จั๋วซือหรานเลิกคิ้วเมื่อนางได้ยินสิ่งที่เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวพูด นางพูดว่า "หืม เคยบอกข้าเรื่องอะไร"เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า "แม้ว่าการกระทำของเจ้าจะดูโหดเหี้ยมมาก แต่จริง ๆ แล้ว เจ้าก็ดูเป็นคนจิตใจอ่อนโยนมาก เจ้าไม่เคยริเริ่มที่จะยั่วยุผู้อื่น แม้ว่าจะเป็นการแก้แค้น แต่ก็มักจะไม่ร้ายแรงนัก”ก่อนหน้านี้คุณท่านจั๋วลิ่วเคยจ้างนักฆ่าของเจ้าสำนักของหอฟ้าดาว เพื่อลอบสังหารจั๋วจิ่วแต่ทั้ง ๆ แม่นางจั๋วจิ่วผู้นี้มีความสามารถในการฆ่านักฆ่าเหล่านั้น แต่นางกลับไม่ได้ฆ่าพวกเขาในทางตรงกันข้าม นางปล่อยชีวิตของพวกเขาและปล่อยพวกเขากลับมา และด้วยเหตุนี้เขาและจั๋วจิ่วจึงมีโอกาสเจอกันและร่วมมือในเรื่องต่าง ๆถึงแม้จะแยกไม่ออกว่าเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วในขณะนี้ก็ตามแต่เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวมักรู้สึกว่า จั๋วซือหรานไม่เหมือนผู้คนที่อยู่ในตลาดมืด และนางไม่เหมือนผู้คนของตระกูลชนชั้นสูงที่ไม่เห็นแก่คุณค่าของผู้คนนางมักมีความเป็นมิตรต่อผู้อื่น ซึ่งคนเหล่านั้นไม่มีนางเป็นคนใจดี แต่ความมีน้ำใจของนางนั้นเฉียบแหลม“ เจ้าสำนักรู้สึกข้าใจอ่อนเหลือเกินหรือ” จั๋วซือหราน ได้ยินคำพูดของเจ
สภาพแวดล้อมของสนามทดสอบนี้ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อก่อนนางเคยสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับกฎที่ว่าไม่สามารถใช้พลังวิเศษในสนามแข่งได้ แต่ตอนนี้นางตระหนักได้ว่า สนามแข่งนั้นเต็มไปด้วยความอดกลั้นตอนที่นางอยู่ในห้องชั้นใน นางไม่มีความรู้สึกเช่นนี้เลยทันทีที่นางเดินออกจากห้องด้านใน ดูเหมือนว่าพลังวิเศษจะถูกปิดกั้นไปบ้าง...จั๋วซือหรานมองใกล้ ๆ และตระหนักว่าพื้นของสนามประลองนี้ทำจากวัสดุที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว หินต้องห้ามนั้นหาได้ยากมาก แต่หินชนิดนี้สามารถปิดกั้นพลังวิเศษของผู้คนได้จริง ๆสำหรับผู้ที่มีพลังวิเศษอยู่ในระดับไม่สูง เท่ากับว่าไม่มีพลังวิเศษใด ๆ ที่สามารถใช้ได้ในสนามแข่งนี้และหากระดับของพลังวิเศษสูงพอ แม้แต่หินต้องห้ามก็ไม่สามารถห้ามได้...ใครในระดับนั้นจะมาแข่งในสนามทดลองมี่มีระดับต่ำเช่นนี้ล่ะแม้ว่าจั๋วซือหรานไม่ตั้งใจฟังเสียงที่ดังรอบตัวนาง แต่นางก็ยังได้ยินอยู่หลังจากวางกรงที่ขังเฮยหลิงถูกยกขึ้นบนบริเวณแข่ง เสียงรอบตัวนางก็ดังขึ้นสองสามเท่ายิ่งไปกว่านั้น ทุกคนสังเกตเห็นอัตราการต่อรองการเดิมพันที่ไม่ธรรมดาบนกระดานของสนามทันที...“เขียนผิดหรือเปล่า”“อัตรา
ภายใต้สายตาของผู้ชมทุกคนไม่ได้ปรากฏฉากที่จั๋วซือหรานถูกฉีกเป็นชิ้น ๆทุกคนเห็นเพียงชายหนุ่มตัวน้อยคนนี้เคลื่อนไหวไป ๆ มา ๆ บนบริเวณแข่ง หนุ่มผู้นี้กระโดดขึ้น ๆ ลง ๆ ร่างกายของเขาว่องไวราวกับนกที่กำลังบินบนท้องไฟ้าหรือปลาที่กำลังว่ายในน้ำฝูงชนเริ่มกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ และพวกเขาเริ่มตะโกน“ฉีกเขาเป็นชิ้น ๆ ฉีกเขาเป็นชิ้น ๆ เลย”“ไอ้สารเลว เจ้าเป็นหนูหรือ มีแต่หลบแล้วหลบหรือ”"หากเจ้าเก่ง อย่าหนีสิ ไปสู้กับเฮยหลิงตัวต่อตัวสิ”......จั๋วซือหรานเลิกคิ้วเล็กน้อยขณะที่นางได้ยินเสียงที่มาจากรอบตัวนาง แต่นางไม่สนใจเสียงเหล่านั้น“ศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดในใต้หล้านี้แขงแกร่งอย่างมาก มีเพียงความเร็วเท่านั้นที่สามารถรับมือได้ พวกเจ้าไม่รู้อะไรเลย…” จั๋วซือหรานพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงเกียจคร้านนางชำเลืองมองไปรอบ ๆ ตัวนาง นางชะลอความเร็วลงเล็กน้อยเป็นครั้งคราว หรือก้าวเดินโซเซราวกับว่านางกำลังจะถูกจับมีแม้กระทั่งช่วงเวลาหนึ่ง จั๋วซือหรานทำตัวทรงตัวไม่อยู่และล้มลงกับพื้น เฮยหลิงรีบกระโจนเข้าหานางโดยห่างจากนางเพียงครึ่งก้าวจั๋วซือหรานเตะเท้าของนางบนพื้นเพื่อให้ตัวเองห่างกับเฮยหลิงหน่อย จ
เดิมทีทุกคนต่างรู้สึกเหนื่อยล้าในการมองเฮยหลิงวิ่งไล่จับจั๋วซือหราน ทันใดนั้นพวกเขาจ้องตาโต ๆภายใต้สายตาของพวกเขา ชายร่างเล็กก็กลิ้งตัวเพื่อหลบงหมัดอันน่าตกใจของเฮยหลิง ในความคาดหวังของพวกเขา ชายร่างเล็กควรจะหวาดกลัวมากและวิ่งหนี...เขาไม่ได้วิ่งหนี และไม่หลบด้วยแต่เขากลับเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายและพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้งในสายตาของทุกคนไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรพวกเขาเพียงเห็นชายร่างเล็กคนนั้น แม้ว่าเขาจะตัวเล็ก แต่ก็ยังมองเห็นขาที่มีสัดส่วนและเส้นที่สมบูรณ์แบบได้อย่างง่ายดาย...จั๋วซือหรานเคลื่อนที่อย่างว่องไวจากนั้นนางก็เดินบนไหล่ของเฮยหลิง ในขณะนี้ นางดูเหมือนนางกำลังถูก เฮยหลิงจับขึ้นและนั่งอยู่บนไหล่ของเขาดูเหมือนมือสีขาวเรียบ ๆ ของนางกำลังสัมผัสกะโหลกศีรษะของเฮยหลิงเบา ๆแต่เฮยหลิงกลับสั่นตัว เขาส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวด และยื่นมือไปตบคนที่อยู่บนไหล่ของเขาอย่างรุนแรงแต่นางก็หลบมันได้อย่างช่ำชอง และร่อนลงมาข้างหลังเขาพร้อมกับตีลังกากลับหลังจากไหล่ของเขา...และในขณะที่เขากำลังตกจากด้านหลังเขาด้วยการตีลังกากลับหลังนี้มือขาวเล็ก ๆ ของนางราวกับฟ้า
“เฮยหลิง ฆ่ามัน ฆ่ามันเลย ฉีกเขาเป็นชิ้น ๆ ”“เฮยหลิง เฮยหลิง เฮยหลิง”สนามแข่งเริ่มเสียงดังขึ้น และดวงตาของนักพนันล้วนแดงก่ำพวกเขากรีดร้องและคำรามอย่างโกรธพวกเขาอยากลงสนามไปฉีกจั๋วซือหรานเป็นชิ้น ๆ ด้วยตัวเองในขณะนี้ นักพนันเหล่านี้ดูบ้าคลั่งกว่าเฮยหลิงที่อยู่ในสนามเสียอีกพวกเขาฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฮยหลิง ราชาผู้ไร้พ่ายแห่งสนามแข่งนี้คือความหวังสุดท้ายของพวกเขาในขณะนี้ มีร่างมืดปรากฏขึ้นบนอับริเวณรับชม คนผู้นี้สวมหน้ากากทั่วไปที่ใช้ในตลาดมืด เพื่อซ่อนตัวตนของเขาเขาแต่งกายด้วยชุดสีดำ ซึ่งดูเรียบง่ายมาก แทบไม่มีอะไรบนร่างกายที่สามารถเปิดเผยตัวตนของเขาได้มุมเสื้อของเขามีเพียงลายปักที่ไม่ค่อยโดดเด่น นั่นเป็นลายปักรุปพระจันทร์เสี้ยวสีเงิน ดูเหมือนว่าจะใช้วัสดุพิเศษในการทำด้ายปัก ดังนั้นสีเงินนี้จึงดูสวยงามเช่นนี้ในเมืองหลวง มีตราสัญลักษณ์เพียงอันเดียวที่เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวสีเงิน และเป็นหนึ่งในสามกองกำลังหลักในตลาดมืด - หอเงินจันทร์ดวงตาของชายคนนั้นเย็นชา เขามองดูสถานการณ์ในสนามคนรับใช้ยืนอยู่ข้างกายเขา คนรับใช้ผู้นี้ถามด้วยความเคารพว่า "ท่านขอรับ ท่านคิดว่าอย่า
“ไอ้เจ้าหนูตัวน้อย หากเจ้ากล้าชนะ วันหลังเจ้าไปไหนมาไหน ระวังละกัน อย่าให้กูเจอมึงละกัน”“หากเจ้ากล้าชนะ กูต้องให้มึงตายแน่ ๆ กูจะฆ่ามึง ได้ยินไหม กูจะฆ่ามึง”“แม่ง กูจะควักลำไส้มึงออกจากด้านล่างมึง แล้วยัดกลับเข้าปากมึงเลย”คำพูดอันข่มขู่และคำหยาบทุกชนิดส่งเข้าหูของจั๋วซือหรานอย่างไม่จบสิ้นแต่จั๋วซือหราน นางกำลังยืนอยู่ที่สนามประลอง แม้จะอยู่ไม่ไกลจากขอบกรง คนเหล่านี้ก็รีบไปที่ขอบกรง ราวกับว่าพวกเขาสามารถจับนางได้ตราบใดที่พวกเขายื่นมือออกมาจั๋วซือหรานมองเห็นความบ้าคลั่งและความโกรธในดวงตาของพวกเขาได้อย่างชัดเจนพวกเขาพูดทุกหยาบคายและพยายามคุกคามทั้งหมดที่พวกเขาทำ โดยหวังว่าพวกเขาจะไม่แพ้เพียงแต่อำนาจในการตัดสินใจนี้ไม่ได้อยู่ในมือของพวกเขาตั้งแต่เริ่มต้น แต่อยู่ในมือของชายร่างเล็กในสายตาของพวกเขา หนูตัวน้อยในสายตาของพวกเขาจั๋วซือหรานยืนอยู่บนสนามประลองต่อหน้าพวกเขา นางยืนนิ่งและมองผู้คนที่อยู่ด้านล่างแม้ว่านางจะเป็นหนูตัวเล็กในสายตาของนักพนันเหล่านี้ แต่ในเวลานี้ นางอยู่บนสนามประลองและนางยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาด้วย ซึ่งพอที่จะทำให้นางดูเป็นคนที่มีรูปร่างขนาดใหญ่และข้างหลัง
ขณะที่เฮยหลิงล้มลงบนพื้น ทุกคนในสนามส่งเสียงดัง ทันใดนั้น สนามวุ่นวายเล็กน้อยเดิมทีจั๋วซือหรานวางแผนที่จะลากเฮยหลิงสนามประลองและจัดการกับพิษกู่ร้อยไหมที่อยู่ในร่างกายของเขา เพราะตอนนี้นางเพียงยับยั้งพลังกู่ของหนอนพิษกู่ร้อยไหมไว้ชั่วคราวเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น นางไม่อยากฟังเสียงด่าของพวกนักพนันแต่ทันใดนั้น นางกลับไม่ทันระวังตัวทันใดนั้นก็มีของบางอย่างพุ่งเข้ามาหานางจากบริเวณของผู้ชมของชิ้นนั้นมุ่งมาที่จั๋วซือหราน และมันมาจากมุมที่อันตรายอย่างมากฟุด(เสียงของบินผ่านอากาศ)ฟุด(เสียงของบินผ่านอากาศ)สองอันด้วย หูของของจั๋วซือหรานขยับเล็กน้อย และนางจับการเคลื่อนไหวอันละเอียดอ่อนนี้ได้อย่างแม่นยำในท่ามกลางเสียงรบกวนจั๋วซือหรานขมวดคิ้ว แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เพียงแต่การลอบโจมตีทั้งสองครั้งนี้พออยู่ในมุมที่พอดีเหลือเกินทันใดนั้นจั๋วซือหรานบิดร่างของนาง เพื่อหลบอาวุธลอบสังหารสองชิ้นนี้ ในที่สุดนางไม่ได้ถูกอาวุธลอบสังหารสองชิ้นนี้ทำลายแต่......“แคร็ก…” ขอบหน้ากากของนางถูกอาวุธลอบสังหารเฉียดผ่านพอดี หน้ากากของนางแตกทันที“ซิ้ว”(เสียง) ที่คาดผมของนางถูกอาวุธลอบสังหารอีกชิ้นหน
เขาขมวดคิ้วและจ้องมองจั๋วซือหรานแต่จั๋วซือหรานกำลังจ้องมองเขาด้วยความเย็ชาและความไม่กลัว "เอาล่ะ เจ้ากล้าดีจริง ๆ ข้าจำเจ้าไว้"คนรับใช้ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาสึกหวาดกลัวมาก แม้ว่าการโจมตีครั้งก่อนของจั๋วซือหรานไม่ได้ตงถึงร่างกายของเจ้านายของเขา แต่นักพนันที่อยู่รอบตัวพวกเขาก็เคลื่อนตัวไปทางด้านหน้าของสนามประลองดังนั้นจึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ มีเพียงเขาในฐานะคนรับใช้ของเจ้านาบเท่านั้นที่ไม่สามารถออกไปได้ ดังนั้นเขาจึงได้รับบาดเจ็บจากกระสุนที่กระจายทั่วแม้ว่าจะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ก็ทำให้เขาหวาดกลัวอย่างมาก นี่เป็นการโจมตีประเภทใดการโจมตีนี้มีความเร็วเท่าใดนางจะตีแขนโดยตรงโดยไม่เห็นการเคลื่อนไหวใด ๆ จากนางในระยะไกลขนาดนั้นได้อย่างไร มันเป็นเพียงการบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ...เช่นนั้นหรือ“ท่านขอรับ…” คนรับใช้เพิ่งอยากพูดอะไรกับนายท่านที่ยืนอยู่ข้างกายของเขาเขาเห็นใบหน้าของเจ้านายบูดบึ้งและพูดว่า "ไปกันเถิด หากไม่รีบไปจากนี้ เดี๋ยวเจี่ยงเทียนซิงจะตามมาหาเรื่อง"คนรับใช้อดไม่ได้ที่ต้องพูดว่า "แต่ แต่คนเมื่อครู่นี้..."“หน้าตานั้น หาได้ง่าย” ชายคนนั้นพูดด้วยเสียงต่ำ แล้วหันตัวและเดินไป
แต่พอออกมาจากปากของนาง ก็ทำให้เขาไม่มีความคิดเช่นนั้นขึ้นมาอย่างประหลาดและปันอวิ๋นเองก็ทำตามสิ่งที่จั๋วซือหรานคาดหวัง ชี้แนะถึงระบบของวิชากู่และวิชาหุ่นเชิดแก่นางจั๋วซือหรานเองก็ฉลาดเฉลียว เรียนอะไรก็เข้าใจไปหมดคนเราไม่ควรเปรียบเทียบกับคนอื่นมากเกินไปพอเทียบมาเช่นนี้ แล้วคิดไปถึงศิษย์พวกนั้นในหุบเขาหมื่นพิษ ก็เหมือนมีแต่พวกหัวแข็งออกมาคนแล้วคนเล่าและคืนนี้ ตอนที่จั๋วซือหรานพักผ่อน เงาดำร่างหนึ่ง ก็แอบเข้ามาในห้องการเคลื่อนไหวก็ดูลึกลับผิดปกติ ทักษะการเคลื่อนไหวใช้งานถึงขีดสุด กระทั่งคนระดับจั๋วซือหราน ก็ยังไม่อาจสังเกตได้ในทันทีและขณะเดียวกัน จั๋วซือหรานก็กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องหุ่นเชิดความมืดในมิติของนางพวกก้อนเนื้อกับเหล่าสัตว์ประหลาด ก็ล้วนสังเกตได้ ว่าหุ่นเชิดความมืดนี้มีกลิ่นอายที่เย็นเยียบมากจริงๆถ้าแค่ชั่วขณะหนึ่งก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าสัมผัสกับมันอยู่ตลอดเวลา สภาพของจั๋วซือหรานเองก็ต้องถูกผลกระทบไปบ้าง"...นายท่าน ช่างมันดีกว่าไหม ไม่น่าจะต้องรีบร้อนในตอนนี้ ท่านควรจะพักผ่อนได้แล้ว" ราชาแมงมุมหน้าผีเตือนเสียงต่ำขึ้นมาข้างๆจั๋วซือหรานพอได้ยินก็แหงนตายิ้มให้มัน จา
ที่จั๋วซือหรานไม่รู้ก็คือ การคงอยู่ของพิษกู่ร้อยไหม จุดเริ่มต้นของมัน คือปันอวิ๋นคิดจะเสริมแกร่งการควบคุมของวิชาหุ่นเชิดหวังว่าจะค้นคว้าสิ่งที่มีพลังมากกว่าหุ่นเชิดความมืดออกมาได้แต่ว่า...กลับล้มเหลว"...พิษกู่ร้อยไหมเป็นแค่สิ่งที่เกิดขึ้นจากความล้มเหลวเท่านั้น" ปันอวิ๋นเอ่ย "ตั้งแต่แรกเริ่ม เป้าหมายของข้าคือหวังว่าจะสามารถทำให้วิชากู่กับวิชาหุ่นเชิดรวมกันได้ในระดับหนึ่ง เกื้อกูลกันจนยกระดับพลังการควบคุมได้"และไม่ต้องไปเอาคนเป็นมาหลอมเป็นหุ่นเชิดอีก เอาจริงๆ กระบวนการนั้นมันค่อนข้างแย่เลยทีเดียวถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเสพสุขกับการสังหารเพียงแต่สิ่งเหล่านี้ ไม่ต้องจงใจนำออกมาพูดก็ได้ กลับจะดูใจแคบจนเกินไปจั๋วซือหรานหลังจากได้ยินคำพูดนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้น เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม "สิ่งล้มเหลวที่เจ้าหุบเขาพูด คงไม่ได้หมายถึงพวกหนอนกู่ร้อยไหมหลายตัวนั้นของข้าหรอกใช่ไหม?"ปันอวิ๋นแหงนตามองนาง "พวกมันนั่นล่ะ""เจ้าพูดถึงพวกมันแบบนี้ พวกมันจะรู้สึกแย่เอานะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นปันอวิ๋นไม่ค่อยจะใส่ใจกับเรื่องนี้ เอ่ยต่อว่า "พวกมันมีคุณสมบัติที่พิเศษ ข้าหลอมสกัดออกมาจากแมลงกู่ใยไหม เ
"นั่นเพราะความทรงจำที่ไม่สมประกอบของเขาล้วนเคียดแค้นชิงชังเจ้ากระมัง ดังนั้นพอได้ยินเสียงของเจ้าถึงได้ทนไม่ไหว" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว "ข้าเห็นหน้าเขาแล้วก็เข็ดฟันสุดๆ ดังนั้นก็เหมือนกันนั่นล่ะ" จากนั้นนางก็ยิ้มตาโค้งให้ปันอวิ๋น "ดังนั้นเจ้าหุบเขาโปรดให้อภัยด้วย"นางวางดาบยาวลงข้างๆ แล้วจึงนั่งยองลงมา มองไปยังหุ่นเชิดความมืดบนพื้น"ดูแล้ว...ก็ไม่ได้น่าเกลียดจริงๆ" จั๋วซือหรานเข้าใจความหมายที่ปันอวิ๋นพูดไว้ว่าพอเห็นหุ่นเชิดความมืดก็ดูออกว่าเป็นของสำนักเมฆาวารีขึ้นมาแล้วเพราะว่า...พูดแบบนี้แล้วกันหุ่นเชิดความมืดร่างนี้ของสำนักเมฆาวารี มองแล้วก็เหมือนกับผีดิบแต่หุ่นเชิดความมืดร่างนี้ของปันอวิ๋น มองแล้วคล้ายกับซือคงอวี้ที่ป่วยหนักจั๋วซือหรานยิ่งรู้สึกสนใจกับวิชาหุ่นเชิดขึ้นไปอีกนางหยิบอักขระคำสาปหุ่นเชิดความมืดสำนักเมฆาวารีที่ตนเองคัดลอกออกมา นำมาเปรียบเทียบอย่างละเอียดกับอักขระคำสาปบนตลับหุ่นเชิดของปันอวิ๋น"เหมือนจะมีรายละเอียดเล็กน้อยที่ไม่เหมือนกันจริงๆ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นปันอวิ๋นตอบ "อักขระคำสาปของปรมาจารย์วิชาเหยี่ยนทุกคนล้วนมีจุดที่แตกต่าง แต่แกนกลางนั
ใบหน้านี้ จั๋วซือหรานยังสามารถมองออกได้ในทันทียิ่งไปกว่านั้น ตอนที่นางเรียกชื่อเขาออกมา...แม้ว่าเขาจะเป็นหุ่นเชิดความมืดไปแล้ว แต่ก็เหมือนว่ายังมีปฏิกิริยากับชื่อนี้อยู่...หรืออาจจะ มีปฏิกิริยากับเสียงของนางอาจจะเพราะชิงชังนางอย่างมากกระมัง?สรุปคือ จั๋วซือหรานสัมผัสได้ ว่าการโจมตีของเขาเฉียบคมขึ้นจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว พลิกข้อมือ ดาบยาวในมือชักออกดังเสียงดัง "เคร้ง..."จากนั้นแสงดาบก็แทบจะจ้าแยงตา!นี่เป็นสิ่งที่ปันอวิ๋นคาดการณ์ไม่ถึงเพราะปันอวิ๋นคิดอยู่ตลอด ว่าวิชาแพทย์วิชาพิษวิชากู่ กระทั่งการควบคุมสัตว์ของนางนั้นโดดเด่นมาก แต่ในด้านทักษะยุทธ์ แม้จะไม่ถึงกับอ่อนแอแต่บางทีอาจจะยังด้อยกว่าทักษะด้านอื่นๆ อยู่ถึงอย่างไร มนุษย์ก็ย่อมมีจุดอ่อนเสมอสายอาชีพอย่างแพทย์ ปรมาจารย์พิษ ปรมาจารย์กู่ ปรมาจารย์เชิดหุ่นต่อให้จะรุนแรงแค่ไหน การต่อสู้ระยะประชิดก็ยังเป็นจุดอ่อนอยู่แต่ที่คิดไม่ถึงคือ จั๋วซือหรานในตอนนี้กลับไม่ได้มีความอ่อนแอแบบที่แพทย์คนหนึ่งควรมีเลยหลังจากที่เห็นนางพลิกข้อมือ แล้วมีดาบยาวส่งเสียงวูมขึ้นมาพลังของนางก็เปลี่ยนไปฉับพลัน!หญิงสาวงดงามที่ดูไม่มีพิษภัย
ตอนที่ลุกขึ้นยืนก็มีข้อสรุปขึ้นมา "วิชาของสำนักเมฆาวารีหรือ"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็เลิกคิ้ว ยิ้มตาโค้ง "ดูเหมือนเจ้าจะเป็นวิชาหุ่นเชิดสินะ!"ปันอวิ๋นเอียงตาเหล่มองนาง "ที่เจ้าจงใจวางไว้แบบนี้ ไม่ใช่เพื่อจะดทสอบว่าข้าเป็นจริงหรือเปล่าไม่ใช่เรอะ"จั๋วซือหรานก็มีความหมายนี้อยู่จริงๆ ตอนนี้ถูกปันอวิ๋นจี้เข้ามา นางก็ไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิดนางหัวเราะเอ่ยขึ้นว่า "ถ้าเจ้าไม่เป็น พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาเสียเวลาบนวิชาหุ่นเชิดอีก"แต่ในเมื่อปันอวิ๋นเป็น...จั๋วซือหรานถามขึ้น "ทำไมถึงมองออกว่าเป็นวิชาของสำนักเมฆาวารี? ข้าดึงตะปูวิญญาณกับห่วงวิญญาณทิ้งไปแล้ว...""ง่ายมาก" ปันอวิ๋นยกมุมปาก รอยยิ้มดูแล้วมีความประชดประชันอยู่ แต่ก็ไม่ได้เพ่งเป้ามาทางจั๋วซือหรานบนความรู้สึก ดูคล้ายจะเพ่งไปทางสำนักเมฆาวารีมากกว่าปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "มีแค่สำนักเมฆาวารีที่เท่านั้นจะทำได้ระดับต่ำแบบนี้ อักขระคำสาปบนตัวก็ขาดความสมบูรณ์แบบ แต่ว่านี่็เป็นลักษณะของทางสำนักเมฆาวารี พวกเขาชอบเน้นไปที่พลานุภาพของหุ่นเชิดความมืด รู้สึกแค่ว่า ถ้าให้คนอื่นมองปราดเดียวแล้วรู้ว่าเป็นหุ่นเชิดความมืด ก็สามารถข่มขู่ฝ่ายตรง
ในใจเหมือนมีเสียงที่กำลังกู่ก้องขึ้นอย่างไร้ซุ่มเสียงแต่หลังจากที่ในใจกู่ก้องออกมาอย่างไร้ซุ่มเสียงแล้ว ตัวเขาเองก็ตกตะลึงไปทำไมในใจถึงได้มีเสียงเช่นนี้ ทั้งที่ควรจะไม่มีความรักกับความรู้สึกใดแล้วแท้ๆแต่ตอนนี้ความรู้สึกในใจมันเหมือนกับไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้วเจิ้นเจียงยังคงตักอาหารให้เขา แต่เขากลับกินอย่างไม่รู้รส กลืนลงไปอย่างยากลำบากส่วนอีกด้าน จั๋วซือหรานเดินมาถึงเรือนหลังโรงเตี๊ยมแล้วร่างสูงใหญ่ของปันอวิ๋น ยังคงตามอยู่ด้านหลังนางหลังจากมาถึงเรือนหลังโรงเตี๊ยม แม้ทั้งสองคนดูแล้ว ระยะห่างเหมือนจะไม่แตกต่างอะไรก่อนหน้าแต่อันที่จริงในพริบตานี้ ระหว่างทั้งสองคนก็เหมือนมีความห่างเหินกันขึ้นมาจั๋วซือหรานหมุนตัวไปทางปันอวิ๋น ขณะที่หมุนตัวหันไป เธอก็ถอยหลังออกมาครึ่งก้าวแค่ระยะห่างสั้นๆ เพียงครึ่งก้าวเท่านั้น กลับเหมือนดึงกว้างห่างออกมาเท่ากับทางช้างเผือกปันอวิ๋นสังเกตถึงความห่างเหินที่นางจู่ๆ ก็ดึงออกมาแล้ว เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "ช แม่นางจั๋วนี่ใช้งานเสร็จก็โยนทิ้งกันเสียแล้ว...ิ"ในเสียงของจั๋วซือหรานมีรอยยิ้มจางๆ "เจ้าหุบเขาปันพูดแล้วมัน...ข้าไปใช้ประโยชน์อะไรจากเ
คิ้วของปันอวิ๋นขมวดเบาๆ แหงนตาสบมองนาง "เจ้ไาปสัมผัสกับสิ่งเย็นมืดอะไรมา?""อื๋อ?" จั๋วซือหรานตอนนี้ก็งงงันไปหน่อยๆ นางคิดไม่ถึงว่า ปันอวิ๋นจะจับออกมาได้จริงๆนางยิ้มโบกไม้โบกมือ ตอบว่า "ไม่มีอะไร ก็แค่ชิงหุ่นเชิดความมืดมาตัวหนึ่ง คิดจะค้นคว้าดูเล่นๆ ปราณหยินเข้าสู่ร่างกายเสียแล้วหรือ? ไม่เป็นไร ไม่กี่วันก็สลายหมดแล้ว"พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ ปันอวิ๋นก็จ้องนาง ครู่ต่อมา ในน้ำเสียงก็เหมือนมีความจนใจหรือไม่ก็อารมณ์อะไรสักอย่างอยู่ ถอนใจเอ่ยขึ้นว่า "เจ้านี่มัน...อะไรก็กล้าแย่งมา กล้าเอามาเล่นทั้งหมดเลยจริงๆ"จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ก็ฟังออกถึงความหมายของเขา นางตอนนั้นกระทั่งกู่ของเขาก็ยังแย่งมา ตอนนี้ยังแย่งหุ่นเชิดความมืดของคนอื่นมาอีกจั๋วซือหรานคิดๆ ถามขึ้นว่า "จริงด้วย เจ้าไม่ใช่คนพรมแดนใต้หรือ? เคยค้นควัาวิชาหุ่นเชิดบ้างไหม?""รู้นิดหน่อย ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นมองนาง ถามขึ้นว่า "อยากให้ข้าสอนหรือ?"เขายิ้มขึ้นมา ในสายตามีปราณชั่วร้ายขึ้นมา "ก็ได้นะ ข้าจะสอนเจ้า เจ้าหมั้นกับข้าสิ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่พูดไว้แล้วหรือ..."จั๋วซือหรานพอได้ยินคำนี้ ถ้าตามนิสัยของนาง น่าจะคงตอบกลับคำพูดนี้ทัน
"คุณหนูของเจ้าล่ะ อยู่ที่ไหน?"พอได้ยินคำนี้ของเขา เจิ้นเจียงก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาเจิ้นเจียงคิดอยู่นานถึงคำเรียกตัวเขา จึงเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมว่า "เจ้าหุบเขาปัน คุณหนูของข้ายังไม่ได้แต่งงาน ท่านอย่าได้พูดจาส่งเดชเลย มันจะเสียหายไปถึงชื่อเสียงคุณหนูข้า"เจิ้นเจียงอันที่จริงก็สั่นเทาหน่อยๆ ถึงอย่างไรก็สามารถเดาได้ว่าคนตรงหน้าคนนี้เป็นบุคคลที่ร้ายกาจแค่ไหนแต่ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณหนู เจิ้นเจียงก็ไม่มีลังเลแม้แต่น้อย พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาทันทีและพอได้ยินคำนี้ของเจิ้นเจียง ปันอวิ๋นก็เหมือนจะโกรธแล้วคิ้วยาวเลิกขึ้น ดวงตาเรียวยาวคู่นั้น เหมือนยกหางตาขึ้นบางๆ "เจ้าไม่เชื่อหรือ? อย่าไม่เชื่อเลย คุณหนูของเจ้าตกลงกับข้าไปนานแล้วว่าจะแต่งงานกับข้า"เจิ้นเจียงตกตะลึงขึ้นมา เรื่องนี้ เขาไม่เคยรู้มาก่อน แต่เขาเองก็จะปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ดังนั้นจึงทำได้แค่นิ่งเงียบเพียงแต่ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า เจิ้นเจียงรู้สึกหนาวหน่อยๆ...เหมือนรอบตัวมีลมเย็นที่พัดออกมาจากถ้ำน้ำแข็งอะไรแบบนั้นเจิ้นเจียงยังไม่ทันมีปฏิกิริยาว่าปราณเย็นพัดมาจากไหนก็ได้ย
"ใช่แล้ว น้องชายของแม่นางเราถูกพาตัวไป เป็นฝีมือของสำนักเมฆาวารี เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ของแม่นางก็คือเรื่องนี้" เจิ้นเจียงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงฟังแล้วดูกังวลหน่อยๆ"แม่นางอยู่ที่เมืองหลวงแม้จะประสบความสำเร็จในทุกที่ แต่ถึงอย่างไรครั้งนี้มาอยู่ในสถานที่แปลกหน้า ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเผชิญหน้ากับสำนัก ดังนั้นแม่นางจึงต้องยิ่งเตรียมตัวอย่างระมัดระวัง..."เจิ้นเจียงเองก็น่าจะไม่มีใครที่พูดด้วยได้ ในใจอดกลั้นไว้ไม่น้อย พวกเชลยที่คุณหนูจับมาก่อนหน้านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนเป็นคนของสำนักเมฆาวารี เขาเองก็พูดอะไรด้วยไม่ได้คนคุ้มกันตระกูลเหอที่คุณหนูพากลับมาพวกนั้น ก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ พูดอะไรไม่ได้ด้วยเช่นกันดังนั้นตอนนี้ พอเจอกับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคุณหนู จึงเหมือนกับเปิดประตูน้ำออกอย่างไรอย่างนั้นขณะที่พูดแรงก็เริ่มมา ไม่วา่จะเรื่องที่คุณหนูออกจากเมืองหลวงอย่างไร รับมือกับพวกลอบโจมตีอย่างไร จัดการแก้ไขวิกฤติ รับมือกับอีกฝ่าย จับคนของสำนักเมฆาวารีมาเป็นเชลยอย่างไรหลังจากมาถึงเมืองหยางแล้วรับมือกับตระกูลเหออย่างไร เล่าออกมาจนหมดและขณะที่ 'คุณชายเยี่ยน' กำลังกินข้าวอย่างไม่รีบไม่