สายตานางยังคงจับจ้องไปเบื้องหน้า กระทั่งเสียงกับท่าทางก็ยังคงดูไม่ใส่ใจเหมือนเดิมเนื้อหาในคำพูดทำให้คนขับรถขนหัวลุกขึ้นมาทันที"อย่างเช่นตอนแรกสุดก็มีคนไล่ตามเข้ามาติดๆ หรือข้างหน้ามีคนดักซุ่มโจมตีอะไรแบบนี้" จั๋วซือหรานตอบสีหน้าคนขับรถเปลี่ยนไป คำพูดเริ่มติดขัดขึ้นมา "ซุ่ม ซุ่มโจมตีหรือ? มีการซุ่มโจมตีหรือ?"เขาไม่รู้ตัวเลย เขาก็แค่คนขับรถม้าธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นจั๋วซือหรานพยักหน้า "อืม เป็นเรื่องที่คาดไว้แล้ว แต่ไม่ต้องห่วง ข้าเองก็จงใจเดินทางแบบสัมภาระน้อยๆ ถ้าเอาขบวนรถม้าใหญ่ๆ มาข้าเองก็รับประกันไม่ได้ว่าจะคุ้มครองได้หมดไหม แต่ถ้าเจ้าแค่คนเดียวไม่ใช่ปัญหาเลย"คนขับรถเป็นคนขับรถในเรือนนาง ถึงแม้จะรู้ว่าการซุ่มโจมตีเป็นเรื่องน่ากลัว แต่สำหรับฝีมือคุณหนูของตนเองแล้วตนเองก็เชื่อมั่นอย่างยิ่งพอได้ยินคำนี้ของจั๋วซือหราน เส้นประสาทที่ยังตึงก่อนหน้านี้ ก็ผ่อนคลายลงมาไม่น้อย "แม่นางพูดชเ่นนี้ ข้า ข้าก็วางใจแล้ว""อืม เจ้าขับรถไปก็พอ อีกเดี๋ยวไม่ว่าเกิดเรื่องอะไร..." ดวงตาพญาหงส์ใสกระจ่างของจั๋วซือหราน หรี่ลงมาเล็กน้อย เอ่ยต่อว่า "...ไม่ต้องหยุด นี่เป็นสิ่งเดียวที่เจ้าต้องทำ""ร
คนขับรถเห็นทั้งหมดกับตา!นั่นก็เพราะ เขาต้องตั้งใจพยายามขับรถม้าอยู่ตลอด ดังนั้นไม่ว่าการเคลื่อนไหวอะไร เขาจึงจ้องมองเบื้องหน้าอย่างตั้งใจ ดังนั้นจึงเห็นสาเหตุขั้นตอนทั้งหมดได้อย่างชัดเจนดังนั้นในสมองเขา จึงค่อยๆ ทำเรื่องราวทั้งหมดชัดเจนขึ้นอีกฝ่ายแค่ทดลองโจมตีใส่นางครั้งหนึ่ง ก็ถูกแม่นางจิ่วสกัดไว้ ขณะเดียวกันก็ยังพบร่องรอยของคนที่ลอบโจมตี จากนั้นก็สวนกลับทันที แล้วยังโต้กลับสำเร็จด้วย!คนขับรถอดคิดในใจไม่ได้ ถ้าหากพวกลอบโจมตีเหล่านี้ คิดจะลองเชิงพลังของแม่นางจิ่วก่อนล่ะก็ ผลลัพธ์การลองเชิงพวกเขาคงไม่ค่อยดีนักแน่ๆและระยะห่างของที่นี่กับช่องภูเขา คนขับรถคะเนจากการขับของตนเอง อย่างมากก็ประมาณหนึ่งเค่อครึ่งเท่านั้น ก็จะทะลวงผ่านช่องเขานี้ไปได้!ดังนั้น แม่นางจิ่วแค่ยืนหยัดในช่วงหนึ่งเค่อครึ่งให้ได้และคนที่ลอบโจมตีพวกนั้นก็มีเวลาแค่หนึ่งเค่อครึ่งความเป็นความตาย! อยู่ในเวลาสั้นๆ แค่หนึ่งเค่อครึ่งนี้!คนที่ลอบโจมตีก็เหมือนจะตระหนักได้แล้ว ว่าลอบโจมตีคนเดียวไม่ได้ ไม่ใช่แค่จะล่อลวงจั๋วซือหรานไม่ได้ แต่ยังถูกนางเด็ดหัวทิ้งไปด้วย!ดังนั้นเพียงไม่นาน การโจมตีจึงเปลี่ยนเป็บแบบกลุ่
พอได้ยินคำนี้ของนายท่านผู้เยี่ยมยุทธ์ คนขับรถก็ตึงเครียดขึ้นมาหน่อยๆ "แม่ แม่นาง เป็นอะไรหรือเปล่า?"จั๋วซือหรานตอนแรกที่เข้ามายังเขตแดนนี้ ก็กางพลังวิญญาณของตนเองออกมาเพื่อสัมผัสการลอบโจมตีของศัตรูแล้วความเข้ากันได้กับธรรมชาติของพลังวิญญาณธาตุไม้แข็งแกร่งมาก ตอนที่ฝึกจนถึงระดับสูงๆ แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็ยังอยู่ในสายตาและการได้ยินจั๋วซือหรานเองก็มีความสามารถเช่นนี้ แม้ขณะที่กำลังดำเนินการ ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ขยับล่ะก็ ก็จะถือว่าแย่ไปหน่อยแต่ถ้าหากอีกฝ่ายขยับตัวอย่างให้ความร่วมมือ ปัญหาก็ไม่ยากแล้วดังนั้นเมื่อครู่จึงยิงได้อย่างไม่เสียเปล่า และตอนนี้นางสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เกินจากคาดการณ์ไว้แล้ว...การเคลื่อนไหวนั้น เสียงนั้น นั้นไม่ใช่เสียงรั้งสายธนู และไม่ใช่เสียงสั่นสะเทือนของสายธนูนั่นเป็น...เสียงของเครื่องยิงธนู"รถยิงธนู" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นคนขับรถหน้าซีดไปทันที เขาไม่เคยไปสนามรบแต่ก็เคยได้ยินถึงความร้ายกาจของรถยิงธนู เจ้าสิ่งนี้พลานุภาพใหญ๋โตมาก สามารถยิงได้ระยะไกลโข! กระทั่งแทงทะลุรถม้าได้เลย!มีรถยิงธนูที่ร้ายกาจหน่อย กระทั่งสามารถยิงทะลุประตูเมืองขนาดเล็กที่ความหนาไม่ได้มา
"เกิด...อะไรขึ้น?" คนลอบโจมตียังคิดว่ายิงโดนแล้วแน่ๆต่อให้ยิงไม่โดนจั๋วซือหราน แต่อย่างน้อยก็ต้องยิงไปโดนรถนาง นี่เป็นเป้าหมายแต่เดิมของพวกเขาขอแค่นางไม่มีรถ ทิ้งนางไว้ที่นี่ แต่นอนว่าจะรับมือกับนางได้ดีกว่าแต่ว่า การโจมตีเมื่อครู่ ไม่ใช่แค่ไม่โดนนางนะ แต่กระทั่งรถม้าของนางก็ยังไม่โดนลูกธนูหนาหนักขนาดนั้นดอกหนึ่ง หายวับไปกับตา ไม่เหลือแม้เงานี่มันประหลาดจริงๆ แต่ด้วยเวลาตอนนี้ ปฏิกิริยาที่พวกเขาสามารถทำออกมาได้เหมาะที่สุดก็คือ..."ยิงอีกรอบ!"เสียงเครื่องยิงธนูดังขึ้นอีกครั้ง!จั๋วซือหรานไม่ประมาทเลยแม้แต่น้อย นางร่อนลงมาบนตัวรถ เพื่อทำการเตรียมตัวรับมือการโจมตีครั้งต่อไปขณะที่คนขับถอนใจโล่ง ดวงตาก็เป็นประกาย พอเหลือบมองด้วยหางตาจึงมองเห็น ที่แท้คุณหนูก็หยิบยืมพลังของสัตว์อสูรปีกตัวหนึ่งดังนั้นเมื่อครู่จึงบินขึ้นไป!"อย่ามองข้า มองทางไป" ความระมัดระวังในเสียงจั๋วซือหรานยังไม่หายไป ฟังออกว่า นางไม่ได้ผ่อนความระแวดระวังลงเลยคนขับรถเองก็จริงจัง ตั้งใจขึ้นมา"มาอีกแล้ว" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "เจ้าทำตามที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ก็พอ"คนขับรถพยักหน้าเงียบๆ เรื่องอื่นเขาไม่ค่อยไ
ฝุ่นดินเหล่านั้นกระทั้งทำให้สายตาของคนขับเลือนรางด้วยแต่เขาก็ไม่กล้าหยุด ทำตามคำสั่งของนายท่านอย่างเดียวเท่านั้น ตรงไป! ตรงไป!เขาเองก็ไม่รู้ว่าคูน้ำข้างหน้าพวกนั้นตอนนี้เป็นอย่างไร แต่สรุปคือเขาต้องตรงไปอย่างเดียว!ที่คิดไม่ถึงก็คือ รถม้าแม้จะโคลงเคลง แต่ก็ไม่ได้หยุดลง!ในใจคนขับคิดขึ้นมาอย่างตกตะลึง หรือว่าแมงมุมพวกนั้นจะถมคูน้ำจนเรียบได้จริง!จากนั้นเขาจึงเห็นว่าคุณหนูยกมือตบเบาๆ ไปที่ตัวม้า ส่งแรงปลอบประโลมออกมาคนขับถามเสียงขึ้นเสียงเล็ก "คุณหนู เป็นอย่างไรบ้าง?""โอ้ ไม่เป็นไร ม้าแค่เครียดนิดหน่อย แมงมุมน้อยของข้าตัวใหญ่ไปหน่อย มันเลยตกใจน่ะ ข้าปลอบเสียหน่อย" จั๋วซือหรานตอบคนขับตอนนี้จึงเพิ่งรู้ "นี่พวกมันถมคูน้ำจนเรียบแล้วหรือ?"จั๋วซือหรานร้องอืมเสียงหนึ่ง "สัตว์ประหลาดอย่างพวกแมงมุมชนิดนี้ มีแขนเคียวคู่นั้นอยู่ ถนัดการขุดเจาะเป็นที่สุด แค่ถมคูน้ำแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย"คนขับเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น "ดีจริงๆ เช่นนั้นพวกเราก็ออกไปได้แล้ว!"ปากทางด่านช่องภูเขาอยู่ตรงหน้าแล้วแต่หลังจากที่ฝุ่นดินสลายไป คนขับก็หรี่ตาลง เห็นว่าที่ปากทางด่านช่องภูเขามีคนคนหนึ่งยืนอยู่
"อุก" คิ้วงามของปันอวิ๋นขมวดเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับไม่ได้ดูเจ็บปวดมากเท่าไรเขาเหลือบมองแผลที่เอวตนเองผาดหนึ่ง จุ๊ปากขึ้นมา "จะสังหารสามีรึ"ในน้ำเสียงที่พูดกระทั่งมีความยานคางอยู่เล็กน้อยจั๋วซือหรานเหลือบมองเขาผาดหนึ่ง นี่มันเวลาไหนแล้ว ยังจะมาพูดเล่นอยู่อีก ดังนั้นจึงขี้เกียจจะไปแกสรรพนามเขาใหม่นางยื่นมือไปจับข้อมือปันอวิ๋นเขาก้มลงมืองข้อมือที่ถูกจับไว้ผาดหนึ่ง สัมผัสได้ถึงพลังวูบหนึ่งที่ค่อยๆ ถ่ายเข้ามา"อื๋อ?" ในจมูกปันอวิ๋นมีเสียงพยางค์ความสงสัยดังขึ้นมาแต่เขายังไม่ทันจะมีปฏิกิริยา จั๋วซือหรานก็คลายมือออกแล้ว จากนันจึงยกเท้าขึ้นข้างหนึ่ง ถีบเขาตกลงไปจากบนรถน่าจะเพราะการกระทำนี้ของนางเกินจากที่เขาคาดการณ์ไว้ ดังนั้นตอนที่จั๋วซือหรานถีบเขาลงจากรถม้า สีหน้าของปันอวิ๋นจึงเหลือเครื่องหมาย '???' เอาไว้อยู่พักหนึ่งหลังของปันอวิ๋นสัมผัสกับพื้นดิน กระแทกจนเจ็บปวดขึ้นมา เขาไม่ได้ใส่ใจนัก และได้ยินเสียงใสเย็นชาของหญิงสาวที่เหมือนมีแววขบขันลอยแว่วมาตามลม:"รักษาให้เจ้าแล้วนะ เอาไว้เจอกันใหม่ เจ้าหุบเขาปัน"ปันอวิ๋นล้มลงอยู่กับพื้น จึงเอามือไปรองที่หลังคออย่างเกียจคร้าน นอนมันบ
จนตอนเลิกเสื้อผ้าขึ้นแล้วมองดู...บนกล้ามเนื้อหน้าท่องที่แน่นกระชับ แข็งแรง นกจากรอยเลือดบางส่วนแล้ว...ก็แทบเหลืออะไรอยู่เลยถ้าหากไม่ใช่ยังมีรอยเลือดสะดุดตากับรอยแผลเป็นจางๆ ที่เหลืออยู่บนนั้น ใครก็มองไม่ออกทั้งนั้นว่าก่อนหน้านี้เคยบาดเจ็บมา"เอ๋?" ผู้ใต้บัญชาสงสัยขึ้นมา "เป็นไปได้อย่างไร...ทั้งที่เลือดออกมากขนาดนี้แท้ๆ"ปันอวิ๋นลุกขึ้นนั่ง ใช้มือปัดๆ ฝุ่นบนเสื้อผ้าออก ท่วงท่ายังคงสง่างามเช่นเคย เอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ "มีคนก่อนที่จะออกไปรักษาให้ข้าไว้น่ะ"ผู้ใต้บัญชาพอได้ยินคำนี้ ก็คิดถึงเป้าหมายของนายท่านวันนี้ขึ้นมา ต่อมาจึงตอบสนองกลับมาได้ "นายท่านจะบอกว่า...แม่นางจั๋วจิ่วคนนั้น?"ปันอวิ๋นไม่ตอบ เพียงแต่ในสายตามีความสนใจขึ้นอย่างลึกซึ้งผู้ใต้บัญชาถาม "นายท่าน ่ทางนี้ไม่มีเรื่องของเราแล้วกระมัง? กลับกันไหม?""ไม่" ปันอวิ๋นปฏิเสธ "กลับไปไม่มีอะไรทำ นางน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ"ปันอวิ๋นกำชับกับผู้ใต้บัญชา "ไป ดูว่านางไปหยุดลงที่ไหน คิดจะไปไหน จากนั้นมารายงานข้าด้วย""ขอรับ"อีกด้านหนึ่ง จั๋วซือหรานหลังจากผ่านด่านช่องภูเขามาได้ ก็เป็นทางราบม้าวิ่งคนขับรถอดถอนใจยินดีไม่ได้ "โว้ว
คนขับรถทำตามความต้องการของจั๋วซือหราน หยุดรถม้าลงมาจั๋วซือหรานที่อยู่ข้างๆ ก็เก็บกิ่งไม้ส่วนหนึ่งเข้ามา ก่อเป็นกองไฟเล็กๆคนขับรถเดิมทียังคิดจะทำตัวให้กล้าเข้าไว้ ถึงอย่างไร...ออกจากบ้านมาภายนอก จะให้คุณหนูมาทำงานหยาบๆ แบบนี้ได้อย่างไรกัน?!แต่ว่า คุณหนูก็ทำได้ทั้งเร็วและดีเลย...คนขับรถแอบรู้สึกดีใจที่คุณหนูยังต้องการให้เขาขับรถต่อให้จั๋วซือหรานกอดเขาอยู่ข้างกองไฟ ดูเหมือนจะเบื่อๆ อย่างไรอย่างนั้นแสงไฟสะท้อนในดวงตานาง ครู่ต่อมา นางก็กลอกตามองไปทางด่านช่องภูเขาก่อนหน้านี้ เหลือบมองไปครู่หนึ่งช่วงการเหลือบมองนี้ ทำให้คนขับรถเกิดเครียดขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล "มี...มีคนตามมาหรือ?"จั๋วซือหรานส่ายหัว หยิบท่อนไม้ออกมาเขี่ยกองไฟเล่น "กลัวคนไล่มาทำไมกัน เพียงแต่ว่า แมงมุมของข้ายังไม่กลับมากันเลย ข้าเองก็หิวแล้วด้วย"คนขับรถอันที่จริง...ก็ยังฟังความสัมพันธ์ของเหตุและผลไม่ค่อยเข้าใจนัก แมงมุมไม่กลับมากับหิวแล้วมันเกี่ยวข้องกันอย่างไร?แต่เขาก็ไม่ได้ถามละเอียด แต่รีบพูดขึ้นว่า "บนรถมีเสบียงแห้งอยู่ขอรับ คุณหนูจะกินเสียหน่อยไหม?"จั๋วซือหรานส่ายหัวถ้านางยอมกินพวกนั้น ก็คงไม่ต้องหิว
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร
ดังนั้นเขาจึงยังไม่กล้าไปกอดนางไว้แบบนี้ตลอด คอยอยู่ด้วยเงียบๆแต่เขากลับไม่ง่วงเลย ไม่ได้หลับ ไม่ได้ปิดตาด้วยแค่มองนางเงียบๆ สัมผัสถึงความร้อนในตัวนางกับชีพจรนางกระทั่งตัวเขาเองก็ยังบอกไม่ได้ว่าเพราะอะไร แต่ก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่ง...รู้สึกสงบใจอย่างมากราวกับว่า ทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์แบบแล้วทั้งที่ความทรงจำในอดีตยังไม่กลับคืนเข้าที่ แต่ความรู้สึกนี้ เหมือนสลักประทับอยู่ในจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ยากที่จะลบเลือนจนกระทั่งลมหายใจของจั๋วซือหรานมั่นคงแล้ว สีหน้ายิ่งมีประกายแดง สภาพดีขึ้นมากแล้วเขามองไปที่คราบเลือดแห้งกรังเหล่านั้นบนใบหน้าจั๋วซือหราน รู้สึกเสียดแทงตาเหลือเกินจึงได้เคลื่อนไหวเบาๆ เดินออกไปด้านนอก กำชับคนรับใช้ให้เตรียมน้ำร้อนมาไม่ให้คนรับใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่เขาหิ้วถังน้ำเข้ามาเองเขาอุ้มนางมาแช่ในถังน้ำ คอยสระชำระเส้นผมนางทีละเล็กทีละน้อย เช็ดคราบเลือดบนผิวนางออกอาบตัวนางจนสะอาดหมดจด อุ้มกลับไปบนเตียง ใช้ผ้าห่มห่อตัวนางจากนั้นจึงใช้พลังวิญญาณธาตุไฟบริสุทธิ์ เป่าผมนางจนแห้งและเพราะมีกลิ่นอายของเขาห่อหุ้มอยู่ จั๋วซือหรานจึงหลับลึกอย่างสบาย ไม่ตื
พลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงที่บริสุทธิ์ที่สุด ถูกส่งผ่านเข้ามาอย่างนั้นจั๋วซือหรานมีความรู้สึกเหมือนตนเองถูกแช่ไว้ในน้ำอุ่น เป็นความรู้สึกที่สบายอย่างที่สุดในลำคอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาด้วยความสบายยิ่งไปกว่านั้น คนเราก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองลำบากยากเย็นอะไรนักแต่ตอนที่ร่างกายสามารถผ่อนคลายลงมาได้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานอีกแล้วพอย้อนคิดไปถึงความยากลำบากเหล่านั้นก่อนหน้า กลับรู้สึกว่าตนเองน่าสงสารขึ้นมาจั๋วซือหรานตอนนี้ก็รู้สึก ว่าตนเอง...ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเท่าไรชายคนนี้ เจ้าคนสมควรตายนี่มีสิทธิ์อะไร?มีสิทธิ์อะไรกัน?"..." ชายหนุ่มรู้สึกเจ็บที่ปลายลิ้นเขาขมวดคิ้ว รสชาติคคาวหวานของเลือดแผ่ซ่านในร่องฟันของทั้งสองคนเขามองหญิงสาวตรงหน้า ก็เห็นแววตาของนางมีความหงุดหงิดอยู่หน่อยๆแล้วยังมีสีหน้าท้าทายอีกด้วยดูเหมือนจะจงใจกัดปลายลิ้นเขา น่าจะโมโหเอาการชายหนุ่มไม่ครางออกมาเลย ราวกับไม่รู้สึกเจ็บอย่างไรอย่างนั้นยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใส่ใจ ปลายลิ้นยังโถมใส่นางอย่างเร่าร้อนรุนแรงถ้านางอยากได้ ก็ต้องแล้วแต่นางจั๋วซือหรานดูจนใจหน่อยๆ แต
เหมือนว่าความทรมานทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ได้ทรมานอะไรขนาดนั้นและไม่รู้ว่าเจ้าโง่นี้ใช้แรงกระแทกนางมากแค่ไหน...มีหลายครั้ง ที่นางรู้สึกได้ว่า ในมิตินี้เหมือนสั่นไหวขึ้นมาราวกับวิญญาณของนางที่ถูกขังอยู่ในมิติ จะถูกดันกลับเข้าไปที่เดิมเลยจั๋วซือหรานถลึงตาโตขึ้นหน่อย จ้องมองมิติที่โยกไหวหน่อยๆรู้สึกหมดคำจะพูดแมงมุมน้อยงึมงำขึ้นมาข้างๆ "นายท่าน...ในนี้มัน...ร้อนจัง..."จั๋ซซือรหานมองไปทางเหล่าสัตว์อสูรของตนเอง มองออกไม่ยาก พวกมันเหมือนเริ่มมึนๆ จะหลับกันแล้ว พอเห็นแบบนี้ ก็เหมือนจะไม่ได้แตกต่างอะไรนักกับสถานการณ์ครั้งที่แล้วเพียงแต่ครั้งที่แล้ว ตนเองถูกทำจนเกือบจะสลบไปและตอนนี้ ตนเองถูกทำ...จนใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้วผู้ชายคนนี้...ร้ายกาจจริงๆนี่มันช่าง....สัมผัสแนบเนื้อบนตัวนางมีเหงื่อบางๆ ชั้นหนึ่ง ผิวที่เคยขาวซีดไปทั้งตัว ตอนนี้พอมีเม็ดเหงื่อเกาะอยู่ จึงยิ่งดูเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาและไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน..."อือ..." หญิงสาวที่ไม่มีปฏิกิริยามาตลอด ริมฝีปากที่ยังมีรอยเลือดที่ยังเช็ดไม่สะอาด ส่งเสียงครางออกมาเหมือนลูกแมวตัวน้อยฟังดูแล้วเป็นเสียงอือๆ งึมงำๆน
ในใจจั๋วหวายเข้าใจอย่างหนักแน่นว่าเฟิงเหยียนคือผู้ชายทรยศแต่ว่านี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาคิดว่าเฟิงเหยียนจะทำให้พี่สาวดีขึ้นได้คนเราก็มักมีสองมาตรฐานเช่นนี้ ไม่มีทางเลือกดังนั้นจั๋วหวายแม้จะไม่ได้เน้นหนักว่าผู้ชายทรยศคนนั้นคือผู้ชายทรยศ แต่ก็ยังถามขึ้นว่า "เขาจะพาพี่สาวข้าไปไหน?"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ สายตาก็ลึกซึ้งขึ้นมา "นั่น...เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เขา เด็กๆ ไม่ต้องถามเยอะ"จั๋วหวายเบ้ปาก ในใจก็บ่นว่าตนเองไม่ใช่เด็กแล้วเสียหน่อยแต่ปันอวิ๋นในที่สุดก็ไม่ได้บอกจั๋วหวาย ว่าเฟิงเหยียนจะพาจั๋วซือหรานไปที่ไหนในใจปันอวิ๋นชัดเจนดี สภาพของจั๋วซือหรานแย่หนักถึงระดับนี้แล้ว ขนาดยาก็ยังดื่มไม่ลงถ้าคิดจะใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ปลอบประโลมตัวนาง รวมถึงปลอบประโลมลูกในท้องนาง...วิธีการที่ดีที่สุด คือสิ่งนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยสติสัมปชัญญะของจั๋วซือหรานไม่ได้หลับลึกอย่างสมบูรณ์ ในมิติยังสัมผัสรับรู้ได้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆความรู้สึกนั้น เหมือนกับสติสัมปชัญญะถูกขังอยู่ในมิติอย่างไรอย่างนั้นนางจึงเป็นได้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น"เฮ้อ ดูท่าเขาจะใช้วิะีนั้นสินะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นขนมถั่วแดงกั
แต่ว่าชายหนุ่มยังคงไม่ตอบเขาเขาเพียงยกมือขึ้นมา สะบัดแขนเสื้อ เผยท่อนแขนออกมาจากในแขนเสื้อจั๋วหวายจึงเห็นว่าท่อนแขนของชายคนนี้ มีลายมัดกล้ามที่สวยงาม กระชับเรียวยาวผิวเองก็ขาวเย็น ไม่รู้ว่าเพราะปกติไม่ค่อยโดนแสงแดดหรือเปล่าและตอนนี้เอง ผิวหนังขาวเย็นที่โผล่ออกมานอกแขนเสื้อพอต้องกับแสงตะวัน จั๋วหวายก็รู้สึกเหมือนขาวจนสะท้อนแสงออกมาเลย!จากนั้น หลังจากสัมผัสกับแสง ก็ค่อยๆ รอยแผลเหมือนไฟลวกที่ค่อยๆ แดงขึ้น ก็ปรากฏมาบนท่อนแขนเขาไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่รอยไหม้เหล่านี้ปรากฏ ท่อนแขนเขาก็มีอักขระประหลาดบางส่วนปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็วพออักขระคำสาปปรากฏ บาดแผลเผาไหม้พวกนั้นก็ถูกสะกดลงไป บาดแผลบนผิวหนังเริ่มสมานตัวกลับเหมือนเดิม หลังจากแผลสมานดี อักขระคำสาปเหล่านั้นก็ค่อยๆ สลายหายไปบนผิวหนังเขาแต่ไม่นานนัก ก็ปรากฏแผลไฟลวกอีกครั้ง อักขระเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นมาอีกซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ ดูแล้วทำให้คน...รู้สึกประหลาดมากจั๋วหวายมองจนบื้อไปเลยและชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจกับแผลที่หายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็หายพวกนี้เลย ราวกับเหมือนมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้นและก็เหมือนไม่ได้เจ็บได้ปวดเลย แม้ต
เหมือนว่าพอสายตามองเห็นหญิงสาวในอ้อมกอดปันปวิ๋นที่เหมือนลมพัดก็สลายหายไปได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสทั้งหมดก็เหมือนหายวับไปในพริบตาดวงตามองไม่เห็นสิ่งใดอีกแล้ว หุเองก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีกความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเจ็บปวดรุนแรงเหมือนมีดกรีดกลางใจ ไม่เพียงเท่านี้ สมองก็เหมือนถูกของมีคมกวนคนอย่างไรอย่างนั้น เจ็บขึ้นมาเป็นระยะๆยิ่งเจ็บ ก็ยิ่งอยากจะมองนางให้ชัดจเน ไม่อยากพลาดไปแม้แต่น้อยปันอวิ๋นพอเห็นร่างของเขา และกลิ่นอายนั่นบนตัวปันอวิ๋นในที่สุดก็ถอนใจโล่ง เขามาได้เสียที..."เจ้าหุบเขา?" ศิษย์สำนักข้างๆ ยังระแวดระวังอยู่ปันอวิ๋นบอกกับศิษย์สำนักเสียงเรียบว่า "เขาไม่ทำอะไรหรอก"ศิษย์สำนักพอได้ยินคำนี้ จึงถอนใจโล่งออกมา เพราะตอนที่พวกคนคุ้มกันขวางเขาเมื่อครู่มันเกินต้านแล้วจริงๆปรมาจารย์กู่อย่างพวกเขาเดิมทีก็แพ้ธาตุไฟอยู่แล้ว และชายคนนี้ก็เหมือนจะมีธาตุไฟระดับสูงด้วยพวกเขาไม่มีความสามารถจะไปทัดทานได้เลยปันอวิ๋นพอเห็นร่างสูงใหญ่ตรงหน้า ก็คิดในใจ ยังจะงงอะไรอยู่เล่า ถ้าเจ้ายังงงอยู่ หญิงสาวคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ!"โอ๊ค..." ในปากจั๋วซือหรานมีเลือดสดทะลักออกมาและมือข้างนั
ราวกับว่า...ต่อให้นางจะดูอ่อนแอเหมือนกดให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียวแต่ยังคงไม่ยอมให้คนรู้สึกว่าอ่อนแอ ยังคงทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าหากอยากจะเป็นศัตรูกับนาง ก่อนนางตายก็จะลากเจ้าลงนรกไปด้วยกันตอนนี้รอยยิ้มที่ดูเกียจคร้านไม่ใส่ใจ กลับยิ่งดูสงบนิ่งมั่นคงราวกับยกของหนักได้อย่างสบายนางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน "ใครจะรู้ล่ะ? อาจจะขาดหนูไม้ไผ่อยู่กระมัง"ปันอวิ๋นกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่พอได้ยินหนูไม้ไผ่สองคำนี้ เขาก็รู้แล้ว ว่าตอนที่เขาไปทิ้งจดหมายที่บ้านไม้ไผ่ นางก็เดาได้แล้วว่าเขาทำอะไรเพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นเป็นหญิงสาวที่เจ้าเล่ห์กว่าจิ้งจอกเสียอีกปันอวิ๋นจุ๊ปาก "เจ้านี่ถึงตายไป สมองก็คงจะแล่นอยู่อย่างนี้สินะ?"จั๋วซือหรานแค่เหลือบมองเขา ไม่ได้พูดอะไร มุมปากกลับยกโค้งขึ้นบางๆหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วนางก็ขมวดขึ้นบางๆ"ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้านาง จึงขมวดคิ้วเดินเข้ามา สองมือประคองบ่านางไว้อันที่จริงเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้เห็นสีหน้าทรมานจากหน้านางนัก นางมักจะทำเป็นเหมือนไม่เป็นไรเสมอแต่ตอนนี้ บนสีหน้า กลับดูทรมานขึ้นอย่างชัดเจนจากนั้น นางก็เหมือนจะยืน
จั๋วหวายเกือบจะสำรอกออกมาแล้ว!"ถ้าจะอาเจียนก็ออกไปอาเจียนซะ ถ้าทำกู่กล่องนี้ของข้าพัง ข้าจะจับเจ้าแขวนห้อยหัวซะเลย" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายหมุนตัวพุ่งออกไป สูดลมหายใจลึกหลายครั้งกว่าจะสงบลงมาได้ จากนั้นจึงเตรียมตัวเตรียมใจ ตอนที่เข้าไปอีกครั้งก็ไม่มีกระทบกระเทือนอย่างแรงแบบก่อนหน้าแล้วแต่สายตากลับไม่ได้มองไปยังแผ่นกระดานที่มีของดิ้นกระแด่วๆ นั่นมองแล้วขนลุกสุดๆ"มีเรื่องอะไร?" ปันอวิ๋นถามขึ้นเสียงเรียบจั๋วหวายเอ่ยเสียงต่ำ "ท่านรู้..." เขาสูดจมูก ถามออกไปว่า "ท่านรู้จักเฟิงเหยียนใช่ไหม?"ปันอวิ๋นเดิมทีกำลังป้อนอาหารเจ้าพวกดุ๊กดิ๊กพวกนั้นพอได้ยินคำนี้ การเคลื่อนไหวก็หยุดลงมา ไม่หันไปมองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถามขึ้นเรียบๆ ว่า "ทำไมล่ะ?""ข้าอยากเจอเขา ข้าอยากจะถามเขา ว่าทำไมทำแบบนี้กับพี่ของข้า" จั๋วหวายขอบตาแดงรื้นเขาสูดหายใจลึกแล้วพ่นออกมา "ข้าเองก็อยากจะถามเขา ว่าช่วยพี่ข้าได้ไหม ถ้าหากไม่ได้ หรือก็คือเขาเป็นผู้ชายทรยศ ไม่ยินยอม เช่นนั้นเขามาบอกกับท่านพี่ได้ไหม ว่าให้เลิกแล้วต่อกันจบๆ ไป"ปันอวิ๋นพอได้ยินคำนี้ จะฟังความเสียใจในใจจั๋วหวายไม่ออกได้อย่างไรกั