ในห้องนั้น มือของชายชุดดำสามคนถูกมัดไว้อย่างแน่น และเชือกที่ผูกมือของพวกเขาก็ถูกแขวนไว้บนคานและจั๋วซือหรานได้ปรับความยาวพอดี เพียงพอที่จะยกทั้งสามตัวขึ้นได้ ยิ่งกว่านั้น ปากของเขาเต็มไปด้วยบางสิ่งและพันด้วยผ้า ไม่เพียงแต่พวกเขาพูดไม่ได้ พวกเขายังต้องรักษาอารมณ์ของเขาให้สงบด้วยเพราะเมื่อไรก็ตามที่พวกเขาตื่นตระหนกเหลือเกิน พวกเขาไม่สามารถหายใจจากทางปาก หากพวกเขาไม่ไม่ระวัง พวกเขาอาจจะต้องเป็นลม ดังนั้นพวกเขาจึงต้องสงบสติอารมณ์ให้ได้จั๋วซือหรานไม่ได้แขวนทั้งตัวของพวกมันไว้บนอากาศ แต่นางก็ไม่ให้เท้าของพวกเขาสัมผัสพื้นด้วย พวกเขาทำได้แค่ปล่อยให้ปลายเท้าของพวกเขาสัมผัสพื้นเท่านั้นท่านี้ทรมานมาก เพราะหลังจากถูกแขวนไว้เป็นเวลานาน ข้อมือ แขน และไหล่ทั้งหมดจะรู้สึกเจ็บราวกับว่าหักดังนั้นพวกเขาจึงต้องพยายามยืดหลังเท้าให้ตรงและพยายามให้ปลายเท้าแตะพื้น เพื่อลดแรงกดบนข้อมือ แขน และไหล่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปนาน เท้าของพวกเขาก็เจ็บปวดมากเช่นกันความเจ็บปวดนี้ไม่เคยหายไปแม้แต่วินาทีเดียวยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาสองคนได้รับบาดเจ็บที่ขา โดยมีเลือดหยดลงมาที่ขา แล้วหยดจากปลายเท้าลงสู่พื้น
ขณะที่นางพูด นางมองไปที่ชายชุดดำสามคนที่ถูกแขวนอยู่ "นั่นคือเหตุผลที่ข้าไม่กล้ารบกวนใต้เท้าของกรมสอบสวนคดีอาญา ข้าจะสืบสวนพวกเขาเอง ส่วนขั้นตอนหลัง ๆ ข้าขอใต้เท้าต่งจัดการอย่างเป็นกลาง”จั๋วซือหรานพูดและเดินไปข้างหน้าชายชุดดำสามคนจ้องมองนางด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง พวกเขาส่งเสียงคำรามจากลำคอและบิดตัวอย่างแรงจั๋วซือหรานเดินเข้าไปหาพวกเขา แล้วเอายาเม็ดในมือของนางให้พวกเขาดู“ก่อนอื่น แน่นอนพวกเจ้าต้องกินยาที่ช่วยขยายการรับรู้ความรู้สึกของอวัยวะ เดี๋ยวเมื่อพวกเจ้าถูกทรมาน พวกเจ้าจะได้รับรู้ความรู้สึกทอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น”พวกเขาทั้งสามฟังนางพูดไป และมองนางค่อย ๆ เขย่าขวดยา เม็ดยากลิ้งอยู่ในขวดและส่งเสียงกึกก้องแล้วพอได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนี้ ทำไมพวกเขากลับรู้สึกนางคลายอารมณ์ ราวกับว่านางกำลังตื่นเต้ากับเรื่องที่นางจะทำในวินาทีต่อมาพวกเขาทั้งสามหวาดกลัว ในใจพวกเขาไม่เพียงแต่เกลียด จั๋วซือหราน แต่ยังเกลียดตัวเองที่ประเมินศัตรูต่ำเกินไป พวกเขายังเกลียดนายจ้าง ซึ่งเป็นตระกูลเหยียนด้วยเพราะพวกเขาบอกชัดเจนว่า วันนี้คุณหนูจั๋วจิ่วได้ใช้พลังมากเกินไปแล้ว ไม่น่ากลัวอีกแล้วนี่หรือที่เรี
ต่งคังไม่เสียเวลาอีกต่อไป เขารีบเรียกหน่วยลาดตระเวนที่มากับเขาทันที เพื่อวางสามคนนั้นลงมาก่อนที่จะวางพวกเขาลง ต่งคังถามจั๋วซือหราน " แม่นางจิ่ว แม่นางมีอะไรจะทำอีกไหมขอรับ หากไม่มีแล้ว ข้าจะให้สั่งคนวางสามคนนี้ลงและพาออกไป"จั๋วซือหรานส่ายหัวแล้วพูดว่า "ข้าไม่มีอะไรทำอีกแล้ว ได้โปรดทุกท่าน"ต่งคังส่งสัญญาณไปยังหน่วยลาดตระเวน พวกเขาเข้ามา และเตรียมเอาชายสามคนนั้นลงจากคานใครจะรู้...“ปมนี้…” ทหารองครักษ์หลายคนปมบนเชือกที่ผูกชายชุดดำทั้งสามคนนั้น พวกเขารู้สึกปมนี้แกะยากพวกเขาไม่เคยคิดเลยว่า ปมที่หญิงสาวผกไว้ พวกเขาแกะไม่ออกมีคนไม่กี่คนยังไม่ยอมรับความจริง พวกเขาพยายามแกะปมอีกสองสามครั้ง พวกเขาแน่ใจว่าแกะปมนี้ไม่ออก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเอามีดตัดเชือกในความเป็นจริง พวกเขาสามารถตัดเชือกได้โดยตรงตั้งแต่ต้น พวกเขาอยากแสดงมิตรภาพต่อจั๋วซือหรานเพราะพวกเขามักจะรู้สึกเสมอว่า นี่คือห้องของเด็กผู้หญิง และหากตัดเชือกออก เหลือเพียงเชือกปอที่หักเพียงสามเส้นห้อยลงจากคาน ซึ่งไม่เหมาะสมใครจะรู้ว่าปมของหญิงสาวคนนี้แปลกมาก ถึงแม้พวกเขาอยากแกะปมนี้ แต่พวกเขาไม่รู้จะแกะ
“ข้ารู้” จั๋วซือหรานเม้มริมฝีปากแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าเคยญญาว่าจะไปกับเจ้าไม่ใช่หรือ”นางเคยสัญญาว่านางจะไปร่วมการฝึกฝนเถื่อนการกลั่นนอกระบบกับซือคงเซี่ยนโดยปกติแล้ว การฝึกฝนเถื่อนจะถูกจัดขึ้นโดยองค์กรตลาดมืดบางแห่ง ไม่เพียงแต่เพื่อเลือกผู้มีความสามารถเท่านั้น แต่ยังจัดเพื่อการจัดบ่อนพนันด้วยและธุรกิจที่องค์กรตลาดมืดเหล่านี้แอบทำ ไม่ใช่แค่การเปิดบ่อนพนันเถื่อนหรือการฃฝึกฝนเถื่อนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงธุรกิจอย่างอื่นด้วย เช่น การประมูล การจ้างงาน เป็นต้นตราบใดที่เจ้าจ่ายเงิน เจ้าสามารถไปที่องค์กรประเภทนี้ได้และจ้างผู้อื่นให้ทำเรื่องต่าง ๆ ให้เจ้าได้ หากราคาสูงพอ ต่อให้เจ้าอยากจ้างผู้อื่นมารับใช้เจ้า นั่นก็เป็นไปได้หอฟ้าดาวเป็นหนึ่งในองค์กรตลาดมืดเหล่านี้ และขนาดของหอฟ้าดาวไม่เล็กในเมืองหลวง ไม่มีใครรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังกล่าวโดยสรุป จั๋วซือหรานพูดเช่นนี้ ซึ่งทำให้ซือคงเซี่ยนต้องตกตะลึงอย่างมากเดิมทีเขาคิดว่านางลืมเรื่องนี้ไปนานแล้ว เนื่องจากเวลาผ่านไปนานมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้จั๋วซือหรานกลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงทั่วเมืองหลวงแล้วพูดตามหลักแล้ว นางไม่จำเป็นต้องไปร่วมก
“บ่าวเข้าใจขอรับ อะไรที่มิใช่คุณหนูสั่ง บ่าวห้ามทำเด็ดขาดขอรับ” ฉวนคูนรีบพูด เขาไม่กล้าทำจริง ๆ เขาเห็นจุดจบของว่างฝูด้วยตาของเขาเองยิ่งกว่านั้น ใครล่ะจะมองไม่ออกอีก แม้ว่าตอนนี้คุณหนูไม่ได้อยู่ในสำนักงานใหญ่ของตระกูลแล้ว แต่ด้วยความสามารถของคุณหนู แม้ว่านางจะไม่ได้อยู่ใน สำนักงานใหญ่ของตระกูล ชีวิตของนางไม่ได้แย่กว่าตอนที่นางอยู่ในสำนักงานใหญ่ของตระกูลจั๋วซือหรานพยักหน้าและพูดว่า "ดี เจ้าไปทำความสะอาดห้องนี้และจัดระเบียบทุกอย่างภายในให้เรียบร้อย"จั๋วซือหรานพูดจบ นางหาวและเดินไปที่ห้องนอนของนาง และนอนฉวนคูนเดินเข้าไปในห้อง เขาสะดุ้งทันทีภายในไม่อาจพูดได้ว่าน่ากลัว แต่เดิมห้องนี้ว่างเปล่า และห้องที่ว่างมานานก็จะกลายเป็นห้องร้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในขณะนี้ ในห้องร้าง ภายใต้แสงสลัว มีเชือกสามเส้นห้อยลงมาจากคาน เชือกเหล้านี้พลิ้วไหวอยู่ที่นั่น และมีเลือดสองแห่งอยู่บนพื้นประกอบกับแสงนี้ดูน่าขนลุกมาก...ฉวนคูนอดไม่ได้ที่ต้องตัวสั่น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขานึกถึง คุณหนูจิ่ว ผู้ทรงพลังกำลังนอนอยู่ห้องข้าง ๆทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ต้องกลัว ท้ายที่สุดแล้ว ในสายตาของ
ความจริงจ้านหลูควรหยุดแค่นี้และเลิกถามต่อ แต่โดยไม่คาดคิด เขาคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า "อีกอย่าง ท่านอ๋องเซี่ยนไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เขามาที่นี่ทันที และตอนนี้เขายีงสวมเสื้อคลุมให้แม่นางจิ่วด้วย พวกเขาคงสนิทมากใช่ไหมขอรับ”จ้านหลูไม่ได้สังเกตว่าดวงตาที่ปกติแล้วไม่แยแสของเจ้านายของเขาดูเย็นชากว่า“ข้าให้เจ้ากลับไปรับการลงโทษ หากเจ้าไม่ได้ยิน…” เสียงของ เฟิงเหยียนเย็นชาและน่ากลัวจ้านหลูหดคอและพูดอย่างรวดเร็วก่อนที่เจ้านายจะพูดจบ "ข้าได้ยินแล้ว ข้าได้ยินแล้วขอรับ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ"หลังจากพูดเช่นนี้ จ้านหลู ก็ตีลังกาบนกระเบื้องเคลือบบนหลังคาของหอระฆังอย่างรวดเร็ว เขา 'กลิ้ง' ลงบนพื้นอย่างมีพลังหลังจากจ้านหลูจากไปเฟิงเหยียนยังคงยืนอยู่บนหลังคาของหอระฆัง เขาหันหน้าไปทางจวนของจั๋วซือหราน เขายืนอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานจนกระทั่งราตรีค่อย ๆ หายไปจนกระทั่งเส้นขอบฟ้าเปลี่ยนเป็นสีซีด จนกระทั่งรังสีแห่งแสงย้อมท้องฟ้าเป็นสีแดงฉูนจวีนรีบวิ่งจากจวนเฟิงอย่างรวดเร็ว เขาอยู่บนหลังคาหอระฆังภายในไม่กี่วินาที เสียงของเขาเป็นกังวลอย่างยิ่ง "ท่านขอรับ พระอาทิตย์จะขึ้นเร็ว ๆ นี้ขอรับ"ในอด
"เอ่อ... เอ่อ..." จั๋วซือหรานนอนขดตัวอยู่บนเตียง หน้าผากของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ และเสื้อผ้าด้านในของนางเปียกโชกไปด้วยเหงื่อนางไม่คาดคิดว่ามันจะเจ็บขนาดนี้แม้แต่คนอย่างนางที่มีความอดทนสูง ตอนนี้นางก็แทบจะทนไม่ไหวแล้วในความเป็นจริง ทันทีที่นางตัดสินใจรักษาอาการบาดเจ็บให้เฟิงเหยียน นางได้เตรียมใจไว้แล้วว่านี่จะไม่ใช่เรื่องง่ายมิฉะนั้น ตระกูลที่มีฐานะสูงส่งอย่างตระกูลเฟิงจะถูกพลังวิเศษ ครอบงำมาเป็นหลายปีได้อย่างไรหากพูดได้ว่า ก่อนหน้านี้ จั๋วซือหรานรู้ความเป็นไปได้นี้หลังจากเฟิงเหยียนจูบนางโดยไม่สนใจนาง นางดื่มสุราของเขา และกัดริมฝีปากของเขาคืนนั้นนางได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากความหนาวเย็นและความร้อน ซึ่งทำให้จั๋วซือหรานแน่ใจว่า การที่รักษาอาการบาดเจ็บแก่เฟิงเหยียน นางต้องเจ็บทรมานแน่ ๆเนื่องจากการเจ็บปวดนี้ถูกคิดไว้ล่วงหน้าแล้ว จั๋วซือหรานได้เตรียมพร้อมทางจิตใจจริง ๆ แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้นางยังคงไม่ทันรับมือกับความเจ็บปวดเช่นนี้ระดับความเจ็บปวดที่นางได้รับจากการลงโทษของหน่วยสืบสวนพิเศษในครั้งที่แล้ว นางสามารถให้คะแนนเป็นสิบคะแนน ความเจ็บปวดที่นางต้องทนอยู่ในขณะนี้ นางสามารถใ
แต่ขณะนี้ นางรู้สึกสดชื่นแล้วจั๋วซือหรานลุกขึ้นจากเตียง นางเห็นว่าเสื้อคลุมของนางถูกพับอย่างเรียบร้อยและวางไว้ที่ปลายเตียงนางสวมเสื้อคลุมแล้วลงจากเตียงนางยังรู้สึกเท้าสั่นเล็กน้อย แต่เพราะนางไม่เจ็บปวดเหมือนเมื่อคืนแล้ว อาการของนางยังพอไหวอยู่ นางจึงเดินไปที่ประตูทันทีที่นางเดินไปที่ประตู นางก็ได้ยินเสียงผู้หญิงที่อ่อนโยนและความเป็นกังวลอยู่ข้างนอก “นางไม่มีคนรับใช้ที่เชื่อใจได้เลย หากไม่ใช่เป็นเพราะข้ากังวลและอยากเข้ามาดูนี่ ดูสิ ไม่รู้สาวน้อยนี้จะอดทนไปถึงเมื่อไร”น้ำเสียงของอวิ๋นเหนียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วง” หรานหราน เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด พ่อของนางเสียชีวิตเร็วเกินไปและข้าก็ทำอะไรไม่ได้ นางในฐานะที่เป็นลูกสาวคนโต นางต้องแบกทุกอย่างด้วยตัวเอง ปกป้องข้า ยังต้องการปกป้องเสี่ยวหวายด้วย และแถมยังต้องปกป้องชื่อเสียงของครอบครัวเรา นางไม่อยากเสียศักดิ์ศรีของพ่อนาง นจางเลยต้องแบกทุกอย่างด้วยตัวเอง”“แต่นางเอง... ยังเป็นแค่เด็ก” อวิ๋นเหนียงพูดไปและสะอื้นไปด้วยจั๋วซือหรานฟังออกได้ว่านี่เป็นเสียงของท่านแม่ของนาง และนางยังฟังว่าแม่ของเขาออกด้วยว่า ท่านแม่อาจได้ทราบเรื่องการแข่งขันระหว
ไม่มีคนสังเกตเห็น ว่าที่ข้างเวที เจ้าสำนักหอจันทร์เงินที่หน้าตาอ่อนโยนหล่อเหลา เวลานี้มีสีหน้าปั้นยากมากตราประทับจันทร์เสี้ยวที่หน้าผากนั่น ขมวดเป็นก้อนจากการขมวดคิ้วแน่นของเขาแล้ว!คนอื่นอาจไม่รู้ แต่อินเจ๋ออันชัดเจนอย่างที่สุด!ผีเสื้อปีกระยับตัวเดียวของนางเผชิญหน้ากับราชาแมงมุมหน้าผีแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรกัน? ผีเสื้อปีกระยับตัวหนึ่งถ้าเผชิญหน้ากับแมงมุมหน้าผีมันไม่มีประโยชน์อยู่แล้ว!แต่ผีเสื้อปีกระยับนั่นไม่ใช่ของจั๋วซือหราน!อินเจ๋ออันเข้าใจเป็นอย่างดี ตั้งแต่ตอนแรกเขาก็รู้ถึงอันดับการออกสัตว์ประหลาดของซางถิงแล้ว ยกที่สามคือ...ผีเสื้อปีกระยับผีเสื้อปีกระยับที่ไม่มีประโยชน์! เป็นของซางถิง!ส่วนราชาแมงมุมหน้าผีที่พลังกับขนาดร่างกายสะกดไปทั้งเวทีนั่น เป็นของจั๋วซือหรานต่างหาก!อินเจ๋ออันดูถูกนางไปจริงๆ ตอนนี้คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เสียใจอย่างมาก เสียใจอย่างมากจริงๆ แค่คิดขึ้นมาใจก็รวดร้าวแล้วตอนนี้เอง ในห้องหรูบนหอในห้องหรูของตระกูลซาง เสียงแหลมหนึ่งดังขึ้น “นี่เลย นี่เลย คุณหนูสี่ ราชาแมงมุมหน้าผีตัวนี้ เดิมทีเป็นสิ่งที่ข้ากับคนเหล่านั้นจะมอบให้เป็นของขวัญวันเก
พอสิ่งมหึมานี้ปรากฏขึ้น ทั่วทั้งลานก็เงียบกริบไปทันที!ทุกคนหวาดกลัวกันจนกระทั่งกลั้นหายใจ!หนึ่งคือเพราะมนุษย์นั้นจะเกิดความกลัวได้ง่ายต่อสิ่งของที่ใหญ่โตมหึมานี่น่าจะเป็นสัญชาตญาณที่ฝังอยู่ในยีนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอันตรายยิ่งไปกว่านั้น ตัวมนุษย์เองก็หวาดกลัวกับแมลงประเภทแมงมุมอยู่แล้วโดยเฉพาะแมงมุมที่ดูฉูดฉาดและร่างหายมหึมาขนาดนี้ตอนนี้เอง เจ้าตัวโตที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันบนลานประลองก็คุมสถานการณ์ไปทั้งหมดแล้ว!ใหญ่แล้วหรือ? นี่มันยังย่อไว้หน่อยแล้วด้วยนะ ไม่อย่างนั้นบนเวทีนี้ มันเดินไม่กี่ก้าวก็คงจะสุดทางแล้วแมงมุมหรือ? ขาขนปุกปุยทั้งแปดกับแขนเคียวนั่น แล้วยังมีปากที่แหลมคมอีก มองอย่างไรก็เป็นแมงมุม ไม่ใช่ปูอย่างแน่นอนฉูดฉาดหรือ? ลายดอกไม้บนหลังกับท้องของมัน เหมือนกับใบหน้าผีที่กำลังร้องไห้กำลังหัวเราะอยู่อย่างไรอย่างนั้นนี่คือที่มาของชื่อมัน“แมงมุมหน้าผี!”“นี่มันแมงมุมหน้าผี! น่ากลัวเหลือเกิน!”“ข้ากลัวแมงมุม ขนข้าลุกไปหมดแล้ว!”“ข้าก็ด้วย!”“แมงมุมหน้าผีที่ใหญ่โตขนาดนี้ ต้องเป็นระดับราชาแล้วกระมัง? ครั้งนี้จั๋วซือหรานแพ้แน่แล้ว!”เสียงดังขึ้นไม่ขาดสาย
ถึงอย่างไร ความจริงก็จะสอนให้เขาเป็นคนเอง ถึงอย่างไร คนเหล่านั้นที่ปากแข็งกับนางก่อนหน้า เจ้าพวกที่ควรตบฉาดก็ตบไปแล้วไม่มีเขาก็ไม่ได้น้อยลง หรือมีเขามาสักคนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าไรตอนที่จั๋วซือหรานกลับมาถึงห้องพักผ่อน ก็เห็นเจี่ยงเทียนซิงรออยู่ที่นั่นแล้ว“ทำไมยังมาด้วยตัวเองอีกล่ะ?” จั๋วซือหรานรู้สึกประหลาดใจเจี่ยงเทียนซิงยิ้มๆ “ในเมื่อชนะแล้วนี่ ก็ต้องมาฉลองชัยชนะของเจ้าสักหน่อยไหม”จั๋วซือหรานหัวเราะเบาๆ “เพิ่งจะยกเดียวเอง ยกต่อไปต่างหากที่สำคัญ”เจี่ยงเทียนซิงคิดๆ ตอบมาว่า “ข้ารู้สึกว่าฉลองล่วงหน้าได้ เจ้าเป็นคนที่มีความคิดดีดีอยู่เสมอ ถ้ารู้สึกไม่มั่นใจพอต่อเรื่องนี้ เจ้าไม่มีทางบุ่มบามเห็นด้วยหรอก”จั๋วซือหรานยิ้มๆ ไม่พูดจา“แต่ก็คิดไม่ถึงว่ายกนี้เจ้าจะสู้ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ” เจี่ยงเทียนซิงเดิมทีคิดว่าความหมายของจั๋วซือหรานคือรอยกต่อไปแล้วค่อยเริ่มต่อสู้ ยกนี้แค่สู้ให้ชนะอย่างหวุดหวิด แต่การแสดงออกเมื่อครู่ของจั๋วซือหราน แม้จะไม่สามารถพูดได้ว่าข่มกดดันไว้จนหมด แต่ก็ไม่ใช่ชนะอย่างหวุดหวิดแน่นอน ตอนท้ายยังดูค่อนข้างอหังการอีกด้วย จั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “หลักๆ คือคิ
“ให้ตายเถอะ...”ทุกคนเห็นแค่ จั๋วซือหรานที่เดิมทีเต้นรำอยู่ท่ามกลางพายุห่าฝนแส้ที่หนาแน่นเวลานี้นั่งลงมาแล้ว...อยู่บนตัวซางถิง?พูดให้ถูกต้องคือ นางกดเขาอยู่บนเวทีหินต้องห้ามไปแล้วหัวเข่าข้างหนึ่งของนางยันไว้ที่หน้าอกเขา แต่การเคลื่อนไหวนี้ ไม่ใช่จุดสำคัญที่ควบคุมเขาไว้ หรือเป็นการเคลื่อนไหวสำคัญที่ทำให้คนอื่นต้องทึ่งการเคลื่อนไหวสำคัญ คือสองดาบที่พาดไขว้อยู่บนคอซางถิง ดาบสองเล่มสลับไขว้อยู่บนคอเขา คมดาบหันเข้าด้านใน ขังคอของเขาเอาไว้ที่ร่องตัดสลับของคมดาบราวกับว่าขอแค่เขาขยับตัว นางแค่ออกแรงเบาๆ ก็เด็ดหัวเขาออกมาได้แล้ว!เพียงแค่มอง ก็อยู่ในระดับที่ทำให้คนที่เห็นอดกลั้นหายใจขึ้นไม่ได้ขณะที่บนเวทีมีเสียงตกตะลึงดังขึ้น ในห้องหรู เฟิงหร่านก็ส่งเสียงตกตะลึงออกมา“เขา...คนนั้นตายหรือยัง?” เฟิงหร่านถามขึ้น เสียงดูตะกุกตะกักเล็กน้อย เพราะจากมุมมองของนาง มองเห็นแค่แผ่นหลังของจั๋วซือหราน คุกเข่ากดหน้าอกอีกฝ่ายเอาไว้สองมือกุมดาบไขว้กดลงไปมองแล้วเป็นการเคลื่อนไหวที่จะเอาชีวิต เป็นการเคลื่อนไหวแบบประหัตประหารแต่เพราะถูกแผ่นหลังของจั๋วซือหรานบังไว้ ดังนั้นอันที่จริงจึงไม่รู้ว่า
ถามขึ้นว่า “ตาข้าแล้วหรือยัง?”สายตาของซางถิงจ้องนางเขม็ง เขากุมมือในแส้แน่น สะบัดข้อมือแส้ยาวในมือดีดตึง ปลายแหลมสะบัดไปทางจั๋วซือหราน“วูม...!” เสียงผ่าอากาศดังขึ้นจากนั้นแส้ก็ส่งเสียงเผียะขึ้นกลางอากาศ ราวกับตัดอากาศจนขาดเป็นท่อนอย่างไรอย่างนั้นและร่างของจั๋วซือหรานก็ไหววูบ ดูแล้วไม่มีอาการซมซานหรือโซซัดโซเซตอนที่หลบหลีกก่อนหน้านี้เลยความเร็วการเคลื่อนไหวของนางสูงมาก แต่ในสายตาของทุกคน กลับดูเชื่องช้าความรู้สึกแตกต่างระหว่างความเร็วและช้าที่สลับไปมานี้ ทำให้คนรู้สึกเริ่มปวดตาขึ้นมาทุกคนเห็นเห็นว่านางอยู่ต่อหน้าต่อตาชัดๆ นางเพียงแค่ก้าวอย่างสงบไม่กี่ก้าวราวกับเดินเล่นในสวนหลังบ้านเท่านั้นกระทั่งความตึงเครียดสักนิดก็ไม่มีแต่การโจมตีของแส้ที่น่าตกตะลึงนั่น ก็ถูกนางเบี่ยงหลบไปได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ถูกกระทั่งชายเสื้อของนางด้วยซ้ำ!ส่วนการโจมตีจากแส้ของซางถิงก็ยังไม่หยุด กระหน่ำเข้ามาราวกับห่าฝน เหมือนไม่ต้องการให้มีเวลาหยุดพักทั้งที่ซัดแส้ออกไปแท้ๆ มันควรจะมีช่วงจังหวะที่ค้างกลางอากาศกับจังหวะดึงแส้กลับมารวมพลังตวัดออกไปอีกจึงจะถูกแต่นั่นแทบจะไม่มีเลยการโจมตีแส้ของซ
ฝูซูกับเฮยหลิงอยู่ระหว่างทางขึ้นไปห้องหรูบนหอ ก็ได้ยินเสียงโหร้องกึกก้องขึ้นมาจากอัฒจันทร์คนดูตอนที่พวกเขาเข้าไปในห้องหรู ก็เห็นเฟิงหร่านคุณหนูสิบตระกูลเฟิงเข้าสภาพในตอนนี้ ไม่สนใจว่าเป็นหญิงสาวชั้นสูง หรือว่าจะเป็นคุณหนู หรือกระทั่งเป็นสตรีอ่อนหวานอีกแล้วนางยืนอยู่บนเก้าอี้ สายตาจ้องมองเวทีประลองเป็นประกายสองมือกำหมัดแน่น ดูจดจ่อเอามากๆฝูซูรีบถามขึ้น “เป็นอย่างไรบ้างเป็นอย่างไรบ้าง? สู้เสร็จแล้วหรือยัง? คุณหนูชนะไหม?”ตาของเฟิงหร่านยังไม่ย้ายไปไหน ยังคงจับจ้องที่เบื้องล่างไม่วางตา แต่ตอบฝูซูกลับมาเสียงต่ำ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความทึ่ง “ยังไม่จบ แต่คุณหนูจั๋ว...นางร้ายกาจมาก!”ฝูซูรีบเดินไปมองสถานการณ์บนเวทีประลองสภาพของเจี่ยงเทียนซิงดูหนักแน่นกว่าเฟิงหร่านพอควร จึงเล่าสถานการณ์ที่พวกเขาพลาดไปตอนไปลงเดิมพันออกมารอบหนึ่งที่แท้ พวกเขาก็พุ่งกันไปลงเดิมพันจั๋วซือหรานพอส่งสัญญาณเสร็จ ก็ไม่คิดจะทำเป็นอ่อนแอในการต่อสู้แล้วภายใต้การจับตาของทุกคน บาดแผลเหล่านั้นบนตัวนาง ก็เริ่มฟื้นตัวกลับอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่าและการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าเหมือนนางโดนผลกระทบความเป็นพิษจากนาก
หนึ่งคือสัญลักษณ์ของตระกูลซาง อีกหนึ่งเป็นสัญลักษณ์รูปอีกา (เชวี่ย)แสดงถึงตัวตนฐานะของนาง ว่าคือซางเชวี่ยคุณหนูสี่แห่งตระกูลซางคนรับใช้ข้างๆ นอบน้อมกับนางอย่างมาก“คุณหนู ท่านว่าไหม?” คนรับใช้เอ่ยขึ้น “แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ แต่ว่าเป็นสายเลือดตระกูลซางจริงๆ ทว่า จากการควบคุมสัตว์ของเขา ดูไม่มีอะไรน่าสงสัยเลย เสือเขี้ยวดาบแม้จะไม่ค่อยพบเห็นแต่ก็ไม่ได้มหัศจรรย์ขนาดนั้น นากเขาพิษยังกลับดูพิเศษขึ้นหน่อย”“ข้ารู้สึกว่า...” เสียงของหญิงสาวแจ่มชัดกังวาล แต่เส้นเสียงดูเย็นชาหน่อยๆ “สองคนนี้ยังไม่สู้กันจริงจังเลย”“ไม่จริงจัง?” คนรับใช้ไม่เข้าใจ “จั๋วซือหรานแม้ช่วงนี้จะถูกลือกันอย่างกับเป็นเทพเจ้า แต่จะอย่างไรก็ยังเป็นแค่แพทย์เท่านั้น แพทย์จะมีทักษะต่อสู้ได้แค่ไหนกัน...เมื่อครู่นางก็เอาแต่หนีนี่นา”หญิงสาวพอได้ยินก็หัวเราะขึ้นเบาๆ “เจ้าไม่เข้าใจ ถ้าหากไม่เป็นเช่นนี้แล้วจะหาเงินได้อย่างไรกัน?”คนรับใช้ไม่เข้าใจ “หาเงิน?”แต่ซางเชวี่ยกลับไม่คิดจะพูดอะไรมาก ทำเพียงจดจ้องสถานการณ์ที่เวทีด้านล่างเท่านั้นจั๋วจิ่วคนนั้นยังไม่สู้จริงจัง นางเองก็ไม่ใช่จะไม่เข้าใจ แค่จากการเปลี่ยนแปลงขอ
จั๋วซือหรานเดินไปทางเวทีแม้จะบอกว่าอยู่ในห้องเตรียมตัว ก็ญังสามารถได้ยินเสียงเอะอะภายนอกได้ตอนนี้พอเดินออกมา คลื่นเสียงที่โถมเข้ามาก็ยิ่งเพิ่มความสั่นสะเทือนขึ้นไปอีกเสียงโหร้อง เสียงก่นด่าของผู้คน เสียงตะโกนลงเดิมพัน และยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ล้วนดังขึ้นไม่หยุดหย่อนอินเจ๋ออันยืนอยู่ริมเวที สีหน้ายังคงปั้นยากอยู่สายตาของเขาจ้องมองจั๋วซือหรานอย่างสงสัยระแวดระวังสองมือจั๋วซือหรานยังกดอยู่ที่หน้าอก เส้นผมหลังหัวรวบสูงเป็นช่อ กลางหลังสะพายดาบคู่อินเจ๋ออันจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ในใจคิด ไม่ว่านางจะมีแผนร้ายอะไร ถึงอย่างไรก็มาถึงที่นี่แล้ว พอขี่หลังเสือแล้วมันลงยากก็คงต้องไปต่อยิ่งไปกว่านั้น ซางถิงเองก็ไม่ใช่พวกรับมือง่ายด้วยเสียงระฆังดังขึ้นทั้งสองคนขึ้นเวทีอีกครั้ง จั๋วซือหรานมองคู่มืออีกด้านของเวทีดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นของอีกฝ่าย ก็กระพริบปริบๆ มองนางการทดสอบยกที่สองเริ่มขึ้นซางถึงตอนนี้ไม่ได้ใช้เสือเขี้ยวดาบเมื่อครู่ต่อแล้วบนอัฒจันทร์คนดูมีแขกไม่น้อยไม่ค่อยเข้าใจ“เมื่อครู่ใช้เสือเขี้ยวดาบก็ไม่ใช่ว่าชนะมาได้หรือ? ทำไมไม่ใช้ต่อ?!”“นั่นสิ! เสื้อเขี้ยวดาบเมื่อ
การยั่วยุเช่นนี้ดูหยาบมาก แต่จั๋วซือหรานกระทั่งไม่คิดจะกลบเกลื่อนเลยสักนิด จนแทบจะเขียนคำว่าข้ากำลังยั่วเจ้าสี่คำนี้ไว้บนหน้าโต้งๆ เลยด้วยซ้ำสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าจะบอกว่าอินเจ๋ออันขึ้นหลังเสือจนลงมายากแล้วก็ไม่ได้เกินเลยอะไรพอได้ยินคำพูดจั๋วซือหราน เขากัดฟันเอ่ยขึ้น “พูดจาใหญ่โตเหลือเกิน! ยกนี้เจ้ายังไม่ชนะเลย แล้วทำไมข้าจะต้องกลัวด้วย?!”อินเจ๋ออันพูดจบ ก็เคาะระฆังทันที ประกาศชัยชนะของซางถิงและให้ทุกคนเฝ้ารอยกที่สองตามหลักการแล้วระหว่างยก จะต้องมีแพทย์เข้ามารักษาบาดแผลให้แต่จั๋วซือหรานตนเองก็เป็นแพทย์ ทำให้แพทย์ที่เจี่ยงเทียนซิงจัดมาจึงยืนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตรงนั้น“แม่...แม่นางจิ่ว”จั๋วซือหรานหันไปมองเขา “แพทย์หรือ?”“ใช่ ใช่แล้ว เจ้าสำนักให้ข้าเข้ามา...” แพทย์ยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นว่าแผลบนตัวจั๋วซือหรานเหล่านั้นสมานเสร็จเรียบร้อยแล้วจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว เอ่ยว่า “เรื่องรักษาก็ไม่ต้องแล้วล่ะ เขายังมีอะไรจะมาบอกข้าอีกไหม?”“มี” แพทย์ถอนหายใจโล่ง เอ่ยต่อว่า “เจ้าสำนักให้ข้ามาบอกท่านว่า คนของตระกูลซางที่มา คือซางเชวี่ยคุณหนูสี่ที่ถูกคนในตระกูลให้ความสำคัญมากในปัจจุบันค