เหยียนหยี่หลิงทนไม่ไหวแล้ว เพราะเรื่องวันนี้ เดิมทีเป็นความคิดของนาง เดิมทีคิดว่าเป็นแผนการที่ชนะแน่นอน ตอนนี้เละเทะเป็นแบบนี้ไปแล้ว...ในตระกูลต้องลงดาบกับนางแน่ ไม่แน่ นางอาจจะเป็นเหมือนจั๋วจิ่ว ถูกขับไล่ออกจากตระกูล ถ้าอย่างนั้นนางก็จบเห่น่ะสิ!ดังนั้น เหยียนหยี่หลิงจึงทนไม่ไหว เอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านแม่ทัพพูดออกมาเบาบางเหลือเกิน จั๋วจิ่วยังหาเงินจากค่ายทหารของพวกท่านได้เลย แต่พวกเรากลับไม่ได้ประโยชน์แม้แต่น้อย ถือดีอย่างไรกัน?”สีหน้าที่อบอุ่นทรงภูมิมาแต่ไหนแต่ไรของอิงเซ่า เวลานี้ก็เย็นชาลงมาแล้ว สายตาที่ไม่เหลือความอบอุ่นอยู่อีกจดจ้องที่เหยียนหยี่หลิง“แม่นางจั๋วจิ่วเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ดังนั้นคุณหนู ตอนที่ท่านพูดถึงแม่นางจั๋วจิ่วโปรดเกรงใจด้วย” อิงเซ่าสายตาเย็นวาบ“ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่ว่านางอยากจะได้เงินจากค่ายทหารเสียที่ไหน แต่พวกเรากลัวว่านางจะขาดทุนจึงคิดจะมอบให้เท่านั้น”เหยียนหยี่หลิงโดนคำนี้ไปจนพูดไม่ออก หน้าซีดเผือด พูดอะไรไม่ได้เลยอิงเซ่าพอพูดคำนี้ อารมณ์ของเหล่าประชาชนก็ยิ่งเดือดดาลขึ้นมาเหยียนหยี่หลิงเองก็คิดไม่ถึงว่าจะพลิกมาเป็นแบบนี้ ถ้าหากนางคิดถึ
ตระกูลเหยียนไม่ใช่แค่ถอนตำรับยาที่แพงลิบลิ่วก่อนหน้านั้นออกไป แต่ยังเปลี่ยนมาเป็นตำรับยาของจั๋วซือหรานที่ราคาปกติแล้วทิศทางรวบรวมวัตถุดิบในตอนแรกของพวกเขานั้นผิด เช่นนั้นวัตถุดิบยาจะต้องไม่เพียงพอแน่นอนและขอแค่วัตถุดิบยาไม่พอ เพื่อรับประกันหน้าตา เพื่อหม่ให้ตกเป็นเป้าของสังคม ต้องคิดหาวิธีซื้อวัตถุดิบยาแน่นอน!เพราะตระกูลเหยียนของพวกเขาเป็นตระกูลใหญ่ แตกต่างกับแม่นางจั๋วจิ่วที่หัวเดียวกระเทียมลีบ ตระกูลใหญ่ยอมรับเรื่องที่ตนเองตกเป็นเป้าสังคมไม่ได้ เพราะหน้าตาของตระกูลสำคัญยิ่งกว่าชีวิต!แต่วัตถุดิบตำรับยาของแม่นางจั๋วจิ่วเหล่านี้ ส่วนใหญ่ถูกเจ้าสำนักกว้านซื้อผูกขาดไปแล้วก่อนหน้า!ถ้าหากตระกูลเหยียนตอนนี้คิดหาวิธีจะซื้อวัตถุดิบยา ก็จะต้องไปซื้อจากเจ้าสำนักแน่นอน! และราคานั้นก็เกรงว่าจะไม่ใช่ราคาทั่วไปด้วยหัวใจอิ๋นไห่เต้นผางอย่างตื่นเต้น แม่นางจั๋วจิ่วคำนวนเรื่องเหล่านี้เอาไว้แล้ว! ให้ตายเถอะ นางคำนวณไปถึงขั้นไหนกันแน่เนี่ย!อิ๋นไห่อารมณ์ตื่นเต้น ฝีเท้าก็เร่งกลับไปช่วยที่ตลาดมืดส่วนจั๋วซือหรานกลับรักษาประชาชนต่อไปอิงเซ่าอยู่ข้างๆ มองใบหน้างามด้านข้างที่ทั้งสวยงามทั้งเย็นชา
จั๋วซือหรานเขียนตำรับยาเสร็จ วางพู่กันลง หยิบตำรับยามาเป่าหมึก ยื่นส่งให้พนักงานข้างๆจากนั้นก็ถูๆ มือ “ไม่เป็นไร ข้ารักษาให้เจ้าเลยก็พอ แค่จะเจ็บนิดๆ เจ้าทนเอาหน่อย”หญิงสาวพอได้ยินคำพูดนี้ ก็พยักหน้าอย่างงงงัน จากนั้นจึงมองหญิงสาวงดงามตรงหน้าที่ทำให้คนต้องมองซ้ำหลายต่อหลายครั้งจนคล้ายกับดูหมิ่นนางคนนี้ดวงตางามสุกใสราวกับจะล่มเมืองคู่นั้น จ้องนางไม่กระพริบมองจนหญิงสาวตึงเครียดขึ้นหน่อยๆ นางพยักหน้า “ข้า...ข้าจะอดทน คุณหนูจิ่วโปรดวางใจ”จั๋วซือหรานเอ่ยเสียงต่ำ “เป็นแม่คนนั้นคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย ลำบากหน่อยนะ”พูดจบ นางก็เริ่มพลังวิญญาณของการแพทย์สายวิเศษเข้ารักษาหญิงตั้งครรภ์คนนี้ความเจ็บปวดที่นำมานั้นจิตนาการได้แทบจะในพริบตานั้น หญิงตั้งครรภ์คนนี้ก็กรีดร้องขึ้นอิงเซ่าที่อยู่ข้างๆ ก็ฟังจนขมวดคิ้ว เขาเองก็เคยเจอความลำบาก ยิ่งไปกว่านั้นเพราะบนตัวเขาคือนางพญากู่ ว่าตามหลักการจึงเจ็บปวดกว่ากู่ธรรมดาอยู่มากแต่เขารู้สึกว่าตนเองถึงอย่างไรก็เป็นชายชาตรี แต่นี่คือหญิงสาวที่ในท้องตั้งครรภ์อยู่...จะต้องเจ็บปวดมากแน่ๆอันที่จริงเดิมทียังมีคนไม่น้อยที่แอบคิด ว
อิงเซ๋าไม่เข้าในว่าออกจากเมืองแล้วค่อยเปลี่ยนหมายถึงอะไรจนกระทั่งควบม้าออกจากเมืองไปพร้อมกับจั๋วซือหรานค่ายลาดตระเวนอยู่เมืองชั้นนอก แต่ก็ไม่ได้อยู่นอกเมือง ส่วนค่ายป้องกันกลับอยู่นอกเมืองหลวง ตอนนี้พวกเขากำลังตรงไปยังค่ายป้องกัน เพราะสถานการณ์ค่ายป้องกันของฉีฮ่าวทางนั้นหนักหนากว่าทางค่ายลาดตระเวนส่วนค่ายลาดตระเวน เพราะอิงเซ่ากับต่งคังตอนนั้นมีปฏิกิริยารวดเร็ว เตรียมพร้อมปิดกั้นได้ทันท่วงที ดังนั้นสถานการณ์จึงไม่ได้หนักหนานักอิงเซ่าจึงตรงไปยังค่ายป้องกันพร้อมกับจั๋วซือหรานออกจากเมืองไม่นานนัก อิงเซ๋าก็มองเห็นว่าจั๋วซือหรานค่อยควบม้าช้าลง“คุณหนูจิ่ว?” อิงเซ่ายังไม่ค่อยเข้าใจแล้วจึงเห็นจั๋วซือหราน เม้มปากเป่าสัญญาณออกมาเสียงหนึ่งเสียงของสัญญาณก็ราวกับมีพลังทะลุทะลวงอย่างชัดเจน สามารถดังลอดไปได้ไกลแสนไกลอิงเซ่าตอนแรกยังไม่เข้าใจจั๋วซือหราน แต่เขาก็ค่อยๆ ตอบสนองขึ้นอย่างรวดเร็วคุณหนูจิ่วกำลัง...อัญเชิญการควบคุมสัตว์หรือ!ตอนที่อิงเซ่ารู้ถึงจุดนี้ ในสายตาก็มีอารมณ์ตกตะลึงแผ่ซ่านออกมาและเพียงไม่นาน การคาดเดาของเขาก็ได้รับการพิสูจน์จากจุดที่ห่างไกลทิศใดทิศหนึ่ง จู่ๆ
จากนั้นเขาก็นำสิ่งของที่เหมือนทรงกระบอกนั้น ส่งให้กับชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ อีกคนรับไป เอียงตาถามขึ้นว่า “เป็นอย่างไร?”“ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่านางมีแค่วิชายุทธ์ วิชาแพทย์ หลอมยากับวิชากู่ แต่ไม่เคยพูดเลยว่านางกระทั่งควบคุมสัตว์ก็ยังทำได้ด้วย” คนผู้นี้เอ่ยขึ้นเสียงต่ำชายหนุ่มที่ข้างเขา กลางหน้าผากมีตราประทับจันทราอยู่เจ้าสำนักหอจันทร์เงิน อินเจ๋ออันนั่นเองอินเจ๋ออันถามขึ้นเสียงเรียบ “ดังนั้น?”“ดังนั้น?” ชายหนุ่มข้างกายอินเจ๋ออันถึงแม้จะปิดบังใบหน้าครึ่งล่างไว้ แต่ก็มองออกได้ไม่ยาก จมูกที่โด่งเป็นสัน คิ้วตาโครงหน้าคม และสีฟ้าอ่อนๆ ที่เหมือนลอดออกมาจากในดวงตานี่เป็นดวงตาที่ศิษย์แห่งห้าตระกูลซางของเมืองหลวงเท่านั้นถึงจะมีและเช่นเดียวกับตระกูลเหยียนที่ถนัดวิชาแพทย์ ตระกูลเฟิงถนัดการรบ ตระกูลฮั่วถนัดข่าวกรอกง ตระกูลจั๋วถนัดการค้าตระกูลซางเองก็มีด้านที่ตนเองแข็งแกร่งที่สุด นั่นก็คือ...การควบคุมสัตว์“ถ้าเป็นคนอื่น ข้ายังสามารถไม่สนใจได้ ควบคุมสัตว์หรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าก็อยากจะเจอนางหน่อยแล้ว” ในดวงตาสีน้ำเงินของชายหนุ่ม มีความสนใจอย่างเปี่ยมล้น“ได้ยินว่านางปลุกพลังวิญญาณตระกู
ถ้าหากคนที่นำหน้าตอนนี้คืออิงเซ่า บางทีอาจจะคิดได้ลึกซึ้งและกว้างไกลกว่านี้แต่บังเอิญคนที่อยู่ตรงหน้านี้คือฉีฮ่าวฉีฮ่าวไม่ละเอียดรอบคอบเหมือนอิงเซ่า เขาเป็นคนนิสัยตรงไปตรงมา ใช้ชีวิตแบบมีบุญคุณต้องทดแทนมาโดยตลอดพอได้ยินคำพูดนี้ของจั๋วซือหราน ฉีฮ่าวก็พยักหน้าหนักๆ “คุณหนูจิ่ววางใจเถอะ! ฉีฮ่าวคนนี้จะยืนอยู่ข้างกายคุณหนูเอง!”จั๋วซือหราพอได้ยินคำนี้ ก็หรุบตาต่ำลงยิ้มๆ “คำพูดของท่านแม่ทัน ไม่กลัวว่าจั๋วจิ่วคนนี้จะทำให้ท่านแม่ทัพต้องไปทำเรื่องเลวๆ อย่างนั้นหรือ?”จั๋วซือหรานพูดพลาง เงยตามองไปยังชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าคนนี้ “ถึงอย่างไรชื่อเสียงของจั๋วจิ่วในเมืองหลวงก็ย่ำแย่อยู่นา”แม่ทัพฉีฮ่าวหลังจากได้ยินคำพูดนี้ของนาง บนหน้าก็เผยรอยยิ้มจริงใจออกมา น้ำเสียงเองฟังแล้วเด็ดขาด ไม่มีลังเลแม้แต่น้อย“ไม่กลัว” ฉีฮ่าวตอบ “ข้าเชื่อสิ่งที่ตนเองเห็นเท่านั้น ข้าเห็นว่าแม่นางจิ๋วเป็นคนดี เช่นนั้นคนอื่นจะพูดอะไรก็ไม่มีผลทั้งนั้น”“ยิ่งไปกว่านั้นข้าเชื่อว่า แพทย์ที่ทรงคุณธรรมที่ช่วยเหลือวิกฤติของค่ายป้องกันกับค่ายลาดตระเวนไว้เช่นนี้ ต่อให้ไม่มีมนุษย์คนไหนรัก ก็ไม่มีทางเป็นคนชั่วช้าสามานย์แน่นอน
หลังจากดึงผ้าที่อุดปากทหารที่กำลังคลั่งคนหนึ่งออก มือของข้างหนึ่งก็ถือยาไว้ มืออีกข้างบีบคางของทหาร เตรียมจะกรอกยาพอปากของทหารคลั่งไม่ถูกอุดไว้ ก็จะกัดเข้าไปที่มือของนางอย่างดุร้าย“ระวัง!” แพทย์ทหารรร้องตกตะลึงขึ้นมา ส่วนทหารคนอื่นก็ตกตะลึงด้วยเช่นกันฉีฮ่าวทนไม่ไหวเดินขึ้นมาสองก้าวจากนั้นทุกคนก็เห็นมือของนาง ฉากหลบออกมาด้วยการเคลื่อนไหวเล็กน้อยแม้จะเบี่ยงหลบการกัดของทหารคลั่ง แต่หลังมือก็ยังถากกับฟันของทหารคลั่งคนนั้นไป จนเกิดเป็นรอยที่ไม่ใช่แผลลึกขึ้นหยดเลือดสีแดงไหลซึมออกจากบาดแผลเลือดนี้พอประทับบนผิวขาวนวลของนาง ก็ชัดเจนจนแยงตา และแยงเข้าไปในตาของทุกคนด้วยเช่นกันแต่ว่าพวกเขากลับมองไม่เห็นสีหน้าอะไรจากหน้าของนางเลยอย่าว่าแต่จะขมวดคิ้วเลย กระทั่งหนังตาก็ยังไม่เลิกขึ้นด้วยซ้ำยิ่งไปกว่านั้นแขนที่บาดเจ็บข้างนั้นของนาง การเคลื่อนไหวก็ไม่สับสนเลยแม้แต่น้อย ยังขยับไปตามทิศทางเดิม บีบคางทหารคลั่งเอาไว้ข้างหนึ่งออกแรงให้เขาขยับตัวอีกไม่ได้ จากนั้นก็กรอกยาลงไปทั้งชามจั๋วซือหรานปล่อยมือออกจากทหารคลั่งคนนั้น และทำเช่นเดียวกันต่อไปกับทหารคลั่งคนที่สองจากนั้นจึงเก็บมือกลั
จั๋วซือหรานที่นั่งอยู่ห่างๆ กำลังเย็บแขนข้างหนึ่งอยู่เงียบๆทหารคลั่งตอนแรกยังแยกเขี้ยวใส่นาง รู้สึกเหมือนอยากจะพุ่งเข้าไปกัดนางให้ตายเสียให้ได้ แต่สีหน้าของนางก็ยังไม่เปลี่ยน ยังคงเย็บต่อไปเงียบๆ ครู่หนึ่งก็เอียงตามองไปยังแพทย์ทหารที่กำลังมองอย่างเคลิบเคลิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ประมาณนี้นั่นล่ะ อีกเดี๋ยวท่านก็ลองหาพวกสัตว์อะไรมาทดลองดู หลักการก็เป็นเช่นนี้ ไม่ได้มีเคล็ดลับอะไร ฝึกมากๆ ก็ชำนาญเอง”แพทย์ทหารพยักหน้าหงึกหงัก ตอนที่มองจั๋วซือหราน ดวงตาก็เปล่งประกาย “ขอบคุณแม่นางจิ่วมาก! เรื่องนี้มีประโยชน์กับพวกเรามาก! ในค่ายทหารเนื่องจากสถานการณ์การฝึกฝนต่างๆ เรื่องการบาดเจ็บภายนอกพบเห็นได้บ่อยมาก...”จั๋วซือหรานทำงานของตนเอง พลางฟังเสียงสนทนาของอิงเซ๋ากับฉีฮ่าวที่อยู่ไม่ไกลออกไปนักด้วยระดับความเฉียบคมของสัมผัสทั้งห้านางตอนนี้ ต่อให้ไม่สามารถฟังออกทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน แต่พอฟังประโยคสำคัญบางส่วน จากนั้นก็จะแกะความหมายออกมาได้เองจนในที่สุดที่เสร็จสิ้นสถานการร์ของค่ายป้องกัน ฟ้าก็เริ่มมืดแล้วดวงตะวันลับขอบฟ้า แสงยามเย็นย้อมท้องฟ้าไปทั้งผืน“ทางนี้หลักๆ ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นข้
หลงเฉินเนื่องจากร่างกายแบกพลังมังกรหนามม่วงไว้ แต่สิ่งที่ต้องนำมาสะกดนั้นตรงข้ามกับเฟิงเหยียนหลงเฉินเป็นประเภทที่ต้องพึ่งพาคุณสมบัติต่อพิษ ถ้าหากไม่มีการหาสิ่งที่พิษ พิษของมังกรหนามม่วงในร่างกายก็จะเริ่มทำร้ายตนเองอันที่จริงถ้าหากจั๋วซือหรานอยู่ที่นี่แล้วมีปฏิกิริยากับเนื้อหาที่เฟิงเหยียนพูดมาล่ะก็ คงจะมีคำจำกัดความให้อย่างรวดเร็วว่า:นี่มันก็เหมือนกับติดยาเสพติดนี่นาสถานการณ์ของหลงเฉินตอนนี้เป็นเช่นนี้จริงๆ"เพราะที่พรมแดนใต้มีสิ่งมีพิษอยู่มากกว่า" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้น "แต่ก่อน บางทีท่านก็หายไประยะหนึ่ง บอกว่าตนเองปิดด่าน หลังจากกลับมาสีหน้ากับสภาพก็ไม่ค่อยสู้ดีนักตอนนี้พอคิดๆ ดู ท่านก็น่าจะไปเอาสิ่งมีพิษมาใช้ประโยชน์กับตัวเองสินะ...ท่านอยู่แค่ในป่านี้ ก็เพราะที่นี่มีหมอกพิษข้าเดาว่าท่านคิดจะสูดรับหมอกพิษเหล่านี้แล้ว ค่อยไปยังใจกลางหมอกพิษเอาสมบัติที่ก่อหมอกพิษหนาแน่นนี้มาใช้ประโยชน์กับตนเองและสาเหตุที่ก่อนหน้านี้ท่านลงมือกับสัตว์อสูรของจั๋วเสียวจิ่ว ก็น่าจะเพราะแมงมุมตัวนั้นไปพบกับสมบัติที่ใจกลางหมอกพิษ แล้วกำลังจะเก็บมันมาสินะยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเพราะ แมงมุมตัวนั้นก็เ
เฟิงเหยียนหลังจากพูดคำนี้ ก็ได้เห็นสีหน้าหลงเฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชากับปั้นยากอย่างที่หวังเอาไว้ชั่วพริบตา เฟิงเหยียนก็รู้สึกสุขล้นขึ้นมาก่อนหน้านี้อันที่จริงเขาไม่ใช่คนนิสัยแบบนี้ หลายครั้ง ที่เขาขี้เกียจจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับคนอื่นการพูดจาแทงใจดำคนอื่นเช่นนี้ เป็นความสามารถของจั๋วซือหรานนางเหมือนจะมีความสามารถที่พูดแค่ไม่กี่คำ ก็ทำให้คนอื่นโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงได้และเฟิงเหยียนในตอนนี้ ก็เหมือนจู่ๆ เข้าใจถึงความสุขนั้นขึ้นมาแล้ว?ถึงอย่างไร พอเห็นคนที่ไม่ชอบหน้า เห็นสีหน้ากับหน้าตาที่ปั้นยากนั่นในใจก็รู้สึกเป็นสุขมากกว่าธรรมดา"หญิงสาวคนนั้นบ้าบิ่นหยิ่งยโสนัก" เสียงของหลงเฉินเอ่ยขึ้นมาโดยไม่เหลือความอบอุ่น "ดูท่าก่อนหน้านี้ข้าจะใจดีไป ถึงได้ปล่อยนางหนีไปกับเจ้า""องค์กรเดิมทีก็คิดจะกำจัดนางอยู่แล้ว ข้าเห็นแก่หน้าเจ้าหรอกนะ ถึงไม่ได้ทำอะไรนาง" หลงเฉินยิ้มเย็นชา "แต่นี่ก็ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีจริงๆ จัดการนางทิ้งน่าจะดีกว่า"เฟิงเหยียนเหลือบมองเขาผาดหนึ่ง "ท่านอย่ามาทำเป็นแข็งกร้าวนักเลย""โอ๋?" หลงเฉินมองเขา "ข้าแข็งกร้าวเรอะ?"เฟิงเหยียนเอ่ยเสียงเรียบ "ถ้าท่านรีบออกจากป่านี้ เ
ท้ายสุดก็ยังไม่สามารถให้อภัยได้ สักนิดก็ไม่ได้ ดังนั้นจึงตัดความสัมพันธ์กับอาจารย์ แยกทางกับพี่น้องไปเขาสูงทะเลกว้าง ราวกับไม่มีวันได้พบกันอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง เหล่าพี่น้องล้วนรู้สึกว่าเขาทำผิดไปแต่เฟิงเหยียน ทุกคนล้วนยอมรับว่าเขาเป็นคนที่ดื้อรั้น แม้ว่าจะผิด แต่เขาก็ยืนยันที่จะเดินไปจนถึงที่สุดแต่ว่า...หลังจากนั้นล่ะแล้ว...ตอนนี้ล่ะ?เฟิงเหยียนมองเรียบๆ ไปเบื้องหน้า...มองไปยังอดีตอาจารย์ที่เคยเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ๋ในสายตาเขาเสียงของเฟิงเหยียนไม่ได้เย็นชาอะไร หรือห่างเหินโกรธแค้นอย่างไรมีแต่ความสงบความสงบที่ไม่มีอาการขึ้นลงของอารมณ์ดวงตาที่เฟิงเหยียนมองหลงเฉิน ถามขึ้นเสียงเรียบว่า "พวกเขาเคยบอกว่าข้าทำผิด พวกเขาล้วนคิดว่า ท่านแค่ทำเพื่อข้า เป็นข้าที่ไม่รู้ผิดชอบชั่วดี เป็นข้าที่ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่""แต่พวกเขาตอนนี้ ไปอยู่ที่ไหนกันแล้ว?" เฟิงเหยียนถามขึ้นหลังจากนั้น ความสงบที่อบอุ่นบนหน้าหลงเฉิน ก็เหมือนพังทลายลงในพริบตา เผยให้เห็นความมืดมนราวกับถูกย่ำลงไปบนจุดเจ็บอย่างไรอย่างนั้นศิษย์เหล่านั้นที่เคยรายล้อมอยู่รอบตัวเขา ทุกวันเหมือนเต็มไปด้วยความสดใสมีชีวิตชีวา
จะเรียกว่าเยี่ยนหรานหรือว่าเฟิงเหยียนก็ได้ทั้งนั้น แต่คำว่าศิษย์นั้นไม่ได้เขาตัดขาดความสัมพันธ์กับหลงเฉินไปแล้ว และไม่ใช่ศิษย์ของเขานานแล้วหลงเฉินได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็ฟังออกถึงความหมายของเขาจึงหัวเราะเสียงต่ำขึ้นมา "เป็นเด็กดื้อจริงๆ มิน่าตอนนั้นอวิ๋นเอ๋อร์กับเซิ่นเอ๋อร์ถึงได้ทะเลาะกับเจ้า"พอได้ยินสองชื่อนี้ มุมปากเฟิงเหยียนก็เม้มแน่นขึ้นมาตอนนั้นศิษย์ที่อยู่ใต้สังกัดของหลงเฉินไม่ใช่มีแค่เขา แต่ยังมีศิษย์คนอื่นอยู่ด้วยแม้เขาจะนิสัยค่อนข้างเย็นชา แต่เพราะพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม จึงได้รับความโปรดปรานจากหลงเฉินมากศิษย์คนอื่น แม้อันที่จริงตอนนั้นจะมีความผูกพันธ์ฉันท์พี่น้องลึกซึ้ง แต่ในกลุ่มเด็กหนุ่มที่ชอบแข่งขัน ก็ย่อมมีคนอิจฉาที่เขาได้ความรักจากอาจารย์มากที่สุดในกลุ่มเด็กหนุ่ม ไม่มีความแค้นฝังลึกอะไรแบบนั้น ก็แค่อิจฉาริษยาเท่านั้น ทะเลาะกันสักยกก็จบเรื่องแต่เฟืงเหยียนไม่ว่าจะสู้กับคนอื่นอย่างไร ก็ไม่เคยก้มหน้าให้ดื้อแพ่งสุดๆและต่อมา ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ ว่าตนเองถูกอาจารย์รังแก ถูกทรยศมาตลอดเหตุผลตั้งแต่ต้นจนจบ ก็แค่เพราะเข้าเหมาะที่จะเป็นภาชนะหงส์แดงมากที่สุดเท่า
เพียงแต่ว่า ถ้าจะให้พูดจริงๆ เฟิงเหยียนเองก็อาจจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลังจากออกเมืองหลวงมาก็อยากจะติดตามหญิงสาวคนนั้นทั้งที่จำไม่ได้แล้วแท้ๆ ทั้งที่ตัดสินใจจะขีดเส้นคั่นแล้วแท้ๆแต่ก็ยังตามนางมาเพราะรู้ว่านางระแวดระวังแค่ไหน ก็เลยใช้วิะีการแปลงโฉมที่เป็นเอกลักษณ์ และไม่เข้าใกล้นางอยู่ตลอด จนกระทั่งนางเข้ามาในป่าทวนแสงนี้พอมาถึงพื้นที่ป่าที่หมอกพิษหนาทึบ สัมผัสของคนเราก็จะอ่อนแอลง ตอนนี้จึงร่นระยะเข้าใกล้ขึ้นมาและเพราะเหตุนี้ จึงได้มองออกถึงหลงเฉิน...ภาชนะมังกรหนามม่วงตั้งแต่แรกเห็นหลงเฉินเป็นอาจารย์ของเขา หนึ่งในภาชนะสัตว์เทพที่สภาผู้อาวุโสรวบรวมเข้ามาตอนนั้นที่สภาผู้อาวุโสให้หลงเฉินได้เจอกับเขา สั่งสอนเขา ให้เขาพึ่งพาศรัทธาเป็นอาจารย์ เป้าหมายหลักๆ แล้ว อันที่จริงก็คือแบบนั้นสภาผู้อาวุโสหวังจะรวบรวมภาชนะหงส์แดงเข้ามา เพียงแต่เนื่องจากตระกูลเฟิงเจ้าเล่ห์เกินไป เพื่อรับประกันว่าตระกูลตนเองยังสามารถใช้ประโยชน์พลังของสัตว์เทพได้ จึงใช้มันออกมาแทบทุกวิถีทางไม่ว่าจะพันธนาการดวงวิญญาณของสัตว์เทพ หรือลงมือกับภาชนะสัตว์เทพอย่างเขาดังนั้นสภาผู้อาวุโสจึงทำไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงทำ
เหล่าสัตว์ประหลาดในใจก็บริสุทธิ์มากๆ ความเชื่อมั่นและการพึ่งพาต่อจั๋วซือหรานของพวกมันดังนั้นพอได้ยินคำนี้ของจั๋วซือหราน จึงรู้สึกว่าจั๋วซือหรานเหมือนน้อยเนื้อต่ำใจอย่างไรอย่างนั้นขนมถั่วแดงเอ่ยขึ้นฮึดฮัด "ใครกล้ามารังแกนายท่านของข้า? ข้าจะไปจัดการเขาคนแรกเลย!""ข้าคนที่สอง..." ขนมมะม่วงเอ่ยขึ้นเสียงอ่อย"ข้าคนที่สาม...""ข้าคนที่สี่...""..."อารมณ์จั๋วซือหราน เหมือนถูกเจ้าก้อนเนื้อพวกนี้แหย่ให้ดีขึ้นมาพอควรนางยื่นมือไปจับสองตัวเข้ามา นวดคลึงไว้ในมือเหมือนกับคนแก่คลึงบอลเพื่อสุขภาพนวดไปด้วยก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ "มีพวกเจ้าอยู่ข้าก็อารมณ์ดีแล้ว ถ้าอารมณ์ไม่ดี พวกเราก็ไปหาคนกับหาเรื่องระบายให้ดีก็พอแล้ว"ราชาแมงมุมหน้าผีได้ยินน้ำเสียงของจั๋วซือหรานเหมือนดีขึ้นมาไม่น้อย จึงผ่อนลมลงมา "ได้ ข้าจะไปสั่งสอนเจ้าพวกตระกูลเหอนั่นพร้อมนายท่านเลย""ใช่เลย" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "พูดถึงตระกูลเหอ...ไอ้ของที่ข้าโยนเข้ามาในมิติเมื่อครู่ล่ะ?"เดิมทีน่าจะเป็นของที่น่าสนใจอยู่ แต่ดันถูกเจ้ามนุษย์กิ้งก่านั่นมาขัด นางจึงลืมไปเลย ตอนนี้เพิ่งจะนึกออกหุ่นเชิดตัวนั้นล่ะ?ราชาแมงมุมหน้าผียื
จั๋วซือหรานคิดๆ "ไม่รู้ว่าจะเรียกอย่างไรดี?" นางยิ้มตาโค้ง "ในอนาคตข้าจะหาวิธีตอบแทนเจ้าแน่"ชายหนุ่มนิ่งงันไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงต่ำออกมาคำหนึ่ง "เยี่ยนหราน""เยี่ยนหราน?" จั๋วซือหรานรู้สึกไม่ค่อยเหมาะสม ตนเองทำแบบนี้ก็ไม่ค่อยมีมารยาท จึงยื่นมือไปตรงหน้าเขา "สองตัวอักษรไหนหรือ?"ชายหนุ่มเห็นนางยื่นฝ่ามือขาวนวลมาตรงหน้า สายตานิ่งงันไปครู่หนึ่งมุมปากยกขึ้น ค่อยๆ ยกมือขึ้นมา มือข้างหนึ่งประคองหลังมือนาง นิ้วของมืออีกข้างก็วาดลงไปเบาๆ บนฝ่ามือนาง"คำว่าเยี่ยนที่แปลว่าสงบ หรานที่แปลว่าเผาไหม้" ชายหนุ่มเอ่ยตอบเขาชะงักไป เหมือนนึกอะไรออกขึ้นมา ถามว่า "แม่นางชื่อว่าอะไรหรือ?"จั๋วซือหรานมองเขาอย่างครุนคิด ดวงตาลึกซึ้งขึ้นมาแต่ว่าสีหน้าของชายคนนี้ ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักจั๋วซือหรานจึงตอบว่า "สกุลจั๋ว จั๋วซือหราน ยินดีที่ได้รู้จัก" ในดวงตาของนางมีรอยยิ้มที่ดูลึกลับ "เช่นนั้นพวกเราก็มีวาสนากันสินะ มีชื่อหรานด้วยกันทั้งคู่"ชายหนุ่มไม่พูดอะไรมาก เพียงเอ่ยขึ้นว่า "ในป่านี้อันตราย เจ้ารีบออกจากที่นี่จะดีที่สุด ไม่รู้ว่าเจ้านั้นถ้าตั้งตัวแล้วหาที่นี่เจอ คงได้วุ่นวายกันพอดี"จั๋วซือหราน
"ความหมายของเจ้าคือ มนุษย์กิ้งก่าเมื่อครู่นี้..." จั๋วซือหรานเรียกว่าคำว่า 'มนุษย์มังกร' ออกมาไม่ได้จริงๆ นางเอ่ยต่อว่า "บนตัวถูกปิดผนึกพลังของมังกรหนามม่วงไว้หรือ?"และเหมือนเพราะนางตอบสนองได้รวดเร็ซ สายตาของชายหนุ่มที่มองไปทางนาง ก็พยักหน้าให้อย่างชื่นชม"พวกองค์กร...ที่มีพลังค่อนข้างลึกล้ำบางส่วน จะรวบรวมพลังพวกนี้ไว้" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น "เลี้ยงคนแบบนี้เอาไว้ในองค์กร เหมือนกับชุบเลี้ยงอาวุธไว้นั่นล่ะ เป็นดาบที่ใช้การได้ดีเลยทีเดียว"พริบตาที่ได้ยินคำนี้ จั๋วซือหรานก็อดคิดไปถึงสภาผู้อาวุโสนั่นไม่ได้นางขมวดคิ้ว ครุ่นคิด แล้วก็ยังถามขึ้นว่า "ถ้าพลังแข็งแกร่งพอล่ะก็ ยังถูกพวกองค์กรพวกนี้ควบคุมได้อีกหรือ?"ชายหนุ่มไม่ได้พยักหน้าและส่ายหัวให้กับคำพูดนี้ของจั๋วซือหราน หลังจากที่ชะงักไปเล็กน้อย จึงเอ่ยขึ้นว่า "องค์กรที่พลังลึกล้ำเช่นนี้ ก่อนที่จะทำให้คนเหล่านี้เปลี่ยนเป็นเช่นนี้ ก็น่าจะเตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่มีทางที่จะให้ดาบที่ตนเองตีไว้ ต้องหันมาเฉือนมือตนเองแน่นอน..."ในน้ำเสียงเขามีอาการทอดถอนใจอยู่ "และหนทางเดียวของคนเหล่านี้ ก็คือการตื่นขึ้น แต่การตื่นนั้นก็ยังยากยิ่งกว่าข
จากนั้นจึงได้ยินเขาเสริมมาให้คำหนึ่ง "ยิ่งไปกว่านั้น เขาเองก็ไม่ใช่กิ้งก่าด้วย"จั๋วซือหรานมองเขา "ไม่ใช่กิ้งก่า? แต่เกล็ดหนังทั้งตัวนั่น...แล้วนิสัยเป็นศัตรูกับพวกแมลง ก็ไม่น่าจะเป็นของพวกจระเข้หรือเปล่า..."จั๋วซือหรานพูด น่าจะเพราะรู้สึกว่าคำพูดต่อจากนี้มันน่าขำ ดังนั้นจึงหัวเราะขึ้นมา เอ่ยต่อว่า "คงไม่ได้เป็นมังกรหรอกนะ..."จากนั้น นางจึงเห็นว่า...ชายหนุ่มคนนี้ หลังจากได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็จ้องมาที่นาง ไม่พูดอะไรจั๋วซือหรานตกตะลึงไป นางกัดริมฝีปาก "หรือว่าเป็นจริงๆ...?"แม้จะยอมรับโลกแฟนตาซีนี้ได้นานแล้ว กระทั่งหงส์แดงก็ยังมีเลย นางเองก็ยังยอมรับได้ แต่ว่า...มังกรหรือ?แม้จะบอกว่าพลังของคนเมื่อครู่ทำให้นางเกิดความรู้สึกอันตรายขึ้นา แต่...มังกรเนี่ยนะ?!ชาติที่แล้วนางมาจากแผ่นดินใหญ่ แนวคิดเรื่องมังกร มันไม่ใช่แค่รูปลักษณ์เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่ฝังรากลึกใจเชิงวัฒนธรรม เป็นคำที่สื่อถึงความหมายดีดีมีศิริมงคลแต่เมื่อกี้นี้มัน...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว "มังกรดีดีที่ไหนที่หน้าตาเป็นแบบนั้นกัน...ดูแล้วอย่างกับถูกดองเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น"ชายหนุ่มเดิมทีที่มีสีหน้าเคร่งขรึ