เจ้าสำนักหอฟ้าดาวแหงนตาขึ้นฉับพลัน มองตรงไปยังทิศของกรงและก็เห็นว่าคนในกรงที่ผูกแถบผ้าสีแดงไว้ สองมือจับรั้วกรงเหล็กเอาไว้แน่น ในดวงตามีความตื่นกลัวและตื่นเต้น ความหวาดกลัวน่าจะทำเอาสติไม่อยู่กับเนื้อตัว ส่วนความตื่นเต้นก็น่าจะเป็นความยินดีเหมือนเกิดใหม่หลังเจอภัยพิบัติ“เจ้าสำนัก! เจ้าสำนัก!” เขาร้องเรียกเป็นชุด “ข้าคิดว่าข้าจะตายไปเสียแล้ว...”ดวงตาเจี่ยงเทียนซิงจ้องเขาขรึมๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอียงตาไปกำชับกับลูกน้อง “ขังต่อไปก่อน หลังจากกรอกยาไปสองสามวันแล้วค่อยปล่อยออกมา”“ขอรับ” ลูกน้องขานรับคำสั่งคนที่เหมือนเกิดใหม่หลังเจอภัยพิบัติในกรง ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองเพราะตนเองยังต้องถูกยังไว้อีกหลายวันเลยแม้แต่น้อยเขามีแต่ความรู้สึกโชคดี รีบเอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณเจ้าสำนัก ขอบคุณเจ้าสำนัก!”เจ้าสำนักหอฟ้าดาวกำชับลูกน้องต่อ “วัตถุดิบยาเหล่านั้นที่เตรียมไว้ก่อนหน้า ทั้งหมดให้ส่งไปยังร้านยาของจั๋วซือหราน ดูด้วยว่านางยังต้องการอะไรอีก จัดเตรียมให้นางเสีย”“ขอรับ”หลังจากเจ้าสำนักฟ้าดาวกำชับเสร็จสิ้น ก็ลุกขึ้นเดินไปด้านนอกมุมปากของเขาเผยรอยยิ้มบาง เดินไปด้วยพลางพูดกับตนเอง “เจี
“อือ...” จั๋วซือหรานพ่นลมจมูกเป็นสัญญาณปฏิเสธออกมาเบาๆ พลิกตัวงุดหน้าเข้าไปในต้นกำเนิดความร้อนข้างตัว เหมือนอยากจะเอาหัวทั้งหัวหลบเข้าในหน้าอกเขา ให้ตนเองได้นอนเพิ่มต่ออีกหน่อยอาการขี้เกียจลุกจากที่นอนเฟิงเหยียนเดิมทียังคิดจะเรียกนางอีกครั้ง แต่พอมองสภาพของนาง ดวงตาลึกซึ้งของเขาก็ค่อยๆ หรี่ลง และไม่ส่งเสียงออกมาอีกเพียงแต่ต่อให้เขาไม่เรียก จั๋วซือหรานเองก็ค่อยๆ ตื่นขึ้นมาจากเสียงที่เขาเรียกก่อนหน้าแล้ว ต่อให้ยังดูมึนๆ งงๆ อยู่บ้าง...แต่ว่า เพราะไม่ได้อยู่ในสภาพหลับลึกแบบก่อนหน้า ดังนั้น จั๋วซือหรานจึงได้ยินการเคลื่อนไหวของเฉวียนคุนที่เดินไปเดินมาอยู่ด้านนอกพอได้ยินก็รู้ว่ากำลังกระวนกระวายใจไม่ต้องคิดก็รู้ จะต้องเกิดเรื่องขึ้นแล้ว...ตอนที่หลับลึกก่อนหน้านี้ ไม่รู้สึกถึงก็ช่างมันตอนนี้ในเมื่อสังเกตเห็นแล้ว แน่นอนว่าไม่มีทางนั่งนิ่งไม่สนใจแน่หลังจากจั๋วซือหรานงุดหัวฝังเหมือนนกกระจอกเทศอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างจำใจ มองไปทางเฟิงเหยียน ดวงตามีแววเศร้าสร้อยเฟิงเหยียนเองก็ไม่เคยเห็นสายตานี้จากนางมาก่อนสายตาของเขาหยุดอยู่บนหน้านางครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นเสี
เฟิงเหยียนส่ายหัวเขาอยู่ข้างกายนางมาตลอด การเคลื่อนไหวนอกประตู ถ้าหากไม่มีคนมารายงาน เขาเองก็ไม่มีทางรู้เช่นกัน“ใช่เลย มีคนที่ดูดุร้ายมากคนหนึ่งด้วย...” เฉวียนคุนเอ่ยขึ้น “ข้าได้ยินคนนอกประตูเหล่านั้น แล้วก็เด็กฉลาดยังบอกว่า คนๆ นั้นเหมือนเป็นคนของตลาดมืด”แต่ว่าเด็กฉลาดก็ไม่กล้ายืนยัน แต่ไม่ใช่เพราะจำไม่ได้ แต่เป็นเพราะรู้สึกว่าเป็นไปไม่ค่อยได้เด็กฉลาดหลังจากมาทำงานที่จวนของจั๋วซือหรานแล้ว ก็มีชีวิตที่มั่นคงขึ้น สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันของตลาดมืด ตนเองก็ไม่ค่อยรู้เหมือนเมื่อก่อนแล้วดังนั้นแค่รู้สึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะคนผู้นั้นเป็นถึงผู้ชนะการทดสอบของตลาดมืดเลยนะ! จะมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไรกันพอได้ยินเฉวียนคุนพูดเช่นนี้ จั๋วซือหรานก็เริ่มเดาได้แล้วว่าเป็นใคร“เขามาแล้วหรือ?”“คุณหนูรู้จักใครหรือ?” เฉวียนคุนเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “พวกเขาบอกว่าเป็นผู้ชนะการทดสอบของตลาดมืด...น่าจะไม่ใช่เรื่องจริงหรอกกระมัง?”“อืม” จั๋วซือหรานพยักหน้า “ไปเถอะ ออกไปดูหน่อย”คุนแทบจะตกตะลึงไป ผู้ชนะการทดสอบในตลาดมืดทำไมจึงมาหาพวกเขาที่นี่...ยังไม่ทันที่จั๋วซือหรานจะเดินไปที่ประตูเพื่อดู ก็เห็
“ไม่รู้หรอก” จั๋วซือหรานเห็นสีหน้าตกตะลึงบนใบหน้าเฉวียนคุน เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้จริงๆ แค่ก่อนที่ข้าจะทำอะไรก็ติดนิสัยเช่นนี้ ก่อนฝนจะตกก็จัดแจงเตรียมร่มเสีย จะได้ไม่ถูกคนอื่นเขาเล่นงานเอา”สีหน้าบนหน้าเฉวียนคุน ไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด เขาเดิมทีก็ศรัทธาต่อตัวคุณหนูมากจั๋วซือหรานมองสีหน้าเฉวียนคุน หัวเราะขึ้นมา เอ่ยขึ้นอย่างจำใจ “ข้าแค่ว่าจะมีความเป็นไปได้เช่นนี้ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าตระกูลเหยียนจะออกมาแล้ว”จากนั้นเฉวียนคุนจึงเห็นตอนที่คุณหนูของตนเองพูดถึงจุดนี้ ความอบอุ่นที่อยู่ในรอยยิ้มบนใบหน้าก่อนหน้านั้นก็ค่อยๆ จางหายไปนางเอ่ยต่อว่า “สิ่งที่ข้าทำไปก่อนหน้านี้เป็นการเตรียมการล่วงหน้า เดิมทียังคิดว่าใครออกมาก่อนก็จะตีทิ้งเสียก่อน”ใครจะรู้ว่าเป็นตระกูลเหยียนกันเฉวียนคุนพอได้ยินคำพูดนี้ ไม่รู้เพราะอะไร เหมือนว่าจนตอนที่ได้ยินคำพูดของนางที่เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงและมั่นใจ เฉวียนคุนถึงรู้สึกว่า “ใช่สิ มันควรจะเป็นเช่นนี้” ขึ้นมาเพราะรู้ถึงสถานการณ์ด้านนอกในตอนนี้ ดังนั้นจากคำพูดที่อิ๋นไป๋ลูกมือของเจ้าสำนักหอฟ้าดาวนำมา เฉวียนคุนจึงรู้ว่าตอนนี้น่าจะเป็นสถานการณ์แบบไหนดังนั้น
เฉวียนคุนรีบเสริมเข้ามา “ท่านเขย...ท่านเขยในอนาคต”เฉวียนคุนพูดแล้วก็คิดจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เอ่ยขึ้นว่า “คุณหนู ถ้าอย่างนั้นท่านตอนนี้ก็จะไปที่ร้านขายยาศูนย์การแพทย์ไหม?”จั๋วซือหรานขี้เกียจจะตำหนิที่เฉวียนคุนเมื่อครู่หลุดปากออกมา จึงพูดว่า “ข้าไม่ไป ข้ายังมีที่อื่นต้องไปอีก ศูนย์การแพทย์ทางนั้นเจ้าก็ไปเถอะ เรื่องราวเจ้าเองก็รู้แล้ว ตนเองไปจัดการให้ดี อย่าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ รอข้าเสร็จเรื่องอื่นก่อนแล้วข้าค่อยไปที่ร้านยาศูนย์การแพทย์”เฉวียนคุนถูกจั๋วซือหรานพูดมาเช่นนี้ จึงตึงเครียดขึ้นมาแล้ว เขาเองก็ไม่รู้เพราะอะไรความตึงเครียดนั้น ไม่ใช่ความหวาดกลัว แต่เป็น...ความอยากริอยากลอง!เหมือนว่า ในที่สุดก็ทำอะไรให้กับคุณหนูได้บ้างแล้ว!“รับทราบ! ข้าจะไปจัดการตอนนี้เลย” เฉวียนคุนขานรับอย่างระมัดระวัง“อืม เจ้าไม่ใช่ว่าไม่ชอบที่ข้าถูกคนสาดน้ำสกปรกใส่หรอกหรือ? เรื่องนี้เจ้าก็ไปจัดการแล้วกัน” คำพูดนี้ของจั๋วซือหราน ทำให้เฉวียนคุนยิ่งระมัดระวังขึ้นไปอีกเขาเข้าใจเป็นอย่างดี ว่านี่คุณหนูให้ความสำคัญกับเขา และเป็นการทดสอบต่อตัวเขาของคุณหนูด้วย เขารีบขานรับ “คุณหนูวางใจได้เลย! ข้าจะต้องทำดี
พอได้ยินคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน จั๋วซือหรานก็เม้มปากไม่ส่งเสียงนางโกรธจริงๆ นั่นล่ะ ไม่ว่าจะตระกูเหยียนหรือว่าตระกูลจั๋ว นางก็ใช้ประโยชน์มาตลอด ต่อให้ผิวเผินจะดูเป็นการร่วมมือก็ตามแต่ถ้าแค่ใช้ประโยชน์กันและกันเท่านั้น แต่สำหรับตระกูลเฟิง...จั๋วซือหรานนึกถึงตอนที่ตนเอง “แลกเปลี่ยนพลัง” กับเฟิงเหยียน บวกกับความเห็นใจต่อตัวเฟิงเหยียนรวมถึงชะตากรรมวีรบุรุษที่น่าเศร้าของตระกูลเฟิงนางเข้าใจว่าตนเองไม่มีประโยชน์ใดกับตระกูลเฟิง ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้ ที่นางเข้าช่วยเหลือนตระกูลเฟิงก็เพื่อเฟิงเหยียนจริงๆ ไม่เช่นนั้นนางคงมองตระกูลเฟิ่งล่มสลายไปในคลื่นพายุครั้งนี้แล้วต่อให้ตัดสี่คนนั้นออก บางทีอาจจะไม่ได้สร้างการบาดเจ็บล้มตายมากนัก แต่ก็ทำให้ตระกูลเฟิงวุ่นวายได้แล้วผลลัพธ์คือที่นางคิดถึงเกียรติของเฟิงเหยียนด้วยความหวังดีแต่สิ่งที่ได้รับมากลับเป็นตระกูลเฟิงเอามีดมาแทงหลัง...ต่อให้ในใจจั๋วซือหรานจะคาดคะเนนิสัยชั่วร้ายของพวกตระกูลชั้นสูงเหล่านี้ไว้แล้ว แต่การที่เพิ่งจะยกชามกินข้าว แต่พริบตาต่อมาก็คว่ำชามด่ากราดคนแบบนี้มันก็ช่าง...ไม่ว่าจะตระกูลเหยียนหรือตระกูลจั๋ว เหมือนจะยังไม่ได้เลวร้
นางกระทั่งเหมือนไม่เห็นพวกเขาด้วยซ้ำ ยังคงเดินต่อไปสีหน้าท่าทางของจั๋วซือหรานที่ดูเรียบเฉย เวลานี้กลายเป็นเหตุผลที่พวกเขาโกรธแค้นขึ้นมาจากนั้น ก็มีเสียงแผละดังขึ้น!กองผักกาดเน่าหนึ่งกอง ถูกเทลงไปตรงหน้าใต้เท้าจั๋วซือหรานเท้าของจั๋วซือหรานหยุดลง มองไปทางคนที่โยนขยะนี้เข้ามาสายตาไม่มีคลื่นอารมณ์ใด นิ่งเงียบไปทั้งผืนคนที่โยนผักกาดเน่ากองนี้มา ถูกสายตาของนางจ้องจนขนลุกขึ้นในใจปากแข็งเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าทำเรื่องเช่นนี้! แล้วยังกล้าทำตัวไม่เกรงกลัวเช่นนี้อีก! จั๋วซือหรานเจ้ามันหน้าไม่อาย!” “ใช่! หน้าไม่อาย! หน้าไม่อาย!”“คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรจะอยู่ในเมืองหลวง!”เรื่องการโห่ประจานก็เป็บแบบนี้ ขอแค่มีคนแรกเอ่ยขึ้นมา คนอื่นๆ ก็จะสอดประสานเข้ามาง่ายเป็นพิเศษยิ่งไปกว่านั้นเพราะมีคนเยอะ ก็มักจะรู้สึกกันว่า ตนเองขอแค่หลบอยู่ในกลุ่มคนก็จะปลอดภัยต่อในใจพวกเขาจะไม่เข้าใจคำพูดที่ว่ากฎหมายไม่ลงโทษคนหมู่มาก แต่กลับเข้าใจแนวคิดนี้อย่างชัดเจนจั๋วซือหรานต่อให้เก่งกาจสักแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจเปิดฉากเข่นฆ่าคนมากขนาดนี้ได้กระมัง?หลายครั้ง ที่ความกำเริบเสิบสานของคนหมู่มากใช้ประโยชน์จากขีดจำก
“ช่างเป็นการเปลี่ยนแปลงที่อัศจรรย์เสียจริง จั๋วจิ่วคนนี้ตอนนั้นไม่ใช่ว่าถอนหมั้นกับซื่อจื่อเฟิงเพราะคนจนๆ คนหนึ่งหรอกหรือ? ไปผิดใจกับตระกูลเขาเข้าเต็มเปาเลยนี่...”“ตอนนี้ซื่อจื่อเฟิง กลับมาผิดใจกับตระกูลเพื่อหญิงสาวที่ชื่อเสียงเน่าเหม็นแล้วยังทอดทิ้งตนเองคนนี้อีก”จั๋วซือหรานเองก็ประสาทสัมผัสไว ได้ยินเสียงเหล่านี้ลอดเข้าหูจนหมดนางเลิกคิ้ว อารมณ์เองก็ดีขึ้นไม่น้อยใช่สิ ถ้าตระกูลเฟิงรู้เข้าไม่โมโหตายเลยหรือ?ถ้าตระกูลเฟิงอกแตกตาย อารมณ์ของจั๋วซือหรานจะดีมากเลยนางยกมุมปากเล็กน้อย หัวเราะออกมาแต่คนรอบๆ ที่เห็น กลับรู้สึกเหมือนถูกดูดวิญญาณไป“ก็จริง ด้วยใบหน้านี้ของนาง ใครก็ถูกล่อลวงจนศิโรราบกันทั้งนั้น...”จั๋วซือหรานกวาดสายตาไปบนหน้าพวกเขา มุมปากยกขึ้น ดวงตากลับเย็นชา “พวกเจ้าน่าจะมองข้าดีเกินไปแล้ว ซ้ำยังคิดว่า...กฏหมายไม่เอาผิดคนหมู่มากสินะ แค่คิดว่าพวกเจ้ามีคนมากหน่อย ข้าไม่มีทางจะรับมือพวกเจ้าทุกคนได้”คำพูดของนางเหมือนจะพูดตรงกับความคิดคนบางส่วน ในกลุ่มคนก็มีคนทีสีหน้าเหยเกไปบ้างแล้ว“ยิ่งไปกว่านั้นคนมากขนาดนี้ พยานก็ยิ่งมากด้วย ข้าไม่มีทางลงมือกับพวกเจ้าได้สินะ”ทุก
"เดิมทีข้าแค่คิดจะจับเจ้าเป็นๆ พากลับไปสอบสวนเสียหน่อย ว่าเจ้าไปรเียนรู้ทักษะภาษาสัตว์ที่แทบจะสาปสูญไปแล้วของตระกูลซางมาได้อย่างไร" ซางเชวี่ยน้ำเสียงเย็นชาลงไปอีกจั๋วซือหรานมองนาง มุมปากยกขึ้นจนเป็นร้อยยิ้มจางๆ ไม่มีความอบอุ่นใดๆ กระทั่งไม่มีอารมณ์ใดอีกด้วยราวกับไม่ว่าซางเชวี่ยกับคนตระกูลซางพวกนี้จะพูดอะไรหรือทำอะไร ก็ไม่อาจส่งผลอะไรกับใจนางได้เลยจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "คนที่บีบเค้นถามข้า บอกว่าข้าแอบเรียนวิชาแพทย์ของตระกูลพวกเขา ตอนนี้ยังนอนอยู่ในบ้าน บางครั้งก็อั้นฉี่ไม่ไหวอยู่เลย "จั๋วซือหรานมองดวงตาซางเชวี่ย "เจ้าอยากจะลองไหม?"ซางเชวี่ยหัวเราะเย็นชา "ข้ายังพูดไม่จบเลยนะ ข้าเดิมทีคิดจะจับเจ้าเป็นๆ แต่ตอนนี้ ข้าเปลี่ยนความคิดแล้ว คนอย่างเจ้า เป็นตัวแปรที่ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่รู้ว่าจะเอาความยุ่งยากหรือการเปลี่ยนแปลงมามากแค่ไหน ตายๆ ไปเสียดีกว่า คนตายไปคือปลอดภัยที่สุด ไม่ว่าสำหรับใครก็เป็นเช่นนี้"เสียงเพิ่งหยุดลง ข้อมือของซางเชวี่ยก็สั่นไหวอย่างรุนแรงแสงเงินสายหนึ่ง รวดเร็วมาก! แล่นตรงเข้ามาทางจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานหรี่ตาลงเล็กน้อย ยื่นมือออกทันทีแต่นางยังไม่ทันยื่นมือ
"นี่มัน...ไหมกู่?" ซางถิงอยู่ใกล้ๆ จั๋วซือหราน ดังนั้นจึงเห็นเส้นใยเหล่านี้ยิงออกมาจากมือนางและเพราะสามารถมองเห็นได้ชัด ดังนั้นซางถิงจึงมองออกรางๆ ว่าเส้นใยแต่ละเส้นเหล่านี้ กลับไม่เหมือนตาข่ายใยแมงมุมอะไรแต่คล้ายกับ...ไหมกู่ไหมกู่ที่แมลงกู่พ่นออกมาหญิงสาวคนนี้...ใช้วิชากู่ได้ด้วย!ซางถิงก่อนหน้านี้รู้สึกแค่ว่า จั๋วซือหรานถึงแม้จะเก่งกาจ แต่ว่าตนเองก็ออมมือไปบนเวทีด้วยไม่ได้ใช้วิญญาณเลือดอสูรออกมาด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ดูแล้ว จั๋วซือหรานที่อยู่บนเวทีเองก็เหมือนจะออมมืออยู่ไม่น้อยเลย ทั้งสองฝ่ายต่างออมมือจนสู้ออกมาเป็นแบบนั้นคนของโถงตัดหัวตระกูลซาง เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าจั๋วซือหรานจะใช้วิชากู่ได้ด้วย!หญิงสาวคนนี้! คิด! จะทำอะไรกันแน่!วิชาแพทย์ วิชาสกัดยา วิชายุทธ์ ตอนนี้วิชาควบคุมสัตว์กับวิชากู่ก็ยัง...!คนของโถงตัดหัวล้วนมองนางอย่างระแวดระวัง หลังจากกันไหมกู่ของนางออกไปแล้ว ก็ยังไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแต่ก็มีอยู่สองสามคนที่ไม่ระวังถูกไหมกู่ของนางเปื้อนเข้าไป ล้วนล้มลงพื้นครวญครางเจ็บปวดขึ้นมาสายตาซางเชวี่ยก็จับจ้องที่จั๋วซือหรานเช่นกัน "วิชากู่เจ้าก็เป็นด้วย
"แต่จากที่ข้ารู้ แมลงพิษที่ใช้เป็นกู่มาหลอมได้...แมงมุมเองก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นพอจั๋วซือหรานพูดคำนี้ คนของโถงตัดหัว สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีจั๋วซือหรานยิ้มๆ "เล่นกู่หรือ? ช่วงนี้ข้าก็สนใจกับการเล่นกู่เหมือนกัน ดังนั้น ตาข่ายของพวกเจ้า ฉันเลยทดสอบไปแล้ว ตอนนี้ตาข้าแล้วกระมัง?"ตอนที่จั๋วซือหรานพูดคำนี้ ซางถิงก็ตกตะลึงไปเขารู้สึกว่าคำพูดนี้ดูคุ้นหู ตอนอยู่บนเวที จั๋วซือหรานก็พูดแบบนี้กับเขาเหมือนกันและหลังจากที่นางพูดคำนี้ ก็โต้กลับอย่างรุนแรงใส่เขาทันทีตอนนี้ นางพูดแบบนี้ออกมาอีกครั้งไม่รู้เพราะอะไร ซางถิงรู้สึกว่า น่าจะเป็นความรู้สึกคล้ายๆ กับก่อนหน้านี้กระมังคนอย่างจั๋วซือหราน ตอนที่เป็นคู่ต่อสู้ของนาง คงรู้สึกตำมือเป็นอย่างมาก มาเจอคนแบบนี้ เหมือนเจอกับเข็มแหลมรอบด้านจริงๆไม่ว่าจะสัมผัสจากมุมไหน ก็ล้วนทิ่มแทงมือทั้งสิ้น!แต่ตอนที่ไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้กับนาง แล้วมาเป็นสหายร่วมรบที่มีเป้าหมายเดียวกันก็เหมือนจะรู้สึกว่าวางใจได้อย่างประหลาดเลยทีเดียวตอนที่ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ก็เหมือนจะไม่มีอะไรให้สับสนแล้วซางเชวี่ยหัวเราะเย็นชาขึ้นมาในกลุ่มโถงตัดหั
"มันต้องไม่ปกติอยู่แล้ว! นั่นมันวิชาลับสืบทอดของโถงตัดหัว" ซางถิงเอ่ยขึ้น "ตาข่ายแมงมุมของพวกเขาล้วนหลอมขึ้นมา ก็เพราะเอาไว้ควบคุมฝ่ายตรงข้าม""ในเมื่อควบคุมจั๋วซือหรานได้แล้ว" ผู้หญิงเสียงเย็นชานั่นเอ่ยขึ้นมา "ก็เก็บซางถิงเสีย ข้าเห็นตอนที่เขาสู้กับจั๋วซือหรานบนเวที สู้จนหมดเรี่ยวหมดแรงแล้ว ยังไม่รู้ว่าจับแอบเก็บไพ่ตายอะไรที่ไม่อยากให้ใครเห็นไว้หรือเปล่า? ดูแล้วประหลาดๆ"ซางถิงพอได้ยินเนื้อหาคำพูดของซางเชวี่ย สีตาก็เปลี่ยนไปเขากำกำปั้นแน่น เขาซ่อนไพ่ตายความสามารถที่ไม่อยากให้คนอื่นรู้ไว้จริง เขาสามารถเปิดช่องพลังได้แต่ไม่เหมือนกับเปิดช่องพลังทั่วไป เขาไม่เพียงแต่สามารถเปิดช่องพลัง ยกระดับความสามารถตนเองขึ้นชั่วคราว ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่รู้สึกอ่อนล้าหลังจากที่ใช้พลังเกินตัวอีกด้วยเพราะการเปิดช่องพลังของเขา ไม่ได้เกิดจากใช้พลังงานของตนเองจนหมดแล้วดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินการเปิดช่องพลังของเขา คือใช้พละกำลังของสัตว์ที่ควบคุม ไม้ตายนี้เรียกว่า...วิญญาณเลือดอสูรไขาไม่เพียงแต่สามารถใช้พลังของสัตว์ที่ควบคุมได้ แต่ยังใช้พลังวิญญาณของสัตว์ควบคุมได้ในบางระดับด้วย กระทั่ง ยังสามารถทำให้
เขาสัมผัสได้ว่าบนบาดแผลทั้งสองที่ถูกดาบของนางแทงไว้ จนทำให้หินต้องห้ามยังแตกก่อนหน้านี้เวลานี้มันคันยุบยิบ ราวกัยว่า...กำลังผสานอย่างรวดเร็วจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "รักษาให้เจ้าก่อน อีกเดี๋ยวถ้าสู้ขึ้นมา จะได้ไม่ขี้เกียจ"ซางถิงเกือบจะโมโหจนหัวเราะขึ้นมายังไม่ทันที่เขาจะได้พูด ในกลุ่มคนเหล่านั้นที่ล้อมเข้ามา ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น"จั๋วซือหราน เจ้าสังหารลูกหลานตระกูลข้าไป แอบเรียนวิชาลับตระกูลข้า โทษนี้สมควรตาย แต่เห็นแก่ว่าเจ้าไม่ใช่คนในตระกูลเรา ไม่เข้าใจกฏเกณฑ์ของตระกูล จะไว้ชีวิตเจ้า แล้วจะพาเจ้ากลับไปช่วยอธิบายให้หน่อย ว่าไปร่ำเรียนวิชาลับตระกูลเรามาจากที่ไหน"จั๋วซือหรานพอได้ยินเนื้อหานี้ "เข้ามาเพราะความสามารถข้าจริงๆ ด้วย"ซางถิงหัวเราะเฮอะขึ้นมา เอ่ยเสียงต่ำกับจั๋วซือหรานว่า " ข้าก็บอกว่าแล้วไม่ได้มาหาข้า ในเมื่อมันไม่เกี่ยวกับข้า ข้าไปได้แล้วใช่ไหม?"จั๋วซือหรานหัวเราะเหอะๆ " อย่าสิ ข้ารักษาให้เจ้าแล้วนะ รับแล้วก็ตอบแทนกันหน่อยมันเป็นมารยาท"ซางถิงกัดฟัน "แล้วทำไมเจ้าไม่พูดเสียหน่อยว่าบาดแผลพวกนั้นมันมายังไง..."ตอนนี้เอง เสียง 'คาดโทษ' จั๋วซือหรานก่อนหน้านี้ก
เพราะเวลาค่อนข้างดึกแล้ว กระทั่งสนามประลองทางนี้ก็ยังเงียบสงบ ดังนั้นที่นี่ต่อให้สู้กันขึ้นมาตอนนี้ ก็ไม่ได้ดึงดูดสายตาใครยิ่งไปกว่านั้น ตลาดมืดก็มีกฏของตลาดมืด คนของตลาดมืดก็มีวิถีการดำรงชีวิตของตนเองเช่นกันในนี้กฏที่ใช้ได้ทั่วไปข้อหนึ่งคือ...อย่ายุ่งเรื่องชาวบ้านดังนั้นพวกเขาต่อให้ตายกันที่นี่ ก็น่าจะไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนักตลาดมืดฝังศพเอาไว้แทบทุกที่ นี่คือที่มาของคำพูดนี้ดังนั้นในกลุ่มคนเหล่านี้ หลังจากเข้ามาล้อมซางถิงกับจั๋วซือหรานแล้ว เดิมทีรอบๆ ก็ยังมีคนอยู่อีกส่วนหนึ่งดูจากท่าทางแล้วไม่ธรรมดาเลย ทยอยกันกระจายตัวออกเหมือนสัตว์ ตอนนี้ที่นี่จึงสงบมาก...แทบไม่มีคนเลยคืนเดือนมืดลมพัดแรง ค่ำคืนแห่งการสังหารดูจากเสื้อผ้าคนเหล่านี้ อันที่จริงยังมองไม่ออกถึงตัวตนฐานะแท้จริงของพวกเขาแตว่า ขอแค่คนรู้จริงเรื่องกลุ่มอย่างซางถิง ก็จะมองออกถึงกลุ่มได้อย่างรวดเร็วซางถิงมองกลุ่มออกจากเครื่องมือควบคุมสัตว์ของพวกเขาอย่างรวดเร็วซางถิงเอียงหน้าเล็กน้อย บอกกับจั๋วซือหรานด้านหลังว่า "ระวังด้วย คนพวกนี้ ทั้งหมดเป็นคนของโถงตัดหัวตระกูลซาง"โถงตัดหัว?" จั๋วซือรหานฟังคำนี้แล้วก็เอ่ย
แต่ยังไม่ทันได้แตะไหล่ของจั๋วซือหราน นางก็มีปฏิกิริยากลับมาอย่างรวดเร็ว“เจ้า” จั๋วซือหรานเห็นหน้าคนด้านหลังอย่างชัดเจนผมสีขาวรุงรังกับดวงตาสีฟ้าทึมที่เป็นเอกลักษณ์ แสดงชัดถึงตัวตนฐานะของเขา นี่คือคู่มือที่ประลองกับนางบนเวทีเมื่อครู่นี้นั่นเองดวงตาสีฟ้าทึมของเขาจ้องมองจั๋วซือหราน “ข้ายังคิดว่าเจ้าไปแล้วเสียอีก ทำไม? กำลังรอข้าหรือ?”จั๋วซือหรานมองเขา “เจ้านี่...มั่นใจในตัวเองเสียจริงนะ”“ใช่สิ” รอยยิ้มในดวงตาสีฟ้าทึมของเขายิ่งเพิ่มมากขึ้น “ข้ากับเจ้ามันคนประเภทเดียวกัน เป็นพวกที่มั่นใจในตนเองแบบนั้น”จั๋วซือหรานหัวเราะ จากนั้นจึงเห็นแขนที่ห้อยอยู่ข้างตัวเขา ยังมีเลือดสดไหลอาบลงมา กลิ่นคาวเลือดบนตัวเขายังไม่หายไป“เจ้าน่าจะรักษาแผลก่อนแล้วค่อยมาพูดจาคุยโตนะ” จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น“เรื่องเล็กน่า” ซางถิงเอ่ยตอบจั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่เจ้าออมมือไว้ ไม่งั้นคงไม่เจ็บขนาดนี้”“ใช่เลย ข้าออมมือไว้ ก็เลยลดความยุ่งยากลงไปได้พอควร” ซางถิงตอบจั๋วซือหรานยิ้ม “อินเจ๋ออันไม่ใช่ความยุ่งยากหรือ?”“เขา? เขาจะไปยุ่งยากอะไร...” ซางถิงดูไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ เอ่ยต่อว่า “ข้าออมมือ
ได้ยินคำนี้ ฮั่วจือโจวยกมุมปากขึ้น “คุณหนูเฟิงสือ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าก็แค่อยากร่วมมือกับแม่นางจิ่วเท่านั้น”เฟิงหร่านมองเขา แม้บนปากจะไม่คัดค้าน แต่ในใจก็แอบคิด นั่นก็เพราะเจ้ายังสัมผัสไม่ได้ถึงเสน่ห์ของพี่หญิงจั๋วเท่านั้นส่วนเจี่ยงเทียนซิงที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินคำพูดของเฟิงหร่าน ก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไร เพียงแต่รอยยิ้มในดวงตาค่อยลดลงมาเท่านั้นครู่ต่อมา จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “แต่ว่าตระกูลเฟิงของพวกเจ้า ไม่ใช่ว่าดูถูกซือหรานหรอกหรือ เพราะอะไรกัน? พวกเจ้าเห็นสิ่งนี้เป็นของไร้ค่า แต่ก็ไม่ยอมให้คนอื่นได้ครอบครองหรือ? ใหญ่โตเสียจริง”สำหรับคำพูดของเจี่ยงเทียนซิง เฟิงหรานกระทั่งโต้แย้งก็ยังแย้งออกมาไม่ได้นางริมฝีปากสั่นระริก ครึ่งมาจึงบอกว่า “สรุปคือ หลังจากนี้จะมีวิธีเอง”ฝูซูมองจากข้างๆ เขารู้แน่นอนว่าคุณหนูของตนเองยอดเยี่ยมแค่ไหนทำให้คนหลงใหลได้แค่ไหนและก็รู้ว่าคุณหนูเฟิงสือถูกคุณหนูทำให้หลงไปแล้ว การที่พูดแบบนี้ออกมาก็ไม่ได้ผิดอะไรแต่ปฏิกิริยาของเจี่ยงเทียนซิงนี่ กลับทำให้ฝูซูอดเหลือบมองเขาขึ้นมากหน่อยไม่ได้ในใจฝูซูก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่าเจี่ยงเทียนซิงคนนี้เหมือนจะ...รู้สึก
“นี่ฝูซูกับเฮยหลิงยังไว้หน้าพวกเจ้าอยู่นะ ถึงยังไม่จับตะเกียบ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าแค่น้ำแกงก็ไม่ได้ชิมด้วยซ้ำ” เจี่ยงเทียนซิงวางตะเกียบลงหัวเราะฮั่วจือโจวไม่อยากเชื่อ ถามขึ้นว่า “นี่คือของที่แม่นางจั๋วจิ่วทำหรือ? จริงหรือเปล่า?”“เป็นของที่คุณหนูข้าทำเอง” ฝูซูพยักหน้าอินเจ๋ออันมองเขา ถามขึ้นว่า “คุณชายฮั่ว ยอมรับแล้วหรือยัง?”ฮั่วจือโจวถอนหายใจเบาๆ พยักหน้าเจี่ยงเทียนซิงเห็นท่าทางแขกยึดครองตำแหน่งเจ้าภาพของอินเจ๋ออันแล้วก็หัวเราะพรวดขึ้นมา “เปาน้อย เจ้าเองก็ไว้หน้าตัวเองหน่อยดีไหม คำพูดนี้ข้าต่างหากที่ควรถาม? เจ้าน่ะยอมรับแล้วหรือยัง?”“ถ้าข้าไม่ยอมรับ แล้วข้าจะเอาเงินมาให้พวกเจ้าด้วยตัวเองทำไมกัน?!” อินเจ๋ออันจ้องอย่างมาดร้ายไปทางเจี่ยงเทียนซิงตัวเขาเองอาจจะไม่ทันสังเกต ว่าตนเองกระทั่งลืมไปแล้วว่าต่อต้านชื่อเรีย ‘เปาน้อย’ อยู่เฟิงหร่านนั่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรมาตลอด สนใจแค่การกินอาหารบนโต๊ะอย่างรวดเร็วราวพายุดูดเท่านั้นนางกินไปด้วย พิจารณาชายหนุ่มสามคนนี้ไปด้วยในใจจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาเฟิงหร่านเกิดวิตกกังวลขึ้นมาแทนพี่ชายตนเอง นางชื่นชมในใจ พี่หญิงจั๋วน