๊ะสุราน่ะสิ ก็แค่ให้มีอารมณ์ผ่อนคลายลงมาหน่อย เหตุผลแค่นี้แหละดังนั้นลักษณะของบทสนทนา จึงเบาลงมาแทบจะในทันทีจั๋วซือหรานสูดบะหมี่ไปด้วย คุยไปด้วย "ข้าพาเจ้ากลับมามันจะเพราะอะไรได้ จะให้ข้าชำแหละเจ้าไปชั่งโลขายเหรอ พวกค้ามนุษย์มันก็แค่ปลาซิวปลาสร้อย ไม่ใช่ข้าจั๋วซือหรานหรอกนะ"ซางถิงมองนาง "แล้วมันเพราะอะไรล่ะ?""คนอย่างข้าไม่ชอบติดค้างน้ำใจใคร" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ตาหลักแล้วเจ้าไม่ควรต้องถูกเปิดเผยตัวตน ขนาดถูกตระกูลซางตัดหางปล่อยวัดแล้ว ซ้ำยังหนีการไล่ล่ามาเรียบร้อย เดิมทีไม่ควรมาถูกตระกูลซางเพ่งเล็ง
เฟิงเหยียนอันที่จริงเข้าใจอย่างชัดเจน พลังที่แท้จริงของจั๋วซือหรานแข็งแกร่งมาก คุณสมบัติร่างกายเองก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นบาดแผลทั่วไปสำหรับนางแล้ว เพียงไม่นานก็จะสมานคืนแต่ต่อให้ในใจชัดเจนแค่ไหน พริบตาที่ได้ยินเฟิงหร่านบอกว่านางบาดเจ็บคิ้วของเฟิงเหยียนก็ขมวดแน่นขึ้นมา ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีเข้มดูหนักแน่น"บาดเจ็บตรงไหน? หนักหนามั๊ย?" เฟิงเหยียนถามเสียงขรึมแต่ว่าสีหน้าของเฟิงหร่านก็เปลี่ยนเป็นไม่สบายใจขึ้นมานางเม้มริมฝีปาก ในใจแอบคิด แล้วนี่ต้องพูดอย่างไรล่ะ...เฟิงหร่านนิ่งงันไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น "ก็...ตรงนี้ตรงนั้น"เฟิงเหยียนหลังจากได้ยินคำนี้ จึงสังเกตเห็นสีหน้าไม่สบายใจของเฟิงหร่านขึ้นมาเขาขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีกเพียงไม่นานก็มีปฏิกิริยากลับมา เฟิงหร่านกำลังพูดโกหกแต่พอลองคิด เฟิงหร่านทำไมต้องพูดโกหก? ใครให้เฟิงหร่านโกหกกัน?เพียงไม่นาน สองเส้นคำถาม ก็จูงไปหาคำตอบที่ชัดเจนคำตอบหนึ่งคิ้วที่ขมวดแน่นของเฟิงเหยียนคลายลงมาแล้ว เลิกคิ้วขึ้น "โอ๋? ถ้างั้น นางยังพูดอะไรอีกไหม?"เฟิงหร่านคิดถึงคำพูดของพี่จั๋ว กัดฟันพูดต่อว่า "นางยังบอกว่า..."เฟิงหร่านมองพี่ชายอย่างจนใจ ตัด
เฟิงหร่านตาเป็นประกาย แต่เวลานี้ จั๋วซือหรานก็ลังเลขึ้นมาแล้ว "เดี๋ยวก่อน""อื๋อ?" เฟิงหร่านมองนาง จากนั้นจึงเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ในตานาง"อย่าพูดให้มันง่ายนัก" จั๋วซือหรานยิ้ม "โดยเฉพาะตอนอยู่ต่อหน้าพี่ชายเจ้า..."จั๋วซือหรานลากเสียงยาวครุ่นคิด จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า "เจ้าแค่บอกเขาว่า ข้าถูกรังแก สู้คนอื่นเขาไม่ได้ ไม่มีพลังไม่มีขั้วอำนาจหนุนหลัง เจ็บตัวขึ้นมาแล้ว"เฟิงหร่านฟังแล้วงงงัน "ท่านถูก...ถูกรังแก? สู้...สู้ไม่ไหว?"จั๋วซือหรานยิ้มตาหยีพยักหน้า "อืม เจ้าพูดแบบนี้ไปก็พอ""แต่ว่า..." เฟิงหร่านยังคงลังเล หลักๆ รู้สึกว่าพี่ชายก็ไม่ใช่คนโง่นะ จะมาติดกับง่ายๆ ได้อย่างไรกันจั๋วซือหรานยิ้มแล้วพูดขึ้นมา "เจ้าทำตามที่ข้าพูดก็พอ พี่ชายเจ้าดีใจแน่""ดีใจ?" เฟิงหร่านยังไม่ค่อยเข้าใจจั๋วซือหรานเองก็ไม่ได้อธิบายกับนางมากนักอันที่จริงจั๋วซือหรานต่อมาก็เคยคิด ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับเฟิงเหยียนพิจารณาจากสถานการณ์ที่ตระกูลเฟิงระแวดระวัง อันที่จริงคือกลัวว่านางกับเฟิงเหยียนพออยู่ด้วยกัน จะมาขโมยพลังตระกูลเฟิงของพวกเขาไปอันที่จริงตระกูลเฟิงก็ไม่ได้เกลียดชังในตัวจั๋วซือหรานอยู
ตอนเดินมาถึงทางแยก จั๋วซือหรานก็เอียงตามองชิ่งหมิง "น้องชิ่ง เจ้าไม่กลับหรือ?"ชิ่งหมิงมองจั๋วซือหรานตาเป็นประกายแม้จะอยู่ในสภาพผู้ใหญ่หน้าตาหล่อเหลา ตามหลักการความคิดและการรับรู้ก็ควรจะกลับเป็นผู้ใหญ่แล้วเช่นกันให้ความรู้สึกที่ดูเย็นชากับคนอื่น แต่ตอนที่มองจั๋วซือหรานประกายแสงที่สว่างวาบขึ้นมาในตาคู่นั้น ก็ดูเหมือนกับชายหนุ่มที่ความคิดจิตใจยังมึนงงก่อนหน้าคนนั้นเลยชิ่งหมิงตอบ "ข้าไม่ต้องไปกับเจ้าหรือ?""ข้าก็ไม่คิดอะไรหรอก แต่ลุงของเจ้าจะวางใจหรือ? กลัวว่าเดี๋ยวจะอาละวาดเข้ามาอีก" จั๋วซือหรานคิดถึงลุงของชิ่งหมิงคนนั้น นั่นก็ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะชิ่งหมิงเอ่ยตอบ "เขาไม่มาหรอก ที่ข้าดีขึ้นมา เขาจะต้องซาบซึ้งขอบคุณเจ้าแน่ ยิ่งไปกว่านั้นก็รู้แล้วด้วยว่าก่อนหน้านี้โทษเจ้าแบบผิดๆ ไว้"จั๋วซือหรานฟังไม่ออกเสียที่ไหน เด็กคนนี้...เอาเถอะ เรียกว่าเด็กคงไม่ได้แล้ว ตอนนี้ไม่ว่าจะความคิดหรือรูปลักษณ์ภายนอก เรียกว่าเด็กไม่ได้แล้วชายคนนี้ คิดจะกลับไปกับนาง"เอาเถอะ ไปกัน" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นไม่นานนัก ก็มาถึงเรือนของจั๋วซือหรานพอเข้าประตูใหญ่ จั๋วซือหรานก็เห็นเฉวียนคุนที่ทำหน้าพรรณนาไม
อินเจ๋ออันมองบน "ใครหาเรื่องใครกันแน่? เจ้าอย่ามาทำตัวใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น...""นั่นสิ" จั๋วซือหรานวางถ้วยบนโต๊ะ กลอกตามองอินเจ๋ออัน พริบตาต่อมา อินเจ๋ออันก็รู้สึกปวดหน้าผาก! บนสัญลักษณ์จันทร์เสี้ยวที่หน้าผากนั่น เจ็บปวดขึ้นมา!หญิงสาวคนนี้ยื่นมือดีดเผียะไปที่สัญลักษณ์จันทร์เสี้ยวนี้!จั๋วซือหรานดีดนิ้วใส่หน้าผากอินเจ๋ออัน พลางเอ่ยขึ้นว่า "ดังนั้นก่อนที่จะหาเรื่องก็ต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อนว่าเอาอยู่ไหม อย่าส่งออกมาเปล่าๆ เข้าใจไหม? เจ้าเองก็มีประสบการณ์เยอะแล้วนี่ หลังจากนี้ก็จำให้ขึ้นใจล่ะ"จั๋วซือหรานพูด พลางดีดไปอีกที อินเจ๋ออันร้องโอ๊ย ยกมือขึ้นกุมหน้าผากตัวเอง "พอแล้ว เลิกดีดได้แล้ว!"ฮั่วจือโจวที่อยู่ข้างๆ มองฉากนี้อย่างสนใจ เขาเห็ฯหญิงสาวที่ถูกจั๋วซือหรานจูงมาด้านหลังแล้วถ้าหากจำไม่ผิดล่ะก็ น่าจะเป็นคุณหนูสี่ซางเชวี่ยที่ตระกูลซางให้ความสำคัญที่สุดในรุ่นนี้ใช่ไหม?และสองคนที่อยู่ข้างๆ หนึ่งในนั้น ก็เป็นนักควบคุมสัตว์ที่สู้กับจั๋วซือหรานอย่างร้อนแรงบนเวทีก่อนหน้านี้ ส่วนอีกคนดูแล้วไม่คุ้นหน้าเลยแต่ด้วยรูปลักษณ์ที่งดงามโดดเด่น มองแล้วไม่ใช่คนธรรมดาเลยแม่นางจั๋วจิ่วคนนี้ไม่ธ
จั๋วซือหรานเดินขึ้นหน้า โบกมือดึงไหมกู่บนมือซางเชวี่ยทำได้แค่เดินตามนางไปตอนที่เดินผ่านคนของโถงตัดหัวตระกูลซาง จั๋วซือหรานเองก็ไม่มีท่าเกรงกลัวอะไรเอาจริงๆ คือ เดินอาดๆ ผ่านไปหน้าตาเฉยแต่พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรกับจั๋วซือหราน!ทำได้แค่มองนางพาซางเชวี่ยไปแบบทำอะไรไม่ได้และไม่ไช่ไม่คิดจะลงมือเพื่อรั้งนางไว้ แต่พอคิดแล้ว เหตุผลก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีคนที่คุณหนูสี่ทำอะไรไม่ได้ พวกเขาไม่มีทางรั้งนางไว้ได้หรอก! ไหนจะยัง ข้างๆ นางยังมีซางถิงกับผู้แข็งแกร่งนักหลอมศัสตราที่ไม่รู้จักปกป้องอยู่ด้วยนะ!กลับไปหารือกันก่อนแล้วค่อยตัดสินใจดีกว่าไม่มีคนห้ามจั๋วซือหราน เพียงแต่ว่า ตอนที่ผ่านหน้าพวกเขา จั๋วซือหรานจู่ๆ ก็หยุดเท้าลงน่าจะเพราะสิ่งที่เจอก่อนหน้านี้ ทำให้พวกเขาได้ผลกระทบและการคุกคามอย่างมากจั๋วซือหรานหยุดลงตรงหน้าพวกเขาเช่นนี้ พวกเขาก็ตึงเครียดกันขึ้นมาทันที"ไม่ต้องเครียดไป" จั๋วซือหรานเหมือนมองออกถึงความเครียดพวกเขา เอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบพูดต่อว่า "ข้าก็แค่อยากจะเตือนพวกเจ้าคำหนึ่ง เรื่องนี้เดิมทีเป็นพวกเจ้าที่มาหาเรื่องข้าก่อน ผลลัพธ์คือถูกข้าตอบโต้กลับ สรุปก็คือ เป็นพว
ยิ่งไปกว่านั้นนักหลอมศัสตราคนนี้ เหมือนจะมีความสามารถการหลอมเครื่องป้องกัน แล้วยังดูเชื่อฟังจั๋วซือหรานมากด้วย'ชาม' ที่ซ้อนกันอย่างอลังการนั่นถูกเก็บลงมาเรียบร้อย สุดท้ายก็เปลี่ยนมาสิ่งที่ดูเหมือนไม้บรรทัดทั้งกว้างทั้งใหญ่ชิ้นหนึ่งส่วนซางเชวี่ยยืนอยู่ด้านหลังของไม้บรรทัด จ้องเขม็งมาที่จั๋วซือหรานจั๋วซือหรานเองก็มองนางนิ่งๆ เช่นกัน กอดอกอย่างไม่สะทกสะท้านริมฝีปากซางเชวี่ยไม่มีสีเลือด กระทั่งเส้นลมปราณที่ปรากฏบนใบหน้าอย่างผิดปกติก่อนหน้านี้ ก็ดูจางลงไปอย่างเห็นได้ชัดซางถิงที่ก่อนหน้าเตรียมตัวรับการระเบิดตัวเองของซางเชวี่ย ตอนนี้กลับรู้สึกประหลาดใจ "นี่มัน...เกิดอะไรขึ้น?"จั๋วซือหรานมองไปทางเขา "ก่อนหน้านี้ข้าทำการเปิดผ่านช่องพลังบนตัวนางไว้แล้ว พวกพลังจากสัตว์ที่ควบคุมที่นางเปิดช่องพลังรับมา ล้วนเก็บไว้ไม่อยู่บนตัวนาง คล้ายๆ กับที่ข้าเจาะรูเอาไว้บนตัวนางก่อนหน้านี้ รั่วออกมาจนหมด"จั๋วซือหรานพูดพลางจ้องมองซางเชวี่ยเรียบๆ ผาดหนึ่ง "ยิ่งไปกว่านั้นก็เหมือนกับลูก..."จั๋วซือหรานหยุดคำว่า 'ลูกโป่ง' เอาไว้ บอกต่อมาว่า "พลังบนตัวนางยิ่งมาก เจ้า 'รู' นี่ก็จะยิ่งโตมากขึ้น รั่วออกมาเ
อืม...จั๋วซือหรานมองแผ่นหลังสูงโปร่งนี้แม้ตัวเองจะไม่ได้กลัวก็ตามแต่ว่า หลังจากผ่านการสังเกตสั้นๆ ตัวตนฐานะของชายคนนี้ก็ออกมาแล้วจั๋วซือหรานในใจมีคำตอบแล้ว"นี่มันคืออะไร" จั๋วซือหรานถามชายหนุ่มตอบ "เป็นสิ่งที่ข้าหลอมสกัดออกมา..."จั๋วซือหรานคิดว่าเป็นภาชนะอาวุธเวทอะไรเสียอีก คิดไม่ถึงว่าคำตอบที่ชายหนุ่มตอบมาคือ "เครื่องป้องกัน สามารถขังนางไว้ในนี้ เช่นนี้ต่อให้นางคิดโจมตีด้วยการระเบิดตนเอง คลื่นพลังก็ยากที่จะสร้างผลกระทบกับคนด้านนอก"จั๋วซือหรานมองแผ่นหลังสูงโปร่งของเขา ยิ้มปากโค้ง ในรอยยิ้มมีความชื่นชมอยู่ระดับหนึ่ง"โตขึ้นแล้วนะ พูดจาก็คล่องแล้วด้วย" จั๋วซือหรานพอพูดออกมา หลังของชายหนุ่มก็แข็งทื่อขึ้นทันทีจากนั้นตอนที่เขาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ก็เริ่มมีอาการติดอ่างขึ้นมา "ข้า ข้ามาช้าไป น่า...น่าจะมาให้ไวกว่านี้!""ไม่เป็นไร" จั๋วซือหรานยิ้มเอ่ยขึ้น "น้องชิ่งแค่ตรงเข้ามาช่วยคุ้มกันข้า ข้าก็ซาบซึ้งมากแล้ว"คนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือชิ่งหมิง...ซือหลี่ฝานเทียนของหน่วยสืบสวนพิเศษนั่นเองเพียงแต่เขาในตอนนี้ ไม่ใช่เด็กหนุ่มอย่างเคย แต่สลัดคราบกลายเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาเคยบอกกับ
คนของโถงตัดหัวทยอยกันเข้าไปล้อมซางเชวี่ย "คุณหนูสี่!"พวกเรารีบประคองซางเชวี่ยขึ้นมา หลังจากซางเชวี่ยลุกขึ้น กลับโบกมือสลัดออกจากการประคองของพวกเขาเดินโซซัดโซเซไปทางจั๋วซือหรานสองก้าวมุมปากนางมีเลือดสดติดอยู่ ในตามีไฟโกรธที่ไม่ยินยอม จ้องเขม็งไปที่จั๋วซือหรานสีหน้าเหมือนคุ้มคลั่งไปแล้ว "ข้าไม่มีทางแพ้ ข้าจะแพ้ได้อย่างไร ข้าจะ...ตายไปพร้อมกับเจ้า!""คุณหนูสี่ ท่านบ้าไปแล้วหรือ?!" คนของโถงตัดหัวคิดจะดึงนางไว้ แต่กลับดึงไม่อยู่ทำได้แค่มองเส้นลมปราณบนหน้านางปรากฏสีประหลาดขึ้นมา ดวงตาสีฟ้าทึมที่สายเลือดตระกูลซางมีแต่เดิม ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทึม คล้ายกับเลือดคนของโถงตัดหัวสัมสผัสได้ว่านางคิดจะทำอะไร ก็ล้วนหวาดกลัวกัน ทยอยกันถอยออกไปซางถิแค่มองเห็นหน้าตาของซางเชวี่ยตอนนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปแล้วเขาหมุนตัวฉับพลัน ขวางจั๋วซือหรานไว้ด้านหลัง ไม่มีปิดบังอะไรอีกแล้ว ทำปางมือออกมาอย่างรวดเร็วสีน้ำเงินทึมในดวงตาทึมขึ้นกว่าเดิม พลังเองก็รุนแรงกว่าก่อนหน้านี้มหาศาล!จั๋วซือหรานเงยหน้ามองชายหนุ่มที่มาขวางไว้ตรงหน้า ก็เข้าใจแล้ว ว่านี่น่าจะเป็นความสามารถที่ซางถิงคิดจะซ่อนเอาไว้ ดูแล้วคล้า