ครั้งสุดท้ายที่เหยียนชางออกมาจากหน่วยสืบสวนพิเศษ เขาคุกเข่าต่อหน้าจั๋วซือหรานภายในสามก้าวหลายคนเห็นฉากนี้ใบหน้าของเหยียนชางแข็งทื่อ แต่ตอนนี้เมื่อเรื่องถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่สามารถปฏิเสธอีกต่อไป“ก็ได้ ข้าขอโทษเจ้า” เหยียนชางบีบเสียงออกจากลำคอจั๋วซือหรานพยักหน้า นางไม่มีเจตนาที่จะหัวเราะเยาะเขาหรือคนของตระกูลเหยียน นางแค่ต้องการสิ่งที่นางพูดไว้ในก่อนหน้านี้นางแค่ต้องการชัยชนะ แล้วหลังจากนั้น สำหรับการหัวเราะเยาะเหล่านั้น จะมีคนพูดแทนนางโดยที่นางไม่ต้องทำอะไรจั๋วซือหรานหยิบป้ายขึ้นแล้วหันหลังกลับ นางกำลังอยากจากไปหลังจากนางเดินไปไม่กี่ก้าว นางก็มองไปทางผู้อาวุโสสี่เหยียน และพูดว่า " ผู้อาวุโสสี่เหยียน ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาสัญญาและปิดศูนย์การแพทย์โดยเร็วที่สุด"“สำหรับร้านขายยาของตระกูลเหยียนที่ตกลงกันว่าจะจัดหาวัสดุให้ข้า วิธีที่ดีที่สุดคือส่งคนมาติดต่อข้า โอ้ ข้าคิดว่า เหยียนฉีเป็นคนที่เหมาะสมมาก”จั๋วซือหรานกล่าวไป ม่านตาของนางก็แคบลงเล็กน้อย "เพราะข้าไม่มีความประทับใจที่ดีต่อตระกูลเหยียน หากเจ้าส่งคนที่โง่เขลาและทำให้ข้าขุ่นเคือง อย่ากล่าวหาว่าข้าไม่มีมารยาทละกัน"นางก
จั๋วหวายถามท่านพี่ "ทำไมท่านพี่ไม่ทานขอรับ"“วันหลังจะมีอีกเยอะ เมื่อข้าจัดการเรื่องของตระกูลเหยียนเสร็จแล้ว ยาเม็ดเหล่านี้ มีอีกเยอะจ้ะ” จั๋วซือหรานพูดเบา ๆ น้ำเสียงของนางสงบมากจากนั้นนางก็ลูบหัวของจั๋วหวาย แล้วพูดว่า "เพราะฉะนั้นเจ้ากินเถิด ไม่เป็นไร"ในความเป็นจริง นางไม่มีญาติในชีวิตที่แล้ว นางเป็นผู้ที่ลำพังผู้เดียว ดังนั้นนางจึงเป็นคนที่ไม่แยแสความรักในครอบครัวมากนัก แต่ในชีวิตนี้ นางมีท่านแม่และน้องชายโดยไม่มีเหตุผลแม้ว่านางจะรู้สึกแปลกเล็กน้อย แต่ก็ค่อนข้างรู้สึกแปลกใหม่เช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จั๋วซือหรานยังคงจำได้ว่าในโชคชะตาดั้งเดิมของเจ้าของร่างเดิม จั๋วหวายไม่ยอมละทิ้งพี่สาวของเขาจนกว่าจะถึงจุดจบ เขามักรู้สึกว่าพี่สาวของเขาถูกหลอกโดยคนร้าย แม้ว่าเขาจะผิดหวังกับพี่สาวของเขาก็ตาม เขายังคงอยากเชื่อนางตื่นขึ้นมาได้สุดท้ายเขาก็สิ้นสุดชีวิตในระหว่างทางลี้ภัย“ท่านพี่ขอรับ ท่านพี่กำลังคิดอะไรอยู่ขอรับ” จั๋วหวายเห็นจู่ ๆ ท่านพี่ของเขาไม่พูดอะไรและดูเหมือนไม่มีสมาธิ เขาจึงยื่นมือออกไปแล้วโบกมือต่อหน้าต่อตานางจั๋วซือหรานมีสมาธิกลับ จากนั้นนางยิ้มกับเขา "ไม่มีอะไร เอาล่ะ
“เจ้ามาทันพอดี มานี่เร็วเข้า”คำพูดของจั๋วซือหรานฟังดูเหมือนนางรู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นมานานแล้ว น้ำเสียงของนางปกติเหมือนคุยกับคนรู้จักกันเมื่อชายคนนั้นได้ยินคำพูดของนาง เสียงฝีเท้าของเขาก็หยุดลงเขาหยุดฝีเท้า จั๋วซือหรานก็หันกลับมามองเขา นางโบกมือใส่เขา และพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า " ท่านอ๋อง ข้ามีเรื่องจะปรึกษาด้วยน่ะ รีบมาเร็ว ๆ นี้"เฟิงเหยียนยืนอยู่ที่นั่นและมองนาง "เจ้าทำให้ตระกูลเหยียนวุ่นวายกันหมด แต่เจ้ากลับหนีออกมาได้อย่างรวดเร็ว"จั๋วซือหรานยิ้มเมื่อนางได้ยินคำพูดนี้ "ข้าเป็นผู้ที่ทำให้พวกเขาวุ่นวายหรือ หากพวกเขาเป็นน้ำหนึ่วอันเดียวกัน ข้าก็ไม่สามารถกวนพวกเขาได้ เดิมที่พวกเขาไม่สามัคคีอยู่แล้ว ดังนั้นแน่นอนว่า ข้าก่อกวนเล็กน้อย พวกเขาก็ทะเราะกันได้"เฟิงเหยียนไม่ปฏิเสธคำพูดของนาง เขาแค่พูดว่า "ทำไมเจ้าไม่ให้เหยียนฉีรักษาเจ้าล่ะ อาการบาดเจ็บของเจ้าหายดีแล้วหรือ ยาเม็ดนั้นเอาให้เด็กคนนั้นกินด้วย"จั๋วซือหรานเลิกคิ้วและยิ้ม " ท่านอ๋องค่อนข้างสนใจข้านะ เป็นห่วงข้าขนาดนั้นเลยหรือ"เฟิงเหยียนไม่ตอบคำถามของนาง เขาแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยจั๋วซือหรานรู้ว่าชายคนนี้เป็นเหมือนก้อนน้ำแข็ง
เหยียนฉี ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้เขาฟังจริง ๆ แต่ไม่ใช่เพราะเหยียนฉีจงใจไม่บอกเขา แต่เป็นเพราะเมื่อเหยียนฉีกลับมาที่ศูนย์การแพทย์ เฟิงเหยียนไปจากศุนย์การแพทย์แล้วเมื่อเฟิงเหยียนได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขาไม่พูดคำใด ๆหลังจากเขาเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ถามเบา ๆ "เมื่อครู่นี้ เจ้าพูดว่าข้ามาทันเวลา มีเรื่องอันใดหรือ"ไม่ใช่จั๋วซือหรานไม่เข้าใจทัศนคติของชายคนนั้นในการเปลี่ยนเรื่อง แต่นางเดาไม่ถูกว่า เขาจะปฏิเสธ เขินอาย หรือมีอารมณ์อื่น...กล่าวโดยสรุป ไม่ว่าเขาจะมีอารมณ์อย่างไรก็ตาม จั๋วซือหราน ก็รู้สึกว่านางสามารถรับมือได้ทุกเรื่องเมื่อได้ยินเฟิงเหยียนพูดเช่นนี้อีก จั๋วซือหรานตระหนักได้ว่า "อ้าว ใช่เลย โปรดท่านอ๋องช่วยข้าเผาคำบนแผ่นป้ายนี้ให้หน่อยได้ไหม"เฟิงเหยีย มองไปที่แผ่นป้าย ซึ่งแผ่นป้ายนั้นแสดงถึงความอับอายของตระกูลเหยียนและเหยียนชางเขาเหยียดนิ้วออกและวางมันลงบนแผ่นป้าย จากนั้นเขาหันสายตาแล้วถามจั๋วซือหราน “จะแกะสลักรูปนูนสูงหรือแกะสลักรูปนูนต่ำ”“แกะสลักรูปนูนต่ำละกัน” จั๋วซือหรานกล่าวทันทีที่นางพูดจบ ปลายนิ้วของเฟิงเหยียนก็วางลงบนแผ่นป้าย ปลายนิ้วของเขาเดินไปรอบขอบของข้
“ฉันอยากทำของกินเอง ไม่เกี่ยวข้าจะมีคนรับใช้หรือเปล่าหรอกนะ” จั๋วซือหรานพูดและเงยหน้าขึ้นมามองเฟิงเหยียน “คนรับใช้อาจจะทำกับข้าวสู้ข้าไม่ได้ก็ได้”“พูดเช่นนั้นก็ไร้ยางอาย” เฟิงเหยียนพูด และเมื่อเขาเห็นนางไม่รู้สึกเสียใจเพราะนางไม่มีคนรับใช้ เขาก็โล่งใจจั๋วซือหรานเงยหน้าขึ้นมามองเขา นางยิ้ม " ท่านอ๋องไม่เชื่อหรือ เช่นนั้นอย่าเพิ่งกลับก่อน อยู่ที่นี่ และรอชิมฝีมือของข้า"เมื่อฝูซูืถอชาเข้ามา เขาเห็นคุณหนูของเขาสวมชุดสีขาว มือข้างหนึ่งจับเข่าของนาง นางกำลังนั่งยอง ๆ เงยหน้าขึ้นและมองเฟิงซื่อจื่อเฟิงซื่อจื่อมีรูปร่างสูงและตรง เขาสวมชุดคลุมสีดำ ยืนอยู่ที่นั่นและมองลงไปที่คุณหนูภาพนี้ ฝูซูรู้สึกว่าเขาไม่ได้อ่านหนังสือมามากนัก เขาเลยไม่รู้จะบรรยายภาพนี้อย่างไร แต่เขาแค่รู้สึกว่าความแตกต่างระหว่างสีขาวและสีดำนั้น ซึ่งสวยอย่างเป็นภาพวาดทันใดนั้นเขาไม่อยากเดินเข้าไป เพราะกลัวจะรบกวนบรยากาศที่เหมือนภาพวาดจั๋วซือหรานหันไปมองเขาแล้วถามว่า "นี่คือแกะอะไร และเป็ดตัวนี้... "จั๋วซือหรานมองไปที่เนื้อแกะตรงหน้านาง กลิ่นนั้นแตกต่างจากเนื้อแกะที่นางรู้จัก และเป็ดตัวนี้ด้วย เพราะเป็ดนี้ยังมีชี
......จั๋วซือหรานหยิบกับข้าวบางอย่างออกมา แล้วให้ฝูซูจัดชั้นวางให้นางจั๋วซือหรานยกมือขึ้นและขีดเส้นในอากาศ "ก็คืออย่างนี้ อย่างนี้ และชั้นแบบนี้ เอาแบบคล้าย ๆ กันก็พอ แล้วหาตะขอเหล็กมาให้ข้าด้วย ข้าต้องย่างแกะชิ้นนี้ เนื้อแกะนี้ใหญ่มาก""ก่อเตาหินให้ข้าแล้วเอาหม้อมาให้ข้าด้วย ข้าจะทำแกง แล้วลวกกินเนื้อแกะที่เหลือ" จั๋วซือหรานสั่งงานส่วนเป็ดตัวนั้น ก็ถูกฆ่าตายเรียบร้อยแล้ว หลังจากผัดในน้ำมัน จนมีกลิ่นหอม แล้วเติมเครื่องเคียงต่าง ๆ ลงไปผัดในหม้อเดียวไม่ต้องพูดถึงว่ามีกลิ่นหอมแค่ไหนจั๋วซือหรานได้วางแผนไว้และจัดเตรียมการไว้แล้วแม้ว่าฝูซูจะปฏิบัติตามคำสั่งของคุณหนู แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ถูกต้องเล็กน้อย "คุณหนูขอรับ ทำเช่นนี้ได้หรือ มิเช่นนั้น เราไปหาคนอื่นทำให้เถิด คนในลานด้านนอกมีบางคนทำอาหารเก่ง"จั๋วซือหรานจับปีกเป็ดทั้งสองข้างด้วยมือเดียวแล้วมองไปที่ฝูซู "แล้วกับข้าวที่พวกเขาทำ เจ้ากล้ากินหรือ"ฝูซูคิดสักพักแล้วส่ายหัวแล้วพูดว่า "ไม่กล้าขอรับ บางทีพวกเขาอาจกำลังฉวยโอกาสทำร้ายเราก็ได้นะขอรับ"ทันทีที่ฝูซูพูดจบ เขาเห็นคุณหนูของเขาดึงคอเป็ดมงกุฎแดงขึ้นมาแล้ว ดึงขนของคอเป็ดออกแล
จ้านหลูยังสงสัยว่าเขาทำอะไรผิดหรือเปล่า ดังนั้นเจ้านายของเขาจึงต้องการลงโทษเขาด้วยวิธีนี้จ้านหลูคิดกับตัวเองว่า หากข้าทำอะไรผิด ขอเจ้านายลงโทษข้าด้วยวิธีการลงโทษต่าง ๆ แต่ไม่ใช่ให้ข้าดมกลิ่นอาหารอร่อย ๆ แต่กินไม่ได้ ซึ่งทรมานคนมากเมื่อจั๋วซือหรานผัดเป็ดเสร็จ แกงก็จะเสร็จแล้วเหมือนกัน และเนื้อแกะก็หมักเรียบร้อยแล้วด้วย กล่าวกันว่าบางทีต้องหมักข้ามคืน รสชาติจะได้เข้าถึงเนื้อ แล้วจะอร่อยกว่าแต่จั๋วซือหรานไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า ดังนั้นนางจึงทำได้แค่นั้นฝูซูทำตามคำสั่งของนาง เขาได้จัดชั้นวางในสวนและแขวนตะขอเหล็กอันใหญ่ และจุดไฟและรอนางจั๋วซือหรานแขวนเนื้อแกะแล้วย่างสักพัก จากนั้นทาน้ำปรุงรสแล้วโรยด้วยเครื่องเทศวิญญาณและผงพริกในตอนแรก ฝูซูยังคงอดความอยากกินอาหารของเขาได้อยู่ต่อมาเขาก็ทนไม่ไหวแล้ว เขานั่งยอง ๆ ข้าง ๆ จั๋วซือหราน เหมือนลูกหมารออาหาร “คุณหนูขอรับ จะเสร็จเมื่อไรขอรับ หอมมากขอรับ ขอชิมก่อนได้ไหมขอรับ”“ยังไม่เสร็จเลย เสร็จก่อนค่อยชิมสิ” จั๋วซือหรานกล่าวจั๋วซือหรานแปรงเนื้อแกะสับด้วยน้ำผึ้งอีกครั้งนางเหลือบมองผนังข้าง ๆ แล้วพูดว่า "ไหน ๆ ก็มาถึงแล้ว ทำไมไม่ลงม
เขาคิดแล้วรู้สึกว่าเขาทานข้าวที่นี่โดยไม่ได้ช่วยอะไร เนื่องจากเขาต้องกินข้าวบ้านนาง เขาจึงต้องทำอะไรบางอย่างให้นางจ้านหลูอาจเดาได้ว่าคนเหล่านั้นที่อยู่ลานด้านนอกอาจถูกตระกูลจั๋วส่งมาเขาลังเลและถามว่า "หากคุณหนูต้องการ ข้าช่วยสั่งสอนพวกเขาก็ได้"จั๋วซือหรานส่ายหัว "ไม่ต้องหรอก ข้าให้พวกมันอยู่ที่นี่ไม่ได้เป็นเพราะข้าสั่งสอนพวกเขาไม่ได้ ข้าให้พวกเขาอยู่ที่นี่เพื่อให้พวกเขากลับไปรายงานตระกูลจั๋วว่า ข้ามีชีวิตสบาย ๆ "จ้านหลูคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาพยักหน้าแล้วเข้าไปกับฝูซู ยกของที่นางสั่งออกมาพวกเขาจัดวางตามจั๋คำสั่งของวซือหราน และพากันเริ่มทานข้าวกันทีแรกฝูซูและจ้านหลูยังเกรงตัวเล็กน้อย แต่หลังจากกินไปสองคำ พวกเขาก็กลับเกรงตัวแล้ว เพราะกับข้าวมีกลิ่นหอมและอร่อยมากฝูซูชมไปและทานไป“คุณหนู คุณหนูเป็นอัจฉริยะจริง ๆ คุณหนูเป็นอัจฉริยะมาก คุณหนูทำเป็นทุกอย่างได้อย่างไรขอรับ”จ้านหลูไม่ค่อยเก่งในการชื่นชมผผู้อื่น ดังนั้นเขามีแต่พยักหน้าอย่างเดียวจั๋วซือหรานยิ้ม นางรู้สึกกับข้าวอร่อยจริง ๆ ความจริงนางไม่ได้ทำกับข้าวมานานแล้ว วันนี้เลยทำไม่คล่องมื่อ คุณภาพของวัสดุอาหารดีเยี่ยม เป็ดมงกุ
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั