เพียงแต่ว่า ความคิดในใจจั๋วซือหราน ยังไม่ได้คิดจะบอกกับเจิ้นเจียงเพราะความคิดในใจเหล่านั้น มันค่อนข้างจะมืดมนจั๋วซือหรานคิดไว้นานแล้ว ว่าจะพาคนสำนักเมฆาวารีไปให้หมด รวมถึงพวกศิษย์ทั่วไปสำนักเมฆาวารีที่จับมาเป็นตัวประกันตอนด่านกระดูกแพะก่อนหน้านี้ด้วยรวมถึงศิษย์สำนักเมฆาวารีกับผู้ดูแลชุยที่เป็นกองหนุนของเหอจื้อหย่วนนี่ด้วยนางจะพาไปให้หมด"พาพวกเขาไป แล้วจากนั้นล่ะ?" ในห้อง หลังจากปันอวิ๋นได้ยินการตัดสินใจของนางก็ถามขึ้นมาเขากลอกตามองนางผาดหนึ่ง ท่าทางในมือไม่มีสับสนแม้แต่น้อยกล่องเคลือบขนาดเท่าอ่างล้างหน้าใบหนึ่ง ตัวกล่องมีลวดลายสีสันสดใส แต่ความสวยนี้กลับแผ่ความอันตรายแปลกประหลาดออกมายิ่งไปกว่านั้นยังมีเสียงสวบสาบดังลอดออกมาจากในกล่องด้วยจั๋วซือหรานมองหลุมฆ่าในมือเขาไม่วางตา พลางตอบออกมาอย่างขอไปทีว่า "เอาไปคุมเชิงกับเจ้าสำนักเมฆาวารี ให้เขาปล่อยคนออกมา"จั๋วซือหรานสังเกตทิศทางไหลเวียนกับระดับความเข้มข้นของพลังวิญญาณที่นิ้วปันอวิ๋นอย่างละเอียดถึงอย่างไร...เจ้าหุบเขาหมื่นพิษก็ระบบวิชากู่ให้กับนางด้วยตนเอง นี่เป็นโอกาสที่หาได้น้อยมากนะ! โอกาสอันดีปันอวิ๋นพอได้ิน ท่า
ปันอวิ๋นได้ยินนางคำนวนเช่นนี้ ในใจก็อดถอนใจกับเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้ให้ตายสิ โดนนางคิดรวบมันทุกอย่างกระทั่งว่า หลังจากได้ยินนางคำนวนอย่างละเอียดเช่นนี้ ก็ไม่อยากจะถามอะไรอีกแล้ว แค่อยากจะถามประโยคก่อนหน้าเท่านั้น "แล้วจากนั้นล่ะ?"แค่อยากรู้ว่า ด้วยความฉลาดของนาง หลังจากนี้จะทำอย่างไรจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว "หลังจากนั้น? ก็ต้องช่วยน้องชายข้าออกมาสิ ทำลายแผนการนางที่คิดจะเอาน้องชายข้ามาเป็นผู้ทดลองยาให้เรียบ"ปันอวิ๋นเลิกคิ้ว "นั่นดูค่อนข้างสิ้นหวังเลยนะ""นี่ยังไม่ใช่จุดสิ้นหวังที่สุดหรอก จุดสิ้นหวังที่สุดคือ นางจะได้รู้ ว่าโรคของลูกสาวนาง อันที่จริงข้ารักษษได้" จั๋วซือหรานยกมุมปากขึ้นอย่างเย็นชาปันอวิ๋นจุ๊ปาก "ข้าเหมือนยังไม่เคยผิดใจกับเจ้าใช่มั๊ย?"จั๋วซือหรานหรี่ตามองเขา เหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม เอ่ยขึ้นว่า "เจ้าหุบเขาขี้หลงขี้ลืมซะจริง พิษกู่ร้อยไหมของท่านจนป่านนี้ก็ยังอยู่กับข้านะ แล้วยังไม่ต้องพูดเรื่องที่ต่อมาท่านไปช่วยซือคงอวี้อีก...ทำเอาข้าลำบากอยู่เหมือนกันนะ"มุมปากปันอวิ๋นยกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย เดิมทีเขาก็หน้าตาหล่อเหลาแบบชั่วร้ายอยู่แล้ว พอยิ้มตอนนี้ บุคลิกที่ทั้
ที่ขอบฟ้ามีแสงสว่างขาวเหมือนท้องปลาขึ้นรำไรปันอวิ๋นจึงถอนหายใจยาวออกมา เอ่ยขึ้นว่า "เท่านี้ก็แล้วกัน""อื๋อ?" จั๋วซือหรานเหลือบมองเขา พยักหน้าตอบ "เอาเถอะ ขอบคุณเจ้ามาก"ปันอวิ๋นจึงหวาดหวอดขึ้นมา "ข้าต้องไปพักผ่อนหน่อยแล้ว ฟ้าใกล้จะสางแล้ว"จั๋วซือหรานเหลือบมองสีท้องฟ้านอกหน้าต่างผาดหนึ่ง "จริงด้วย ไม่รู้ตัวเลย ดึก...เช้าขนาดนี้แล้วแฮะ""เจ้เาองก็รีบพักผ่อน" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้น โบกมือโยนหลุมฆ่าให้กับนาง "อันนี้ให้เจ้า""เอ๋?" จั๋วซือหรานมองเขา "เจ้าหุบเขาใจกว้างเสียจริง อาวุธกู่ล้ำค่าแบบนี้ให้ข้าจริงหรือ?"ปันอวิ๋นเอียงตามองนาง "ขลุ่ยที่ล้ำค่าของข้าตอนนั้น ก็ไม่ใช้ให้เจ้าไปหรือไรกัน?""เจ้าหุบเขาปันพูดแบบนี้..." จั๋วซือหรานหัวเราะเบาๆ "ขลุ่ยกู่ของเจ้า ข้าใช้ดาบใช้หอกแย่งกลับมาต่างหาก อย่าพูดว่าเจ้าให้มาด้วยมิตรภาพสิ"ในดวงตาชั่วร้ายของปันอวิ๋น มีประกายจนใจออกมา หญิงสาวคนนี้ไม่ไว้หน้ากันเลยทั้งทั้งที่สอนให้เจ้าอย่างลำบากมาทั้งคืนแท้ๆ"สรุปคือ เจ้าหลุมกู่นี่ก็มอบให้เจ้าแล้ว ตัวเองก็ค่อยๆ เล่นไปแล้วกัน" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้น "ข้าว่าเจ้าลองทำความเข้าใจเองสักหน่อย ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรแล
จั๋วซือหรานรับรายชื่อของขวัญมา กวาดตามองผาดหนึ่ง คิ้วเลิกขึ้นเบาๆ "จวนตระกูลเหอส่งมาหรือ?""ขอรับ ส่งมาแต่เช้าตรูเลย น่าจะเตรียมไว้เมื่อคืนนี้" เจิ้นเจียงเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานดีดรายการของขวัญในมือเบาๆ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม "ดูท่าเหอจื้อหย่วนจะกลัวจริงๆ ซะแล้ว"เมื่อคืนนี้ก่อนที่นางจะออกมาบอกกับเหอจื้อหย่วนเรื่องที่นางจะสะสางหนี้ ดูท่าจะทำเขาผวาไปแล้วฟ้ายังไม่สาง ก็ส่งกองนี้เข้ามา"ต้อง ต้องรับไว้ไหม?" เจิ้นเจียงดูจะระแวดระวัง "จะมีตุกติกอะไรหรือเปล่า?""จะมีอะไรตุกติกได้อีก" จั๋วซือหรานยิ้มๆ "ยังมองไม่ออกอีกหรือ?""มองอะไร...ไม่ออกหรือขอรับ?" เจิ้นเจียงไม่เข้าใจจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "เขากำลังขับไล่สิ่งอัปมงคลนี่ ให้ข้ามาเยอะขนาดนี้ คงอยากให้ข้ารีบไปเต็มแก่แล้ว..."เจิ้นเจียงได้ยินคำนี้ แม้จะรู้สึกดู...ยังไงๆ อยู่ แต่ก็...เหมาะควรดีจั๋วซือหรานเดิมทียังไม่ได้นอนมาคืนหนึ่ง แม้คุณสมบัติร่างกายจะแข็งแกร่ง ด้านสุขภาพไม่มีอาการเหนื่อยล้า แต่ในด้านจิตใจก็มีอาการเหนื่อยล้าเล็กๆตอนนี้ก็ดูจะมีแรงขึ้นหน่อย ถือรายการของขวัญมือไพล่หลังเดินไปยังรถของขวัญด้านนอกเพื่อตรวจสอบ ดูแล้วจิตใจจะ
"นายท่าน?" เจิ้นเจียงเห็นจั๋วซือหรานยืนอยู่แถวบ่อน้ำ เหมือนจะไม่ขยับตัวมาพักหนึ่ง จึงหันหน้ามองไปทางนางอย่างสงสัย"มีอะไรหรือ?" เจิ้นเจียงเดินขึ้นเข้ามา และเห็นสายตาตกตะลึงหน่อยๆ ของนายท่าน เอ่ยถามเสียงต่ำว่า "มีอะไรผิดปกติหรือขอรับ?"จั๋วซือหรานจึงเก็บสายตากลับ "ไม่มีอะไร ไปเถอะ ห้องเขาอยู่ที่ไหน?""โอ้! ตามข้ามาเลย" เจิ้นเจียงนำทางจั๋วซือหรานต่อไปทางห้องแขกเพียงแต่ว่า เขาไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า รู้สึกเหมือนการก้าวเดินของนายท่าน เทียบกับความเอ้อระเหยไม่รีบร้อนก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะรีบเร่งขึ้นมาพอควร!ไม่นานนัก เจิ้นเจียงก็นำมาถึงประตูห้องแขก"ที่นี่ขอรับ" เจิ้นเจียงกดเสียงต่ำ บอกกับจั๋วซือหรานว่า "แต่ว่า นายท่าน ตอนนี้มันจะเช้าไปหน่อยไหม? ถ้าคุณชายเหยี่ยนยังพักผ่อนอยู่ล่ะ..."จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ก็เหมือนไม่ได้ยิน ยกมือขึ้นเคาะประตู"ตึงๆๆ..."ในประตูไม่มีปฏิกิริยาการเคลื่อนไหวใดเจิ้นเจียงเอ่ยขึ้นข้างๆ "คุณชายเหยี่ยนน่าจะยังไม่ตื่น นายท่าน ถ้างั้น..."เสียงเขายังไม่ทันขาด ก็เห็นนายท่านขมวดคิ้ว จากนั้นสองมือก็ค่อยๆ ดันเปิดตรงหน้าเจิ้นเจียงรู้สึกว่า เหมือนมีพลังอบอุ
เจิ้นเจียงไม่ค่อยเข้าใจคามหมายลึกๆ ของคำพูดนี้เพียงแต่ดูแล้ว นายท่านเองก็เหมือนไม่คิดจะไปตามหาคุณชายเหยี่ยนด้วย"ให้ข้าน้อยไปตามหาคุณชายเยี่ยนไหมขอรับ?" เจิ้นเจียงถามจั๋วซือหรานส่ายหัว "ไม่ต้องแล้ว ข้าเสียเวลาที่นี่อีกไม่ได้แล้ว ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการอีก"เจิ้นเจียงเองก็เข้าใจ เรื่องของคุณชายน้อยจั๋วหวาย เป็นเรื่องสำคัญในตอนนี้ของนายท่านยิ่งไปกว่านั้นพอดูแล้ว อารมณ์ของนายท่านก็เหมือนจะปรับเรียบร้อยแล้วด้วยกระทั่งอารมณ์ที่ได้รับผลกระทบก่อนหน้านี้ เหมือนจะสภาพหดหู่เล็กๆ ก็ยังกลับมาเป็นปกติแล้วเจิ้นเจียงรีบตามนางไป จากนั้นก็ได้ยินนางเหมือนจะงึมงำกับตนเองแว่วมาตามสายลม"ยิ่งไปกว่านั้นใครจะูร้ว่าเขาไปแล้วจริงหรือเปล่า ไม่แน่อาจจะหลบอยู่ใกล้ๆ แอบฟังก็ได้..."จั๋วซือหรานให้เจิ้นเจียงไปจัดการรถรางวัล เตรียมตัวออกเดินทางเดิมทียังกังวลว่ารถจะไม่พอใส่ ถึงตอนนั้นคงต้องพิจารณาเรื่องซื้อรถม้า หรือไม่ก็ให้สำนักเมฆาวารีพวกนี้วิ่งตามรถม้าเอา...ผลคือตระกูลเหอก็ส่งรถม้าเข้ามา เรียกได้ว่าพอง่วงหนอนหมอนก็หนุนเข้ามาพอดีคนสำนักเมฆาวารีที่เป็นเชลยจากด่านกระดูกแพะก่อนหน้นี้ สภาพจิ
ผู้จัดการโรงเตี๊ยม เกือบร้องจะร้องแหลมขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ แต่ยังดีที่ทนเอาไว้ อย่างน้อยก็ไม่เหมือนผู้เฒ่าเหอที่ร้องเป็นไก่เมื่อวานนี้"เจ้า เจ้า..."เดิมทียังคิดจะถามว่าเป็นใคร แต่ผู้จัดการก็มองออกทันที หนึ่งในผู้ชายป่าเถื่อนที่จั๋วซือหรานผู้หญิงตัวซวยคนนั้นพากลับมาจากที่ผู้จัดการโรงเตี๊ยมเห็น ที่ผู้หญิงตัวซวยคนนั้นพามาล้วนเป็นผู้ชายป่าเถื่อนทั้งสิ้นหลักๆ คือนางเองไม่ได้พาผู้หญิงกลับมา ไม่ว่าจะเชลยหรือว่าอะไรก็ตาม...ไม่ว่าจะใครก็ล้วนเป็นผู้ชายทั้งสิ้นแต่นอกจากเชลยเหล่านั้น คนที่นางพากลับมาสองคน ไม่ว่าจะใคร ดูแล้วก็อันตรายไม่แพ้กันผู้จัดการยังคิดว่าพวกเขาจะไปพร้อมกันเสียอีก!ทำไม! ทำไมยังเหลือทิ้งไว้อีกล่ะ?!"เจ้า...ทำไมถึงไม่ได้ไปกับนาง..." ผู้จัดการพูดจาตะกุกตะกักไปหมดแล้ว ถอยหลังออกมาก้าวหนึ่งด้วยสัญชาตญาณ เพราะรู้สึกว่าผู้ชายตรงหน้าคนนี้ แม้จะหน้าตาหล่อเหลา แต่ก็ดูชั่วร้ายมากแค่เหลือบมองก็รู้สึกอันตรายแล้วแต่ว่าอีกฝ่ายกลับไม่ให้โอกาสเขาได้ถอยหนีคิ้วยาวเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย "ดูท่า นางจะเป็นตัวซวยคนนั้นจากปากของเจ้าสินะ?"ผู้จัดการไม่กล้าพูด แต่พริบตาต่อมา มือก็ถูกออกแ
เสียงของเขาดูไม่ได้ใส่ใจนัก "โอ้ ล้มเหลวไปแล้ว""เจ้าขยะ" ในน้ำเสียงอีกด้านมีความรู้สึกที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด "เจ้าเฟิงเหยียนนั่นอย่างน้อยก็ยังรู้จักให้ความร่วมมือลบความทรงจำทิ้ง แต่เจ้า แค่ให้ไปปล้นก็ยังไม่สำเร็จ เจ้ามันขยะกว่าเขาเสียอีก"ปันอวิ๋นพอได้ยิน มุมปากยังคงเป็นเส้นโค้งที่ดูประชดประชัน ในดวงตาไม่มีความอบอุ่นใดอยู่อีกด้านไม่รอเขาตอบ เอ่ยต่อมาว่า "ดังนั้นตอนแรกพวกเราถึงให้หลงเฉินเลือกเฟิงเหยียนไม่เลือกเจ้าไงล่ะ ดูท่าจะไม่ได้เลือกผิด"เส้นโค้งประชดประชันเหล่านั้นของมุมปากปันอวิ๋นลดลงมา ความอบอุ่นในดวงตาเย็นเยียบไปแล้วอย่างสิ้นเชิงเพียงแต่น้ำเสียงฟังแล้วยังดูนิ่งไม่มีความผันผวนใด ราวกับไม่มีอารมณ์ใดๆ อยู่"แต่ตอนนี้พวกเจ้าก็ยังต้องให้ข้ามาจัดการความยุ่งยากของเฟิงเหยียน" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ"แล้วเจ้าจัดการแล้วหรือยัง? ให้เจ้าไปปล้นมาก็ยังทำไม่ได้" เสียงจากอีกด้านหัวเราะเย็นชาขึ้นมาแต่ปันอวิ๋นก็หัวเราะขึ้นเบาๆ ดูนิ่งมาก "ข้าเป็นพวกเมตตาต่อสตรีนะ เรื่องปล้นอะไรไม่ถนัดหรอก แต่ยังพอเปลี่ยนวิธีแก้ไขความยุ่งยากได้""เจ้ายังมีวิธีอะไรอีก? อย่าคิดว่าตัวเองฉลาดนักเล
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั