เขางงเป็นไก่ตาแตก นายท่านแค่พูดไม่กี่คำ? แต่ว่านี่...กำลังคุยกับแมงมุมอยู่จริงหรือ? ด้านนอกลือกันว่า คุณหนูของเขาเป็นนักภาษาสัตว์ ที่แท้...ก็เป็นเรื่องจริงสินะ!ราชาแมงมุมหน้าผียกแขนเคียวประกายหิมะขึ้น ฉีกแควกเปิดรังไหมสีขาวที่ห่อด้วยใยแมงมุมซึ่งอยู่ด้านหลังพวกมันออกมาเผยให้เห็นของที่ถูกห่ออยู่ด้านใน มีหลายรังไหมที่ห่อแมลงรูปร่างประหลาดไว้ ดูแล้วเหมือนเป็นหิ่งห้อยกับผึ้งรวมร่างกันแล้วขยายใหญ่ขึ้นใหญ่ขนาดแพะตัวหนึ่ง มีปีกใส ร่างท่อนบนกับขาหลังที่เหมือนมีแรงดีดมหาศาลแบบตั๊กแตนแต่ช่วงทอ้งกลับเหมือนผึ้ง ส่วนหางมีเหล็กในพิษแหลมคมแต่คนที่เห็นอะไรมาเยอะ ก็จะมองออกว่า นี่คือตั๊กแตนผึ้งบุปผาหยก สัตว์ประหลาดประเภทแมลงที่จัดการได้ยากชนิดหนึ่งเพราะมันเป็นแมลงแบบอยู่เป็นฝูง แล้วยังมีเหล็กในพิษเหมือนผึ้งอีกด้วย พอโจมตีเข้ามาเป็นกลุ่ม พลังโจมตีนั้นดูถูกไม่ได้เลย ในป่าต่อให้เป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่ง ก็ไม่แน่ว่าจะกล้าเข้าไปยุ่งกับตั๊กแตนผึ้งบุปผาหยกพวกนี้ผู้บำเพ็ญที่เป็นมนุษย์เองแน่นอนว่าไม่กล้า แต่ก็อดพูดไม่ได้ ว่าขาหลังที่ใหญ่โตของตั๊กแตนผึ้งบุปผาหยกนี้จะมีรสชาติยอดเยี่ยมมากๆ ในโลกมนุ
คนขับรถพอได้ยินคำนี้ แม้จะไม่กล้ายืนยัน แต่ก็ยังสัมผัสได้ ว่าคำนี้ของคุณหนู...เหมือนจะไม่ได้มีความหมายแบบปกติ"คุณ คุณหนู..." คนขับรถเรียกนางขึ้นมาคำหนึ่งครู่ต่อมาจึงมองสิ่งที่นางยื่นส่งมาให้แบบงงงัน"อืม ถือไว้" จั๋วซือหรานเอาของในมือส่งไปให้คนขับรถคนขับรถรับมาแบบอ้ำอึ้ง ในมือถือสองขาหลังของตั๊กแตนผึ้งบุปผาหยกไว้ ราวกับกำลังถืออะไรบางอย่างที่ระเบิดได้ตลอดเวลาไว้อย่างระมัดระวัง"คุณหนู..." คนขับรถไม่เข้าใจความหมายของจั๋วซือหรานอย่างชัดเจน แม้จะเดาเอาไว้บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจ หรือบางทีอาจยังไม่กล้าที่จะเชื่อถึงอย่างไรคนปกติก็ไม่มีทางเชื่อ พุ่งฝ่าวงล้อมออกมาแล้วแท้ๆ ตนอนี้ยังคดจะหาทางย้อนกลับไปอีก?จั๋วซือหรานเอ่ยึ้น "เจ้าเอาสองข้านี้ไปย่างเสีย""ขอรับ" คนขับรถพยักหน้า ถามขึ้นอย่างระวัง "แล้วท่านล่ะ?"จั๋วซือหรานเลิกคิ้วขึ้นบอกว่า "ข้าจะกลับไปหน่อย"แม้ก่อนหน้านี้คนขับรถจะคาดเดาความเป็นไปได้นี้ไว้ แต่ตอนนี้พอได้ยินจั๋วซือหรานบอกออกมาจากปากตนเอง ในใจก็อดตกตะลึงขึ้นมาไม่ได้ "แต่ว่าคุณหนู พวก พวกเรากว่าจะฝ่าวงล้อมออกมาได้!"พอเขาพูดคำนี้ วินาทีต่อมา ก็เห็นคุณหนูของตนเองยิ้ม
"ตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาเรื่องคนมากคนน้อยแล้ว นางตำมือขนาดนี้ คนปกติรับมือนางไม่ได้หรอก แล้วจะไปพึ่งจำนวนคนก็ยิ่งไม่มีประโยชน์""ใช่เลย เห็นอาวุธมหัศจรรย์ของนางแล้วนี่ สำแดงพลานุภาพได้ขนาดนั้น แล้วยังรู้สึกว่านางน่าจะยังดูสบายๆ อีกด้วย น่าจะยังมีอะไรซ่อนไว้อีก ถ้าหากเอาคนมาพอจริง หากคิดจะใช้จำนวนคนเพื่อกดดันนาง ก็ยังรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่ดี"เหมือนกับว่า...จะได้เจอกับเรื่องที่น่ากลัว!ตอนนี้เอง ข้างจู่ๆ ก็มีเสียงในเย็ฯชาดังขึ้น ยืนยันคำพูดของเขา "อืม ลางสังหรณ์ของเจ้าถูกจริงๆ เป็นตัวเลือกที่ฉลาด""ใครกัน!" ทุกคนระแวดระวังกันขึ้นมาและก็มีปฏิกิริยาขึ้นอย่างรวดเร็วว่าเจ้าของเสียงเป็นใคร ยังจะเป็นใครได้ เสียงหญิงสาวใสเย็นในหุบเขานี้...นอกจากคนผู้นั้นที่พุ่งฝ่าปากทางด่านช่องเขาออกไปก่อนหน้านี้ คงไม่ใช่ใครที่ไหนอีก"จั๋วจิ่ว!" ทุกคนมีปฏิกิริยากันขึ้นมา "นี่เจ้ากล้าเข้ามาติดร่างแหเองเลยเรอะ!"พวกเขาเห็นท่าทางที่จั๋วจิ่วที่มองเข้ามาดูจะขี้เกียจหน่อยๆ ด้วยซ้ำ ก้าวย่างแผ่วเบาเดินตรงมาหาพวกเขา"ใช่ๆๆ ข้าเข้ามาติดร่างแหเองเลย" นางบอกกับพวกเขา ไม่เพียงแต่ไม่ปฏิเสธ แต่กลับยังพยักหน้ายอมรับอย่
บางทีพวกเขาไม่ใช่ไม่เคยมีความคิดเช่นนี้ แต่พอถูกสายตาที่แผ่จิตสังหารเช่นนี้ของนางกวาดเข้ามา ก็เหมือนทำลายความคิดนี้ทิ้งไปแล้วคนจาก 'สำนักเมฆาวารี' ที่ถูกนางเลือกออกมาเหล่านั้น ล้วนใช้สายตาอ้อนวอนขอความช่วยเหลือมองพวกเขาแต่พวกเขากลับเลี่ยงสายตาอ้อนวอนเหล่านี้ไป ตอนนี้ใครก็ไม่กล้าไปยุ่งกับหญิงสาวที่เหมือนสุนัขบ้าคนนี้พวกเขาเห็นจั๋วซือหรานลากคนของ 'สำนักเมฆาวารี' ออกไปกระทั่งเสียงร้องก็ยังร้องไม่ออก เหมือนถูกพลังไร้รูปร่างอะไรบางออกไปพวกเขาที่เข้าใจต่อตัวจั๋วจิ่วก็จะชัดเจนดี ว่านั่นคือไหมกู่ของพิษกู่ร้อยไหมหลายตัวของจั๋วจิ่วกระทั่งข่าวที่ปันอวิ๋นให้กับพวกเขาในตอนแรก พิษกู่ร้อยไหมที่เขาหลอมสกัดขึ้นมา ก็ยังไม่มีพลานุภาพมากขนาดนี้เลยแต่ว่าปันอวิ๋นเองก็พูดแล้ว แมลงกู่พวกนี้เป็นของที่แล้วแต่ปัจเจกบุคคล อาจเป็นของหวานของคนหนึ่ง และอาจเป็นยาพิษของอีกคนหนึ่งแมลงกู่แบบเดียวกัน พออยู่ในมือของปรมาจารย์กู่ที่ต่างกัน ก็อาจจะสำแดงพลังที่แตกต่างกันออกมาได้ถ้าต้องพูดเช่นนี้ขึ้นมาจริง พลานุภาพของพิษกู่ร้อยไหมหลายตัวในมือจั๋วซือหรานนี้คือสุดยอดแล้ว...พวกเขากระทั่งกังวลว่าคนเหล่านี้จะถู
แล้วจึงยกใบไม้ขึ้น กินอย่างเอร็ดอร่อยขึ้นมาทั้งที่อย่างกันนอกป่าแบบนี้ แต่พอนางกินขึ้นมา กลับไม่ได้ดูหยาบกร้านเลยแม้แต่น้อย มองแล้วดูสง่างามหน่อยๆ ด้วย"กินสิ งงอะไรกัน" จั๋วซือหรานเชิดคางให้กับคนขับรถเขาจึงเพิ่งได้สติกลับมา ยกใบไม้ขึ้นแล้วลงมือกินก่อนหน้านี้ยังรู้สึกงงงันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน ตอนนี้กลับสนแต่กินๆ แล้วก็กินอารารร้อนๆ ปลอบประโลมใจคนได้ดีที่สุด อารมณ์เขาสงบลงมาอย่างรวดเร็วถามจั๋วซือหรานคำหนึ่ง "คุณหนู พวกเขาคือ...ตัวประกันหรือ?""อื๋อ?" จั๋วซือหรานเหลือบมองไปทางคนของสำนักเมฆาวารี "พวกเขาเป็นคนของสำนักเมฆาวารี เดิมทีคิดว่าพอถามเสร็จจะจัดการทิ้ง แต่พอตอนนี้เจ้าบอกว่าตัวประกัน ก็เกิดความคิดใหม่ขึ้นมาแล้ว"คนพวกนั้นถูกสกัดจุดพูดเอาไว้ จึงพูดอะไรไม่ออกแต่ก็ไม่ได้สกัดการได้ยินไว้ ดังนั้นจึงได้ยินการสนทนากันของจั๋วซือหรานกับคนขับรถ พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ พวกเขาก็ทยอยกันถลึงตาโตน่าจะเพราะไม่คิดว่า หญิงสาวงดงามตรงหน้าจะมีความโหดร้ายระดับนี้เลยทีเดียว!และไม่รู้ว่าเพราะคำพูดของจั๋วซือหรานสร้างบทบาทขึ้นหรือเปล่าหรือบางทีตอนที่พูดออกมานางจงใจทำให้พวกเขาไม
พวกเขาตอบไม่ได้ ทยอยกันส่ายหัวจากนั้น พวกเขาก็เห็นจั๋วซือหรานนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น มือวางพาดอยู่บนตักอย่างไม่ตั้งใจ กำหมัดเบาๆพริบตาต่อมา พวกเขาก็เจ็บปวดขึ้นมาอย่างรุนแรงจนตอนที่ความเจ็บปวดหยุดลง ก็ไม่มีคนที่ยืนไหวอีกแล้วพวกเขาได้ยินเสียงใสเย็นของหญิงสาว ราวกับเสียงกระซิบของยมทูตยามราตรี แล้วยังแฝงไปด้วยรอยยิ้มเยาะที่เย็นชา"ข้าจะถามอีกรอบ คุณหนูของเจ้าสำนักพวกเจ้าคนนั้น ป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่? ถึงต้องเอาน้องชายข้าไปเป็นผู้ทดลองยา?"พวกเขาไม่กล้าส่ายหัวต่อ ตัวสั่นทยอยกันตอบว่า:"ไม่ ไม่รู้จริงๆ! นั่นเป็นความลับที่พวกเราไม่สามารถถามได้""รู้ รู้แค่ว่า...คุณหนูสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่เด็กแล้ว""ตามหลักการ ในฐานะที่เป็นคุณหนูของสำนักก็ควรจะฝึกฝนตั้งแต่เด็ก แต่คุณหนูเนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ นางจึงไม่เคยเข้าร่วมเลย...""ว่ากันว่าคุณหนูมีร่างกายไม่เหมาะมาแต่กำเนิด จึงไม่สามารถฝึกบำเพ็ญได้""แล้วยังบอกว่าเจ้าสำนักก็หาหมอเลื่องชื่อไปทั่ว คิดจะหาวิธีรักษาคุณหนูให้หาย"จั๋วซือหรานฟังพวกเขาพูดกันขโมงโฉงเฉง แล้วจึงรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ออกมา จากนั้นจึงสรุปเรื่องได้คร่าวๆ"ดังนั้
พอเขาพูดออกมา คนสำนักเมฆาวารีเหล่านี้ ในดวงตาก็เปล่งประกายมีหวังออกมาจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว คิดไม่ถึงว่าคนขับรถจะฉลาดขนาดนี้ แต่ว่าก็จริง ภายใต้สถานการณ์ที่คนขับรถเผชิญหน้ามาก่อนหน้านี้ ยังสามารถขับรถได้อย่างไม่ลนลาน ก็มองออกได้ว่าเป็นคนที่ไม่เลวแล้วถึงอย่างไรก็เป็นคนที่เฉวียนคุนเลือกกลับมา เฉวียนคุนเองก็เลือกคนเป็นอยู่ มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ดูแล ถ้าหากไม่มีคนที่เหมาะสม เขาเองก็จะไม่เอาไว้หรอกจั๋วซือหรานเดิมทีคิดจะเชือดพวกเขาทิ้งไปแล้ว แต่ก็จริง นางเองก็ไม่ใช่พวกจอมเชือดอะไร จะฆ่าทิ้งก็ไม่ใช่ฆ่าไม่ได้ แต่มันไม่จำเป็นแค่นั้นตอนนี้จึงรับคำของคนขับรถไปจั๋วซือหรานมองไปทางคนสำนักเมฆาวารีเหล่านี้"พวกเจ้าว่าอย่างไร?" จั๋วซือหรานเลิกคิ้วขึ้นเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม "ข้าเองก็ไม่รังเกียจที่จะไว้ชีวิตพวกเจ้าหรอกนะ แต่พวกเจ้ายืนกรานจะไม่ยอมจำนน ข้าก็จะเคารพความเป็นลูกผู้ชายของพวกเจ้า จะส่งพวกเจ้าไปสบายให้เอง"คนของสำนักเมฆาวารีเหล่านี้ ล้วนเป็นแค่ศิษย์ของสำนักเมฆาวารีเท่านั้น ไม่ได้เป็นนักรบเดินตายของสำนักเมฆาวารี และไม่ใช่ลูกหลานของสำนักเมฆาวารีด้วยว่าอย่างไรดีล่ะ หลายคนก็ล้วนมาจากตระ
จนตอนที่ออกเดินทางอีกครั้ง จั๋วซือหรานก็ไม่ได้ใช้ไหมกู่พันธนาการพวกเขาต่อแล้วคนสำนักเมฆาวารีเหล่านี้ แล้วยังเห็นนางอัญเชิญสัตว์ประหลาดหมาป่าหิมะอีกหลายตัวแบบที่นางนั่งออกมาให้พวกเขาขึ้นนั่ง ส่วนนางก็เข้าไปในรถม้าแทน"พวกเจ้าน่าจะคุ้นเคยทางไปสำนักเมฆาวารีมากกว่าข้ากระมัง?"พอเห็นหญิงสาวเข้าไปนั่งในรถม้าด้วยท่าทีสบายๆ จ้องมองพวกเขาด้วยสีหน้าเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม ถามออกมาแบบนี้พวกเขาก็ไม่ชักช้าอีก ไม่กล้าพูดโกหกอีกเลยแม้แต่น้อยกังวลแค่ว่าถ้าหากพูดคำว่าไม่ออกมา คงได้ถูกนางสังหารทิ้งทันทีเพราะไม่มีประโยชน์แล้วก็เลยทยอยกันผงกหัว"พวกเรารู้จักทาง!""แล้วยังคุ้นทางอีกด้วย!"จั๋วซือหรานพยักหน้า "เช่นนั้นก็ได้ พวกเจ้านำทางเลย ขี่หมาป่าน้ำแข็งไปก็พอ พวกมันจะไม่ทำร้ายพวกเจ้า แต่ทางที่ดีพวกเจ้าก็อ่อนโยนกับพวกมันหน่อย"จั๋วซือหรานรู้สึกว่า สต๊อกโฮล์มซินโดรม(ภาวะทางจิตวิทยาที่ผู้ถูกคุมขังเกิดความผูกพันกับผู้คุมขัง)นี่ก็ดูจะสมเหตุสมผลอยู่นะ เพราะตอนที่นางพูดเหล่านี้จบแล้วเตรียมจะออกเดินทางก็มีศิษย์สำนักเมฆาวารีถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า "พวกเราขี่สมบัติล้ำค่าของท่าน...คงไม่ดีกระมัง?
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั