แต่ขณะนี้ นางรู้สึกสดชื่นแล้วจั๋วซือหรานลุกขึ้นจากเตียง นางเห็นว่าเสื้อคลุมของนางถูกพับอย่างเรียบร้อยและวางไว้ที่ปลายเตียงนางสวมเสื้อคลุมแล้วลงจากเตียงนางยังรู้สึกเท้าสั่นเล็กน้อย แต่เพราะนางไม่เจ็บปวดเหมือนเมื่อคืนแล้ว อาการของนางยังพอไหวอยู่ นางจึงเดินไปที่ประตูทันทีที่นางเดินไปที่ประตู นางก็ได้ยินเสียงผู้หญิงที่อ่อนโยนและความเป็นกังวลอยู่ข้างนอก “นางไม่มีคนรับใช้ที่เชื่อใจได้เลย หากไม่ใช่เป็นเพราะข้ากังวลและอยากเข้ามาดูนี่ ดูสิ ไม่รู้สาวน้อยนี้จะอดทนไปถึงเมื่อไร”น้ำเสียงของอวิ๋นเหนียงเต็มไปด้วยความเป็นห่วง” หรานหราน เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด พ่อของนางเสียชีวิตเร็วเกินไปและข้าก็ทำอะไรไม่ได้ นางในฐานะที่เป็นลูกสาวคนโต นางต้องแบกทุกอย่างด้วยตัวเอง ปกป้องข้า ยังต้องการปกป้องเสี่ยวหวายด้วย และแถมยังต้องปกป้องชื่อเสียงของครอบครัวเรา นางไม่อยากเสียศักดิ์ศรีของพ่อนาง นจางเลยต้องแบกทุกอย่างด้วยตัวเอง”“แต่นางเอง... ยังเป็นแค่เด็ก” อวิ๋นเหนียงพูดไปและสะอื้นไปด้วยจั๋วซือหรานฟังออกได้ว่านี่เป็นเสียงของท่านแม่ของนาง และนางยังฟังว่าแม่ของเขาออกด้วยว่า ท่านแม่อาจได้ทราบเรื่องการแข่งขันระหว
จั๋วซือหรานฟังคำพูดของท่านแม่ของ นางไม่รู้สึกหงุดหงิดเลย แต่นางกลับรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่ค่อย ๆ ไหลออกมาในหัวใจของนางเทียบกับการขดตัวอยู่คนเดียวเสมือนสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บแล้วเลียบาดแผลเอง มีคนดูแลตัวเอง แม้ว่าคนผู้นั้นดูแลตัวเองในยามที่เราไม่รู้ตัวก็ตามเมื่อตื่นขึ้น ยังรู้สึกอบอุ่นอยู่ความอบอุ่นนี้ทำให้จั๋วซือหรานซึ้งใจ จนทำให้ดวงตาของนางอ่อนโยนอย่ามาก นางมองผู้อาวุโสใหญ่ด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยบนริมฝีปากของนางนางถาม“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสใหญ่หาข้าเพราะเรื่องอันใด”จั๋วหลานมองนาง "ข้ารู้เรื่องที่เกิดในเรือนของเจ้าในเมื่อคืนแล้ว"จั๋วซือหรานตกใจ เพราะนางเดาออกได้ว่า ผู้อาวุโสอยากพูดอะไรกับนาง แต่นางไม่แน่ใจว่าท่านแม่ทราบเรื่องนี้หรือไม่ หากท่านแม่ยังไม่ทราบเรื่องนี้ นางก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเมื่อคืนนี้ และไม่อยากทำให้ท่านแม่กังวลนางรู้สึกว่าท่านแม่ไม่สนใจว่า สุดท้ายแล้วนางได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ท่านแม่ไม่สนใจด้วยว่า นักฆ่ามุ่งมาโจมตีนาง นางสังหารนักฆ่าสามคนด้วยนางคนเดียวจั๋วซือหรานรู้สึกว่าแค่คำว่า "นักฆ่า" ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ท่านแม่เป็นห่วงอย่างมากแล้วดังนั้น
จั๋วหลานกล่าวต่อว่า "ตระกูลรู้ดีว่าเจ้าได้รับความน้อยใจอย่างมาก และเมื่อคืนยังเกิดเรื่องเช่นนี้ด้วย เจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แม้ว่าเจ้าถอนตัวออกจากสำนักงานใหญ่ของตระกูลแล้ว แต่เจ้าก็ยังเป็นสมาชิกของตระกูลจั๋ว และเจ้ายังใช้นามสกุลจั๋วด้วย เจ้ายังเป็นสายเลือดของตระกูลจั๋ว "“ดังนั้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเหยียน ตระกูลจะไปช่วยพูดอยู่แล้ว” จั๋วหลานพูดถึงเหตุการณ์ที่มีคนแอบเข้ามาและพยายามโจมตีนางในเมื่อคืนนี้จากนั้นเขาก็กล่าวถึงอีกเรื่องหนึ่ง“แต่วันนี้ข้ามาที่นี่ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องที่เจ้าถูกโจมตีในเมื่อคืนนี้ ความจริงในเมื่อคืน มีคนถูกโจมตีในจวนจั๋วเช่นกัน” คำพูดของ จั๋วหลานทำให้จั๋วซือหรานเกิดความสนใจนางเลิกคิ้วเล็กน้อย มองจั๋วหลาน แล้วถามว่า "หากข้าเดาไม่ผิด คนที่ถูกโจมตี...คือ หลิ่วเย่ใช่ไหม"จั๋วหลานไม่แปลกใจเลยที่นางเดาได้ หญิงสาวคนนี้เป็นคนที่ฉลาดมากอยู่แล้ว เกรงว่านางเดาออกเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว แต่นางไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใด... ไม่ จั๋วหลานคิดว่านางอาจจะคิดได้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไรเพราะนางค่อย ๆ บังคับจั๋วเห้อหรงและจั๋วหรูซินเดินไปที่ทางตันจั๋วหลา
จั๋วซือหรานหันไปมองผู้อาวุโสใหญ่ เดิมทีนางคิดว่าผู้อาวุโสใหญ่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่จากสีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่ ไม่มีร่องรอยใด ๆ เลยยิ่งไปกว่านั้น ผู้อาวุโสใหญ่เป็นคนจริงจังและคนตรงไปตรงมา จั๋วซือหรานแทบจะมองเห็นความประหลาดใจในดวงตาของเขาจะเห็นได้ว่าขบวนรถม้าของตระกูลเฟิงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวของผู้อาวุโสใหญ่ และแม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ยังคาดไม่ถึงเลยจากรถม้าคันแรกของตระกูลเฟิง มีชายคนหนึ่งสวมชุดของคนรับใช้ของตระกูลเฟิงกระโดดลงรถม้าและเดินไปหาจั๋วซือหรานเขาพูดด้วยความเคารพว่า " แม่นางจั๋วจิ่วขอรับ อรุณสวัสดิ์ขอรับ"จั๋วซือหรานพยักหน้าเล็กน้อยแล้วมองเขา“ข้าน้อยได้รับคำสั่งมาหาท่าน เพื่อมอบ…” คนรับใช้ตของระกูลเฟิง กล่าวด้วยความเคารพจั๋วซือหรานขัดจังหวะเขา “คำสั่งของใคร”“ ซื่อจื่อ …และคำสั่งของผู้อาวุโสทั้งหลายขอรับ” หลังจากคนรับใช้ตอบแล้ว เขาพูดเรื่องของเมื่อครู่นี้ต่อ “มอบของขวัญตอบให้ท่านขอรับ”คนรับใช้ถือใบรายการของขวัญด้วยมือทั้งสองข้าง ไม่ทราบว่าใบรายการของขวัญได้ระบุของขวัญกี่ชิ้น มันถูกม้วนเป็นม้วนและถูกปิดผนึกด้วยกระดาษสีแดง เขาส่งมอบให้กับจั๋วซือหรานห
“ก็หนูติดธุระน่ะแม่” จั๋วซือหรานพูดและยิ้ม “แต่ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ท่านอ๋องไม่ใช่คนไร้เหตุผล และท่านอ๋องมีช่องทางทราบข่าวของข้าอย่างรวดเร็วแน่ ๆ ท่านอ๋องต้องเข้าใจหนูแน่ ๆ”แม้ว่าเป็นอย่างนั้นก็จริง ๆ แต่อวิ๋นเหนียงยังคงรู้สึกการกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมเล็กน้อย คิ้วของนางบิดเบี้ยวเล็กน้อย "แม่ไม่กังวลว่า ท่านอ๋องจะไม่เข้าใจ"แม้ว่าอวิ๋นเหนียงไม่เคยพยเฟิงบหยียน แต่ฟังจากข่าวรือของชาวบ้าน นางฟังออกว่า เขาเป็นชายหนุ่มที่อ่อนน้อมถ่อมตนและดีเยี่ยม มิฉะนั้น เขาจะไม่ถูกเรียกว่าเป็นที่หนึ่งในบรรดาหนุ่ม ๆ อันหล่อเหลาและดีเยี่ยมในเมืองหลวง“แม่กังวลเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงจะไม่เข้าใจหนู” อวิ๋นเหนียงกล่าวว่า “เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาจะคิดว่าหนูไม่เสียมารยาท วันหลังพวกเขาจะหาเรื่องหนู ”จั๋วซือหรานยิ้มเมื่อนางได้ยินคำพูดของท่านแม่"หนูไม่ต้องการให้พวกเขาเข้าใจหนู เฟิงเหยียนต้องเข้าใจหนูก็พอ นอกจากนี้ ท่านแม่คงมองออกว่า หนูไม่ใช่คนที่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นเมื่อก่อน พวกเขาอาจมีอคติกับหนูอยู่บ้าง แต่หลังจากเมื่อวานเป็นต้นไป คงไม่ใช่เช่นนั้นแล้วเจ้าค่ะ”ผู้อาวุโสใหญ่ยืนฟังคำพูดของ
หลิ่วเย่ฟังเสียงฝีเท้านั้น นางรู้สึกเจ้าของเสียงนี้อารมณ์ดีมาก และเจ้าของผู้นี้เดินอย่างสบาย ๆหลิ่วเย่ตาบอดข้างหนึ่ง แต่หูของนางยังคงดีมาก ดังนั้นนางได้ยินการเคลื่อนไว้ของข้างนอกอย่างชัดเจนนี่ไม่ใช่เสียงฝีเท้าของฝูซาง ฝูซางเป็นคนรอบคอบ นางทำงานได้ทั้งรวดเร็วและดี ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยมีจังหวะผ่อนคลายเช่นนี้ และนางมักจะรีบร้อนเล็กน้อยส่วนฝูซูกับจั๋วหวาย ฝีเท้าของพวกเขามีชีวิตชีวาและอ่อนเยาว์หน่อย หากจะบอกว่าพวกเขาเดิน พวกเขากระโดดและวิ่งไป ๆ มา ๆ มากกว่าฮูหยินเป็นผู้ที่อ่อนโยน วิธีการพูดและการกระทำเหมือนฝีเท้าของฮูหยิน เสียงฝีเท้าของฮูหยินนุ่มนวลและเสียงฝีเท้าที่ผ่อนคลายเช่นนี้ หลิ่วเย่จำคนได้เพียงคนเดียวเท่านั้น...หญิงสาวผู้นั้นมีพรสวรรค์อันโดดเด่น นางอายุน้อยและงามเสมือนนางฟ้า บางทีอาจเป็นเพราะนางดีทุกอย่าง นางไม่ต้องใจร้อนในเรื่องใด ๆ ดังนั้นนางจึงดูสบาย ๆ และผ่อนคลายอยู่เสมอหรืออาจเป็นเพราะในฐานะที่เป็นลูกสาวคนโต นางต้องแบกรับความกดดันมากกว่าผู้อื่น นางจึงไม่กล้าเดินและกระโดดมากเกินไป นางเลยก้าวได้ทีละก้าวเท่านั้น เดินอย่างสบาย ๆ และมั่นคงเมื่อหลิ่วเย่จำเสียงฝีเท้าได้
จั๋วซือหรานกล่าวและมองหลิ่วเย่ นางยิ้มแต่ไม่มีรอยยิ้มตั้งแต่จั๋วซือหรานเดินเข้าห้อง หลิ่วเย่จ้องมองจั๋วซือหรานด้วยดวงตาข้างที่ยังมองได้จั๋วซือหรานมองนางแล้วพูดเบา ๆ “ หลิ่วเย่ ไม่เจอกันนานเลย”ริมฝีปากแตกของหลิ่วเย่สั่น นางขยับริมฝีปากเล็กน้อย แต่นางไม่พูดอะไร นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไร และสุดท้ายนางก็แค่เรียกจั๋วซือหรานด้วยเสียงแหบ "คุณหนู..."จั๋วซือหรานเลิกคิ้วและมองไปที่ผู้อาวุโสใหญ่ "นางพูดได้และสารภาพได้อยู่นี่"เดิมทีนางนึกว่าหลิ่วเย่อาจถูกวางยาและเป็นใบ้ หรือหมดสติ หรืออะไรบางอย่างโดยไม่คาดคิดนางยังมีสติอยู่และยังพูดได้ด้วยนั่นเป็นอาการที่ยังสามารถสารภาพได้ ทำไมผู้อาวุโสใหญ่ ถึงไปหานางจั๋วซือหรานสับสนเล็กน้อยผู้อาวุโสใหญ่กล่าวว่า “นางกลัวตาย นางบอกว่าหากเราไม่ช่วยชีวิตนาง นางจะไม่สารภาพ หากนางไม่สารภาพ ข้าจะเหนื่อยใจ”จั๋วซือหรานเข้าใจความหมายของผู้อาวุโสใหญ่ สำหรับคนซื่อสัตย์อย่างเขา แม้ว่าเขาจะต้องการให้ความยุติธรรมแก่นางจริง ๆ เขาก็ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนเนื่องจากเขาไม่มีสิทธิ์จัดการฉินตวนหยาง ซึ่งผู้ที่เป็นข้าราชการแห่งราชสำนัก เขาจึงต้องหาทางแก้ไขจากหลิ่วเย่ หา
การกระทำของฝูซางว่องไวมาก นางก็มัดหลิ่วเย่ให้แน่นตามคำแนะนำของจั๋วซือหรานในเวลาอันสั้นฝูซางกับฝูซูเป็นผู้ติดตามที่แท้จริง ผู้ติดตามไม่แตกต่างกับคนรับใช้ผู้ติดตามสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ กับเจ้านายได้ ตัวอย่างเช่น เด็กรับใช้ของเจ้านายสามารถไปเรียนที่สถานศึกษากับเจ้านาย เด็กรับใช้ของเจ้านายยังสามารถฝึกศิลปะการต่อสู้กับเจ้านายได้เช่นกันแม้ว่าเด็กรับใช้ไม่ได้เรียนและฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อย่างจริงจังเหมือนเจ้านาย แต่การที่สามารถอยู่ข้างกายของเจ้านายนั้นได้ความรู้หรือไม่มันขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเอง บางทีเด็กรับใช้อาจจะเป็นผู้ทรงพลังก็ได้นะกล่าวโดยสรุป ฝูซางกับฝูซู ฝึกศิลปะการต่อสู้กับเจ้าของร่างเดิม พวกเขาอาจไม่ได้มีความสามารถที่โดดเด่น แต่ความสามารถของพวกเขาก็เหนือกว่าคนรับใช้อย่างหลิ่วเย่ตั้งเยอะฝูซางมัดหลิ่วเย่ไว้อย่างรวดเร็วแม้ว่าหลิ่วเย่จะรู้ว่าจั๋วซือหรานจะรักษานาง แต่นางก็ยังตื่นตระหนกเล็กน้อยเมื่อเห็นเช่นนี้"คุณห คุณหนูอยากทำอะไร ปล่อยข้าไป ปล่อยข้า"แต่เนื่องจากนางได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้แต่นางตื่นตระหนกอย่างมาก เสียงของนางยังฟังอ่อนแออย่างมากฝูซางไม่สนใจนางกำลังพู
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั