“เพียงแต่ว่า เพราะนายท่านคนนี้สมองอาจจะไม่ดี แล้วยังแข็งกระด้างน่าเบื่อ ไม่มีความเมตตาอีก”จั๋วซือหรานเอ่ยต่อ “ดังนั้นถ้าหากประตูลับของน้องชิงถูกพบเข้า ก็ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้เขาลำบาก ดังนั้นพวกเราต้องไวหน่อย ระวังตัวเอาไว้ก่อน”จั๋วซือหราน รู้สึกว่าความดันอากาศไม่ค่อยจะปกตินางหันไปมองผู้ชายที่อยู่ด้านหลังและก็เห็นว่าท่านอ๋องเดินออกมาครึ่งตัวแล้ว อีกครึ่งตัวยังอยู่ในประตูลับครึ่งสว่างครึ่งมืด ความดันอากาศต่ำเหล่านี้ เหมือนจะแผ่ออกมาจากบนตัวเขาจั๋วซือหรานยังยื่นมือมาตบเบาๆ ที่แขนของเขา เอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋องไม่ต้องเครียด ที่นี่แม้จะเป็นหน่วยสืบสวนพิเศษ แต่ก็ไม่น่ากลัว”“พี่สาว!” เสียงของจั๋วหวายดังลอดเข้ามากะทันหันจากที่ไม่ไกลนัก มีความยินดีเข้ามาด้วย “พี่สาวท่านกลับมาแล้ว!”ชายหนุ่มเพียงไม่นานก็เข้ามาต้อนรับ พิจารณาตัวจั๋วซือหรานทั้งบนทังล่าง ในสายตาล้วนเป็นความกังวลและเป็นห่วงจั๋วซือหรานสังเกตสายตาเขา ปากโค้งยิ้มละไม “ทำไม? กลัวว่าข้าจะถูกรังแกหรือ?”พอได้ยินคำของจั๋วซือหราน จั๋วหวายก็ผ่อนลมหายใจออกมา “ไม่กลัวได้หรือ?”จั๋วหวายเบ้ปาก “พวกเขาอยากจะรังแกท่านกันทั้งนั้น”จั
เขาดูร้อนรนขึ้นแล้ว ปลายจมูกมีเหงื่อผุดเขาชอบจั๋วซือหรานมากจริงๆ ความคิดของเขาบริสุทธิ์ ชอบหรือเกลียดคนผ่านลางสังหรณ์ราวกับว่า...มีสัญชาตญาณของสัตว์ตัวเล็ก เหมือนว่าสามารถดมกลิ่นคนดีหรือคนไม่ดีจากบนตัวของอีกฝ่ายได้อย่างไรอย่างนั้นชิ่งหมิงรีบเข้ามาขวางตรงหน้าจั๋วซือหราน พูดติดอ่างขึ้นมา แต่เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ร้อนรนขึ้นแล้ว “ไม่ ไม่ใช่นะ..ข้าไม่ได้ต้อง..ต้องการเงื่อน เงื่อนไข...”ชิ่งหมิงขมวดคิ้ว เขาเอ่ยกับจั๋วซือหรานอย่างตั้งใจ “ซือหราน ข้ามองเจ้าเป็นเพื่อน ถ้าช่วยเจ้าได้ ข้าก็จะช่วยเจ้า...”จั๋วซือหรานมองดวงตาสุกใสของชิ่งหมิงในดวงตาเผยรอยยิ้ม “ก็เพราะแบบนี้ไง ข้าจึงจะรักษาเจ้าให้หายดี”และก็เพราะเขามองนางเป็นเพื่อนอย่างจริงใจ“เอาล่ะ เรื่องรักษาเจ้าอีกเดี๋ยวค่อยคุยกัน คนนี้คือท่านอ๋องเฟิง ...ของข้า” จั๋วซือรหานคิดอยู่ว่าควรจะแนะนำเฟิงหรานอย่างไรดี หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงยิ้มตาโค้ง เอ่ยขึ้นว่า “เป็นตัวประกันของข้า”“ตัวประกัน?” ชิ่งหมิงไม่ค่อยเข้าใจ สายตาสงสัย“อืม ตอนนี้ข้างนอกมีเรื่องที่คนสาดน้ำสกปรกใส่ข้า พวกเจ้าก็น่าจะไดยินมาบ้างแล้ว” จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น “ข้าต้องเอ
“ข้า ข้าเชื่อ...เชื่อเจ้า!” ชิ่งหมิงพอเครียด คำพูดคำจาก็จะเริ่มติดอ่างเขาเป็นคนที่มีความคิดบริสุทธิ์ พอเชื่อใจกับคนแล้ว ก็แทบจะเชื่อสนิทใจจนไม่สร้างการป้องกัน“เจ้าบอกว่าได้ ก็คือได้” ชิ่งหมิงเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ขั้นตอนง่ายมาก ส่วนประสิทธิภาพ ข้ายังต้องค่อยๆ ตรวจสอบในภายหลัง แต่จากความเข้าใจในปัจจุบันของข้า น่าจะสามารถยืนยันได้ว่ามีผลแน่นอน”สายตาของชิ่งหมิงเหลือบไปอยู่บนก้อนกลมๆ นุ่มๆ ขาวๆ ในมือนางที่ดูเหมือนจะไม่มีพลังโจมตีใดแม้ว่าเจ้าก้อนกลมนี้ดูแล้วเหมือนยังไม่ปนเปื้อนไม่เป็นอันตราย ให้ใครมาดู ก็คงจะจินตนาการไปถึงพิษกู่ที่น่ากลัวอะไรนั่นได้ยาก!แต่สายตาของชิ่งหมิงก็ยังกระวนกระวายเพราะเขาเกิดที่แคว้นเหยี่ยน เป็นคนแคว้นเหยี่ยนอย่างแท้จริง ในสามแคว้นใหญ่แดนใต้และในแดนใต้ เนื่องจากสภาพอากาศและสภาพภูมิศาสตร์และระบบนิเวศเอื้ออำนวยเป็นอย่างดี ทั้งแดนใต้จึงมีการบำเพ็ญด้านกู่พิษเป็นหลักชิ่งหมิงเติบโตที่แคว้นเหยี่ยนตั้งแต่เล็ก จึงเข้าใจเรื่องพิษกู่เป็นอย่างดีดังนั้นเพียงแค่มองก็รู้ว่าเจ้าก้อนกลมในมือจั๋วซือหรานนี้ไม่ธรรมดาชิ่งหมิงรีบเก็บสายตาลงมา ไม่อ
พอสังเกตเห็นสายตาแหลมคมของเวินป๋อยวน ชิ่งหมิงก็รู้ว่าเขาน่าจะเข้าใจผิดเสียแล้ว “ซือหรานแค่คิด คิดจะรักษาข้า...”เวินป๋อยวนเหลือบมองจั๋วซือหรานเย็นชาผาดหนึ่ง “ใช้แมลงกู่หรือ? ข้ากับชิ่งหมิงล้วนมาจากแดนใต้กันทังนั้น จั๋วจิ่ว เรื่องนี้เอาไปหลอกคนอื่นก็พอได้ แต่มาใช้กับพวกข้านี่มันดูไม่ค่อยเหมาะเลยนะ”จั๋วซือหรานเม้มริมฝีปาก ไม่ส่งเสียงด เพียงเอียงตาไปกำชับกับจั๋วหวาย “เสี่ยวหวาย พาท่านแม่กลับบ้านไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องหารือกับสองคนนี้”จั๋วหวายแม้จะกังวลพี่สาวอยู่ แต่ก็ยังเชื่อมั่นว่าพี่สาวจะสามารถจัดการเรื่องของตนเองได้ จึงพาท่านแม่กลับไปที่บ้านจั๋วซือหรานมองไปทางเวินป๋อยวน “นายท่านซือหลี่ตันติง เพราะคนที่ข้ารับปากไว้คือชิงหมิง ดังนั้นข้าจะรักษาเขาให้หาย ว่าตามหลักการแล้ว ข้าก็ไม่มีหน้าที่ต้องมาอธิบายอะไรกับท่านด้วย”เสียงของจั๋วซือหรานราบเรียบ เนื้อหาในคำพูด ทำเอาเวินป๋อหยวนถึงกับหรี่ตาลง“แต่พิจารณาถึงนายท่านที่เป็นห่วงจนว้าวุ่น บวกกับที่นายท่านได้รับของที่ข้าต้องการมา” จั๋วซือหรานชี้ไปยังยาที่ทำให้คนเจ็บปวดทรมานอย่างที่สุด “ดังนั้น ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะอธิบายให้นายท่านฟังเสียหน่
เวินป๋อยวนพอได้ยินคำพูดนี้ ก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “โอ้อวดอย่างไม่ละอาย”แต่เขาก็พูดต่อมาอีก “แต่เจ้าเองก็มีความสามารถที่ทำให้คนต้องมองใหม่ได้อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชิ่งหมิง ข้าจะบุ่มบ่ามเห็นได้ไม่ได้ เจ้าจทำให้ข้าเชื่อได้อย่างไร ว่าเจ้ามั่นใจเต็มร้อยจริง?”เวินป๋อยวนจ้องมองดวงตาของหญิงสาวน่าจะเป็นเพราะประสบการณ์ที่เจอมาตลอด เวินป๋อยวนต้องปกป้องชิ่งหมิงที่เหมือนกับกระดาษขาวแผ่นหนึ่งไว้ ถ้าบอกว่าชิ่งหมิงเป็นราวกับกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง เชื่อใจคนอื่นอย่างสนิทใจโดยไม่สงสัยแล้วล่ะก็เช่นนั้นความเคร่งขรึมกับซับซ้อนของเวินป๋อยวน ก็เต็มไปด้วยความสงสัยต่อตัวคนอื่นนั่นเองแทนที่จะเชื่อใจ เขากลับสงสัยเสียมากกว่าแต่หญิงสาวตรงหน้า เคยทำให้เขาต้องหันมามองใหม่มาแล้ว ดังนั้น เวินป๋อยวนก็ไม่ใช่ว่าจะลองเชื่อใจนางไม่ได้ เพียงแต่ เขาต้องการบางสิ่งอย่างที่ทำให้ตนเองเชื่อใจได้มากขึ้นและตอนนี้เอง รอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานยังคงละไม เลิกหางตาขึ้นเล็กน้อย กระทั่งดูขี้เกียจหน่อยๆ ด้วยนางยักไหล่เบาๆ เอ่ยกับเวินป๋อยวนว่า “ดังนั้น ก็ไม่ใช่ว่าข
หลังจากนั้นก็แล้วแต่สถานการณ์จะพาไปเลยจั๋วซือหรานภายใต้การยอมรับกลายๆ ของเวินป๋อยวน จึงนำเจ้าอ้วนขาวในมือตัวนี้ วางไว้บนตัวชิ่งหมิงขั้นตอนทั้งหมดดูสงบมากชิ่งหมิงเองก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอะไร แต่ก็เหมือนว่าเวลาเพียงครู่เดียวคงยังมองผลลัพธ์อะไรไม่ออก“น่าจะต้องหลายวันหน่อยกระมัง” จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นแต่เวินป๋อยวนกับชิ่งหมิง ก็ดูไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่ยังไม่เห็นผลลัพธ์ชั่วขณะนี้ ในช่วงหลายปีเวินป๋อยวนก็คิดหาวิธีรักษาชิ่งหมิงมาไม่น้อย แต่ทั้งหมดก็ล้วนไม่มีผลลัพธ์ใดดังนั้นจึงชินไปแล้ว จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า “สรุปคือ รออีกสักสองสามวันแล้วค่อยดูผลลัพธ์เถอะ ชิ่งหมิงทางนี้ข้าจัดการให้เรียบร้อยแล้ว ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องไปจัดการอีก ขอตัวก่อน”จั๋วซือหรานยุ่งเอามากๆ ยังมีงานต้องไปทำต่อเวินป๋อยวนหลังจากผ่าน “การสื่อสารฉันท์มิตร” กับจั๋วซือหรานไปเมื่อครู่ อารมณ์ตอนนี้ก็สงบลงมาแล้วตอนนี้จึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “เจ้าไปทำธุระของเจ้าได้ แม้ว่าเรื่องที่ด้านนอก ข้ากับชิ่งหมิงจะสอดมือเข้าไปลำบาก แต่คนที่เจ้าให้พักที่นี่จะไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น”จั๋วซือหรานพยักหน้า “ขอบคุณนายท่านมาก เช่น
ด้านนอกศูนย์การแพทย์ตระกูลเหยียนมีแถวยาวเหยียด ในศูนย์การแพทย์ก็ยิ่งคึกคักดังนั้นตอนที่จั๋วซือหรานเข้ามา จึงไม่มีคนสังเกตเห็นนาง ยังเอ่ยขึ้นว่า “ไปเข้าแถวข้างนอกก่อน เจ้า...”จากนั้นพอจำได้ เสียงก็ขาดห้วงไปทันทีและมีเสียงกระซิบเบาๆ ดังขึ้น “นี่...นาง...ไม่ใช่แม่นางจั๋วจิ่วคนนั้นหรือ?”เพราะว่ายุ่งเกินไป ดังนั้นเหยียนหยี่หลิงจึงคอยช่วยอยู่ตลอดพอได้เยินเสียงกระซิบนี้ หูนางก็ขยับเล็กน้อย เงยหน้ามองไปยังแขกแปลกหน้าที่ทำให้เกิดความวุ่นวายสายตาจึงสบกับดวงตาพญาหงส์คู่หนึ่ง ดวงตาที่งดงามขีดสุด ประกายตากลับลึกซึ้ง เหยียนหยี่หลิงตึกตักในใจ นางมาได้อย่างไรกัน?! นางทำมจึงยังกล้าออกจากบ้าน?!เพราะบุญคุณความแค้นก่อนหน้านี้ของจั๋วซือหรานกับตระกูลเหยียน เหยียนหยี่หลิงที่ไม่เคยประสบความสำเร็จเลยสักครั้ง จึงกลายเป็นปมในใจของเหยียนหยี่หลิงไปแล้วในดวงตาเหยียนหยี่หลิงมีความสับสนแล่นวาบผ่านไปชั่วครู่แต่ก็เห็นว่าคนมากมายรอบๆ ล้วนกำลังใช้สายตาท่าทีระวังและพรั่นพรึง กระทั่งรังเกียจมองไปทางจั๋วซือหรานคนมากขนาดนี้ล้วนยืนอยู่ฝั่งเดียวกับตนเอง ในใจเหยียนหยี่หลิงจู่ๆ ก็มั่นใจขึ้นมานางหัวเราะเย็
“เจ้าลงมือ...กับหมออย่างข้า...อย่างเปิดเผยเช่นนี้เลยหรือ?”จั๋วซือหรานหัวเราะเสียงต่ำ “เจ้ายังมาหมิ่นเกียรติของข้าอย่างเปิดเผยได้เลย แล้วข้าจะลงมือกับเจ้าบ้างมันทำไมกัน? ทุกคนก็เป็นแพทย์กันทั้งนั้น เจ้าไม่ยอมเจ้าก็มาลงมือกับข้าสิ”เหยียนหยี่หลิงสีหน้าแข็งทื่อไปแล้ว นางยังดิ้นให้หลุดจากการกดของจั๋วซือหรานตอนนี้ไม่ได้เลย! นางเป็นแค่แพทย์คนหนึ่งเท่านั้น!แต่ว่าจั๋วซือหรานคนนี้...กลับสามารถประมือกับเหยียนอีที่มีพรสวรรค์วิชายุทธ์ของตระกูลเหยียนในตอนนั้นได้เลยนะ กระทั่งว่าถ้าไม่หยุดไว้เสียก่อน น่าอาจจะโค่นเหยียนอีได้ด้วยซ้ำ!“เจ้ารีบปล่อยข้าเลยนะ” เหยียนหยี่หลิงดิ้นรนขึ้นมาจั๋วซือหรานกดนางไว้ เอ่ยถามขึ้นเสียงเรียบ “เหยียนหยี่หลิง เจ้ายังจำสัญญาที่ตระกูลเหยียนเดิมพันกับข้าได้ไหม?”เหยียนหยี่หลิงตกตะลึง แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทำไมจะจำไม่ได้ ไม่ใช่แค่นางที่จำได้ ทั่วทั้งเมืองหลวงก็จำได้กันหมดศูนย์การแพทย์ตระกูลเหยียนต้องปิดทำการ ร้านยาเองก็ต้องมาบริการให้จั๋วซือหรานนานแค่ไหนแล้วที่ตระกูลเหยียนของพวกเขา ไม่เคยเจอเรื่องอัปยศขนาดนี้เหยียนหยี่หลิงกัดฟันตอบ “ข้าต้องมาเปิดศูนย์การแพทย์ชั่
"เดิมทีข้าแค่คิดจะจับเจ้าเป็นๆ พากลับไปสอบสวนเสียหน่อย ว่าเจ้าไปรเียนรู้ทักษะภาษาสัตว์ที่แทบจะสาปสูญไปแล้วของตระกูลซางมาได้อย่างไร" ซางเชวี่ยน้ำเสียงเย็นชาลงไปอีกจั๋วซือหรานมองนาง มุมปากยกขึ้นจนเป็นร้อยยิ้มจางๆ ไม่มีความอบอุ่นใดๆ กระทั่งไม่มีอารมณ์ใดอีกด้วยราวกับไม่ว่าซางเชวี่ยกับคนตระกูลซางพวกนี้จะพูดอะไรหรือทำอะไร ก็ไม่อาจส่งผลอะไรกับใจนางได้เลยจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "คนที่บีบเค้นถามข้า บอกว่าข้าแอบเรียนวิชาแพทย์ของตระกูลพวกเขา ตอนนี้ยังนอนอยู่ในบ้าน บางครั้งก็อั้นฉี่ไม่ไหวอยู่เลย "จั๋วซือหรานมองดวงตาซางเชวี่ย "เจ้าอยากจะลองไหม?"ซางเชวี่ยหัวเราะเย็นชา "ข้ายังพูดไม่จบเลยนะ ข้าเดิมทีคิดจะจับเจ้าเป็นๆ แต่ตอนนี้ ข้าเปลี่ยนความคิดแล้ว คนอย่างเจ้า เป็นตัวแปรที่ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่รู้ว่าจะเอาความยุ่งยากหรือการเปลี่ยนแปลงมามากแค่ไหน ตายๆ ไปเสียดีกว่า คนตายไปคือปลอดภัยที่สุด ไม่ว่าสำหรับใครก็เป็นเช่นนี้"เสียงเพิ่งหยุดลง ข้อมือของซางเชวี่ยก็สั่นไหวอย่างรุนแรงแสงเงินสายหนึ่ง รวดเร็วมาก! แล่นตรงเข้ามาทางจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานหรี่ตาลงเล็กน้อย ยื่นมือออกทันทีแต่นางยังไม่ทันยื่นมือ
"นี่มัน...ไหมกู่?" ซางถิงอยู่ใกล้ๆ จั๋วซือหราน ดังนั้นจึงเห็นเส้นใยเหล่านี้ยิงออกมาจากมือนางและเพราะสามารถมองเห็นได้ชัด ดังนั้นซางถิงจึงมองออกรางๆ ว่าเส้นใยแต่ละเส้นเหล่านี้ กลับไม่เหมือนตาข่ายใยแมงมุมอะไรแต่คล้ายกับ...ไหมกู่ไหมกู่ที่แมลงกู่พ่นออกมาหญิงสาวคนนี้...ใช้วิชากู่ได้ด้วย!ซางถิงก่อนหน้านี้รู้สึกแค่ว่า จั๋วซือหรานถึงแม้จะเก่งกาจ แต่ว่าตนเองก็ออมมือไปบนเวทีด้วยไม่ได้ใช้วิญญาณเลือดอสูรออกมาด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ดูแล้ว จั๋วซือหรานที่อยู่บนเวทีเองก็เหมือนจะออมมืออยู่ไม่น้อยเลย ทั้งสองฝ่ายต่างออมมือจนสู้ออกมาเป็นแบบนั้นคนของโถงตัดหัวตระกูลซาง เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าจั๋วซือหรานจะใช้วิชากู่ได้ด้วย!หญิงสาวคนนี้! คิด! จะทำอะไรกันแน่!วิชาแพทย์ วิชาสกัดยา วิชายุทธ์ ตอนนี้วิชาควบคุมสัตว์กับวิชากู่ก็ยัง...!คนของโถงตัดหัวล้วนมองนางอย่างระแวดระวัง หลังจากกันไหมกู่ของนางออกไปแล้ว ก็ยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแต่ก็มีอยู่สองสามคนที่ไม่ระวังถูกไหมกู่ของนางเปื้อนเข้าไป ล้วนล้มลงพื้นครวญครางเจ็บปวดขึ้นมาสายตาซางเชวี่ยก็จับจ้องที่จั๋วซือหรานเช่นกัน "วิชากู่เจ้าก็เป็นด้วย
"แต่จากที่ข้ารู้ แมลงพิษที่ใช้เป็นกู่มาหลอมได้...แมงมุมเองก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นพอจั๋วซือหรานพูดคำนี้ คนของโถงตัดหัว สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีจั๋วซือหรานยิ้มๆ "เล่นกู่หรือ? ช่วงนี้ข้าก็สนใจกับการเล่นกู่เหมือนกัน ดังนั้น ตาข่ายของพวกเจ้า ฉันเลยทดสอบไปแล้ว ตอนนี้ตาข้าแล้วกระมัง?"ตอนที่จั๋วซือหรานพูดคำนี้ ซางถิงก็ตกตะลึงไปเขารู้สึกว่าคำพูดนี้ดูคุ้นหู ตอนอยู่บนเวที จั๋วซือหรานก็พูดแบบนี้กับเขาเหมือนกันและหลังจากที่นางพูดคำนี้ ก็โต้กลับอย่างรุนแรงใส่เขาทันทีตอนนี้ นางพูดแบบนี้ออกมาอีกครั้งไม่รู้เพราะอะไร ซางถิงรู้สึกว่า น่าจะเป็นความรู้สึกคล้ายๆ กับก่อนหน้านี้กระมังคนอย่างจั๋วซือหราน ตอนที่เป็นคู่ต่อสู้ของนาง คงรู้สึกตำมือเป็นอย่างมาก มาเจอคนแบบนี้ เหมือนเจอกับเข็มแหลมรอบด้านจริงๆไม่ว่าจะสัมผัสจากมุมไหน ก็ล้วนทิ่มแทงมือทั้งสิ้น!แต่ตอนที่ไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้กับนาง แล้วมาเป็นสหายร่วมรบที่มีเป้าหมายเดียวกันก็เหมือนจะรู้สึกว่าวางใจได้อย่างประหลาดเลยทีเดียวตอนที่ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็เหมือนจะไม่มีอะไรให้สับสนแล้วซางเชวี่ยหัวเราะเย็นชาขึ้นมาในกลุ่มโถงตัดหั
"มันต้องไม่ปกติอยู่แล้ว! นั่นมันวิชาลับสืบทอดของโถงตัดหัว" ซางถิงเอ่ยขึ้น "ตาข่ายแมงมุมของพวกเขาล้วนหลอมขึ้นมา ก็เพราะเอาไว้ควบคุมฝ่ายตรงข้าม""ในเมื่อควบคุมจั๋วซือหรานได้แล้ว" ผู้หญิงเสียงเย็นชานั่นเอ่ยขึ้นมา "ก็เก็บซางถิงเสีย ข้าเห็นตอนที่เขาสู้กับจั๋วซือหรานบนเวที สู้จนหมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว ยังไม่รู้ว่าจับแอบเก็บไพ่ตายอะไรที่ไม่อยากให้ใครเห็นไว้หรือเปล่า? ดูแล้วประหลาดๆ"ซางถิงพอได้ยินเนื้อหาคำพูดของซางเชวี่ย สีตาก็เปลี่ยนไปเขากำกำปั้นแน่น เขาซ่อนไพ่ตายความสามารถที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ไว้จริง เขาสามารถเปิดช่องพลังได้แต่ไม่เหมือนกับเปิดช่องพลังทั่วไป เขาไม่เพียงแต่สามารถเปิดช่องพลัง ยกระดับความสามารถตนเองขึ้นชั่วคราว ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่รู้สึกอ่อนล้าหลังจากที่ใช้พลังเกินตัวอีกด้วยเพราะการเปิดช่องพลังของเขา ไม่ได้เกิดจากใช้พลังงานของตนเองจนหมดแล้วดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินการเปิดช่องพลังของเขา คือใช้พละกำลังของสัตว์ที่ควบคุม ไม้ตายนี้เรียกว่า...วิญญาณเลือดอสูรไขาไม่เพียงแต่สามารถใช้พลังของสัตว์ที่ควบคุมได้ แต่ยังใช้พลังวิญญาณของสัตว์ควบคุมได้ในบางระดับด้วย กระทั่ง ยังสามารถทำให้
เขาสัมผัสได้ว่าบนบาดแผลทั้งสองที่ถูกดาบของนางแทงไว้ จนทำให้หินต้องห้ามยังแตกก่อนหน้านี้เวลานี้มันคันยุบยิบ ราวกัยว่า...กำลังผสานอย่างรวดเร็วจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "รักษาให้เจ้าก่อน อีกเดี๋ยวถ้าสู้ขึ้นมา จะได้ไม่ขี้เกียจ"ซางถิงเกือบจะโมโหจนหัวเราะขึ้นมายังไม่ทันที่เขาจะได้พูด ในกลุ่มคนเหล่านั้นที่ล้อมเข้ามา ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น"จั๋วซือหราน เจ้าสังหารลูกหลานตระกูลข้าไป แอบเรียนวิชาลับตระกูลข้า โทษนี้สมควรตาย แต่เห็นแก่ว่าเจ้าไม่ใช่คนในตระกูลเรา ไม่เข้าใจกฏเกณฑ์ของตระกูล จะไว้ชีวิตเจ้า แล้วจะพาเจ้ากลับไปช่วยอธิบายให้หน่อย ว่าไปร่ำเรียนวิชาลับตระกูลเรามาจากที่ไหน"จั๋วซือหรานพอได้ยินเนื้อหานี้ "เข้ามาเพราะความสามารถข้าจริงๆ ด้วย"ซางถิงหัวเราะเฮอะขึ้นมา เอ่ยเสียงต่ำกับจั๋วซือหรานว่า " ข้าก็บอกว่าแล้วไม่ได้มาหาข้า ในเมื่อมันไม่เกี่ยวกับข้า ข้าไปได้แล้วใช่ไหม?"จั๋วซือหรานหัวเราะเหอะๆ " อย่าสิ ข้ารักษาให้เจ้าแล้วนะ รับแล้วก็ตอบแทนกันหน่อยมันเป็นมารยาท"ซางถิงกัดฟัน "แล้วทำไมเจ้าไม่พูดเสียหน่อยว่าบาดแผลพวกนั้นมันมายังไง..."ตอนนี้เอง เสียง 'คาดโทษ' จั๋วซือหรานก่อนหน้านี้ก
เพราะเวลาค่อนข้างดึกแล้ว กระทั่งสนามประลองทางนี้ก็ยังเงียบสงบ ดังนั้นที่นี่ต่อให้สู้กันขึ้นมาตอนนี้ ก็ไม่ได้ดึงดูดสายตาใครยิ่งไปกว่านั้น ตลาดมืดก็มีกฏของตลาดมืด คนของตลาดมืดก็มีวิถีการดำรงชีวิตของตนเองเช่นกันในนี้กฏที่ใช้ได้ทั่วไปข้อหนึ่งคือ...อย่ายุ่งเรื่องชาวบ้านดังนั้นพวกเขาต่อให้ตายกันที่นี่ ก็น่าจะไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนักตลาดมืดฝังศพเอาไว้แทบทุกที่ นี่คือที่มาของคำพูดนี้ดังนั้นในกลุ่มคนเหล่านี้ หลังจากเข้ามาล้อมซางถิงกับจั๋วซือหรานแล้ว เดิมทีรอบๆ ก็ยังมีคนอยู่อีกส่วนหนึ่งดูจากท่าทางแล้วไม่ธรรมดาเลย ทยอยกันกระจายตัวออกเหมือนสัตว์ ตอนนี้ที่นี่จึงสงบมาก...แทบไม่มีคนเลยคืนเดือนมืดลมพัดแรง ค่ำคืนแห่งการสังหารดูจากเสื้อผ้าคนเหล่านี้ อันที่จริงยังมองไม่ออกถึงตัวตนฐานะแท้จริงของพวกเขาแตว่า ขอแค่คนรู้จริงเรื่องกลุ่มอย่างซางถิง ก็จะมองออกถึงกลุ่มได้อย่างรวดเร็วซางถิงมองกลุ่มออกจากเครื่องมือควบคุมสัตว์ของพวกเขาอย่างรวดเร็วซางถิงเอียงหน้าเล็กน้อย บอกกับจั๋วซือหรานด้านหลังว่า "ระวังด้วย คนพวกนี้ ทั้งหมดเป็นคนของโถงตัดหัวตระกูลซาง"โถงตัดหัว?" จั๋วซือรหานฟังคำนี้แล้วก็เอ่ย
แต่ยังไม่ทันได้แตะไหล่ของจั๋วซือหราน นางก็มีปฏิกิริยากลับมาอย่างรวดเร็ว“เจ้า” จั๋วซือหรานเห็นหน้าคนด้านหลังอย่างชัดเจนผมสีขาวรุงรังกับดวงตาสีฟ้าทึมที่เป็นเอกลักษณ์ แสดงชัดถึงตัวตนฐานะของเขา นี่คือคู่มือที่ประลองกับนางบนเวทีเมื่อครู่นี้นั่นเองดวงตาสีฟ้าทึมของเขาจ้องมองจั๋วซือหราน “ข้ายังคิดว่าเจ้าไปแล้วเสียอีก ทำไม? กำลังรอข้าหรือ?”จั๋วซือหรานมองเขา “เจ้านี่...มั่นใจในตัวเองเสียจริงนะ”“ใช่สิ” รอยยิ้มในดวงตาสีฟ้าทึมของเขายิ่งเพิ่มมากขึ้น “ข้ากับเจ้ามันคนประเภทเดียวกัน เป็นพวกที่มั่นใจในตนเองแบบนั้น”จั๋วซือหรานหัวเราะ จากนั้นจึงเห็นแขนที่ห้อยอยู่ข้างตัวเขา ยังมีเลือดสดไหลอาบลงมา กลิ่นคาวเลือดบนตัวเขายังไม่หายไป“เจ้าน่าจะรักษาแผลก่อนแล้วค่อยมาพูดจาคุยโตนะ” จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น“เรื่องเล็กน่า” ซางถิงเอ่ยตอบจั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่เจ้าออมมือไว้ ไม่งั้นคงไม่เจ็บขนาดนี้”“ใช่เลย ข้าออมมือไว้ ก็เลยลดความยุ่งยากลงไปได้พอควร” ซางถิงตอบจั๋วซือหรานยิ้ม “อินเจ๋ออันไม่ใช่ความยุ่งยากหรือ?”“เขา? เขาจะไปยุ่งยากอะไร...” ซางถิงดูไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ เอ่ยต่อว่า “ข้าออมมือ
ได้ยินคำนี้ ฮั่วจือโจวยกมุมปากขึ้น “คุณหนูเฟิงสือ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าก็แค่อยากร่วมมือกับแม่นางจิ่วเท่านั้น”เฟิงหร่านมองเขา แม้บนปากจะไม่คัดค้าน แต่ในใจก็แอบคิด นั่นก็เพราะเจ้ายังสัมผัสไม่ได้ถึงเสน่ห์ของพี่หญิงจั๋วเท่านั้นส่วนเจี่ยงเทียนซิงที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินคำพูดของเฟิงหร่าน ก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไร เพียงแต่รอยยิ้มในดวงตาค่อยลดลงมาเท่านั้นครู่ต่อมา จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “แต่ว่าตระกูลเฟิงของพวกเจ้า ไม่ใช่ว่าดูถูกซือหรานหรอกหรือ เพราะอะไรกัน? พวกเจ้าเห็นสิ่งนี้เป็นของไร้ค่า แต่ก็ไม่ยอมให้คนอื่นได้ครอบครองหรือ? ใหญ่โตเสียจริง”สำหรับคำพูดของเจี่ยงเทียนซิง เฟิงหรานกระทั่งโต้แย้งก็ยังแย้งออกมาไม่ได้นางริมฝีปากสั่นระริก ครึ่งมาจึงบอกว่า “สรุปคือ หลังจากนี้จะมีวิธีเอง”ฝูซูมองจากข้างๆ เขารู้แน่นอนว่าคุณหนูของตนเองยอดเยี่ยมแค่ไหนทำให้คนหลงใหลได้แค่ไหนและก็รู้ว่าคุณหนูเฟิงสือถูกคุณหนูทำให้หลงไปแล้ว การที่พูดแบบนี้ออกมาก็ไม่ได้ผิดอะไรแต่ปฏิกิริยาของเจี่ยงเทียนซิงนี่ กลับทำให้ฝูซูอดเหลือบมองเขาขึ้นมากหน่อยไม่ได้ในใจฝูซูก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่าเจี่ยงเทียนซิงคนนี้เหมือนจะ...รู้สึก
“นี่ฝูซูกับเฮยหลิงยังไว้หน้าพวกเจ้าอยู่นะ ถึงยังไม่จับตะเกียบ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าแค่น้ำแกงก็ไม่ได้ชิมด้วยซ้ำ” เจี่ยงเทียนซิงวางตะเกียบลงหัวเราะฮั่วจือโจวไม่อยากเชื่อ ถามขึ้นว่า “นี่คือของที่แม่นางจั๋วจิ่วทำหรือ? จริงหรือเปล่า?”“เป็นของที่คุณหนูข้าทำเอง” ฝูซูพยักหน้าอินเจ๋ออันมองเขา ถามขึ้นว่า “คุณชายฮั่ว ยอมรับแล้วหรือยัง?”ฮั่วจือโจวถอนหายใจเบาๆ พยักหน้าเจี่ยงเทียนซิงเห็นท่าทางแขกยึดครองตำแหน่งเจ้าภาพของอินเจ๋ออันแล้วก็หัวเราะพรวดขึ้นมา “เปาน้อย เจ้าเองก็ไว้หน้าตัวเองหน่อยดีไหม คำพูดนี้ข้าต่างหากที่ควรถาม? เจ้าน่ะยอมรับแล้วหรือยัง?”“ถ้าข้าไม่ยอมรับ แล้วข้าจะเอาเงินมาให้พวกเจ้าด้วยตัวเองทำไมกัน?!” อินเจ๋ออันจ้องอย่างมาดร้ายไปทางเจี่ยงเทียนซิงตัวเขาเองอาจจะไม่ทันสังเกต ว่าตนเองกระทั่งลืมไปแล้วว่าต่อต้านชื่อเรีย ‘เปาน้อย’ อยู่เฟิงหร่านนั่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรมาตลอด สนใจแค่การกินอาหารบนโต๊ะอย่างรวดเร็วราวพายุดูดเท่านั้นนางกินไปด้วย พิจารณาชายหนุ่มสามคนนี้ไปด้วยในใจจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาเฟิงหร่านเกิดวิตกกังวลขึ้นมาแทนพี่ชายตนเอง นางชื่นชมในใจ พี่หญิงจั๋วน