“เฮยหลิง ฆ่ามัน ฆ่ามันเลย ฉีกเขาเป็นชิ้น ๆ ”“เฮยหลิง เฮยหลิง เฮยหลิง”สนามแข่งเริ่มเสียงดังขึ้น และดวงตาของนักพนันล้วนแดงก่ำพวกเขากรีดร้องและคำรามอย่างโกรธพวกเขาอยากลงสนามไปฉีกจั๋วซือหรานเป็นชิ้น ๆ ด้วยตัวเองในขณะนี้ นักพนันเหล่านี้ดูบ้าคลั่งกว่าเฮยหลิงที่อยู่ในสนามเสียอีกพวกเขาฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเฮยหลิง ราชาผู้ไร้พ่ายแห่งสนามแข่งนี้คือความหวังสุดท้ายของพวกเขาในขณะนี้ มีร่างมืดปรากฏขึ้นบนอับริเวณรับชม คนผู้นี้สวมหน้ากากทั่วไปที่ใช้ในตลาดมืด เพื่อซ่อนตัวตนของเขาเขาแต่งกายด้วยชุดสีดำ ซึ่งดูเรียบง่ายมาก แทบไม่มีอะไรบนร่างกายที่สามารถเปิดเผยตัวตนของเขาได้มุมเสื้อของเขามีเพียงลายปักที่ไม่ค่อยโดดเด่น นั่นเป็นลายปักรุปพระจันทร์เสี้ยวสีเงิน ดูเหมือนว่าจะใช้วัสดุพิเศษในการทำด้ายปัก ดังนั้นสีเงินนี้จึงดูสวยงามเช่นนี้ในเมืองหลวง มีตราสัญลักษณ์เพียงอันเดียวที่เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวสีเงิน และเป็นหนึ่งในสามกองกำลังหลักในตลาดมืด - หอเงินจันทร์ดวงตาของชายคนนั้นเย็นชา เขามองดูสถานการณ์ในสนามคนรับใช้ยืนอยู่ข้างกายเขา คนรับใช้ผู้นี้ถามด้วยความเคารพว่า "ท่านขอรับ ท่านคิดว่าอย่า
“ไอ้เจ้าหนูตัวน้อย หากเจ้ากล้าชนะ วันหลังเจ้าไปไหนมาไหน ระวังละกัน อย่าให้กูเจอมึงละกัน”“หากเจ้ากล้าชนะ กูต้องให้มึงตายแน่ ๆ กูจะฆ่ามึง ได้ยินไหม กูจะฆ่ามึง”“แม่ง กูจะควักลำไส้มึงออกจากด้านล่างมึง แล้วยัดกลับเข้าปากมึงเลย”คำพูดอันข่มขู่และคำหยาบทุกชนิดส่งเข้าหูของจั๋วซือหรานอย่างไม่จบสิ้นแต่จั๋วซือหราน นางกำลังยืนอยู่ที่สนามประลอง แม้จะอยู่ไม่ไกลจากขอบกรง คนเหล่านี้ก็รีบไปที่ขอบกรง ราวกับว่าพวกเขาสามารถจับนางได้ตราบใดที่พวกเขายื่นมือออกมาจั๋วซือหรานมองเห็นความบ้าคลั่งและความโกรธในดวงตาของพวกเขาได้อย่างชัดเจนพวกเขาพูดทุกหยาบคายและพยายามคุกคามทั้งหมดที่พวกเขาทำ โดยหวังว่าพวกเขาจะไม่แพ้เพียงแต่อำนาจในการตัดสินใจนี้ไม่ได้อยู่ในมือของพวกเขาตั้งแต่เริ่มต้น แต่อยู่ในมือของชายร่างเล็กในสายตาของพวกเขา หนูตัวน้อยในสายตาของพวกเขาจั๋วซือหรานยืนอยู่บนสนามประลองต่อหน้าพวกเขา นางยืนนิ่งและมองผู้คนที่อยู่ด้านล่างแม้ว่านางจะเป็นหนูตัวเล็กในสายตาของนักพนันเหล่านี้ แต่ในเวลานี้ นางอยู่บนสนามประลองและนางยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาด้วย ซึ่งพอที่จะทำให้นางดูเป็นคนที่มีรูปร่างขนาดใหญ่และข้างหลัง
ขณะที่เฮยหลิงล้มลงบนพื้น ทุกคนในสนามส่งเสียงดัง ทันใดนั้น สนามวุ่นวายเล็กน้อยเดิมทีจั๋วซือหรานวางแผนที่จะลากเฮยหลิงสนามประลองและจัดการกับพิษกู่ร้อยไหมที่อยู่ในร่างกายของเขา เพราะตอนนี้นางเพียงยับยั้งพลังกู่ของหนอนพิษกู่ร้อยไหมไว้ชั่วคราวเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น นางไม่อยากฟังเสียงด่าของพวกนักพนันแต่ทันใดนั้น นางกลับไม่ทันระวังตัวทันใดนั้นก็มีของบางอย่างพุ่งเข้ามาหานางจากบริเวณของผู้ชมของชิ้นนั้นมุ่งมาที่จั๋วซือหราน และมันมาจากมุมที่อันตรายอย่างมากฟุด(เสียงของบินผ่านอากาศ)ฟุด(เสียงของบินผ่านอากาศ)สองอันด้วย หูของของจั๋วซือหรานขยับเล็กน้อย และนางจับการเคลื่อนไหวอันละเอียดอ่อนนี้ได้อย่างแม่นยำในท่ามกลางเสียงรบกวนจั๋วซือหรานขมวดคิ้ว แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เพียงแต่การลอบโจมตีทั้งสองครั้งนี้พออยู่ในมุมที่พอดีเหลือเกินทันใดนั้นจั๋วซือหรานบิดร่างของนาง เพื่อหลบอาวุธลอบสังหารสองชิ้นนี้ ในที่สุดนางไม่ได้ถูกอาวุธลอบสังหารสองชิ้นนี้ทำลายแต่......“แคร็ก…” ขอบหน้ากากของนางถูกอาวุธลอบสังหารเฉียดผ่านพอดี หน้ากากของนางแตกทันที“ซิ้ว”(เสียง) ที่คาดผมของนางถูกอาวุธลอบสังหารอีกชิ้นหน
เขาขมวดคิ้วและจ้องมองจั๋วซือหรานแต่จั๋วซือหรานกำลังจ้องมองเขาด้วยความเย็ชาและความไม่กลัว "เอาล่ะ เจ้ากล้าดีจริง ๆ ข้าจำเจ้าไว้"คนรับใช้ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาสึกหวาดกลัวมาก แม้ว่าการโจมตีครั้งก่อนของจั๋วซือหรานไม่ได้ตงถึงร่างกายของเจ้านายของเขา แต่นักพนันที่อยู่รอบตัวพวกเขาก็เคลื่อนตัวไปทางด้านหน้าของสนามประลองดังนั้นจึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ มีเพียงเขาในฐานะคนรับใช้ของเจ้านาบเท่านั้นที่ไม่สามารถออกไปได้ ดังนั้นเขาจึงได้รับบาดเจ็บจากกระสุนที่กระจายทั่วแม้ว่าจะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ก็ทำให้เขาหวาดกลัวอย่างมาก นี่เป็นการโจมตีประเภทใดการโจมตีนี้มีความเร็วเท่าใดนางจะตีแขนโดยตรงโดยไม่เห็นการเคลื่อนไหวใด ๆ จากนางในระยะไกลขนาดนั้นได้อย่างไร มันเป็นเพียงการบาดเจ็บโดยไม่ได้ตั้งใจ...เช่นนั้นหรือ“ท่านขอรับ…” คนรับใช้เพิ่งอยากพูดอะไรกับนายท่านที่ยืนอยู่ข้างกายของเขาเขาเห็นใบหน้าของเจ้านายบูดบึ้งและพูดว่า "ไปกันเถิด หากไม่รีบไปจากนี้ เดี๋ยวเจี่ยงเทียนซิงจะตามมาหาเรื่อง"คนรับใช้อดไม่ได้ที่ต้องพูดว่า "แต่ แต่คนเมื่อครู่นี้..."“หน้าตานั้น หาได้ง่าย” ชายคนนั้นพูดด้วยเสียงต่ำ แล้วหันตัวและเดินไป
ภายใต้การจ้องมองของทุกคน จั๋วซือหรานลากผู้ชนะเลิศหลายสนมตัวสูงและล่ำสัน ซึ่งชื่อเฮยหลิง ออกจากสนามประลองและเดินเข้าไปในห้องด้านในหลังจากประตูห้องด้านในปิดลง ความเงียบในก่อนหน้านี้บนบริเวณของผู้ชมที่ด้านนอกก็พังทลายลงทันใดนั้นเสียงดังไปทั่วผู้คนมักจะรังแกผู้อ่อนแอและหลีกเลี่ยงผู้แข็งแกร่ง เดิมทีพวกเขาคิดว่าจั๋วซือหรานเป็นเพียงคนตัวเล็กที่ถูกรังแกได้ง่าย แต่นางเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์พอดี และเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ก็เหมาะสมที่รักษาอาการบ้าคลั่งของเฮยหลิง ณ ปัจจุบันนั่นเป็นเหตุผลที่นางฉวยโอกาสได้ดี ดังนั้นจึงไม่มีใครเอาจริงเอาจังกับนาง แถมนางยังเป็นผู้หญิงอยู่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าไม่ว่าเราจะอยู่ในโลกใดก็ตาม ผู้หญิงมักจะถูกดูถูกด้วยเหตุผลบางอย่างเสมอยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนางต่อสู้กับเฮยหลิง กระบวนการทั้งหมดนั้นก็ดูง่ายเกินไปซึ่งทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกว่านางมีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอเท่าไร นางทำได้เพียงเพราะร่างกายของนางเบาเท่านั้นกล่าวโดยสรุป ทุกคนไม่ได้จริงจังกับนาง และพวกเขาเลยกล้าพูดจาหยาบคายกับนางเช่นนั้นในก่อนหน้านี้จนกระทั่งถึงเมื่อครู่นี้ เมื่อนางแสดงความสา
“ เขามาที่นี่จริง ๆ หรือ” ดวงตาของเจ้าสำนักของหอฟ้าดาวแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยิ้มเยาะเย้ย "ดูเหมือนว่าเขาได้ยินเรื่องที่เฮยหลิงก่อความวุ่นวาย และอยากเข้ามาชมภาพที่ข้าเอาเรื่องไม่อยู่นะ…”“เขาคือใคร” จั๋วซือหรานได้ยินสิ่งที่เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวพูดในก่อนหน้านี้ และนางเดาออกคร่าว ๆ ว่า 'เปาบุ้นจิ้น' คนนั้นน่าจะเป็นคนจากอีกสองหอ“ช่างมันเถิด” จั๋วซือหรานโบกมือ “พระจันทร์บนใบหน้าของเขาชัดเจนมาก เขากลัวคนอื่นไม่รู้เขามาจากหอเงินจันทร์ใช่ไหม ”เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวพยักหน้าและกล่าวว่า "นั่นคือ เจ้าสำนักของหอเงินจันทร์ ยินเจ๋ออัน"“ยินเจ๋ออัน” จั๋วซือหรานหรี่ตา “ข้าจำชื่อของเขาไว้แล้ว”จั๋วซือหรานจำได้สิ่งที่เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวเพิ่งพูดในเมื่อครู่นี้ เนื่องจากผู้คนจากอีกสองหอต้องการส่วนแบ่งในธุรกิจของสนามฝึกฝนเช่นกัน พวกเขาจึงถือว่าเป็นผู้ควบคุมดูแลสนามฝึกฝน และมักจะมาก่อปัญหาในบางครั้งจั๋วซือหรานบอกเจ้าสำนักของหอฟ้าดาว "ข้าโจมตีกลับทันทีเลย ข้าอาจทำให้คนนี้ขุ่นเคือง... "เมื่อเจ้าสำนักของหอฟ้าดาวได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขายังคิดอยู่ว่าจั๋วซือหรานกลัวมีปัญหาเข้ามาหานาง
จั๋วจิ่วต้องจัดการอีกฝ่ายแน่ ๆ และเขาเป็นเพื่อน ตราบใดที่เขาช่วยเหลือนางเมื่อนางต้องการ นั่นหมายความว่าเขากับนางต้องไปสู้กับอีกฝ่ายพร้อมกันจั๋วซือหรานกล่าวถึงสถานการณ์ในก่อนหน้านี้สั้น ๆ นั่นก็คือเรื่องที่นางถอนอาคมหนอนพิษกู่ในค่ายลาดตระเวนและค่ายทหารรักษาการณ์หลังจากได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวขมวดคิ้ว "ดังนั้นเจ้าหมายถึงเมื่อครู่นี้ มีศัตรูแอบซ่อนตัวอยู่ในท่ามกลางของเหล่านักพนันหรือ และคนผู้นั้นสังเกตสถานการณ์ที่นี่ด้วยหรือ"“หากพิจารณาการกระทำของอีกฝ่ายที่เคยทำอะไรกับค่ายลาดตระเวนและค่ายรักษาการณ์ในก่อนหน้านี้ ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น”จั๋วซือหรานกล่าวต่อ "เพียงแต่พวกเขาทราบตัวตนของข้าแล้ว และอีกฝ่ายก็ใส่ความผิดมาใส่ข้าแล้ว ข้าเลยไม่อยากไปหาผู้ที่แอบซ้อนที่เบื้องหลังแล้ว"นางจับคนผู้นั้นที่หน่วยลาดตระเวนได้ แต่ตอนที่นางอยู่ในค่ายรักษาความปลอดภัย เนื้องจากสาถนการณ์ที่นั่นวุ่นวายอย่างมาก นางเลยจับผู้แอบซ้อนไม่ได้สถานการณ์บนอัฒจันทร์ของสนามฝึกฝนนั้นวุ่นวายกว่าค่ายรักษาความปลอดภัยเป็รหลาย ๆ เท่าดังนั้นจั๋วซือหรานจึงไม่ใส่ใจในทางกลับกัน เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวกังวล
โดยไม่คาดคิด ฉากใดที่เขาคาดไว้ไม่ได้ปรากฏขึ้นแต่ปรากฏฉากที่หอฟ้าดาวของหอฟ้าดาวรู้สึกน่าทึ่งยิ่งกว่านั้น ลูกหนามอันสีดำที่ดุ ๆ นั้นอ่อนโยนอย่างกระทันหัน มันกลิ้งไปกลิ้งมา...และถูไปถูมาในมือของจั๋วซือหรานมันดูเหมือน...เหมือนมันกำลังหลงไหลอยู่จั๋วซือหรานบีบลูกเนื้อดำมืด นางยกมันขึ้นและมองมัน“อืม...” นางเอามือแตะที่คางและคิดอยู่ครู่หนึ่งเจ้าสำนักของหอฟ้าดาวเงียบและไม่ส่งเสียงใด ๆ เขาหายใจเบาเล็กน้อยโดยคิดว่าจั๋วซือหรานคงเจอปัญหาใหญ่แล้วโดยไม่คาดคิด จั๋วซือหรานจ้องไปที่ลูกฟู ๆ เนื้อสีดำเข้มในมือของนาง นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า "เรามาเรียกมันว่า 'ขนมงา' กันดีกว่า"เจ้าสำนักของหอฟ้าดาว: "..."ในความเป็นจริง จั๋วซือหรานไม่ได้สังเกตสีหน้าของเขาตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นนางต้องเห็นได้ชัดเจนอย่างแน่นอนว่าเจ้าสำนักของเจ้าสำนักตกใจขนาดไหน...จากนั้น มีฉากที่น่าทึ่งมากเกิด ขึ้นซึ่งทำให้สีหน้าของ เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวพังทลายลงมือของจั๋วซือหรานเปล่งประกายด้วยพลังวิเศษ และนางได้แตะเครื่องหมายบนหางและหน้าท้องของ 'ขนมงา' โดยลบเครื่องหมายดั้งเดิมที่เป็นรูปดอกถูหมี และเปลี่ยนให้เป็นตัวอักษร
แต่พอออกมาจากปากของนาง ก็ทำให้เขาไม่มีความคิดเช่นนั้นขึ้นมาอย่างประหลาดและปันอวิ๋นเองก็ทำตามสิ่งที่จั๋วซือหรานคาดหวัง ชี้แนะถึงระบบของวิชากู่และวิชาหุ่นเชิดแก่นางจั๋วซือหรานเองก็ฉลาดเฉลียว เรียนอะไรก็เข้าใจไปหมดคนเราไม่ควรเปรียบเทียบกับคนอื่นมากเกินไปพอเทียบมาเช่นนี้ แล้วคิดไปถึงศิษย์พวกนั้นในหุบเขาหมื่นพิษ ก็เหมือนมีแต่พวกหัวแข็งออกมาคนแล้วคนเล่าและคืนนี้ ตอนที่จั๋วซือหรานพักผ่อน เงาดำร่างหนึ่ง ก็แอบเข้ามาในห้องการเคลื่อนไหวก็ดูลึกลับผิดปกติ ทักษะการเคลื่อนไหวใช้งานถึงขีดสุด กระทั่งคนระดับจั๋วซือหราน ก็ยังไม่อาจสังเกตได้ในทันทีและขณะเดียวกัน จั๋วซือหรานก็กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องหุ่นเชิดความมืดในมิติของนางพวกก้อนเนื้อกับเหล่าสัตว์ประหลาด ก็ล้วนสังเกตได้ ว่าหุ่นเชิดความมืดนี้มีกลิ่นอายที่เย็นเยียบมากจริงๆถ้าแค่ชั่วขณะหนึ่งก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าสัมผัสกับมันอยู่ตลอดเวลา สภาพของจั๋วซือหรานเองก็ต้องถูกผลกระทบไปบ้าง"...นายท่าน ช่างมันดีกว่าไหม ไม่น่าจะต้องรีบร้อนในตอนนี้ ท่านควรจะพักผ่อนได้แล้ว" ราชาแมงมุมหน้าผีเตือนเสียงต่ำขึ้นมาข้างๆจั๋วซือหรานพอได้ยินก็แหงนตายิ้มให้มัน จา
ที่จั๋วซือหรานไม่รู้ก็คือ การคงอยู่ของพิษกู่ร้อยไหม จุดเริ่มต้นของมัน คือปันอวิ๋นคิดจะเสริมแกร่งการควบคุมของวิชาหุ่นเชิดหวังว่าจะค้นคว้าสิ่งที่มีพลังมากกว่าหุ่นเชิดความมืดออกมาได้แต่ว่า...กลับล้มเหลว"...พิษกู่ร้อยไหมเป็นแค่สิ่งที่เกิดขึ้นจากความล้มเหลวเท่านั้น" ปันอวิ๋นเอ่ย "ตั้งแต่แรกเริ่ม เป้าหมายของข้าคือหวังว่าจะสามารถทำให้วิชากู่กับวิชาหุ่นเชิดรวมกันได้ในระดับหนึ่ง เกื้อกูลกันจนยกระดับพลังการควบคุมได้"และไม่ต้องไปเอาคนเป็นมาหลอมเป็นหุ่นเชิดอีก เอาจริงๆ กระบวนการนั้นมันค่อนข้างแย่เลยทีเดียวถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเสพสุขกับการสังหารเพียงแต่สิ่งเหล่านี้ ไม่ต้องจงใจนำออกมาพูดก็ได้ กลับจะดูใจแคบจนเกินไปจั๋วซือหรานหลังจากได้ยินคำพูดนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้น เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม "สิ่งล้มเหลวที่เจ้าหุบเขาพูด คงไม่ได้หมายถึงพวกหนอนกู่ร้อยไหมหลายตัวนั้นของข้าหรอกใช่ไหม?"ปันอวิ๋นแหงนตามองนาง "พวกมันนั่นล่ะ""เจ้าพูดถึงพวกมันแบบนี้ พวกมันจะรู้สึกแย่เอานะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นปันอวิ๋นไม่ค่อยจะใส่ใจกับเรื่องนี้ เอ่ยต่อว่า "พวกมันมีคุณสมบัติที่พิเศษ ข้าหลอมสกัดออกมาจากแมลงกู่ใยไหม เ
"นั่นเพราะความทรงจำที่ไม่สมประกอบของเขาล้วนเคียดแค้นชิงชังเจ้ากระมัง ดังนั้นพอได้ยินเสียงของเจ้าถึงได้ทนไม่ไหว" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว "ข้าเห็นหน้าเขาแล้วก็เข็ดฟันสุดๆ ดังนั้นก็เหมือนกันนั่นล่ะ" จากนั้นนางก็ยิ้มตาโค้งให้ปันอวิ๋น "ดังนั้นเจ้าหุบเขาโปรดให้อภัยด้วย"นางวางดาบยาวลงข้างๆ แล้วจึงนั่งยองลงมา มองไปยังหุ่นเชิดความมืดบนพื้น"ดูแล้ว...ก็ไม่ได้น่าเกลียดจริงๆ" จั๋วซือหรานเข้าใจความหมายที่ปันอวิ๋นพูดไว้ว่าพอเห็นหุ่นเชิดความมืดก็ดูออกว่าเป็นของสำนักเมฆาวารีขึ้นมาแล้วเพราะว่า...พูดแบบนี้แล้วกันหุ่นเชิดความมืดร่างนี้ของสำนักเมฆาวารี มองแล้วก็เหมือนกับผีดิบแต่หุ่นเชิดความมืดร่างนี้ของปันอวิ๋น มองแล้วคล้ายกับซือคงอวี้ที่ป่วยหนักจั๋วซือหรานยิ่งรู้สึกสนใจกับวิชาหุ่นเชิดขึ้นไปอีกนางหยิบอักขระคำสาปหุ่นเชิดความมืดสำนักเมฆาวารีที่ตนเองคัดลอกออกมา นำมาเปรียบเทียบอย่างละเอียดกับอักขระคำสาปบนตลับหุ่นเชิดของปันอวิ๋น"เหมือนจะมีรายละเอียดเล็กน้อยที่ไม่เหมือนกันจริงๆ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นปันอวิ๋นตอบ "อักขระคำสาปของปรมาจารย์วิชาเหยี่ยนทุกคนล้วนมีจุดที่แตกต่าง แต่แกนกลางนั
ใบหน้านี้ จั๋วซือหรานยังสามารถมองออกได้ในทันทียิ่งไปกว่านั้น ตอนที่นางเรียกชื่อเขาออกมา...แม้ว่าเขาจะเป็นหุ่นเชิดความมืดไปแล้ว แต่ก็เหมือนว่ายังมีปฏิกิริยากับชื่อนี้อยู่...หรืออาจจะ มีปฏิกิริยากับเสียงของนางอาจจะเพราะชิงชังนางอย่างมากกระมัง?สรุปคือ จั๋วซือหรานสัมผัสได้ ว่าการโจมตีของเขาเฉียบคมขึ้นจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว พลิกข้อมือ ดาบยาวในมือชักออกดังเสียงดัง "เคร้ง..."จากนั้นแสงดาบก็แทบจะจ้าแยงตา!นี่เป็นสิ่งที่ปันอวิ๋นคาดการณ์ไม่ถึงเพราะปันอวิ๋นคิดอยู่ตลอด ว่าวิชาแพทย์วิชาพิษวิชากู่ กระทั่งการควบคุมสัตว์ของนางนั้นโดดเด่นมาก แต่ในด้านทักษะยุทธ์ แม้จะไม่ถึงกับอ่อนแอแต่บางทีอาจจะยังด้อยกว่าทักษะด้านอื่นๆ อยู่ถึงอย่างไร มนุษย์ก็ย่อมมีจุดอ่อนเสมอสายอาชีพอย่างแพทย์ ปรมาจารย์พิษ ปรมาจารย์กู่ ปรมาจารย์เชิดหุ่นต่อให้จะรุนแรงแค่ไหน การต่อสู้ระยะประชิดก็ยังเป็นจุดอ่อนอยู่แต่ที่คิดไม่ถึงคือ จั๋วซือหรานในตอนนี้กลับไม่ได้มีความอ่อนแอแบบที่แพทย์คนหนึ่งควรมีเลยหลังจากที่เห็นนางพลิกข้อมือ แล้วมีดาบยาวส่งเสียงวูมขึ้นมาพลังของนางก็เปลี่ยนไปฉับพลัน!หญิงสาวงดงามที่ดูไม่มีพิษภัย
ตอนที่ลุกขึ้นยืนก็มีข้อสรุปขึ้นมา "วิชาของสำนักเมฆาวารีหรือ"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็เลิกคิ้ว ยิ้มตาโค้ง "ดูเหมือนเจ้าจะเป็นวิชาหุ่นเชิดสินะ!"ปันอวิ๋นเอียงตาเหล่มองนาง "ที่เจ้าจงใจวางไว้แบบนี้ ไม่ใช่เพื่อจะดทสอบว่าข้าเป็นจริงหรือเปล่าไม่ใช่เรอะ"จั๋วซือหรานก็มีความหมายนี้อยู่จริงๆ ตอนนี้ถูกปันอวิ๋นจี้เข้ามา นางก็ไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิดนางหัวเราะเอ่ยขึ้นว่า "ถ้าเจ้าไม่เป็น พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาเสียเวลาบนวิชาหุ่นเชิดอีก"แต่ในเมื่อปันอวิ๋นเป็น...จั๋วซือหรานถามขึ้น "ทำไมถึงมองออกว่าเป็นวิชาของสำนักเมฆาวารี? ข้าดึงตะปูวิญญาณกับห่วงวิญญาณทิ้งไปแล้ว...""ง่ายมาก" ปันอวิ๋นยกมุมปาก รอยยิ้มดูแล้วมีความประชดประชันอยู่ แต่ก็ไม่ได้เพ่งเป้ามาทางจั๋วซือหรานบนความรู้สึก ดูคล้ายจะเพ่งไปทางสำนักเมฆาวารีมากกว่าปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "มีแค่สำนักเมฆาวารีที่เท่านั้นจะทำได้ระดับต่ำแบบนี้ อักขระคำสาปบนตัวก็ขาดความสมบูรณ์แบบ แต่ว่านี่็เป็นลักษณะของทางสำนักเมฆาวารี พวกเขาชอบเน้นไปที่พลานุภาพของหุ่นเชิดความมืด รู้สึกแค่ว่า ถ้าให้คนอื่นมองปราดเดียวแล้วรู้ว่าเป็นหุ่นเชิดความมืด ก็สามารถข่มขู่ฝ่ายตรง
ในใจเหมือนมีเสียงที่กำลังกู่ก้องขึ้นอย่างไร้ซุ่มเสียงแต่หลังจากที่ในใจกู่ก้องออกมาอย่างไร้ซุ่มเสียงแล้ว ตัวเขาเองก็ตกตะลึงไปทำไมในใจถึงได้มีเสียงเช่นนี้ ทั้งที่ควรจะไม่มีความรักกับความรู้สึกใดแล้วแท้ๆแต่ตอนนี้ความรู้สึกในใจมันเหมือนกับไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้วเจิ้นเจียงยังคงตักอาหารให้เขา แต่เขากลับกินอย่างไม่รู้รส กลืนลงไปอย่างยากลำบากส่วนอีกด้าน จั๋วซือหรานเดินมาถึงเรือนหลังโรงเตี๊ยมแล้วร่างสูงใหญ่ของปันอวิ๋น ยังคงตามอยู่ด้านหลังนางหลังจากมาถึงเรือนหลังโรงเตี๊ยม แม้ทั้งสองคนดูแล้ว ระยะห่างเหมือนจะไม่แตกต่างอะไรก่อนหน้าแต่อันที่จริงในพริบตานี้ ระหว่างทั้งสองคนก็เหมือนมีความห่างเหินกันขึ้นมาจั๋วซือหรานหมุนตัวไปทางปันอวิ๋น ขณะที่หมุนตัวหันไป เธอก็ถอยหลังออกมาครึ่งก้าวแค่ระยะห่างสั้นๆ เพียงครึ่งก้าวเท่านั้น กลับเหมือนดึงกว้างห่างออกมาเท่ากับทางช้างเผือกปันอวิ๋นสังเกตถึงความห่างเหินที่นางจู่ๆ ก็ดึงออกมาแล้ว เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "ช แม่นางจั๋วนี่ใช้งานเสร็จก็โยนทิ้งกันเสียแล้ว...ิ"ในเสียงของจั๋วซือหรานมีรอยยิ้มจางๆ "เจ้าหุบเขาปันพูดแล้วมัน...ข้าไปใช้ประโยชน์อะไรจากเ
คิ้วของปันอวิ๋นขมวดเบาๆ แหงนตาสบมองนาง "เจ้ไาปสัมผัสกับสิ่งเย็นมืดอะไรมา?""อื๋อ?" จั๋วซือหรานตอนนี้ก็งงงันไปหน่อยๆ นางคิดไม่ถึงว่า ปันอวิ๋นจะจับออกมาได้จริงๆนางยิ้มโบกไม้โบกมือ ตอบว่า "ไม่มีอะไร ก็แค่ชิงหุ่นเชิดความมืดมาตัวหนึ่ง คิดจะค้นคว้าดูเล่นๆ ปราณหยินเข้าสู่ร่างกายเสียแล้วหรือ? ไม่เป็นไร ไม่กี่วันก็สลายหมดแล้ว"พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ ปันอวิ๋นก็จ้องนาง ครู่ต่อมา ในน้ำเสียงก็เหมือนมีความจนใจหรือไม่ก็อารมณ์อะไรสักอย่างอยู่ ถอนใจเอ่ยขึ้นว่า "เจ้านี่มัน...อะไรก็กล้าแย่งมา กล้าเอามาเล่นทั้งหมดเลยจริงๆ"จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ก็ฟังออกถึงความหมายของเขา นางตอนนั้นกระทั่งกู่ของเขาก็ยังแย่งมา ตอนนี้ยังแย่งหุ่นเชิดความมืดของคนอื่นมาอีกจั๋วซือหรานคิดๆ ถามขึ้นว่า "จริงด้วย เจ้าไม่ใช่คนพรมแดนใต้หรือ? เคยค้นควัาวิชาหุ่นเชิดบ้างไหม?""รู้นิดหน่อย ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นมองนาง ถามขึ้นว่า "อยากให้ข้าสอนหรือ?"เขายิ้มขึ้นมา ในสายตามีปราณชั่วร้ายขึ้นมา "ก็ได้นะ ข้าจะสอนเจ้า เจ้าหมั้นกับข้าสิ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่พูดไว้แล้วหรือ..."จั๋วซือหรานพอได้ยินคำนี้ ถ้าตามนิสัยของนาง น่าจะคงตอบกลับคำพูดนี้ทัน
"คุณหนูของเจ้าล่ะ อยู่ที่ไหน?"พอได้ยินคำนี้ของเขา เจิ้นเจียงก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาเจิ้นเจียงคิดอยู่นานถึงคำเรียกตัวเขา จึงเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมว่า "เจ้าหุบเขาปัน คุณหนูของข้ายังไม่ได้แต่งงาน ท่านอย่าได้พูดจาส่งเดชเลย มันจะเสียหายไปถึงชื่อเสียงคุณหนูข้า"เจิ้นเจียงอันที่จริงก็สั่นเทาหน่อยๆ ถึงอย่างไรก็สามารถเดาได้ว่าคนตรงหน้าคนนี้เป็นบุคคลที่ร้ายกาจแค่ไหนแต่ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณหนู เจิ้นเจียงก็ไม่มีลังเลแม้แต่น้อย พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาทันทีและพอได้ยินคำนี้ของเจิ้นเจียง ปันอวิ๋นก็เหมือนจะโกรธแล้วคิ้วยาวเลิกขึ้น ดวงตาเรียวยาวคู่นั้น เหมือนยกหางตาขึ้นบางๆ "เจ้าไม่เชื่อหรือ? อย่าไม่เชื่อเลย คุณหนูของเจ้าตกลงกับข้าไปนานแล้วว่าจะแต่งงานกับข้า"เจิ้นเจียงตกตะลึงขึ้นมา เรื่องนี้ เขาไม่เคยรู้มาก่อน แต่เขาเองก็จะปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ดังนั้นจึงทำได้แค่นิ่งเงียบเพียงแต่ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า เจิ้นเจียงรู้สึกหนาวหน่อยๆ...เหมือนรอบตัวมีลมเย็นที่พัดออกมาจากถ้ำน้ำแข็งอะไรแบบนั้นเจิ้นเจียงยังไม่ทันมีปฏิกิริยาว่าปราณเย็นพัดมาจากไหนก็ได้ย
"ใช่แล้ว น้องชายของแม่นางเราถูกพาตัวไป เป็นฝีมือของสำนักเมฆาวารี เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ของแม่นางก็คือเรื่องนี้" เจิ้นเจียงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงฟังแล้วดูกังวลหน่อยๆ"แม่นางอยู่ที่เมืองหลวงแม้จะประสบความสำเร็จในทุกที่ แต่ถึงอย่างไรครั้งนี้มาอยู่ในสถานที่แปลกหน้า ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเผชิญหน้ากับสำนัก ดังนั้นแม่นางจึงต้องยิ่งเตรียมตัวอย่างระมัดระวัง..."เจิ้นเจียงเองก็น่าจะไม่มีใครที่พูดด้วยได้ ในใจอดกลั้นไว้ไม่น้อย พวกเชลยที่คุณหนูจับมาก่อนหน้านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนเป็นคนของสำนักเมฆาวารี เขาเองก็พูดอะไรด้วยไม่ได้คนคุ้มกันตระกูลเหอที่คุณหนูพากลับมาพวกนั้น ก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ พูดอะไรไม่ได้ด้วยเช่นกันดังนั้นตอนนี้ พอเจอกับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคุณหนู จึงเหมือนกับเปิดประตูน้ำออกอย่างไรอย่างนั้นขณะที่พูดแรงก็เริ่มมา ไม่วา่จะเรื่องที่คุณหนูออกจากเมืองหลวงอย่างไร รับมือกับพวกลอบโจมตีอย่างไร จัดการแก้ไขวิกฤติ รับมือกับอีกฝ่าย จับคนของสำนักเมฆาวารีมาเป็นเชลยอย่างไรหลังจากมาถึงเมืองหยางแล้วรับมือกับตระกูลเหออย่างไร เล่าออกมาจนหมดและขณะที่ 'คุณชายเยี่ยน' กำลังกินข้าวอย่างไม่รีบไม่