จั๋วหลานกล่าวต่อว่า "ตระกูลรู้ดีว่าเจ้าได้รับความน้อยใจอย่างมาก และเมื่อคืนยังเกิดเรื่องเช่นนี้ด้วย เจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แม้ว่าเจ้าถอนตัวออกจากสำนักงานใหญ่ของตระกูลแล้ว แต่เจ้าก็ยังเป็นสมาชิกของตระกูลจั๋ว และเจ้ายังใช้นามสกุลจั๋วด้วย เจ้ายังเป็นสายเลือดของตระกูลจั๋ว "“ดังนั้นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเหยียน ตระกูลจะไปช่วยพูดอยู่แล้ว” จั๋วหลานพูดถึงเหตุการณ์ที่มีคนแอบเข้ามาและพยายามโจมตีนางในเมื่อคืนนี้จากนั้นเขาก็กล่าวถึงอีกเรื่องหนึ่ง“แต่วันนี้ข้ามาที่นี่ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องที่เจ้าถูกโจมตีในเมื่อคืนนี้ ความจริงในเมื่อคืน มีคนถูกโจมตีในจวนจั๋วเช่นกัน” คำพูดของ จั๋วหลานทำให้จั๋วซือหรานเกิดความสนใจนางเลิกคิ้วเล็กน้อย มองจั๋วหลาน แล้วถามว่า "หากข้าเดาไม่ผิด คนที่ถูกโจมตี...คือ หลิ่วเย่ใช่ไหม"จั๋วหลานไม่แปลกใจเลยที่นางเดาได้ หญิงสาวคนนี้เป็นคนที่ฉลาดมากอยู่แล้ว เกรงว่านางเดาออกเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว แต่นางไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อใด... ไม่ จั๋วหลานคิดว่านางอาจจะคิดได้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไรเพราะนางค่อย ๆ บังคับจั๋วเห้อหรงและจั๋วหรูซินเดินไปที่ทางตันจั๋วหลา
จั๋วซือหรานหันไปมองผู้อาวุโสใหญ่ เดิมทีนางคิดว่าผู้อาวุโสใหญ่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่จากสีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่ ไม่มีร่องรอยใด ๆ เลยยิ่งไปกว่านั้น ผู้อาวุโสใหญ่เป็นคนจริงจังและคนตรงไปตรงมา จั๋วซือหรานแทบจะมองเห็นความประหลาดใจในดวงตาของเขาจะเห็นได้ว่าขบวนรถม้าของตระกูลเฟิงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวของผู้อาวุโสใหญ่ และแม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ยังคาดไม่ถึงเลยจากรถม้าคันแรกของตระกูลเฟิง มีชายคนหนึ่งสวมชุดของคนรับใช้ของตระกูลเฟิงกระโดดลงรถม้าและเดินไปหาจั๋วซือหรานเขาพูดด้วยความเคารพว่า " แม่นางจั๋วจิ่วขอรับ อรุณสวัสดิ์ขอรับ"จั๋วซือหรานพยักหน้าเล็กน้อยแล้วมองเขา“ข้าน้อยได้รับคำสั่งมาหาท่าน เพื่อมอบ…” คนรับใช้ตของระกูลเฟิง กล่าวด้วยความเคารพจั๋วซือหรานขัดจังหวะเขา “คำสั่งของใคร”“ ซื่อจื่อ …และคำสั่งของผู้อาวุโสทั้งหลายขอรับ” หลังจากคนรับใช้ตอบแล้ว เขาพูดเรื่องของเมื่อครู่นี้ต่อ “มอบของขวัญตอบให้ท่านขอรับ”คนรับใช้ถือใบรายการของขวัญด้วยมือทั้งสองข้าง ไม่ทราบว่าใบรายการของขวัญได้ระบุของขวัญกี่ชิ้น มันถูกม้วนเป็นม้วนและถูกปิดผนึกด้วยกระดาษสีแดง เขาส่งมอบให้กับจั๋วซือหรานห
“ก็หนูติดธุระน่ะแม่” จั๋วซือหรานพูดและยิ้ม “แต่ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ท่านอ๋องไม่ใช่คนไร้เหตุผล และท่านอ๋องมีช่องทางทราบข่าวของข้าอย่างรวดเร็วแน่ ๆ ท่านอ๋องต้องเข้าใจหนูแน่ ๆ”แม้ว่าเป็นอย่างนั้นก็จริง ๆ แต่อวิ๋นเหนียงยังคงรู้สึกการกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมเล็กน้อย คิ้วของนางบิดเบี้ยวเล็กน้อย "แม่ไม่กังวลว่า ท่านอ๋องจะไม่เข้าใจ"แม้ว่าอวิ๋นเหนียงไม่เคยพยเฟิงบหยียน แต่ฟังจากข่าวรือของชาวบ้าน นางฟังออกว่า เขาเป็นชายหนุ่มที่อ่อนน้อมถ่อมตนและดีเยี่ยม มิฉะนั้น เขาจะไม่ถูกเรียกว่าเป็นที่หนึ่งในบรรดาหนุ่ม ๆ อันหล่อเหลาและดีเยี่ยมในเมืองหลวง“แม่กังวลเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงจะไม่เข้าใจหนู” อวิ๋นเหนียงกล่าวว่า “เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาจะคิดว่าหนูไม่เสียมารยาท วันหลังพวกเขาจะหาเรื่องหนู ”จั๋วซือหรานยิ้มเมื่อนางได้ยินคำพูดของท่านแม่"หนูไม่ต้องการให้พวกเขาเข้าใจหนู เฟิงเหยียนต้องเข้าใจหนูก็พอ นอกจากนี้ ท่านแม่คงมองออกว่า หนูไม่ใช่คนที่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ ยิ่งไปกว่านั้น หากเป็นเมื่อก่อน พวกเขาอาจมีอคติกับหนูอยู่บ้าง แต่หลังจากเมื่อวานเป็นต้นไป คงไม่ใช่เช่นนั้นแล้วเจ้าค่ะ”ผู้อาวุโสใหญ่ยืนฟังคำพูดของ
หลิ่วเย่ฟังเสียงฝีเท้านั้น นางรู้สึกเจ้าของเสียงนี้อารมณ์ดีมาก และเจ้าของผู้นี้เดินอย่างสบาย ๆหลิ่วเย่ตาบอดข้างหนึ่ง แต่หูของนางยังคงดีมาก ดังนั้นนางได้ยินการเคลื่อนไว้ของข้างนอกอย่างชัดเจนนี่ไม่ใช่เสียงฝีเท้าของฝูซาง ฝูซางเป็นคนรอบคอบ นางทำงานได้ทั้งรวดเร็วและดี ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยมีจังหวะผ่อนคลายเช่นนี้ และนางมักจะรีบร้อนเล็กน้อยส่วนฝูซูกับจั๋วหวาย ฝีเท้าของพวกเขามีชีวิตชีวาและอ่อนเยาว์หน่อย หากจะบอกว่าพวกเขาเดิน พวกเขากระโดดและวิ่งไป ๆ มา ๆ มากกว่าฮูหยินเป็นผู้ที่อ่อนโยน วิธีการพูดและการกระทำเหมือนฝีเท้าของฮูหยิน เสียงฝีเท้าของฮูหยินนุ่มนวลและเสียงฝีเท้าที่ผ่อนคลายเช่นนี้ หลิ่วเย่จำคนได้เพียงคนเดียวเท่านั้น...หญิงสาวผู้นั้นมีพรสวรรค์อันโดดเด่น นางอายุน้อยและงามเสมือนนางฟ้า บางทีอาจเป็นเพราะนางดีทุกอย่าง นางไม่ต้องใจร้อนในเรื่องใด ๆ ดังนั้นนางจึงดูสบาย ๆ และผ่อนคลายอยู่เสมอหรืออาจเป็นเพราะในฐานะที่เป็นลูกสาวคนโต นางต้องแบกรับความกดดันมากกว่าผู้อื่น นางจึงไม่กล้าเดินและกระโดดมากเกินไป นางเลยก้าวได้ทีละก้าวเท่านั้น เดินอย่างสบาย ๆ และมั่นคงเมื่อหลิ่วเย่จำเสียงฝีเท้าได้
จั๋วซือหรานกล่าวและมองหลิ่วเย่ นางยิ้มแต่ไม่มีรอยยิ้มตั้งแต่จั๋วซือหรานเดินเข้าห้อง หลิ่วเย่จ้องมองจั๋วซือหรานด้วยดวงตาข้างที่ยังมองได้จั๋วซือหรานมองนางแล้วพูดเบา ๆ “ หลิ่วเย่ ไม่เจอกันนานเลย”ริมฝีปากแตกของหลิ่วเย่สั่น นางขยับริมฝีปากเล็กน้อย แต่นางไม่พูดอะไร นางไม่รู้ว่าจะพูดอะไร และสุดท้ายนางก็แค่เรียกจั๋วซือหรานด้วยเสียงแหบ "คุณหนู..."จั๋วซือหรานเลิกคิ้วและมองไปที่ผู้อาวุโสใหญ่ "นางพูดได้และสารภาพได้อยู่นี่"เดิมทีนางนึกว่าหลิ่วเย่อาจถูกวางยาและเป็นใบ้ หรือหมดสติ หรืออะไรบางอย่างโดยไม่คาดคิดนางยังมีสติอยู่และยังพูดได้ด้วยนั่นเป็นอาการที่ยังสามารถสารภาพได้ ทำไมผู้อาวุโสใหญ่ ถึงไปหานางจั๋วซือหรานสับสนเล็กน้อยผู้อาวุโสใหญ่กล่าวว่า “นางกลัวตาย นางบอกว่าหากเราไม่ช่วยชีวิตนาง นางจะไม่สารภาพ หากนางไม่สารภาพ ข้าจะเหนื่อยใจ”จั๋วซือหรานเข้าใจความหมายของผู้อาวุโสใหญ่ สำหรับคนซื่อสัตย์อย่างเขา แม้ว่าเขาจะต้องการให้ความยุติธรรมแก่นางจริง ๆ เขาก็ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนเนื่องจากเขาไม่มีสิทธิ์จัดการฉินตวนหยาง ซึ่งผู้ที่เป็นข้าราชการแห่งราชสำนัก เขาจึงต้องหาทางแก้ไขจากหลิ่วเย่ หา
การกระทำของฝูซางว่องไวมาก นางก็มัดหลิ่วเย่ให้แน่นตามคำแนะนำของจั๋วซือหรานในเวลาอันสั้นฝูซางกับฝูซูเป็นผู้ติดตามที่แท้จริง ผู้ติดตามไม่แตกต่างกับคนรับใช้ผู้ติดตามสามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ กับเจ้านายได้ ตัวอย่างเช่น เด็กรับใช้ของเจ้านายสามารถไปเรียนที่สถานศึกษากับเจ้านาย เด็กรับใช้ของเจ้านายยังสามารถฝึกศิลปะการต่อสู้กับเจ้านายได้เช่นกันแม้ว่าเด็กรับใช้ไม่ได้เรียนและฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อย่างจริงจังเหมือนเจ้านาย แต่การที่สามารถอยู่ข้างกายของเจ้านายนั้นได้ความรู้หรือไม่มันขึ้นอยู่กับความสามารถของตัวเอง บางทีเด็กรับใช้อาจจะเป็นผู้ทรงพลังก็ได้นะกล่าวโดยสรุป ฝูซางกับฝูซู ฝึกศิลปะการต่อสู้กับเจ้าของร่างเดิม พวกเขาอาจไม่ได้มีความสามารถที่โดดเด่น แต่ความสามารถของพวกเขาก็เหนือกว่าคนรับใช้อย่างหลิ่วเย่ตั้งเยอะฝูซางมัดหลิ่วเย่ไว้อย่างรวดเร็วแม้ว่าหลิ่วเย่จะรู้ว่าจั๋วซือหรานจะรักษานาง แต่นางก็ยังตื่นตระหนกเล็กน้อยเมื่อเห็นเช่นนี้"คุณห คุณหนูอยากทำอะไร ปล่อยข้าไป ปล่อยข้า"แต่เนื่องจากนางได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้แต่นางตื่นตระหนกอย่างมาก เสียงของนางยังฟังอ่อนแออย่างมากฝูซางไม่สนใจนางกำลังพู
ในขณะนี้ จั๋วซือหรานได้ดึงมือของนางออกแล้วหลิ่วเย่ถูกความเจ็บปวดทรมานอย่างหนัก และในช่วงที่นางยังเบลออยู่ นางได้ยินเสียงของจั๋วซือหราน "ก็ไม่เลว ลำไส้ไม่ได้เสียกมากนัก ถือว่าเจ้าโชคดี"ลูกตาดำที่ไร้ชีวิตชีวาของหลิ่วเย่เหลือบมองจั๋วซือหรานอีกครั้งจากนั้นนางก็เห็นจั๋วซือหรานเริ่มหยิบเครื่องมือสำหรับการผ่าตัดออกมาจั๋วหลานกับฝูซางไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่านางหยิบเครื่องมือออกมาที่ไหน และพวกเขาไม่เข้าใจว่าเครื่องมือพวกนี้คืออะไรอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าเครื่องมือเหล่านี้ไม่ใช่ของที่ใช้กับผู้ที่ได้รับมีบาดเจ็บทั่วไปหลิ่วเย่มองเครื่องมือที่จั๋วซือหรานหยิบออกมา หัวใจของนางเต็มไปด้วยความกลัวที่ไม่รู้จักแต่นางไม่สามารถพูดอะไรได้ และเมื่อเห็นเครื่องมือโลหะแวววาวเหล่านั้น หลิ่วเย่ก็ไม่กล้าขยับตัวแม้ว่านางถูกมัดไว้แน่น แต่ก่อนหน้านี้ นางยังบิดตัวเล็กน้อย แต่ในเวลานี้ เมื่อนางเห็นเครื่องมือที่จั๋วซือหรานหยิบออกมาและนางรู้ดีว่านางได้รับบาดเจ็บที่ไหน ดังนั้นนางเห็นเครื่องมือเย็น ๆ เหล่านี้ เมื่อนางรู้ว่าของเหล่านี้จะถูกใช้ที่ไหนหลิ่วเย่สั่นเบาลง“ ฝูซาง ไปเอาน้ำร้อนมา” จั๋วซือหราน
ทันทีที่จั๋วหลานเดินเข้ามา เขาเห็นจั๋วซือหรานใช้เครื่องมือที่ดูเหมือนกรรไกร นางกำลังคีบ... เข็มโค้งที่ดูเหมือนเบ็ดตกปลา แล้วจี้ไปที่ท้องของหลิ่วเย่มือของเขาไม่นิ่ง และกะละมังก็ตกบนพื้น เสียงนั้นดังก้อง ซึ่งทำให้ฝูซางสะดุ้งแต่ดูเหมือนการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อย่างกะทันหันนี้ไม่ได้ทำให้จั๋วซือหรานเสียสมาธิ ไม่ต้องพูดถึงนางตกใจ นางไม่แม้แต่จะขยับคิ้ว และนางไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยในการเคลื่อนไหวเลยนางปักเข็มอย่างแม่นยำ จากนั้นดึงเข็มแล้วดึงด้าย...หลิ่วเย่ส่งเสียงคำรามแหลมออกมาจากลำคอของนางดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดจากจั๋วหลานทำกะละมังตกบนพื้น ฝูซางตกใจจนกระโดดในที่เดิม หรือเสียงคำรามอันแหลมคมที่ออกมาจากลำคอหลิ่วเย่การเคลื่อนไหวเหล่านี้ไม่สามารถทำให้จั๋วซือหรานเสียสมาธิเลยเธอทำให้ผู้คนรู้สึกว่าแม้ว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมาต่อหน้าต่อตาเธอ แต่เธอก็ยังสามารถทำสิ่งที่เธอทำอยู่ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนสีหน้าของเธอนี่คือคุณสมบัติทางจิตตวิทยาที่แพทย์ควรมี และในความคิดเห็นของจั๋วซือหราน นี่เป็นเรื่องธรรมชาติแต่ในสายตาของคนด้านข้าง นี่คือคุณสมบัติที่ทรงพลังอย่างมาก ซึ่งแตกต่างจากผ
ไม่มีคนสังเกตเห็น ว่าที่ข้างเวที เจ้าสำนักหอจันทร์เงินที่หน้าตาอ่อนโยนหล่อเหลา เวลานี้มีสีหน้าปั้นยากมากตราประทับจันทร์เสี้ยวที่หน้าผากนั่น ขมวดเป็นก้อนจากการขมวดคิ้วแน่นของเขาแล้ว!คนอื่นอาจไม่รู้ แต่อินเจ๋ออันชัดเจนอย่างที่สุด!ผีเสื้อปีกระยับตัวเดียวของนางเผชิญหน้ากับราชาแมงมุมหน้าผีแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรกัน? ผีเสื้อปีกระยับตัวหนึ่งถ้าเผชิญหน้ากับแมงมุมหน้าผีมันไม่มีประโยชน์อยู่แล้ว!แต่ผีเสื้อปีกระยับนั่นไม่ใช่ของจั๋วซือหราน!อินเจ๋ออันเข้าใจเป็นอย่างดี ตั้งแต่ตอนแรกเขาก็รู้ถึงอันดับการออกสัตว์ประหลาดของซางถิงแล้ว ยกที่สามคือ...ผีเสื้อปีกระยับผีเสื้อปีกระยับที่ไม่มีประโยชน์! เป็นของซางถิง!ส่วนราชาแมงมุมหน้าผีที่พลังกับขนาดร่างกายสะกดไปทั้งเวทีนั่น เป็นของจั๋วซือหรานต่างหาก!อินเจ๋ออันดูถูกนางไปจริงๆ ตอนนี้คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เสียใจอย่างมาก เสียใจอย่างมากจริงๆ แค่คิดขึ้นมาใจก็รวดร้าวแล้วตอนนี้เอง ในห้องหรูบนหอในห้องหรูของตระกูลซาง เสียงแหลมหนึ่งดังขึ้น “นี่เลย นี่เลย คุณหนูสี่ ราชาแมงมุมหน้าผีตัวนี้ เดิมทีเป็นสิ่งที่ข้ากับคนเหล่านั้นจะมอบให้เป็นของขวัญวันเก
พอสิ่งมหึมานี้ปรากฏขึ้น ทั่วทั้งลานก็เงียบกริบไปทันที!ทุกคนหวาดกลัวกันจนกระทั่งกลั้นหายใจ!หนึ่งคือเพราะมนุษย์นั้นจะเกิดความกลัวได้ง่ายต่อสิ่งของที่ใหญ่โตมหึมานี่น่าจะเป็นสัญชาตญาณที่ฝังอยู่ในยีนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอันตรายยิ่งไปกว่านั้น ตัวมนุษย์เองก็หวาดกลัวกับแมลงประเภทแมงมุมอยู่แล้วโดยเฉพาะแมงมุมที่ดูฉูดฉาดและร่างหายมหึมาขนาดนี้ตอนนี้เอง เจ้าตัวโตที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันบนลานประลองก็คุมสถานการณ์ไปทั้งหมดแล้ว!ใหญ่แล้วหรือ? นี่มันยังย่อไว้หน่อยแล้วด้วยนะ ไม่อย่างนั้นบนเวทีนี้ มันเดินไม่กี่ก้าวก็คงจะสุดทางแล้วแมงมุมหรือ? ขาขนปุกปุยทั้งแปดกับแขนเคียวนั่น แล้วยังมีปากที่แหลมคมอีก มองอย่างไรก็เป็นแมงมุม ไม่ใช่ปูอย่างแน่นอนฉูดฉาดหรือ? ลายดอกไม้บนหลังกับท้องของมัน เหมือนกับใบหน้าผีที่กำลังร้องไห้กำลังหัวเราะอยู่อย่างไรอย่างนั้นนี่คือที่มาของชื่อมัน“แมงมุมหน้าผี!”“นี่มันแมงมุมหน้าผี! น่ากลัวเหลือเกิน!”“ข้ากลัวแมงมุม ขนข้าลุกไปหมดแล้ว!”“ข้าก็ด้วย!”“แมงมุมหน้าผีที่ใหญ่โตขนาดนี้ ต้องเป็นระดับราชาแล้วกระมัง? ครั้งนี้จั๋วซือหรานแพ้แน่แล้ว!”เสียงดังขึ้นไม่ขาดสาย
ถึงอย่างไร ความจริงก็จะสอนให้เขาเป็นคนเอง ถึงอย่างไร คนเหล่านั้นที่ปากแข็งกับนางก่อนหน้า เจ้าพวกที่ควรตบฉาดก็ตบไปแล้วไม่มีเขาก็ไม่ได้น้อยลง หรือมีเขามาสักคนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าไรตอนที่จั๋วซือหรานกลับมาถึงห้องพักผ่อน ก็เห็นเจี่ยงเทียนซิงรออยู่ที่นั่นแล้ว“ทำไมยังมาด้วยตัวเองอีกล่ะ?” จั๋วซือหรานรู้สึกประหลาดใจเจี่ยงเทียนซิงยิ้มๆ “ในเมื่อชนะแล้วนี่ ก็ต้องมาฉลองชัยชนะของเจ้าสักหน่อยไหม”จั๋วซือหรานหัวเราะเบาๆ “เพิ่งจะยกเดียวเอง ยกต่อไปต่างหากที่สำคัญ”เจี่ยงเทียนซิงคิดๆ ตอบมาว่า “ข้ารู้สึกว่าฉลองล่วงหน้าได้ เจ้าเป็นคนที่มีความคิดดีดีอยู่เสมอ ถ้ารู้สึกไม่มั่นใจพอต่อเรื่องนี้ เจ้าไม่มีทางบุ่มบามเห็นด้วยหรอก”จั๋วซือหรานยิ้มๆ ไม่พูดจา“แต่ก็คิดไม่ถึงว่ายกนี้เจ้าจะสู้ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ” เจี่ยงเทียนซิงเดิมทีคิดว่าความหมายของจั๋วซือหรานคือรอยกต่อไปแล้วค่อยเริ่มต่อสู้ ยกนี้แค่สู้ให้ชนะอย่างหวุดหวิด แต่การแสดงออกเมื่อครู่ของจั๋วซือหราน แม้จะไม่สามารถพูดได้ว่าข่มกดดันไว้จนหมด แต่ก็ไม่ใช่ชนะอย่างหวุดหวิดแน่นอน ตอนท้ายยังดูค่อนข้างอหังการอีกด้วย จั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “หลักๆ คือคิ
“ให้ตายเถอะ...”ทุกคนเห็นแค่ จั๋วซือหรานที่เดิมทีเต้นรำอยู่ท่ามกลางพายุห่าฝนแส้ที่หนาแน่นเวลานี้นั่งลงมาแล้ว...อยู่บนตัวซางถิง?พูดให้ถูกต้องคือ นางกดเขาอยู่บนเวทีหินต้องห้ามไปแล้วหัวเข่าข้างหนึ่งของนางยันไว้ที่หน้าอกเขา แต่การเคลื่อนไหวนี้ ไม่ใช่จุดสำคัญที่ควบคุมเขาไว้ หรือเป็นการเคลื่อนไหวสำคัญที่ทำให้คนอื่นต้องทึ่งการเคลื่อนไหวสำคัญ คือสองดาบที่พาดไขว้อยู่บนคอซางถิง ดาบสองเล่มสลับไขว้อยู่บนคอเขา คมดาบหันเข้าด้านใน ขังคอของเขาเอาไว้ที่ร่องตัดสลับของคมดาบราวกับว่าขอแค่เขาขยับตัว นางแค่ออกแรงเบาๆ ก็เด็ดหัวเขาออกมาได้แล้ว!เพียงแค่มอง ก็อยู่ในระดับที่ทำให้คนที่เห็นอดกลั้นหายใจขึ้นไม่ได้ขณะที่บนเวทีมีเสียงตกตะลึงดังขึ้น ในห้องหรู เฟิงหร่านก็ส่งเสียงตกตะลึงออกมา“เขา...คนนั้นตายหรือยัง?” เฟิงหร่านถามขึ้น เสียงดูตะกุกตะกักเล็กน้อย เพราะจากมุมมองของนาง มองเห็นแค่แผ่นหลังของจั๋วซือหราน คุกเข่ากดหน้าอกอีกฝ่ายเอาไว้สองมือกุมดาบไขว้กดลงไปมองแล้วเป็นการเคลื่อนไหวที่จะเอาชีวิต เป็นการเคลื่อนไหวแบบประหัตประหารแต่เพราะถูกแผ่นหลังของจั๋วซือหรานบังไว้ ดังนั้นอันที่จริงจึงไม่รู้ว่า
ถามขึ้นว่า “ตาข้าแล้วหรือยัง?”สายตาของซางถิงจ้องนางเขม็ง เขากุมมือในแส้แน่น สะบัดข้อมือแส้ยาวในมือดีดตึง ปลายแหลมสะบัดไปทางจั๋วซือหราน“วูม...!” เสียงผ่าอากาศดังขึ้นจากนั้นแส้ก็ส่งเสียงเผียะขึ้นกลางอากาศ ราวกับตัดอากาศจนขาดเป็นท่อนอย่างไรอย่างนั้นและร่างของจั๋วซือหรานก็ไหววูบ ดูแล้วไม่มีอาการซมซานหรือโซซัดโซเซตอนที่หลบหลีกก่อนหน้านี้เลยความเร็วการเคลื่อนไหวของนางสูงมาก แต่ในสายตาของทุกคน กลับดูเชื่องช้าความรู้สึกแตกต่างระหว่างความเร็วและช้าที่สลับไปมานี้ ทำให้คนรู้สึกเริ่มปวดตาขึ้นมาทุกคนเห็นเห็นว่านางอยู่ต่อหน้าต่อตาชัดๆ นางเพียงแค่ก้าวอย่างสงบไม่กี่ก้าวราวกับเดินเล่นในสวนหลังบ้านเท่านั้นกระทั่งความตึงเครียดสักนิดก็ไม่มีแต่การโจมตีของแส้ที่น่าตกตะลึงนั่น ก็ถูกนางเบี่ยงหลบไปได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ถูกกระทั่งชายเสื้อของนางด้วยซ้ำ!ส่วนการโจมตีจากแส้ของซางถิงก็ยังไม่หยุด กระหน่ำเข้ามาราวกับห่าฝน เหมือนไม่ต้องการให้มีเวลาหยุดพักทั้งที่ซัดแส้ออกไปแท้ๆ มันควรจะมีช่วงจังหวะที่ค้างกลางอากาศกับจังหวะดึงแส้กลับมารวมพลังตวัดออกไปอีกจึงจะถูกแต่นั่นแทบจะไม่มีเลยการโจมตีแส้ของซ
ฝูซูกับเฮยหลิงอยู่ระหว่างทางขึ้นไปห้องหรูบนหอ ก็ได้ยินเสียงโหร้องกึกก้องขึ้นมาจากอัฒจันทร์คนดูตอนที่พวกเขาเข้าไปในห้องหรู ก็เห็นเฟิงหร่านคุณหนูสิบตระกูลเฟิงเข้าสภาพในตอนนี้ ไม่สนใจว่าเป็นหญิงสาวชั้นสูง หรือว่าจะเป็นคุณหนู หรือกระทั่งเป็นสตรีอ่อนหวานอีกแล้วนางยืนอยู่บนเก้าอี้ สายตาจ้องมองเวทีประลองเป็นประกายสองมือกำหมัดแน่น ดูจดจ่อเอามากๆฝูซูรีบถามขึ้น “เป็นอย่างไรบ้างเป็นอย่างไรบ้าง? สู้เสร็จแล้วหรือยัง? คุณหนูชนะไหม?”ตาของเฟิงหร่านยังไม่ย้ายไปไหน ยังคงจับจ้องที่เบื้องล่างไม่วางตา แต่ตอบฝูซูกลับมาเสียงต่ำ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความทึ่ง “ยังไม่จบ แต่คุณหนูจั๋ว...นางร้ายกาจมาก!”ฝูซูรีบเดินไปมองสถานการณ์บนเวทีประลองสภาพของเจี่ยงเทียนซิงดูหนักแน่นกว่าเฟิงหร่านพอควร จึงเล่าสถานการณ์ที่พวกเขาพลาดไปตอนไปลงเดิมพันออกมารอบหนึ่งที่แท้ พวกเขาก็พุ่งกันไปลงเดิมพันจั๋วซือหรานพอส่งสัญญาณเสร็จ ก็ไม่คิดจะทำเป็นอ่อนแอในการต่อสู้แล้วภายใต้การจับตาของทุกคน บาดแผลเหล่านั้นบนตัวนาง ก็เริ่มฟื้นตัวกลับอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่าและการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าเหมือนนางโดนผลกระทบความเป็นพิษจากนาก
หนึ่งคือสัญลักษณ์ของตระกูลซาง อีกหนึ่งเป็นสัญลักษณ์รูปอีกา (เชวี่ย)แสดงถึงตัวตนฐานะของนาง ว่าคือซางเชวี่ยคุณหนูสี่แห่งตระกูลซางคนรับใช้ข้างๆ นอบน้อมกับนางอย่างมาก“คุณหนู ท่านว่าไหม?” คนรับใช้เอ่ยขึ้น “แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ แต่ว่าเป็นสายเลือดตระกูลซางจริงๆ ทว่า จากการควบคุมสัตว์ของเขา ดูไม่มีอะไรน่าสงสัยเลย เสือเขี้ยวดาบแม้จะไม่ค่อยพบเห็นแต่ก็ไม่ได้มหัศจรรย์ขนาดนั้น นากเขาพิษยังกลับดูพิเศษขึ้นหน่อย”“ข้ารู้สึกว่า...” เสียงของหญิงสาวแจ่มชัดกังวาล แต่เส้นเสียงดูเย็นชาหน่อยๆ “สองคนนี้ยังไม่สู้กันจริงจังเลย”“ไม่จริงจัง?” คนรับใช้ไม่เข้าใจ “จั๋วซือหรานแม้ช่วงนี้จะถูกลือกันอย่างกับเป็นเทพเจ้า แต่จะอย่างไรก็ยังเป็นแค่แพทย์เท่านั้น แพทย์จะมีทักษะต่อสู้ได้แค่ไหนกัน...เมื่อครู่นางก็เอาแต่หนีนี่นา”หญิงสาวพอได้ยินก็หัวเราะขึ้นเบาๆ “เจ้าไม่เข้าใจ ถ้าหากไม่เป็นเช่นนี้แล้วจะหาเงินได้อย่างไรกัน?”คนรับใช้ไม่เข้าใจ “หาเงิน?”แต่ซางเชวี่ยกลับไม่คิดจะพูดอะไรมาก ทำเพียงจดจ้องสถานการณ์ที่เวทีด้านล่างเท่านั้นจั๋วจิ่วคนนั้นยังไม่สู้จริงจัง นางเองก็ไม่ใช่จะไม่เข้าใจ แค่จากการเปลี่ยนแปลงขอ
จั๋วซือหรานเดินไปทางเวทีแม้จะบอกว่าอยู่ในห้องเตรียมตัว ก็ญังสามารถได้ยินเสียงเอะอะภายนอกได้ตอนนี้พอเดินออกมา คลื่นเสียงที่โถมเข้ามาก็ยิ่งเพิ่มความสั่นสะเทือนขึ้นไปอีกเสียงโหร้อง เสียงก่นด่าของผู้คน เสียงตะโกนลงเดิมพัน และยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ล้วนดังขึ้นไม่หยุดหย่อนอินเจ๋ออันยืนอยู่ริมเวที สีหน้ายังคงปั้นยากอยู่สายตาของเขาจ้องมองจั๋วซือหรานอย่างสงสัยระแวดระวังสองมือจั๋วซือหรานยังกดอยู่ที่หน้าอก เส้นผมหลังหัวรวบสูงเป็นช่อ กลางหลังสะพายดาบคู่อินเจ๋ออันจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ในใจคิด ไม่ว่านางจะมีแผนร้ายอะไร ถึงอย่างไรก็มาถึงที่นี่แล้ว พอขี่หลังเสือแล้วมันลงยากก็คงต้องไปต่อยิ่งไปกว่านั้น ซางถิงเองก็ไม่ใช่พวกรับมือง่ายด้วยเสียงระฆังดังขึ้นทั้งสองคนขึ้นเวทีอีกครั้ง จั๋วซือหรานมองคู่มืออีกด้านของเวทีดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นของอีกฝ่าย ก็กระพริบปริบๆ มองนางการทดสอบยกที่สองเริ่มขึ้นซางถึงตอนนี้ไม่ได้ใช้เสือเขี้ยวดาบเมื่อครู่ต่อแล้วบนอัฒจันทร์คนดูมีแขกไม่น้อยไม่ค่อยเข้าใจ“เมื่อครู่ใช้เสือเขี้ยวดาบก็ไม่ใช่ว่าชนะมาได้หรือ? ทำไมไม่ใช้ต่อ?!”“นั่นสิ! เสื้อเขี้ยวดาบเมื่อ
การยั่วยุเช่นนี้ดูหยาบมาก แต่จั๋วซือหรานกระทั่งไม่คิดจะกลบเกลื่อนเลยสักนิด จนแทบจะเขียนคำว่าข้ากำลังยั่วเจ้าสี่คำนี้ไว้บนหน้าโต้งๆ เลยด้วยซ้ำสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าจะบอกว่าอินเจ๋ออันขึ้นหลังเสือจนลงมายากแล้วก็ไม่ได้เกินเลยอะไรพอได้ยินคำพูดจั๋วซือหราน เขากัดฟันเอ่ยขึ้น “พูดจาใหญ่โตเหลือเกิน! ยกนี้เจ้ายังไม่ชนะเลย แล้วทำไมข้าจะต้องกลัวด้วย?!”อินเจ๋ออันพูดจบ ก็เคาะระฆังทันที ประกาศชัยชนะของซางถิงและให้ทุกคนเฝ้ารอยกที่สองตามหลักการแล้วระหว่างยก จะต้องมีแพทย์เข้ามารักษาบาดแผลให้แต่จั๋วซือหรานตนเองก็เป็นแพทย์ ทำให้แพทย์ที่เจี่ยงเทียนซิงจัดมาจึงยืนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตรงนั้น“แม่...แม่นางจิ่ว”จั๋วซือหรานหันไปมองเขา “แพทย์หรือ?”“ใช่ ใช่แล้ว เจ้าสำนักให้ข้าเข้ามา...” แพทย์ยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นว่าแผลบนตัวจั๋วซือหรานเหล่านั้นสมานเสร็จเรียบร้อยแล้วจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว เอ่ยว่า “เรื่องรักษาก็ไม่ต้องแล้วล่ะ เขายังมีอะไรจะมาบอกข้าอีกไหม?”“มี” แพทย์ถอนหายใจโล่ง เอ่ยต่อว่า “เจ้าสำนักให้ข้ามาบอกท่านว่า คนของตระกูลซางที่มา คือซางเชวี่ยคุณหนูสี่ที่ถูกคนในตระกูลให้ความสำคัญมากในปัจจุบันค