“ข้า ข้าเชื่อ...เชื่อเจ้า!” ชิ่งหมิงพอเครียด คำพูดคำจาก็จะเริ่มติดอ่างเขาเป็นคนที่มีความคิดบริสุทธิ์ พอเชื่อใจกับคนแล้ว ก็แทบจะเชื่อสนิทใจจนไม่สร้างการป้องกัน“เจ้าบอกว่าได้ ก็คือได้” ชิ่งหมิงเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ขั้นตอนง่ายมาก ส่วนประสิทธิภาพ ข้ายังต้องค่อยๆ ตรวจสอบในภายหลัง แต่จากความเข้าใจในปัจจุบันของข้า น่าจะสามารถยืนยันได้ว่ามีผลแน่นอน”สายตาของชิ่งหมิงเหลือบไปอยู่บนก้อนกลมๆ นุ่มๆ ขาวๆ ในมือนางที่ดูเหมือนจะไม่มีพลังโจมตีใดแม้ว่าเจ้าก้อนกลมนี้ดูแล้วเหมือนยังไม่ปนเปื้อนไม่เป็นอันตราย ให้ใครมาดู ก็คงจะจินตนาการไปถึงพิษกู่ที่น่ากลัวอะไรนั่นได้ยาก!แต่สายตาของชิ่งหมิงก็ยังกระวนกระวายเพราะเขาเกิดที่แคว้นเหยี่ยน เป็นคนแคว้นเหยี่ยนอย่างแท้จริง ในสามแคว้นใหญ่แดนใต้และในแดนใต้ เนื่องจากสภาพอากาศและสภาพภูมิศาสตร์และระบบนิเวศเอื้ออำนวยเป็นอย่างดี ทั้งแดนใต้จึงมีการบำเพ็ญด้านกู่พิษเป็นหลักชิ่งหมิงเติบโตที่แคว้นเหยี่ยนตั้งแต่เล็ก จึงเข้าใจเรื่องพิษกู่เป็นอย่างดีดังนั้นเพียงแค่มองก็รู้ว่าเจ้าก้อนกลมในมือจั๋วซือหรานนี้ไม่ธรรมดาชิ่งหมิงรีบเก็บสายตาลงมา ไม่อ
พอสังเกตเห็นสายตาแหลมคมของเวินป๋อยวน ชิ่งหมิงก็รู้ว่าเขาน่าจะเข้าใจผิดเสียแล้ว “ซือหรานแค่คิด คิดจะรักษาข้า...”เวินป๋อยวนเหลือบมองจั๋วซือหรานเย็นชาผาดหนึ่ง “ใช้แมลงกู่หรือ? ข้ากับชิ่งหมิงล้วนมาจากแดนใต้กันทังนั้น จั๋วจิ่ว เรื่องนี้เอาไปหลอกคนอื่นก็พอได้ แต่มาใช้กับพวกข้านี่มันดูไม่ค่อยเหมาะเลยนะ”จั๋วซือหรานเม้มริมฝีปาก ไม่ส่งเสียงด เพียงเอียงตาไปกำชับกับจั๋วหวาย “เสี่ยวหวาย พาท่านแม่กลับบ้านไปก่อน ข้ามีเรื่องต้องหารือกับสองคนนี้”จั๋วหวายแม้จะกังวลพี่สาวอยู่ แต่ก็ยังเชื่อมั่นว่าพี่สาวจะสามารถจัดการเรื่องของตนเองได้ จึงพาท่านแม่กลับไปที่บ้านจั๋วซือหรานมองไปทางเวินป๋อยวน “นายท่านซือหลี่ตันติง เพราะคนที่ข้ารับปากไว้คือชิงหมิง ดังนั้นข้าจะรักษาเขาให้หาย ว่าตามหลักการแล้ว ข้าก็ไม่มีหน้าที่ต้องมาอธิบายอะไรกับท่านด้วย”เสียงของจั๋วซือหรานราบเรียบ เนื้อหาในคำพูด ทำเอาเวินป๋อหยวนถึงกับหรี่ตาลง“แต่พิจารณาถึงนายท่านที่เป็นห่วงจนว้าวุ่น บวกกับที่นายท่านได้รับของที่ข้าต้องการมา” จั๋วซือหรานชี้ไปยังยาที่ทำให้คนเจ็บปวดทรมานอย่างที่สุด “ดังนั้น ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะอธิบายให้นายท่านฟังเสียหน่
เวินป๋อยวนพอได้ยินคำพูดนี้ ก็นิ่งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “โอ้อวดอย่างไม่ละอาย”แต่เขาก็พูดต่อมาอีก “แต่เจ้าเองก็มีความสามารถที่ทำให้คนต้องมองใหม่ได้อยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของชิ่งหมิง ข้าจะบุ่มบ่ามเห็นได้ไม่ได้ เจ้าจทำให้ข้าเชื่อได้อย่างไร ว่าเจ้ามั่นใจเต็มร้อยจริง?”เวินป๋อยวนจ้องมองดวงตาของหญิงสาวน่าจะเป็นเพราะประสบการณ์ที่เจอมาตลอด เวินป๋อยวนต้องปกป้องชิ่งหมิงที่เหมือนกับกระดาษขาวแผ่นหนึ่งไว้ ถ้าบอกว่าชิ่งหมิงเป็นราวกับกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง เชื่อใจคนอื่นอย่างสนิทใจโดยไม่สงสัยแล้วล่ะก็เช่นนั้นความเคร่งขรึมกับซับซ้อนของเวินป๋อยวน ก็เต็มไปด้วยความสงสัยต่อตัวคนอื่นนั่นเองแทนที่จะเชื่อใจ เขากลับสงสัยเสียมากกว่าแต่หญิงสาวตรงหน้า เคยทำให้เขาต้องหันมามองใหม่มาแล้ว ดังนั้น เวินป๋อยวนก็ไม่ใช่ว่าจะลองเชื่อใจนางไม่ได้ เพียงแต่ เขาต้องการบางสิ่งอย่างที่ทำให้ตนเองเชื่อใจได้มากขึ้นและตอนนี้เอง รอยยิ้มบนหน้าจั๋วซือหรานยังคงละไม เลิกหางตาขึ้นเล็กน้อย กระทั่งดูขี้เกียจหน่อยๆ ด้วยนางยักไหล่เบาๆ เอ่ยกับเวินป๋อยวนว่า “ดังนั้น ก็ไม่ใช่ว่าข
หลังจากนั้นก็แล้วแต่สถานการณ์จะพาไปเลยจั๋วซือหรานภายใต้การยอมรับกลายๆ ของเวินป๋อยวน จึงนำเจ้าอ้วนขาวในมือตัวนี้ วางไว้บนตัวชิ่งหมิงขั้นตอนทั้งหมดดูสงบมากชิ่งหมิงเองก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอะไร แต่ก็เหมือนว่าเวลาเพียงครู่เดียวคงยังมองผลลัพธ์อะไรไม่ออก“น่าจะต้องหลายวันหน่อยกระมัง” จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นแต่เวินป๋อยวนกับชิ่งหมิง ก็ดูไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่ยังไม่เห็นผลลัพธ์ชั่วขณะนี้ ในช่วงหลายปีเวินป๋อยวนก็คิดหาวิธีรักษาชิ่งหมิงมาไม่น้อย แต่ทั้งหมดก็ล้วนไม่มีผลลัพธ์ใดดังนั้นจึงชินไปแล้ว จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นว่า “สรุปคือ รออีกสักสองสามวันแล้วค่อยดูผลลัพธ์เถอะ ชิ่งหมิงทางนี้ข้าจัดการให้เรียบร้อยแล้ว ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องไปจัดการอีก ขอตัวก่อน”จั๋วซือหรานยุ่งเอามากๆ ยังมีงานต้องไปทำต่อเวินป๋อยวนหลังจากผ่าน “การสื่อสารฉันท์มิตร” กับจั๋วซือหรานไปเมื่อครู่ อารมณ์ตอนนี้ก็สงบลงมาแล้วตอนนี้จึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “เจ้าไปทำธุระของเจ้าได้ แม้ว่าเรื่องที่ด้านนอก ข้ากับชิ่งหมิงจะสอดมือเข้าไปลำบาก แต่คนที่เจ้าให้พักที่นี่จะไม่มีปัญหาอะไรทั้งนั้น”จั๋วซือหรานพยักหน้า “ขอบคุณนายท่านมาก เช่น
ด้านนอกศูนย์การแพทย์ตระกูลเหยียนมีแถวยาวเหยียด ในศูนย์การแพทย์ก็ยิ่งคึกคักดังนั้นตอนที่จั๋วซือหรานเข้ามา จึงไม่มีคนสังเกตเห็นนาง ยังเอ่ยขึ้นว่า “ไปเข้าแถวข้างนอกก่อน เจ้า...”จากนั้นพอจำได้ เสียงก็ขาดห้วงไปทันทีและมีเสียงกระซิบเบาๆ ดังขึ้น “นี่...นาง...ไม่ใช่แม่นางจั๋วจิ่วคนนั้นหรือ?”เพราะว่ายุ่งเกินไป ดังนั้นเหยียนหยี่หลิงจึงคอยช่วยอยู่ตลอดพอได้เยินเสียงกระซิบนี้ หูนางก็ขยับเล็กน้อย เงยหน้ามองไปยังแขกแปลกหน้าที่ทำให้เกิดความวุ่นวายสายตาจึงสบกับดวงตาพญาหงส์คู่หนึ่ง ดวงตาที่งดงามขีดสุด ประกายตากลับลึกซึ้ง เหยียนหยี่หลิงตึกตักในใจ นางมาได้อย่างไรกัน?! นางทำมจึงยังกล้าออกจากบ้าน?!เพราะบุญคุณความแค้นก่อนหน้านี้ของจั๋วซือหรานกับตระกูลเหยียน เหยียนหยี่หลิงที่ไม่เคยประสบความสำเร็จเลยสักครั้ง จึงกลายเป็นปมในใจของเหยียนหยี่หลิงไปแล้วในดวงตาเหยียนหยี่หลิงมีความสับสนแล่นวาบผ่านไปชั่วครู่แต่ก็เห็นว่าคนมากมายรอบๆ ล้วนกำลังใช้สายตาท่าทีระวังและพรั่นพรึง กระทั่งรังเกียจมองไปทางจั๋วซือหรานคนมากขนาดนี้ล้วนยืนอยู่ฝั่งเดียวกับตนเอง ในใจเหยียนหยี่หลิงจู่ๆ ก็มั่นใจขึ้นมานางหัวเราะเย็
“เจ้าลงมือ...กับหมออย่างข้า...อย่างเปิดเผยเช่นนี้เลยหรือ?”จั๋วซือหรานหัวเราะเสียงต่ำ “เจ้ายังมาหมิ่นเกียรติของข้าอย่างเปิดเผยได้เลย แล้วข้าจะลงมือกับเจ้าบ้างมันทำไมกัน? ทุกคนก็เป็นแพทย์กันทั้งนั้น เจ้าไม่ยอมเจ้าก็มาลงมือกับข้าสิ”เหยียนหยี่หลิงสีหน้าแข็งทื่อไปแล้ว นางยังดิ้นให้หลุดจากการกดของจั๋วซือหรานตอนนี้ไม่ได้เลย! นางเป็นแค่แพทย์คนหนึ่งเท่านั้น!แต่ว่าจั๋วซือหรานคนนี้...กลับสามารถประมือกับเหยียนอีที่มีพรสวรรค์วิชายุทธ์ของตระกูลเหยียนในตอนนั้นได้เลยนะ กระทั่งว่าถ้าไม่หยุดไว้เสียก่อน น่าอาจจะโค่นเหยียนอีได้ด้วยซ้ำ!“เจ้ารีบปล่อยข้าเลยนะ” เหยียนหยี่หลิงดิ้นรนขึ้นมาจั๋วซือหรานกดนางไว้ เอ่ยถามขึ้นเสียงเรียบ “เหยียนหยี่หลิง เจ้ายังจำสัญญาที่ตระกูลเหยียนเดิมพันกับข้าได้ไหม?”เหยียนหยี่หลิงตกตะลึง แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทำไมจะจำไม่ได้ ไม่ใช่แค่นางที่จำได้ ทั่วทั้งเมืองหลวงก็จำได้กันหมดศูนย์การแพทย์ตระกูลเหยียนต้องปิดทำการ ร้านยาเองก็ต้องมาบริการให้จั๋วซือหรานนานแค่ไหนแล้วที่ตระกูลเหยียนของพวกเขา ไม่เคยเจอเรื่องอัปยศขนาดนี้เหยียนหยี่หลิงกัดฟันตอบ “ข้าต้องมาเปิดศูนย์การแพทย์ชั่
ก่อนที่จั๋วซือหรานจะลงมือ เหล่าผู้คนข้างๆ ที่กล้าปลุกปั่นตามกันมาแต่เดิม ก็ทยอยกันกระจายตัวถอยหลัง เหลือแค่ความกล้าคอยชมอยู่ข้างๆ เท่านั้นโดยพื้นฐานแล้วพวกเขาล้วนเป็นแค่กลุ่มคนไร้แก่นสารรวมตัวกันเพียงชั่วครู่ แล้วก็กรูกันหายไปอะไรแบบนั้นตอนที่คนนำหรือแกนหลักของพวกเขามีพลังแข็งแกร่ง พวกเขาก็จะแข็งแกร่งตาม แต่ตอนที่คนนำหรือแกนหลักของพวกเขาถูกยิ่งจนร่วง พวกเขาก็จะกระจายตัวกันเร็วกว่าน้ำลดเสียอีกจั๋วซือหรานเข้าใจสิ่งเหล่านี้มานานแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลให้ตอนที่ได้ยินคำดูหมิ่นของพวกเขา จึงไม่แสบไม่คัน ไม่สนใจไม่แยแสสิ่งที่นางต้องทำ ก็แค่จัดการเล่นงานคนนำหรือแกนหลักออกมาทุบทิ้งแล้วฝูงกาพวกนี้ก็จะสลายตัวไปเองก็เหมือนกับที่นางเคยจัดการคนพวกนั้นที่หน้าจวนตนเองนั่นล่ะยิ่งไปกว่านั้นผู้คนก็ล้วนสรรเสริญความแข็งแกร่ง ในโลกที่ความแข็งแกร่งเป็นใหญ่ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้จั๋วซือหรานเข้าใจเป็นอย่างดี ว่าถ้าตนเองเข้ามาเพื่ออธิบายให้กับตนเองล่ะก็ ต่อให้เสียงจะดังแค่ไหน ผลลัพธ์ที่ได้ก็คงเป็นแค่ยิ่งวาดก็ยิ่งดำแต่ขอแค่บีบคนนำหรือแกนหลักเอาไว้ ตนเองจะพูดอะไร ต่อให้เสียงจะไม่ดังก็ยังสนั่นลั่นจน
เพราะเหยียนหยี่หลิงร้อนรนขึ้นมาแล้ว และเป็นผลมาจากอารมณ์ ดังนั้นคำพูดนี้จึงหลุดปากออกมาทั้งที่ยังไม่ทันได้พิจารณาให้ดีแต่หลังจากพูดคำนี้ออกไป เหยียนหยี่หลิก็เห็นในดวงตาพญาหงส์คู่นั้น มีประกายยิ้มแผ่ออกมาในใจเหยียนหยี่หลิงเต้นตึกตัก! เกินความลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีขึ้นมา ราวกับความรู้สึกนั้นแล่นผ่านจากเท้าขึ้นไปกลางกระหม่อมเลยทีเดียวนางมองดวงตาทั้งคู่ของจั๋วซือหราน ในใจวิตกอย่างรุนแรงเหมือนไร้ซึ่งก้นบึ้งตอนนี้เอง ชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามา ยืนอยู่ข้างกายจั๋วซือหราน เอ่ยขึ้นเสียงขรึม “แม่นางจิ่ว จากความหมายของเจ้าสำนัก คือจัดการนำวัตถุดิบยาทั้งหมดที่ท่านพูดไว้ จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อย ขนย้ายไปในร้านแล้ว” “ลำบากเจ้าเสียแล้ว” จั๋วซือหรานพอได้ยินคำพูดของอิ๋นไห่ ก็พยักหน้าให้เล็กน้อยหลังจากอิ๋นไห่รายงานจบก็ยังไม่ไปไหน ยืนนิ่งเงียบๆ อยู่ข้างๆมีคนมองออกถึงชายหนุ่มที่เดินเข้ามารายงานกับจั๋วซือหราน เครื่องแบบบนตัวนั่นมัน...เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นมา“นี่...เหมือนจะเป็นคนของตลาดมืดนะ...”“คนของตลาดมืดมาได้อย่างไรกัน?”“เหมือนจะเป็น...คนของหอฟ้าดาว เหมือนว่าต้องเป็นผู้ดูแลหอฟ้าดาวจึงจะม
เพียงแต่ว่า ถ้าจะให้พูดจริงๆ เฟิงเหยียนเองก็อาจจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร หลังจากออกเมืองหลวงมาก็อยากจะติดตามหญิงสาวคนนั้นทั้งที่จำไม่ได้แล้วแท้ๆ ทั้งที่ตัดสินใจจะขีดเส้นคั่นแล้วแท้ๆแต่ก็ยังตามนางมาเพราะรู้ว่านางระแวดระวังแค่ไหน ก็เลยใช้วิะีการแปลงโฉมที่เป็นเอกลักษณ์ และไม่เข้าใกล้นางอยู่ตลอด จนกระทั่งนางเข้ามาในป่าทวนแสงนี้พอมาถึงพื้นที่ป่าที่หมอกพิษหนาทึบ สัมผัสของคนเราก็จะอ่อนแอลง ตอนนี้จึงร่นระยะเข้าใกล้ขึ้นมาและเพราะเหตุนี้ จึงได้มองออกถึงหลงเฉิน...ภาชนะมังกรหนามม่วงตั้งแต่แรกเห็นหลงเฉินเป็นอาจารย์ของเขา หนึ่งในภาชนะสัตว์เทพที่สภาผู้อาวุโสรวบรวมเข้ามาตอนนั้นที่สภาผู้อาวุโสให้หลงเฉินได้เจอกับเขา สั่งสอนเขา ให้เขาพึ่งพาศรัทธาเป็นอาจารย์ เป้าหมายหลักๆ แล้ว อันที่จริงก็คือแบบนั้นสภาผู้อาวุโสหวังจะรวบรวมภาชนะหงส์แดงเข้ามา เพียงแต่เนื่องจากตระกูลเฟิงเจ้าเล่ห์เกินไป เพื่อรับประกันว่าตระกูลตนเองยังสามารถใช้ประโยชน์พลังของสัตว์เทพได้ จึงใช้มันออกมาแทบทุกวิถีทางไม่ว่าจะพันธนาการดวงวิญญาณของสัตว์เทพ หรือลงมือกับภาชนะสัตว์เทพอย่างเขาดังนั้นสภาผู้อาวุโสจึงทำไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงทำ
เหล่าสัตว์ประหลาดในใจก็บริสุทธิ์มากๆ ความเชื่อมั่นและการพึ่งพาต่อจั๋วซือหรานของพวกมันดังนั้นพอได้ยินคำนี้ของจั๋วซือหราน จึงรู้สึกว่าจั๋วซือหรานเหมือนน้อยเนื้อต่ำใจอย่างไรอย่างนั้นขนมถั่วแดงเอ่ยขึ้นฮึดฮัด "ใครกล้ามารังแกนายท่านของข้า? ข้าจะไปจัดการเขาคนแรกเลย!""ข้าคนที่สอง..." ขนมมะม่วงเอ่ยขึ้นเสียงอ่อย"ข้าคนที่สาม...""ข้าคนที่สี่...""..."อารมณ์จั๋วซือหราน เหมือนถูกเจ้าก้อนเนื้อพวกนี้แหย่ให้ดีขึ้นมาพอควรนางยื่นมือไปจับสองตัวเข้ามา นวดคลึงไว้ในมือเหมือนกับคนแก่คลึงบอลเพื่อสุขภาพนวดไปด้วยก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงหัวเราะ "มีพวกเจ้าอยู่ข้าก็อารมณ์ดีแล้ว ถ้าอารมณ์ไม่ดี พวกเราก็ไปหาคนกับหาเรื่องระบายให้ดีก็พอแล้ว"ราชาแมงมุมหน้าผีได้ยินน้ำเสียงของจั๋วซือหรานเหมือนดีขึ้นมาไม่น้อย จึงผ่อนลมลงมา "ได้ ข้าจะไปสั่งสอนเจ้าพวกตระกูลเหอนั่นพร้อมนายท่านเลย""ใช่เลย" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "พูดถึงตระกูลเหอ...ไอ้ของที่ข้าโยนเข้ามาในมิติเมื่อครู่ล่ะ?"เดิมทีน่าจะเป็นของที่น่าสนใจอยู่ แต่ดันถูกเจ้ามนุษย์กิ้งก่านั่นมาขัด นางจึงลืมไปเลย ตอนนี้เพิ่งจะนึกออกหุ่นเชิดตัวนั้นล่ะ?ราชาแมงมุมหน้าผียื
จั๋วซือหรานคิดๆ "ไม่รู้ว่าจะเรียกอย่างไรดี?" นางยิ้มตาโค้ง "ในอนาคตข้าจะหาวิธีตอบแทนเจ้าแน่"ชายหนุ่มนิ่งงันไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงต่ำออกมาคำหนึ่ง "เยี่ยนหราน""เยี่ยนหราน?" จั๋วซือหรานรู้สึกไม่ค่อยเหมาะสม ตนเองทำแบบนี้ก็ไม่ค่อยมีมารยาท จึงยื่นมือไปตรงหน้าเขา "สองตัวอักษรไหนหรือ?"ชายหนุ่มเห็นนางยื่นฝ่ามือขาวนวลมาตรงหน้า สายตานิ่งงันไปครู่หนึ่งมุมปากยกขึ้น ค่อยๆ ยกมือขึ้นมา มือข้างหนึ่งประคองหลังมือนาง นิ้วของมืออีกข้างก็วาดลงไปเบาๆ บนฝ่ามือนาง"คำว่าเยี่ยนที่แปลว่าสงบ หรานที่แปลว่าเผาไหม้" ชายหนุ่มเอ่ยตอบเขาชะงักไป เหมือนนึกอะไรออกขึ้นมา ถามว่า "แม่นางชื่อว่าอะไรหรือ?"จั๋วซือหรานมองเขาอย่างครุนคิด ดวงตาลึกซึ้งขึ้นมาแต่ว่าสีหน้าของชายคนนี้ ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักจั๋วซือหรานจึงตอบว่า "สกุลจั๋ว จั๋วซือหราน ยินดีที่ได้รู้จัก" ในดวงตาของนางมีรอยยิ้มที่ดูลึกลับ "เช่นนั้นพวกเราก็มีวาสนากันสินะ มีชื่อหรานด้วยกันทั้งคู่"ชายหนุ่มไม่พูดอะไรมาก เพียงเอ่ยขึ้นว่า "ในป่านี้อันตราย เจ้ารีบออกจากที่นี่จะดีที่สุด ไม่รู้ว่าเจ้านั้นถ้าตั้งตัวแล้วหาที่นี่เจอ คงได้วุ่นวายกันพอดี"จั๋วซือหราน
"ความหมายของเจ้าคือ มนุษย์กิ้งก่าเมื่อครู่นี้..." จั๋วซือหรานเรียกว่าคำว่า 'มนุษย์มังกร' ออกมาไม่ได้จริงๆ นางเอ่ยต่อว่า "บนตัวถูกปิดผนึกพลังของมังกรหนามม่วงไว้หรือ?"และเหมือนเพราะนางตอบสนองได้รวดเร็ซ สายตาของชายหนุ่มที่มองไปทางนาง ก็พยักหน้าให้อย่างชื่นชม"พวกองค์กร...ที่มีพลังค่อนข้างลึกล้ำบางส่วน จะรวบรวมพลังพวกนี้ไว้" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น "เลี้ยงคนแบบนี้เอาไว้ในองค์กร เหมือนกับชุบเลี้ยงอาวุธไว้นั่นล่ะ เป็นดาบที่ใช้การได้ดีเลยทีเดียว"พริบตาที่ได้ยินคำนี้ จั๋วซือหรานก็อดคิดไปถึงสภาผู้อาวุโสนั่นไม่ได้นางขมวดคิ้ว ครุ่นคิด แล้วก็ยังถามขึ้นว่า "ถ้าพลังแข็งแกร่งพอล่ะก็ ยังถูกพวกองค์กรพวกนี้ควบคุมได้อีกหรือ?"ชายหนุ่มไม่ได้พยักหน้าและส่ายหัวให้กับคำพูดนี้ของจั๋วซือหราน หลังจากที่ชะงักไปเล็กน้อย จึงเอ่ยขึ้นว่า "องค์กรที่พลังลึกล้ำเช่นนี้ ก่อนที่จะทำให้คนเหล่านี้เปลี่ยนเป็นเช่นนี้ ก็น่าจะเตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่มีทางที่จะให้ดาบที่ตนเองตีไว้ ต้องหันมาเฉือนมือตนเองแน่นอน..."ในน้ำเสียงเขามีอาการทอดถอนใจอยู่ "และหนทางเดียวของคนเหล่านี้ ก็คือการตื่นขึ้น แต่การตื่นนั้นก็ยังยากยิ่งกว่าข
จากนั้นจึงได้ยินเขาเสริมมาให้คำหนึ่ง "ยิ่งไปกว่านั้น เขาเองก็ไม่ใช่กิ้งก่าด้วย"จั๋วซือหรานมองเขา "ไม่ใช่กิ้งก่า? แต่เกล็ดหนังทั้งตัวนั่น...แล้วนิสัยเป็นศัตรูกับพวกแมลง ก็ไม่น่าจะเป็นของพวกจระเข้หรือเปล่า..."จั๋วซือหรานพูด น่าจะเพราะรู้สึกว่าคำพูดต่อจากนี้มันน่าขำ ดังนั้นจึงหัวเราะขึ้นมา เอ่ยต่อว่า "คงไม่ได้เป็นมังกรหรอกนะ..."จากนั้น นางจึงเห็นว่า...ชายหนุ่มคนนี้ หลังจากได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็จ้องมาที่นาง ไม่พูดอะไรจั๋วซือหรานตกตะลึงไป นางกัดริมฝีปาก "หรือว่าเป็นจริงๆ...?"แม้จะยอมรับโลกแฟนตาซีนี้ได้นานแล้ว กระทั่งหงส์แดงก็ยังมีเลย นางเองก็ยังยอมรับได้ แต่ว่า...มังกรหรือ?แม้จะบอกว่าพลังของคนเมื่อครู่ทำให้นางเกิดความรู้สึกอันตรายขึ้นา แต่...มังกรเนี่ยนะ?!ชาติที่แล้วนางมาจากแผ่นดินใหญ่ แนวคิดเรื่องมังกร มันไม่ใช่แค่รูปลักษณ์เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่ฝังรากลึกใจเชิงวัฒนธรรม เป็นคำที่สื่อถึงความหมายดีดีมีศิริมงคลแต่เมื่อกี้นี้มัน...จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว "มังกรดีดีที่ไหนที่หน้าตาเป็นแบบนั้นกัน...ดูแล้วอย่างกับถูกดองเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น"ชายหนุ่มเดิมทีที่มีสีหน้าเคร่งขรึ
เพราะก่อนหน้านี้ที่แล่นผ่านไป ลมหายใจร้อนที่คุ้นเคยจั๋วซือหรานคิดถึงสิ่งนั้นขึ้นมาในพริบตา...ใช่ ผู้ชายที่สมองกลวงไปแล้ว จำนางไม่ได้แล้วคนนั้นเพียงแต่รู้สึกตกตะลึงหน่อยๆ ในใจรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อแต่พอแหงนตาขึ้นมอง...ไม่ใช่เขาที่เข้ามาในสายตาเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง แปลกหน้าอย่างสิ้นเชิงเลย แม้ดูแล้วหน้าตาจะหล่อเหลา ถือได้ว่าเป็นใบหน้าคมคายคนหนึ่งแต่ในคิ้วตาไม่มีส่วนไหนทีคล้ายกันเลยแต่ให้พูดตรงๆ ใบหน้าของเจ้าคนสมองพังนั่นก็สวนทางกับธรรมชาติจริงๆ พอคิดว่าจะมีคนที่มีใบหน้าคล้ายกับการสวนทางธรรมชาตินั่นแล้ว ก็เหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากอยู่จั๋วซือหรานตอนแรกก็ค่อนข้างหลงใหลใบหน้านั้นอยู่ พอได้เห็นใบหน้านั่นก็รู้สึกอารมณ์จะดีขึ้นมาเลย"เจ้า..." จั๋วซือหรานมองชายหนุ่มตรงหน้า เดิมทียังคิดจะพูดอีกคำสองคำ แต่ก็ตระหนักได้ ว่าตอนนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะคุยกันนางเหลือบมองไปทางเจ้า 'ร่างสัตว์' ที่มีเกล็ดหนังของสัตว์ประหลาดคนนั้น แต่ก็พบว่า...หายไปแล้ว?แม้ไม่รู้ว่าหายไปได้อย่างไรแต่อันตรายยังคงอยู่ จั๋วซือหรานมีเวลาพิจารณาสถานการณ์รอบๆ อย่างละเอียด จากนั้นก็มีปฏิกิริยาขึ้นมา...ไม่ใช่ว
แต่คิดไม่ถึงว่า...!จั๋วซือหรานกระทั่งไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ตนเองเห็ฯ มันคืออะไรมนุษย์หรือ? หรือว่า...สิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์อะไร?ถ้าเป็นข้อหลังจริง สิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์ลึกลับที่ตนเองเห็นวันนี้มันจะมากไปหน่อยไหม?ผิวหนังส่วนหนึ่งของเขา ดูแล้วมีสีม่วงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ถูกระเบิดมือทำร้ายเอาแล้ว!เพราะกางเกงกว่าครึ่งของเขา กับเสื้อผ้ากว่าครึ่งของเขา ล้วนถูกระเบิดไปหมดแล้ว ส่วนขอบเสื้อผ้าที่ขาดรุ่ยยังมองเห็นคราบเลือดอยู่แทบจะยืนยันได้ ว่าเขาก่อนหน้านี้ถูกระเบิดมือทำร้ายเข้าไปแล้วและผิวหนังส่วนที่ควรถูกระเบิดจนบาดเจ็บไปแล้ว ตอนนี้กลับมีสีม่วงขึ้นมาเล็กน้อยดูแล้ว กระทั่งยังมีความรู้สึกแข็งแกร่งบางอย่างอีกด้วย!เหมือนจะเป็น...เกล็ดหนัง?จุดที่ถูกระเบิดทำร้ายจนบาดเจ็บบางส่วนบนหน้าเขา น่าจะเป็ฯจุดที่ถูกสะเก็บระเบิดสาดเข้าไป เวลานี้ก็กลายเป็นเกล็ดหนังสีม่วงเข้มไปแล้วไม่เพียงเท่านั้น กระทั่งตาซ้ายก็ยังเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเป็น ดวงตาแนวตั้งที่เย็นชา คล้ายกับสัตว์เลือดเย็นอย่างไรอย่างนั้นจั๋วซือหรานเองก็พูดไม่ถูก ว่าตอนนี้ ปฏิกิริยาแรกของนางคือ...คนผู้นี้อาจจะเป็นนักค
ตอนนี้เอง เขาจึงเห็นเจ้าสิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรลักษณะวงรีนั่นอยู่ที่ใต้เท้าตนเองขณะเดียวกัน เขาก็เห็นว่าร่างของหญิงสาวตรงหน้าถอยฉากไปอย่างรวดเร็วเขาขมวดคิ้ว "นี่มันคืออะ..."เสียงยังไม่ทันขาดเสียงสนั่นก็ดังขึ้น!"ตูม...!"เสียงระเบิดดังลั่น แทบจะดังก้องไปทั้งป่า!ทำเอานกนับไม่ถ้วนบินกันแตกตื่น!จั๋วซือหรานไม่รีรอ หมุนตัวหนีออกไปอย่างไม่ลังเลวิชาร่างเปิดออกทั้งหมด ความเร็วเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดและไม่รู้ว่าเมื่อครู่ชายคนนั้นเป็นสัตว์ประหลาดอะไร รู้สึกเหมือนเป็นศัตรูแข็งแกร่งที่จับตัวได้ยากจริงๆดังนั้น ปกตินางจะไม่ค่อยใช้ของอย่างระเบิดมือเท่าไรนัก เพราะเสียงมันดังเกินไป ดึงดูดสายตาคนมากไปแต่เมื่อครู่คิดแล้ว เหมือนมีแค่สิ่งนี้ที่เหมาะสมที่สุด และให้ผลไม่คาดคิดมากที่สุดแล้วก็ตามคาด ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่คาดคิดขึ้นมาได้แต่จั๋วซือหรานก็ไม่ได้ประมาท นางไม่รู้สึกว่าระเบิดมือลูกนั้นจะทำให้อีกฝ่ายตายได้แต่ก็น่าจะทำให้อีกฝ่ายลำบากพอควร ส่วนตนเองก็ถือโอกาสนี้ฉากหลบออกมาเสีย จึงเป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาดเพียงแต่ว่า สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือ...ปฏิกิริยาและความเร็วของอีกฝ่าย เร็วได
นางมองไปยังศัตรูที่อยู่ตรงหน้ากระทั่งสายตายังไม่ทันจับหน้าตาของคนผู้นี้ได้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของอีกฝ่ายดังขึ้นมาฟังแล้วก็ไม่ได้มีอารมณ์เชิงลบอย่างเย็นชาหรือโกรธแค้นเลยถ้าให้พูดขึ้นมาจริงๆ จั๋วซือหรานกระทั่งรู้สึกว่า เสียงหัวเราะนี้ฟังแล้วดูอบอุ่นอ่อนโยนเสียด้วยซ้ำคล้ายกับสายลมสายฝน แสงตะวันยามบ่ายอย่างไรอย่างนั้นเหมือนกับว่า นี่ไม่ใช่การโจมตีเพื่อช่วงชิงชีวิต แต่เป็นแค่ใช้กิ่งไม้หรือข้าวฟ่างหางหมามาแย่เจ้าเล่นเท่านั้นและเพราะความรู้สึกนี้ การโจมตีถึงตายบวกกับรอยยิ้มที่อบอุ่นอ่อนโยน จึงเกิดความแตกต่างขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดหลังจากนั้น จั๋วซือหรานจึงได้ยินเส้นเสียงที่อบอุ่นอ่อนโยนของอีกฝ่าย ทุ้มต่ำ ในน้ำเสียงกระทั่งไม่มีความเป็นศัตรูเลยด้วยซ้ำเอ่ยขึ้นมาว่า "กันได้ดี ลองกันอีกครั้งดูไหม?"ในใจจั๋วซือหรานสั่นกึกเพราะน้ำเสียงเช่นนี้...นางคุ้นเคยมาก มั่นใจในตนเอง ไม่เร่งไม่ร้อน ดังนั้นพอได้ยินในหูของฝั่งตรงข้าม กระทั่งทำให้เกิดความรู้สึกหยิ่งผยองหน่อยๆ...นี่เป็นน้ำเสียงที่นางเคยใช้กับศัตรูและคู่ต่อสู้ตอนนี้พอได้ยินจากปากคนอื่น เอาจริงๆ ก็รู้สึกเป็นเอกลักษณ์อยู่เหม