จั๋วจิ่วต้องจัดการอีกฝ่ายแน่ ๆ และเขาเป็นเพื่อน ตราบใดที่เขาช่วยเหลือนางเมื่อนางต้องการ นั่นหมายความว่าเขากับนางต้องไปสู้กับอีกฝ่ายพร้อมกันจั๋วซือหรานกล่าวถึงสถานการณ์ในก่อนหน้านี้สั้น ๆ นั่นก็คือเรื่องที่นางถอนอาคมหนอนพิษกู่ในค่ายลาดตระเวนและค่ายทหารรักษาการณ์หลังจากได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวขมวดคิ้ว "ดังนั้นเจ้าหมายถึงเมื่อครู่นี้ มีศัตรูแอบซ่อนตัวอยู่ในท่ามกลางของเหล่านักพนันหรือ และคนผู้นั้นสังเกตสถานการณ์ที่นี่ด้วยหรือ"“หากพิจารณาการกระทำของอีกฝ่ายที่เคยทำอะไรกับค่ายลาดตระเวนและค่ายรักษาการณ์ในก่อนหน้านี้ ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น”จั๋วซือหรานกล่าวต่อ "เพียงแต่พวกเขาทราบตัวตนของข้าแล้ว และอีกฝ่ายก็ใส่ความผิดมาใส่ข้าแล้ว ข้าเลยไม่อยากไปหาผู้ที่แอบซ้อนที่เบื้องหลังแล้ว"นางจับคนผู้นั้นที่หน่วยลาดตระเวนได้ แต่ตอนที่นางอยู่ในค่ายรักษาความปลอดภัย เนื้องจากสาถนการณ์ที่นั่นวุ่นวายอย่างมาก นางเลยจับผู้แอบซ้อนไม่ได้สถานการณ์บนอัฒจันทร์ของสนามฝึกฝนนั้นวุ่นวายกว่าค่ายรักษาความปลอดภัยเป็รหลาย ๆ เท่าดังนั้นจั๋วซือหรานจึงไม่ใส่ใจในทางกลับกัน เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวกังวล
โดยไม่คาดคิด ฉากใดที่เขาคาดไว้ไม่ได้ปรากฏขึ้นแต่ปรากฏฉากที่หอฟ้าดาวของหอฟ้าดาวรู้สึกน่าทึ่งยิ่งกว่านั้น ลูกหนามอันสีดำที่ดุ ๆ นั้นอ่อนโยนอย่างกระทันหัน มันกลิ้งไปกลิ้งมา...และถูไปถูมาในมือของจั๋วซือหรานมันดูเหมือน...เหมือนมันกำลังหลงไหลอยู่จั๋วซือหรานบีบลูกเนื้อดำมืด นางยกมันขึ้นและมองมัน“อืม...” นางเอามือแตะที่คางและคิดอยู่ครู่หนึ่งเจ้าสำนักของหอฟ้าดาวเงียบและไม่ส่งเสียงใด ๆ เขาหายใจเบาเล็กน้อยโดยคิดว่าจั๋วซือหรานคงเจอปัญหาใหญ่แล้วโดยไม่คาดคิด จั๋วซือหรานจ้องไปที่ลูกฟู ๆ เนื้อสีดำเข้มในมือของนาง นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า "เรามาเรียกมันว่า 'ขนมงา' กันดีกว่า"เจ้าสำนักของหอฟ้าดาว: "..."ในความเป็นจริง จั๋วซือหรานไม่ได้สังเกตสีหน้าของเขาตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นนางต้องเห็นได้ชัดเจนอย่างแน่นอนว่าเจ้าสำนักของเจ้าสำนักตกใจขนาดไหน...จากนั้น มีฉากที่น่าทึ่งมากเกิด ขึ้นซึ่งทำให้สีหน้าของ เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวพังทลายลงมือของจั๋วซือหรานเปล่งประกายด้วยพลังวิเศษ และนางได้แตะเครื่องหมายบนหางและหน้าท้องของ 'ขนมงา' โดยลบเครื่องหมายดั้งเดิมที่เป็นรูปดอกถูหมี และเปลี่ยนให้เป็นตัวอักษร
นอกจากนี้ยังเป็นเพราะอีกฝ่ายขยันวางแผนให้รอบคอบขนาดนี้ เขาไม่ได้มีกลแค่นี้พิษกู่ร้อยไหมเป็นหลัก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนเบื้องหลังไม่ได้เล่นกลอื่นแม้แต่อาคมหนอนพิษกู่ธรรมดา ๆ ก็เพียงพอที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายอันใหญ่ในเมืองหลวงแล้วและใบสั่งยาที่จั๋วซือหรานเอาให้เจี่ยงเทียนซิงนั้นเป็นใบสั่งยาเพื่อกำจัดอาคมหนอนพิษกู่"เดี๋ยวจะมีข่าวที่ว่าเมืองหลวงกำลังมีโรคระบาด จำเป็นต้องใช้ยารักษาโรค และข่างต่าง ๆ ประมาณนี้ ... "จั๋วซือหรานพูดและเลิกคิ้ว "ข้าคิดไปคิดมา เวลาเร่งรีบเหลือเกิน และร้านขายยาของข้ายังไม่ทันเปิดเลย แม้ว่าทางบ้านคุณตาของข้าได้ทำธุรกิจค้าวัสดุยาก็จริง แต่ธุรกิจของคุณตาไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง”“เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เมื่อมีข่าวที่เกี่ยวกับการแพร่กระจายโรคระบาดในเมืองหลวง เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ตระกูลเหยียนและตระกูลจั๋วน่าจะได้กำไรก่อน”เสียงของจั๋วซือหรานเย็นชาอย่างมาก "ข้ากับพวกเขาไม่เป็นมิตร เงินนี้ ให้สุนัขได้ ดีกว่าให้พวกเขาได้ ดังนั้นเจ้าเอาสูตรนี้..."เจ้าสำนักของหอฟ้าดาวขมวดคิ้วแน่น "แม้ว่า..."เขากัดริมฝีปาก “แต่...”เขาคิดคำพูดของจั๋วซือหรานอย่างล
“ เจ้าสำนัก ” เฮยหลิงพูดด้วยเสียงต่ำ"อืม"เจี่ยงเทียนซิงตอบและพูดอย่างเบา ๆ "เจ้าไปได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นคนอิสระแล้ว"มีความงุนงงเล็กน้อยในสายตาของเฮยหลิง แต่เขาไม่รู้สึกแปลกใจเลยเจี่ยงเทียนซิงมองเขา และทันใดนั้น เขามีความคิดหนึ่ง "ตอนที่เจ้าบ้าคลั่ง เจ้ารู้เรื่องไหม"ดวงตาอันสีดำของเฮยหลิงเป็นประกาย จากนั้นเขาก็พยักหน้าเล็กน้อย "จำได้ทุกเรื่อง"เจี่ยงเทียนซิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ตกใจมากเขาแค่พยักหน้าและพูดว่า "พอดี ข้าไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม เจ้าเป็นคนอิสระแล้ว แล้วส่วนทำไมเจ้าถึงเป็นคนอิสระได้ ข้าไม่ได้เป็นผู้ตัดสิน"ดวงตาของเฮยหลิงกะพริบอีกครั้ง และดวงตาของเขาซึ่งยังค่อนข้างว่างเปล่า ดูเหมือนจะมีสมาธิในทันใดนั้น"ข้าเข้าใจแล้ว" เฮยหลิงกล่าว "ขอบคุณเจ้าสำนักที่คอยดูแลข้ามาตลอด ข้าขอลาก่อนขอรับ"เจี่ยงเทียนซิงพยักหน้า เขามองเฮยหลิงเดินจากไป แล้วพูดว่า "แม้ว่าบุคคลนั้นจะต่อสู้อย่างดุเดือด แต่จริง ๆ แล้วนางเป็นคนใจอ่อน หากเจ้าไม่มีที่ไปจริง ๆ เจ้าไปหานางก็ได้ ... "ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าของเฮยหลิงก็หยุดลง ราวกับว่าเจี่ยงเทียนซิงพูดถึงเรื่องที่เขาก
อันที่จริง ต่อให้ไม่มีใครพึ่งพาได้ จั๋วซือหรานก็ไม่เคยกลัวมาก่อนนางมีชีวิตมาแล้วสองชาติ ไม่ว่าจะขุมพลังเมื่อตอนไหน ก็ล้วนเป็นความสามารถและฝีมือของตนเองทั้งสิ้น ไม่เกี่ยวข้องกับผู้ใดเลยแต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นซือคงเจาหมิ่นกับซือคงอวี้ที่ก่อเรื่องวุ่นวายนี้ขึ้นจั๋วซือหรานราวกับเป็นเครื่องจักรอนันต์อย่างไรอย่างนั้น ทำงานต่อกันไปถึงสองวันแต่เหล็กตีไปมันก็รู้สึกอ่อนล้า ไหนจะเรื่องที่นางก็เป็นแค่ร่างกายเนื้อ...แม้จะไม่ถึงกับทนไม่ไหว นั่งนั้นมีนิสัยที่จะแบกเรื่องทั้งหมดเอาไว้มาแต่ไหนแต่ไร แต่ว่าพอด้านหลังมีคนที่คอยประคองบ่านางให้ยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ตอนที่กลิ่นหอมเย็นชื่นใจที่คุ้นเคยลอยเข้ามาในลมหายใจนางจั๋วซือหรานก็ยังรู้สึกได้ถึงความสงบใจ“ท่านอ๋อง...” จั๋วซือหรานเรียกขึ้นแผ่วเบา ผ่อนลมหายใจออกมา พิงหลังเอนเข้าไปยังหน้าอกกว้างแผ่นหนึ่ง“เรื่องที่ตลาดมืด เรียบร้อยแล้วหรือยัง?” เสียงทุ้มต่ำทรงเส่น่ห์ดังขึ้นมาที่ข้างหูนาง“อืม” จั๋วซือหรานขานรับเสียงต่ำมาคำหนึ่ง ส่วนใหญ่น่าจะเพราะเหนื่อยล้า ดังนั้นอันที่จริงจั๋วซือหรานเองก็ยังไม่ทันสังเกต ว่าเสียงของตนเองอ่อนหวานจนดูเหมือนอ้อนไปแล
ก่อนหน้านี้ตอนที่เฟิงเหยียนคลุมผ้าให้ก็ไม่ทันสังเกตขณะนี้ หลังจากที่เขาคลุมผ้าให้กับหญิงสาวในอ้อมกอดแล้ว แขนท่อนหนึ่งของเขาก็โผล่ออกมานอกผ้าคลุมทหารหลายคนเห็นเพียงชายเสื้อสีดำของเขา ส่วนมือของเขากลับไม่เห็นอะไรที่น่าสงสัยแต่ตอนที่ในชายเสื้อเห็นผิวหนังของข้อมือวับแวมออกมา ภาพนั้นก็น่าสะพรึงเอามากๆบาดแผลสีดำไหม้ปรากฏขึ้นต่อเนื่อง ดูโหดร้ายน่ากลัว ราวกับเคยถูกเผาไหม้มาอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นขณะที่หายใจ ยังมีสัญลักษณ์ลายดอกไม้สีทึบหลั่งทะลักขึ้นมาราวกับมีพลังฟื้นฟูที่มหัศจรรย์บางอย่าง ทำให้บาดแผลที่ดำไหม้แต่เดิมที หลังจากสัญลักษณ์ลายดอกไม้นี้หลั่งทะลักขึ้นมา ก็หายเป็นปกติแล้วสลายไปแต่รอยไหม้ที่โหดร้ายเพียงไม่นานก็ปรากฎขึ้นอีก ฟื้นฟูและหายไปอีกครั้งขณะที่หายใจ...เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาเดิมที แค่จะให้เหล่าทหารรู้สึกว่าแปลกประหลาดเท่านั้น ไม่ได้จะให้รู้สึกสะพรึงกลัวขนาดนี้แต่ทหารเหล่านี้ก็นึกออกทันที ว่าบาดแผลเช่นนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะมองอย่างไร ก็น่าจะกระตุ้นความเจ็บปวดที่รุนแรงขึ้นมาบ้างแต่ชายหนุ่มหลอเหล่าตรงหน้าคนนี้ สีหน้าบนใบหน้ากลับไม่เปลี่
เหล่าทหารหลายคนเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าใจเป็นพิเศษ“ดังนั้นคนเมื่อครู่...คือซื่อจื่อแห่งตระกูลเฟิงหรือ?”“แต่ข้าได้ยินมาว่า หลังจากที่การหมั้นหมายของตระกูลเฟิงและแม่นางจิ่วแล้วถูกยกเลิกไปแล้ว ก็ไม่ได้มีการเกี่ยวดองกันอีกเลยมาตลอดนี่”“ใช่เลย เหมือนว่าของหมั้นเองก็ส่งไปแล้ว แต่เหมือนตระกูลเฟิงจะไม่ยอมเลือกวันเสียที และไม่ยอมประกาศต่อภายนอกด้วย”“หลังจากนั้นในเมืองหลวงก็มีเรื่องต่างๆ เกิดขึ้นสินะ? เรื่องของตระกูลจั๋ว เรื่องของตระกูลเหยียน ราคาวัตถุดิบยาเพิ่มขึ้น สองตระกูลทะเลาะกันแตกหัก...แล้วยังเรื่องโรคระบาดครั้งนี้อีก”ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในใจทหารหลายคนก็เข้าใจแล้ว ว่าชายหนุ่มหล่อเหลาที่ทำให้พวกเขารู้สึกเย็นวาบคนนั้น น่าจะเป็นซื่อจื่อจากตระกูลเฟิง“ได้ยินมานานแล้วว่าซื่อจื่อตระกูลเฟิงมีนิสัยเย็นชา ไม่เห็นใจไม่เมตตาไม่เข้าใจความรู้สึกของใคร ปฏิเสธคนอื่นราวกับอยู่ห่างไกลกันพันลี้”“แต่ว่า สำหรับแม่นาวจิ่วกลับอ่อนโยนเสียเหลือเกิน...”พวกเขาเองก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมบนมือของเฟิ่งเหยียนถึงได้มีบาดแผลที่ประหลาดขนาดนั้นถึงอย่างไรนั่นก็เป็นตระกูลเฟิง แม้จะไม่ใช่ว่าทุกคนท
“กลิ่นอายที่คุ้นเคย พอได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าเจ้ามา” จั๋วซือหรานพูดต่อ “แต่ก่อนหน้าก็เหมือนจะไม่ชัดเจนขนาดนี้ ทว่าข้าเองก็ไม่คิดมาก ตอนที่เตรียมจะหลับ จู่ๆ ปฏิกิริยามันก็เข้ามาเอง”ดวงตาที่ดูไม่กระฉับกระเฉงเพราะง่วงของจั๋วซือหราน ในที่สุดก็ปิดขึ้นมา เหลือบมองไปทางเฟิงเหยียนอย่างเกียจคร้าน“นั่นเป็นกลิ่นสุราน้ำเต้าใช่ไหม?” จั๋วซือหรานมองเฟิงเหยียน“อืม” เฟิงเหยียนเองก็มองนางและไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า จั๋วซือหรานเห็นประกายอ่อนโยนวาบผ่านไปในดวงตาของเขาจากนั้นก็ได้ยินเฟิงเหยียนถามขึ้น “ความรู้เกี่ยวกับยาการแพทย์ของเจ้าร้ายกาจเสียขนาดนั้น ก่อนหน้านี้คิดไม่ออกเลยหรือว่านั่นเป็นกลิ่นสุราน้ำเต้า? ก่อนหน้านี้เจ้าคิดว่าเป็นอะไร”ริมฝีปากของจั๋วซือหรานเบ้ไปเล็กน้อยก่อนหน้านี้นางไม่มีปฏิกิริยาจริงๆ รู้สึกมาตลอดว่ากลิ่นบนตัวชายคนนี้หอมจริงๆ“สรุปคือ ต้องดื่มสุราน้ำเต้าแค่ไหน กลิ่นอายถึงจะเข้มข้นชัดเจนขนาดนี้ล่ะ” จั๋วซือหรานขมวดคิ้วถามขึ้นบนสีหน้าเฟิงเหยียนยังคงไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร มีประโยชน์ก็พอแล้ว นอนเถอะ”จั๋วซือหรานไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ทำตามที่บอกนางเลิกคิ้วขึ้นเล็ก
ถังหยวนมองสภาพจั๋วหรูซินตอนนี้ เขาอดมีสายตาสับสนขึ้นมาไม่ได้ตรงหน้าเขามีภาพตอนที่จั๋วซือหรานถูกลงโทษแวบผ่านขึ้นมา กระดูกสันหลังที่ไม่ยอมคดงอนั่นเก้าแส้ฟาดลงไป หน้าขาวซีด เหมือนจะร่วงพับสิ้นสติ สภาพซมซานน่าเวทนาแต่ในสีหน้าท่าทาง ไม่มีท่าทีเจ็บปวดร้องไห้ชักกระตุกให้เห็นกระทั่งว่า ถังหยวนเกิดความรู้สึกลวงขึ้นมา ว่ามันควรจะเป็นเช่นนี้หรือเปล่า?แต่ตอนนี้พอเห็นท่าทางของจั๋วหรูซิน จึงมีปฏิกิริยาเข้าใจขึ้นทันที จั๋วหรูซินแบบนี้ต่างหากที่เป็นสภาพปกติแต่แบบจั๋วซือหรานนั่น เป็นตัวตนที่แตกต่างจากคนอื่นจั๋วหลานมองจั๋วซือหราน "เสียวจิ่ว พอสบายใจขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานเดินขึ้นไปทีละก้าวทุกคนล้วนคิดว่า หญิงสาวคนนี้ยังไม่สะใจพอ ต้องเข้าไปมองความเจ็บปวดทรมานของจั๋วหรูซินใกล้ๆ จึงจะพอใจจั๋วอวิ๋นชินอดทนอยู่ข้างๆ แม้เขาจะไม่พอใจน้องสาวคนนี้นัก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นน้องสาวจะอย่างไรก็ยังมีความรู้สึกทนไม่ไหวอยู่ เขาเตรียมจะยัดยาลูกกลอนให้กับจั๋วหรูซินแล้วแต่ตอนนี้พอเห็นจั๋วซือหรานเดินขึ้นมา แม้เขาจะหยุดเท้าลง แต่ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจั๋วอวิ๋นชินเอ่ยขึ้นเสียงขรึม "จั๋วซือหราน หรูชินได้ร
จั๋วอวิ๋นฉียืนอยู่ท้ายกลุ่มคน ผู้อาวุโสเจ็ดจั๋วอี้ยืนอยู่ข้างเขา ดึงแขนเขาอย่างตื่นเต้นไม่ยอมปล่อย เหมือนกลัวว่าเขาจะวิ่งหนีหายไปอย่างไรอย่างนั้นทั้งสองคนยืนอยู่แบบนั้นที่ท้ายกลุ่มคน ได้ยินคำพูดเหล่านี้ของจั๋วซือหรานด้านในจั๋วอี้อดถอนใจขึ้นมาไม่ได้ เขากระซิบเสียงแผ่วเบาข้างหูกับจั๋วอวิ๋นฉี "ตอนนั้นถ้าเจ้ามีนิสัยแบบนางก็คงดี"จั๋วอวิ๋นฉีพอได้ยินก็ยิ้มบางๆก็ไม่มีจริงๆ นั่นล่ะคำพูดเมื่อครู่ของจั๋วซือหราน เหมือนแทบจะพูดออกมาตรงๆ ว่าจะกำจัดจั๋วหรูซินออกไปถ้าท่านลุงถังลงมือ ดุจากจำนวนโบยที่จั๋วหรูซินต้องโดน นางได้พิการแน่สิ่งเดียวที่จะเดิมพันได้ก็คือ...การหวดทีเดียวของจั๋วซือหราน ว่าจะเบามือกว่าหรือไม่แต่ ให้ใครมาอยู่ในมุมของจั๋วหรูซิน ที่มีความแค้นเก่ากับจั๋วซือหรานมากขนาดนั้น จะกล้าเดิมพันให้จั๋วซือหรานลงมือเบาหน่อยได้หรือ?ใครจะกล้าเดิมพันกัน? ต่อให้เป็นคนอื่น ก็คงไม่กล้าเดิมพันเช่นนี้แต่นี่ก็เป็นความหวังสุดท้ายแล้ว นี่ต่างหากที่ทรมานคนมากที่สุดจั๋วอวิ๋นฉีอดถอนใจไม่ได้ นางจับทางใจคนได้พอเหมาะพอเจาะดีจริงๆจั๋วซือหรานไม่รีบร้อนเลยสักนิด มองดูจั๋วอวิ๋นชินกับจั๋วหรูซินอย
จั๋วซือหรานมองนางเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม ไม่ต้องพูดอะไร ในดวงตาเหมือนเขียนคำว่า 'เจ้ากำลังพูดบ้าอะไร? ข้าต้องจงใจอยู่แล้ว' เอาไว้จั๋วอวิ๋นชินที่อยู่ข้างๆ สูดลมหายใจลึก บอกกับผู้อาวุโสใหญ่ว่า "ผู้อาวุโสใหญ่ หรูซินทำผิด เป็นเพราะพี่ชายอย่างข้าไม่สั่งสอนนางให้ดี..."แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็คิดว่าเขาคงคิดจะทำเหมือนจั๋วเห้อหรงก่อนหน้านี้ คิดจะรับโทษแทนนาง จึงส่ายหัวเอ่ยขึ้นว่า "ไม่ต้องพูดอะไร ใครทำใครก็รับ นางทำผิด นางก็ต้องรับโทษด้วยตนเอง!"จั๋วอวิ๋นชินพอได้ยินคำนี้ ก็รู้ว่าผู้อาวุโสใหญ่เข้าใจผิดแล้ว "ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้จะขอร้องแทนนาง เพียงแต่ว่า ถึงอย่างไรข้าที่ไม่ได้สั่งสอนน้องสาวให้ดี ดังนั้นถ้าหากเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะลงมือเอง หวังว่าท่านจะเห็นด้วย"จั๋วหลานได้ยินคำนี้ ก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรในเมื่อไม่ได้ปฏิเสธทันที ก็ถือว่ายังมีหวังนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จั๋วอวิ๋นชินจะช่วยน้องสาวคนนี้แม่จะไม่สามารถใจดีหรือใจอ่อนเกินไปได้ แต่อย่างน้อยก็ยังพอจะเบามือลงในขอบเขตที่เป็นไปได้จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มข้างๆ "ในเมื่อท่านพี่รักและสงสารขนาดนี้ เช่นนั้นก็ตรงไปตรงมาหน่อย..."นาง
จั๋วอวิ๋นชินถูกน้องสาวคนนี้ทำให้โกรธมาก ชัดเจนว่า ที่นางมีวันนี้ ก็เพราะความผิดของตัวนางเองทั้งนั้นกระทั่งการกระทำลายตัวเองของจั๋วหรูซิน ไม่เพียงแต่ทำร้ายตัวนางเองเท่านั้น แต่ยังทำร้ายท่านพ่อด้วยหลังจากที่จั๋วเห้อหรงรับกฏของตระกูลแทนจั๋วหรูซินครั้งที่แล้ว สภาพก็ย่ำแย่มาตลอด เดิมทีที่อำนาจในตระกูลถูกรีบกลับไปยังไม่พอสภาพร่างกายเองก็ได้รับผลกระทบจากการถูกโบยตามกฏตระกูลด้วยด้วยเหตุนี้จึงอดพูดไม่ได้ ว่าจั๋วซือหรานคืออัจฉริยะ หลังจากถูกโบยไปเก้าครั้ง ก็ยังทนมาได้โดยไม่พิกลพิการ แล้วยังมีฝีมือความสามารถความสำเร็จแบบในตอนนี้อีกไม่ง่ายเลยจริงๆกระทั่งว่า จั๋วอวิ๋นชินมาคิดอย่างละเอียด การทำลายตัวเองของจั๋วหรูซิน ยังทำร้ายทั้งตระกูลจั๋วอีกด้วยแม้จะบอกว่า ที่จั๋วซือหรานรู้สึกย่ำแย่ต่อตระกูลจั๋วขนาดนี้ ก็เพราะวิธีการที่ตระกูลจั๋วปฏิบัติต่อนางมาตลอดแต่ว่า สาเหตุหลักยังคงเป็นเพราะจั๋วหรูซินวางแผนร้าจการเกินไปเป็นลูกหลานตระกูลเดียวกันแท้ๆ นางกลับจะเอาชีวิตของจั๋วซือหรานมาล้อเล่น...ถ้าหากไม่ใช่ด้วยฝีมือของจั๋วซือหรานเอง เช่นนั้นก็จะต้องจับคู่กันไปทั้งชีวิตเลยนะ เสน่ห์หนอนพิษกู่ไม่ใช
คนเหล่านั้นไม่กล้าอิดออดอีก ทยอยกันคุกเข่าลงหลังจากตอนที่ได้ยินเสียงหัวเข่ากระแทกหนักๆ ตึงๆๆตอนที่ผู้อาวุโสใหญ่จั๋วหลานรีบพุ่งไปเข้าไปขวางตรงหน้าจั๋วซือหราน นางก็ไม่ได้ตบเขาออกไปผู้อาวุโสใหญ่มองจั๋วซือหราน เอ่ยขึ้นว่า "ข้าลงโทษพวกเขาแล้ว ถ้าเจ้ายังไม่พอใจ เจ้าไปลงโทษพวกเขาด้วยตนเองได้เลย ด้วยฝีมือของเจ้า คิดจะลงโทษพวกเขาไม่ใช่เรื่องยากอยู่แล้ว"จั๋วซือหรานพอได้ยิน มุมปากก็ยกขึ้น "ก็ไม่ยากจริงๆ"จั๋วอวิ๋นฉีถอนหายใจเงียบๆ ถอนหายใจกับการตัดสินใจของนางคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเหล่านั้น ตอนนี้ก็เพิ่งจะรู้สึกตัวขึ้นมาจริงด้วย ด้วยฝีมือของนาง เธอแค่คนเดียวก็จัดการรับมือกับคนเถื่อนได้นับสิบ แล้วทำไมตอนที่พวกเขาพูดอะไรไม่น่าฟัง นางถึงไม่ตบพวกเขาจนคว่ำไปล่ะ?นางมีฝีมือจะตบพวกเขาจนคว่ำอยู่แล้วแท้ๆพวกเขาตอนนี้เข้าใจแล้ว นางจงใจทำ จงใจจะให้ตระกูลจั๋วมารับมือพวกเขา ให้พวกเขาตบหน้าพวกเขากันเองนางจะให้พวกเขาได้รู้:พวกเจ้าคิดจะทำให้ข้ารู้สึกสะอิดสะเอียนแค่ไหน ข้าก็จะให้พวกเจ้ากินขี้ของพวกเจ้ากลับไป ลองดูสิว่าใครจะสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าถ้าหากพวกเขาไม่ญาติดีกับท่าทีของนาง เช่นนั้นนางก็จะไม่
ผู้อาวุโสเจ็ดจั๋วอี้แทบจะพุ่งเข้ามาอย่างอดไม่อยู่ในสายตาเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น มองจั๋วอวิ๋นฉีอยู่เป็นระยะ"อวิ๋นฉี! อวิ๋นฉี! นั่นเจ้าจริงหรือ!" เสียงของผู้อาวุโสเจ็ดสั่นพร่าขึ้นมาจั๋วอวิ๋นฉีมองไปทางผู้อาวุโสเจ็ด เผยให้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนน้ำตาของจั๋วอี้แทบจะร่วงลงมาแล้ว ตอนที่เขามองไปทางจั๋วซือหราน ในดวงตาก็เต็มไปด้วยความซาบซึ้งเดิมทีเขายังคิดว่า ดันจั๋วซือหรานขึ้นไปนั่งตำแหน่งอาวุโสที่นางต้องการ จากนั้นก็จะขอให้นางช่วยอวิ๋นฉีกลับมาในตระกูลนางวันนี้เพิ่งจะมาถึง ก็ทำได้เสียแล้ว!ตอนนี้เอง ข้างๆ ก็เกิดเสียงที่ต่างกันขึ้นมา มีคนที่แม้จะไม่ชอบผู้อาวุโสสามและผู้อาวุโสห้า แต่ก็ไม่คิดว่าจั๋วอวิ๋นฉีที่ปรากฏตัวขึ้นอย่งกะทันหัน แล้วก็หญิงสาวที่ขนยังไม่ทันขึ้นอย่างจั๋วซือหราน จะสามารถมานั่งตำแหน่งนี้ได้ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า "แต่เขาไม่ได้อยู่ในตระกูลมานานแล้วนะ จะมารับผิดชอบได้ที่ไหน...นี่เป็นตำแหน่งของผู้อาวุโสตระกูลเชียว ดูจะรีบร้อนเกินไปหน่อย"จั๋วซือหรานไม่สนใจกับเสียงต่างนางยักไหล่ เอ่ยขึ้นว่า "ข้ายังไงก้ได้ แต่ว่าพวกท่านต้องเข้าใจจุดนี้นะ ตอนนี้พวกท่านต้องการให้ข้ากลับมา อย
จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นด้านใน "ในเมื่อข้ากล้าพูดเช่นนี้ ข้าก็ต้องรู้อยู่แล้ว่าเขาอยู่ทึ่ไหน"จั๋วซือหรานพูดพลางมองไปทางประตูจากนั้นนางจึงดึงไหมกู่ไร้รูปร่างในมือของตนเอง ไม่กู่ค่อยๆ เปลี่ยนจากโปร่งใสจนมีสีกึ่งโปร่งใส เชื่อมออกไปยังนอกประตูจั๋วซือหรานมองไปทางประตู เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "เชลยคนอื่นถ้าหลบหนีไปไกลแบบเจ้าเนี่ย คงจะเอาชีวิตไปทิ้งกันหมดแล้ว"ทุกคนตกตะลึงขึ้นมาจากเนื้อหาในคำพูดของนาง...เชลยหรือ?นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?จากนั้นจึงเห็นว่า พอจั๋วซือหรานดึงมือ ไหมกู่กึ่งโปร่งใสเส้นนั้นก็ดึงชายหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาในประตูดูจากเสื้อผ้าของเขาแล้ว ทุกคนล้วนตกตะลึงกันหมด"นี่มัน...นี่ไม่ใช่เชลยจากแดนใต้ที่อยู่ข้างๆ เจ้าก่อนหน้านี้คนนั้นหรือ?""นี่มันเกิดอะไรขึ้น?"จั๋วซือหรานลุกขึ้นมาจากที่นั่ง เดินตรงไปยัง 'ฮาร์วีย์'ยืนอยู่ตรงหน้าเขาชายหนุ่มก้มหน้ามองนาง เส้นผมไม่ยาวนักของเขาถักเป็นเปีย ปลายผมยังห้อยลูกปัดไว้ ผิวหนังสีคล้ำ แม้จะไม่ถึงกับดำ แต่ก็ไม่ใช่ผิวขาวนวลเบ้าตาลึก โหนกแก้มสูงเล็กน้อย จะดูอย่างไร...ก็ล้วนเป็นเอกลักษณ์หน้าตาคนแดนใต้แต่จั๋วซือหรานยืนอยู่ตรงหน้าเขา
"อะไรนะ!" ผู้อาวุโสสามกับผู้อาวุโสห้าพอได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสใหญ่ ก็ยิ่งตกตะลึงขึ้นไปอีกแต่จั๋วซือหรานก็เหมือนจะมองไม่เห็นพวกเขาเสียอย่างนั้นนางมองผู้อาวุโสใหญ่จั๋วหลาน หลังจากนั้นก็เหลือบมองไปทางจั๋วอี้ผู้อาวุโสเจ็ดตอนนี้จึงเอ่ยต่อว่า "เรื่องนี้พวกท่านไม่ต้องกังวล ข้าหาตัวเลือกผู้อาวุโสที่เหมาะสมไว้แล้ว"ผู้อาวุโสสามกับผู้อาวุโสห้าทนไม่ไหวขึ้นอีกครั้ง แต่ต่อให้รู้ว่านางตอนนี้จะสำคัญมากกับตระกูลก็ทนต่อไม่ไหวแล้วจึงก่นด่าจั๋วซือหรานขึ้นมา"เจ้ากล้าดียังไง!" ผู้อาวุโสห้าเดิมทีก็มีนิสัยขี้โมโห ด่ากราดขึ้นมา "เจ้าอย่าคิดว่าตอนนี้เจ้ามีชื่อเสียงขึ้นมาในเมืองหลวง แล้วจะหลงตัวเองจนไม่มีขอบเขตนะ!"ผู้อาวุโสสามไม่ได้ฉุนเฉียวขนาดนั้น แต่ก็มองออกได้ไม่ยากถึงอารมณ์โกรธแค้น พูดจาให้ขุ่นเคืองขึ้นมา "เจ้าคิดว่าหมูหมากาไก่ที่ไหนก็จะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสตระกูลได้หรือ?! ตระกูลเราไม่เคยมีผู้อาวุโสหญิงมาก่อนด้วยซ้ำ! ไม่ต้องพูดถึงเด็กสาวที่ขนยังไม่งอกแบบเจ้าเลย!"พอเทียบกับความเดือดดาลของพวกเขาสองคนจั๋วซือหรานกลับนิ่งกว่ามาก "พอเห็นคนแบบพวกท่านมาเป็นผู้อาวุโสตระกูลนี่ล่ะ ดังนั้นถูกต้อง ข้าคิดจ
ทุกคนล้วนมองออก ถ้าพูดจากด้านพลัง จั๋วซือหรานได้เปรียบอย่างสมบูรณ์ต่อให้นางไม่ต้องพูดซ้ำเกรงว่าหลังจากวันนี้ ชื่อของจั๋วซือหรานคงกลายเป็นตำนานมีชีวิตในเมืองหลวงแน่ๆถ้าจะให้พูดจริงๆ นางสู้กับตระกูลใหญ่ห้าตระกูลตามลำพัง แต่ก็ยัง...ไม่พ่ายแพ้แค่คิด ก็รู้สึกว่าเป็นแรงบันดาลใจได้แล้วรถม้าแล่นมาถึงบ้านตระกูลจั๋วรู้สึกเหมือนจากไปเสียนาน แต่พอย้อนนึกดู ก็เหมือนจะไม่ได้นานเท่าไรทว่าตอนนี้ จั๋วซือหรานไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนางเดินเข้าไปในโถงประชุม ไม่แม้แต่จะมองพวกเขา เดินตรงไปที่นั่งบนสุด แล้วนั่งลงทุกคนล้วนตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง ทั้งห้องนิ่งเงียบเป็นเป่าสากเหมือนมีคนรู้สึกว่าสมควรจะตำหนินาง นางขึ้นไปนั่งบนที่นั่งสูงสุดได้อย่างไรกัน?! ที่นั่งสูงสุดบนโถงประชุม มีไว้ให้เหล่าผู้อาวุโสนั่งแต่นางก็นั่งลงแล้ว กระทั่งมองออกไม่ยากด้วยว่านางจงใจยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งที่นางนั่ง ก็เป็นตำแหน่งของผู้อาวุโสสามพอดีแต่เห็นได้ชัด ว่าประสบการณ์ในอดีต ทำให้นางมีความรู้สึกไม่ดีกับผู้อาวุโสสามมากและเพราะการแสดงออกในเมืองหลวงของจั๋วซือหรานยิ่งยอดเยี่ยม ยิ่งโดดเด่นผู้อาวุโสสามกับผู้อาวุโ