และเป็นกลุ่มคนที่เคยเข้าแถวอยู่หน้าศูนย์การแพทย์ตระกูลเหยียนก่อนหน้านี้พอเห็นพวกเขาเดินมาแต่ไกล เสียงของแพทย์คนหนึ่งในตระกูลเหยียนก็ดังขึ้น “ข้ากะไว้แล้ว พวกเขาจะช้าเร็วก็ต้องมานึกเสียใจ จะช้าเร็วต้องกลับมาหาพวกเรา”“จั๋วจิ่วเปิดร้านศูนย์การแพทย์ชั่วคราว ทำตำรับยาถูกๆ ไม่มีคุณสรรพคุณอะไร ก็แค่พวกไร้ฝีมือมีชื่อเสียงร้อยปีอย่างศูนย์การแพทย์ตระกูลเหยียนเสียที่ไหน”“ให้พวกเจ้ารอเสียนาน รักษาแล้วไม่มีผลจึงกลับมาหาพวกเราสินะ พวกเจ้าก็ไม่ควรเชื่อ...” ประโยคนี้ของแพทย์ตระกูลเหยียนยังไม่ทันพูดจบม่านตาเหยียนหยี่หลิงจึงหดลงมามองคนกลุ่มนี้ให้ชัดๆ ในใจเต้นตึกตัก จากนั้นจึงดึงแขนเสื้อของคนนี้ห้ามไม่ให้เขาพูดต่อแต่คำพูดที่แพทย์ตระกูลหยางพูดไปเมื่อครู่ก็มากเกินไปแล้วตอนนี้ กลุ่มคนที่เดินมาจากทิศของศูนย์การแพทย์จั๋วซือหราน ก็เดินมาถึงตรงหน้าพวกเขาแล้ว“ใครบอกว่าพวกเราเสียใจกัน?”“พวกเราไม่ได้มารักษากับพวกท่านเสียหน่อย!”“อย่ามาปิดทองใส่หน้าตัวเองเลย! เลิกใส่ร้ายแม่นางจั๋วจิ่วได้แล้ว!”“แม่นางจั๋วจิ่วต่างหากถึงเป็นผู้ทรงเมตตาช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพวกพ่อค้าตระกูลเห
ผู้คนที่ยังเข้าแถวอยู่หน้าศูนย์การแพทย์ตระกูลเหยียน ก็เพราะเชื่อมั่นในตระกูลเหยียน รู้สึกว่าตระกูลเหยียนทำกิจกาจใหญ่โต มั่นคงน่าพึ่งพากว่าแต่ตอนนี้ก็มีกลับมี “ป้ายร้านมีชีวิต” ที่ซาบซึ้งต่อจั๋วซือหรานโผล่มามากถึงขนาดนี้ ประชาชนที่ก่อนหน้ายังสงสัยว่าจั๋วซือหรานจะไม่ดีเท่าตระกูลเหยียนที่กิจการใหญ่โต ก็เริ่มรู้สึกพลาดขึ้นมาจริงๆ แล้วลมพัดกลับไปทางจั๋วซือหรานอย่างฉับพลัน......จั๋วซือหรานอยู่ในศูนย์การแพทย์ ขณะที่กำลังล้างมือดื่มน้ำผู้จัดการร้านก็เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมากับนาง “คุณหนู พอมีคนพวกนั้นไปทางตระกูลเหยียน น่าจะได้ผลอยู่กระมัง?”“ได้ผลแน่นอน ดังนั้นพวกเจ้าก็รีบดื่มน้ำดื่มท่าผ่อนคลายเอาไว้ อีกเดี๋ยวจะวุ่นกันแล้ว” จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น“พวกเขาจะไหวหรือ? พวกเขาถึงอย่างไรก็เป็นแค่ประชาชนทั่วไป...”ในใจผู้จัดการร้านก็ไม่ค่อยมั่นใจ เพราะเขากับพนักงานเหล่านนี้ ล้วนเจอความลำบากจากตระกูลเหยียนมาแล้วทั้งนั้นจากที่พวกเขาเห็น ตระกูลเหยียนไม่ใช่ว่าจะรับมือง่ายๆดังนั้นพวกเขาจึงศรัทธาต่อจั๋วซือหรานมาก นั่นก็เพราะ พวกเขารู้สึกว่าตระกูลที่รับมือยาก พออยู่ต่อหน้าจั๋วซือหราน...ก็เหมือนจะเปลี
เพียงไม่นาน ผู้คนที่เดินมาจากศูนย์การแพทย์ตระกูลเหยียนก็มาถึง ทยอยกันเข้าแถวยาวเหยียดที่ด้านนอกศูนย์การแพทย์จั๋วซือหรานและตระกูลเหยียนทางนั้น จากที่มีคนมาออกันแน่นราวกับตลาดนัก ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเงียบเหงาแพทย์ของตระกูลเหยียนก็ว่างกันขึ้นมา จึงทยอยกันมองไปทางศูนย์การแพทย์จั๋วซือหรานมีเจตนาหาเรื่องอย่างชัดเจน คนในชุดตระกูลเหยียนกลุ่มนี้ เดินตรงไปยังประตูทางเข้าศูนย์การแพทย์จั๋วซือหรานอย่างมาดร้ายแต่ว่า...ขั้วอำนาจที่มาดร้ายยิ่งกว่าพวกเขาก็เข้ามาแล้ว!พอเห็นทหารในชุดเกราะเบามาตรฐานของทหารหน่วยป้องกันเมือง เดินเข้ามาอย่างพร้อมเพรียง ย่ำเท้าราวนกเค้าแมว และยังมีทหารในชุดเกราะหนังของหน่วยลาดตระเวน ล้วนเดินตรงมาทางประตูของศูนย์การแพทย์จั๋วซือหรานพอเห็นฉากนี้ เหล่าปราชนล้วนเกิดความลนลานขึ้นมาแต่พวกเขาก็มองเข้าใจแล้ว คนที่นำทางมาสองคนสวมเกราะแบบที่ระดับขุนพลใช้อย่างชัดเจนเห็นได้ชัดว่าเป็นสองขุนพลจากหน่วยลาดตระเวนและหน่วยป้องกันเมือง แม่ทัพอิงเซ่าจากหน่วยลาดตระเวนและแม่ทัพฉีฮ่าวจากหน่วยป้องกันเมืองเหล่าประชาชนถึงแม้จะรู้สึกไม่ค่อยดีนักกับพวกตระกูลต่างๆ กับราชวงศ์ก็อาจจะแบบเดียว
อิงเซ่ากับฉีฮ่าวเข้ามาด้วยกัน เดิมทีคิดว่าไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องเชิญนางกลับไปรักษาทหารให้ได้พวกเขาทั้งสองคนเป็นแม่ทัพที่รักทหารราวกับบุตร ดังนั้นจึงมีเชื่อเสียงสูงส่งเช่นนี้แต่พอเห็นแถวด้านนอกศูนย์การแพทย์จั๋วซือหรานเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นประชาชนที่กำลังรอให้จั๋วซือหรานรักษา พวกเขาทั้งสองคนก็รู้สึกผิดขึ้นมาบ้างแล้วจั๋วซือหรานพอได้ยิน ก็เชิดคางไปยังประชาชนที่ยังเข้าแถวอยู่ บอกกับพวกเขาว่า “นี่ พวกเจ้าดูเอาสิ ยังมีคนเข้าแถวอยู่ตั้งมากขนาดนี้”บนหน้าสีแทนของฉีฮ่าว สีหน้าร้อนรนขึ้นมา “ถ้า ถ้าเช่นนั้น...ไม่ทราบว่าแม่นางจิ่วต้องการเวลาเท่าไรจึงจะเสร็จเรื่องที่นี่หรือ?”“จริงๆ ก็น่าจะใกล้แล้ว เรื่องจ่ายยา แต่...” จั๋วซือหรานพูดขึ้นมาคำหนึ่งมีประชาชนที่เข้าแถวอยู่เอ่ยปากขึ้นมา “ท่านแม่ทัพ! แม่นางจิ่วเป็นผู้มีใจเมตตา! หนึ่งร้อยคนแรกจะไม่เก็บค่าใช้จ่ายของยา แล้วยังรักษาอาการเรื้อรังเดิมบนตัวพวกเราให้ด้วย!”จั๋วซือหรานมองไปทางฉีฮ่าวกับอิงเซ่า เหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม “เอาอย่างนี้ท่านแม่ทัพทั้งสอง วัตถุดิบยาข้าเองก็ให้พนักงานเตรียมไว้เสร็จสรรพแล้ว พวกท่านเองก็พาคนมาด้วยพอดี”“ข้าขายวัตถุดิบยา
อิงเซ่ากับฉีฮ่าวหารือกันครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจให้ฉีห่าวพาคนนำวัตถุดิบยากลับไป ส่วนอิงเซ่าจะอยู่ที่นี่ รอจนจั๋วซือหรานเสร็จธุระจั๋วซือหรานเองก็ไม่มีความเห็นใด เรื่องนี้จัดการเสร็จสิ้นแล้ว นางจึงกลับไปนั่งลงที่โต๊ะตรวจด้านใน ดูอาการให้กับประชาชนที่เข้าแถวต่ออิงเซ่าถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรทำ จึงคอยมองอยู่ข้างๆเขาไม่ได้หยาบกระด้างเหมือนฉีฮ่าว ความคิดเขาละเอียดยิ่งกว่า ดังนั้นเพียงไม่นานจากในขั้นตอนที่จั๋วซือหรานรักษาคนเหล่านี้ จึงสังเกตออกมาแล้วอิงเซ่าทอดถอนในใจ หญิงสาวตรงหน้าคนนี้ เป็นคนที่มีความสามารถจริงๆยิ่งไปกว่านั้นอิงเซ่ายังสังเกตเห็นแพทย์ตระกูลเหยียนที่อยู่ด้านนอกเหล่านั้นแล้วอิงเซ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยถามเสียงต่ำกับจั๋วซือหราน “แม่นางจิ่ว แพทย์ตระกูลเหยียนข้างนอกนั่น มีเรื่องอะไรหรือ?”จั๋วซือหรานพอได้ยินก็แหงนตามอง ไม่ได้อธิบายอะไรละเอียดไม่จำเป็นต้องให้นางพูด ประชาชนที่อยู่ข้างๆ ก็เล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นออกมาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง“คนพวกนั้นแย่มากจริงๆ ! พวกเขาไม่ใช่แค่คิดจะรีดเงินพวกเรา แต่ยังคิดจะสาดน้ำสกปรกใส่แม่นางจิ่วอีกด้วย!”“ใช่เลย ถ้าไม่ใช่เพราะแม่นางจิ่วมีค
อิ๋นไห่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกเหมือน...จู่ๆ ก็เข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว ว่าทำไมเจ้าสำนักหอฟ้าดาวเจ้านายตนเอง จึงให้ความสำคัญกับจั๋วซือหรานเช่นนี้กระทั่งตัดสินใจแสดงจุดยืนอย่างเปิดเผย ว่ายืนอยู่ฝั่งจั๋วซือหรานเพราะหญิงสาวคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ไม่ใช่คนที่ไม่มีความทะเยอทะยานอย่างแน่นอน สักวันหนึ่งจะต้องบินทะยานขึ้นฟ้าแน่ๆสำหรับคนประเภทนี้ ถ้าหากสามารถยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับนางขณะที่นางยังไม่โจนทะยาน ทำให้นางยอมรับมิตรภาพนี้ จะต้องเป็นการค้าที่ได้กำไรอย่างแน่นอนนางเป็นคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบเลยจริงๆ ล้างแค้นก็ไม่รอให้เปลี่ยนวัน เอาคืนไปวันนั้นตรงนั้นเลยคนของตระกูลเหยียนมีคนที่ยืนอยู่ข้างประตู ได้ยินสถานการณ์ภายใน ก็หน้าดำคร่ำเครียดไปแล้วยิ่งไปกว่านั้นแพทย์ของตระกูลเหยียนทางนั้น มีคนที่เข้ามาซื้อยาไปก่อนหน้า หิ้วยาเข้ามาขอเงินคืน “คืนเงิน! คืนเงินมา!”“คืนเงิน!”“ตระกูลเหยียนคืนเงินมา!”“ศูนย์การแพทย์ที่ไร้จรรยาบรรณ ไม่ควรมาเปิดร้าน!”“แม่นางจั๋วจิ่วให้พวกเจ้าปิดร้านไปนั้นมีเหตุผลอยู่จริงๆ”ถ้าบอกว่าคนเหล่านี้ก่อนหน้าสนับสนุนพวกเขาแค่ไหน ตอนนี้ก็ยิ่งรังเกียจพวกเขามากขึ้นเท่านั้นอิงเซ
เหยียนหยี่หลิงทนไม่ไหวแล้ว เพราะเรื่องวันนี้ เดิมทีเป็นความคิดของนาง เดิมทีคิดว่าเป็นแผนการที่ชนะแน่นอน ตอนนี้เละเทะเป็นแบบนี้ไปแล้ว...ในตระกูลต้องลงดาบกับนางแน่ ไม่แน่ นางอาจจะเป็นเหมือนจั๋วจิ่ว ถูกขับไล่ออกจากตระกูล ถ้าอย่างนั้นนางก็จบเห่น่ะสิ!ดังนั้น เหยียนหยี่หลิงจึงทนไม่ไหว เอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านแม่ทัพพูดออกมาเบาบางเหลือเกิน จั๋วจิ่วยังหาเงินจากค่ายทหารของพวกท่านได้เลย แต่พวกเรากลับไม่ได้ประโยชน์แม้แต่น้อย ถือดีอย่างไรกัน?”สีหน้าที่อบอุ่นทรงภูมิมาแต่ไหนแต่ไรของอิงเซ่า เวลานี้ก็เย็นชาลงมาแล้ว สายตาที่ไม่เหลือความอบอุ่นอยู่อีกจดจ้องที่เหยียนหยี่หลิง“แม่นางจั๋วจิ่วเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ดังนั้นคุณหนู ตอนที่ท่านพูดถึงแม่นางจั๋วจิ่วโปรดเกรงใจด้วย” อิงเซ่าสายตาเย็นวาบ“ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่ว่านางอยากจะได้เงินจากค่ายทหารเสียที่ไหน แต่พวกเรากลัวว่านางจะขาดทุนจึงคิดจะมอบให้เท่านั้น”เหยียนหยี่หลิงโดนคำนี้ไปจนพูดไม่ออก หน้าซีดเผือด พูดอะไรไม่ได้เลยอิงเซ่าพอพูดคำนี้ อารมณ์ของเหล่าประชาชนก็ยิ่งเดือดดาลขึ้นมาเหยียนหยี่หลิงเองก็คิดไม่ถึงว่าจะพลิกมาเป็นแบบนี้ ถ้าหากนางคิดถึ
ตระกูลเหยียนไม่ใช่แค่ถอนตำรับยาที่แพงลิบลิ่วก่อนหน้านั้นออกไป แต่ยังเปลี่ยนมาเป็นตำรับยาของจั๋วซือหรานที่ราคาปกติแล้วทิศทางรวบรวมวัตถุดิบในตอนแรกของพวกเขานั้นผิด เช่นนั้นวัตถุดิบยาจะต้องไม่เพียงพอแน่นอนและขอแค่วัตถุดิบยาไม่พอ เพื่อรับประกันหน้าตา เพื่อหม่ให้ตกเป็นเป้าของสังคม ต้องคิดหาวิธีซื้อวัตถุดิบยาแน่นอน!เพราะตระกูลเหยียนของพวกเขาเป็นตระกูลใหญ่ แตกต่างกับแม่นางจั๋วจิ่วที่หัวเดียวกระเทียมลีบ ตระกูลใหญ่ยอมรับเรื่องที่ตนเองตกเป็นเป้าสังคมไม่ได้ เพราะหน้าตาของตระกูลสำคัญยิ่งกว่าชีวิต!แต่วัตถุดิบตำรับยาของแม่นางจั๋วจิ่วเหล่านี้ ส่วนใหญ่ถูกเจ้าสำนักกว้านซื้อผูกขาดไปแล้วก่อนหน้า!ถ้าหากตระกูลเหยียนตอนนี้คิดหาวิธีจะซื้อวัตถุดิบยา ก็จะต้องไปซื้อจากเจ้าสำนักแน่นอน! และราคานั้นก็เกรงว่าจะไม่ใช่ราคาทั่วไปด้วยหัวใจอิ๋นไห่เต้นผางอย่างตื่นเต้น แม่นางจั๋วจิ่วคำนวนเรื่องเหล่านี้เอาไว้แล้ว! ให้ตายเถอะ นางคำนวณไปถึงขั้นไหนกันแน่เนี่ย!อิ๋นไห่อารมณ์ตื่นเต้น ฝีเท้าก็เร่งกลับไปช่วยที่ตลาดมืดส่วนจั๋วซือหรานกลับรักษาประชาชนต่อไปอิงเซ่าอยู่ข้างๆ มองใบหน้างามด้านข้างที่ทั้งสวยงามทั้งเย็นชา
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด
จะเหมือนว่าตบหน้าใส่ตนเองอย่างแรง ทั้งที่เดิมทีก็อยู่บนโชคชะตาที่ขมขื่นอยู่แล้ว กระทั่งยังเป็นการตบหน้าตนเองในตอนนั้นอีกด้วยแบบนั้น...มันขมขื่นเกินไป พวกเขาเดิมทีก็ยากลำบากอยู่แล้วปันอวิ๋นนิ่งงันไปพักหนึ่ง อันที่จริงรู้สึกเหมือนไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดีอยู่หน่อยๆความเงียบงันดำเนินต่อไประยะหนึ่งยังคงเป็นเฟิงเหยียนที่เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมาก่อน "ขอบคุณมาก"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ ก็รู้สึกแปลกประหลาด อารมณ์เองก็ไม่ค่อยมั่นคงทั้งที่มั่นคงมาตลอดแท้ๆหลังผ่านไปพักหนึ่ง ปันอวิ๋นจึงเอ่ยตอบว่า "เรื่องเล็กน้อย"ตอนที่ได้ยินคำนี้ สายตาของเฟิงเหยียนก็เหมือนขยับนิดๆยังจำได้ว่า ตอนยังเด็กถ้าปันอวิ๋นช่วยเขาทำอะไร ขอแค่เขาขอบคุณ ปันอวิ๋นก็จะพูดคำว่า 'เรื่องเล็กน้อย' ออกมาเสมอต่อให้บางครั้ง จะไม่ใช่เรื่องเล็กเลยก็ตาม แต่ก็ยังทำให้เขารู้สึกว่า ไม่ต้องเกรงใจ ยังมีพี่น้องคนนี้ช่วยแบกอยู่เฟิงเหยียนหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบขึ้นว่า "ก่อนหน้านี้ ข้าเจอกับหลงเฉินมา"พอได้ยินชื่อนี้ที่คุ้นเคย ม่านตาปันอวิ๋นก็หดลงเล็กน้อยเฟิงเหยียนเอ่ยต่อว่า "เขามีชีวิตไม่ค่อยดีนัก เหมือนตอนนั้นหลังจากที่เขาท
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร