“ข้าไม่ได้สมองมีปัญหานะ ถึงจะทิ้งตำแหน่งพระชายาไปเป็นอนุภรรยาของเจ้าน่ะ?”“เจ้าไสหัวออกไปเลยนะ อย่าให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก ไม่งั้นข้าจะทุบตีเจ้าทุกครั้งที่เห็นเลย”นางกล่าวจบก็ใช้เท้าขยี้ใบหน้าของเขาไปมา เขาเจ็บไม่น้อย แต่กลับเปล่งเสียงไม่ได้สักคำหลินหว่านถิงพุ่งตัวมาจากด้านข้าง “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าบ้าหรือไง! เจ้ากล้าทำร้ายพี่ชายข้าหรือ!”เฟิ่งชูอิ่งมองนางแวบหนึ่ง ยกมือตบใบหน้าหลินหว่านถิงแล้วเอ่ยว่า “ใช่ นอกจากข้าจะตีพี่ชายเจ้าแล้ว ข้าก็ตีเจ้าด้วย เจ้าจะทำไมล่ะ?”หลินหว่านถิงโกรธแทบบ้า คิดจะลงมือกับนางบ้าง แต่ช่วงนี้เฟิ่งชูอิ่งเหมือนคนคุ้มคลั่งเสียสติเกินไปเฟิ่งชูอิ่งจับหลินอีฉุนทุ่มลงพื้นได้ หลินหว่านถิงไม่คิดว่านางจะสู้ได้ดีกว่าหลินอีฉุนหรอกนะนางคิดจะเรียกให้คนมาช่วยจัดการเฟิ่งชูอิ่ง เฟิ่งชูอิ่งก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “เมื่อคืนพวกเจ้าเข้ามาจับชู้กัน ท่านอ๋องทรงโกรธมากเลย“หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนแล้ว ท่านอ๋องก็รู้ว่าพวกเจ้าทำตัวไม่ดีกับข้า“หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องข้าแม้แต่นิดเดียว ท่านอ๋องจะมาเชือดพวกเจ้าทุกคนบ่าวไพร่พวกนั้นได้ยินปุ๊บ พวกเขาก็พากันถอยห่างไปหลายก้าวทันทีหลินหว่านถิง “.....
เขาเอ่ยหน้ามืดครึ้ม “นังสารเลวคนนี้น่าโมโหนัก!”เขาคิดมาเสมอว่าเฟิ่งชูอิ่งเป็นของตายของเขา แต่เพราะตอนนี้เขายังไม่ได้แต่งงาน กลัวว่าที่ภรรยาจะไม่พอใจ ก็เลยยังไม่ได้แตะต้องเฟิ่งชูอิ่งเขาวางแผนไว้อย่างดีแล้ว หลังจากแต่งงานเรียบร้อย เขาจะรับนางเป็นอนุภรรยาดังนั้นในจวนสกุลหลิน เขาจึงเป็นคนเดียวที่คัดค้านเรื่องการส่งนางไปแต่งงานกับอ๋องฉู่ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตนเองสามารถควบคุมเฟิ่งชูอิ่งได้อย่างสมบูรณ์ คิดว่าไหนๆ นางก็จะตายแล้ว ก่อนตายเขาก็ควรจะได้นอนกับนางเสียก่อนครั้งนี้เขาเดินทางมาจากสำนักศึกษา ยังคิดอยู่เลยว่าจะกล่อมให้เฟิ่งชูอิ่งยอมตกเป็นของตัวเองอย่างไรดีเขาคิดไม่ถึงเลยว่า ทันทีที่เจอหน้ากับเฟิ่งชูอิ่ง นางก็จะลงมือทุบตีเขาทันที!หลินหว่านถิงถอนหายใจแล้วเอ่ย “พี่ชาย ท่านตัดใจจากนางเสียเถอะ”ยิ่งนางพูดแบบนั้น หลินอีฉุนก็ยิ่งหงุดหงิด เขาจะต้องนอนกับเฟิ่งชูอิ่งให้จงได้บ่าวไพร่ในเรือนที่มามุงดูเห็นเช่นนั้นก็พากันตกตะลึงในใจเฟิ่งชูอิ่งกล้าลงมือกระทั่งกับหลินอีฉุน แล้วพวกเขาจะไปเหลืออะไรล่ะถึงพวกเขาจะรู้สึกว่านางบ้าอยู่นิดหน่อย จะต้องถูกเจ้านายในจวนสกุลหลินจัดการอย่างโหดเหี้ยมแน่ แต่พว
เฟิ่งชูอิ่ง “......”การแสดงแบบที่เฉี่ยวหลิงทำให้ดู คาดว่าคงมีเพียงไม่กี่คนที่ทนรับไหวจากนั้นเฉี่ยวหลิงก็กล่าวปิดจบว่า “จิตของนางอ่อนมากเกินไป ห่างชั้นกับคุณหนูแบบเทียบไม่ติด เล่นกับนางไม่สนุกสักนิด”เฟิ่งชูอิ่ง “......เจ้ากล่าวสรุปได้ดีมาก แต่ครั้งหน้าอย่าคิดเองเออเองแบบนั้นอีกนะ เจ้าเอาข้าไปเทียบกับหลินหว่านถิง ก็ไม่ต่างอะไรกับเจ้ากำลังดูถูกข้าหรอก”เฉี่ยวหลิงแลบลิ้นนางกล่าวอย่างเสียดายว่า “วันนี้ข้าเตรียมการแสดงไว้ให้นางชุดใหญ่เลยนะ แต่ข้าเพิ่งจะแสดงให้นางดูแค่อย่างเดียว นางก็ไม่ไหวเสียแล้ว”เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่เป็นไร ครั้งหน้าค่อยแสดงอย่างอื่นให้นางดู”เฉี่ยวหลิงเบิกตาโตแล้วเอ่ยถาม “ครั้งหน้า? หลังจากนี้ข้ายังหลอกนางได้อยู่หรือ?”“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “คืนนี้เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้นแหละ หลังจากนี้เจ้าสามารถไปพูดคุยเปิดอกกับนางได้ทุกวันเลย“อย่างไรเสียนางก็อยู่ถัดจากห้องของพวกเราไปนิดเดียว การไปชวนนางสนทนาไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร“อีกอย่าง เราไม่ควรปล่อยให้นางนอนหลับสบาย หากตอนกลางคืนนางนอนหลับสบายมากเกินไป เดี๋ยวก็หาเรื่องวางแผนมาทำร้ายข้าอีก
เฟิ่งชูอิ่งก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะช่วยเหลือเช่นกัน จึงเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร หากข้าตาย ท่านอ๋องมีชีวิตอยู่ต่อได้สักสามเดือน เดี๋ยวก็ตายตามข้ามาเอง“ข้าจะรอท่านอ๋องอยู่ที่ข้างสะพานไน่เหอ[footnoteRef:1] ตอนที่พวกเราแยกย้ายไปเกิดใหม่จะได้กลับมาเคียงคู่กันอีกครั้ง” [1: สะพานสำหรับข้ามแม่น้ำลืมเลือนที่วิญญาณต้องเดินผ่านเพื่อไปเกิดใหม่ ] จิ่งโม่เยี่ยปรายตามองนางอย่างเย็นชา นางจึงคลี่ยิ้มบางๆ “ถึงข้ากับท่านอ๋องจะเกิดไม่พร้อมกัน แต่พวกเราสามารถตายพร้อมกันได้นะเพคะ“เรื่องแบบนี้แค่คิดก็รู้สึกถึงความหวานซึ้งแล้วเพคะ ข้าดีใจที่สุดเลย...โอ๊ย ท่านอ๋องตีข้าทำไมเพคะ!”หลังจากจิ่งโม่เยี่ยเคาะหัวนางไปทีหนึ่งก็เอ่ยว่า “ถ้าเจ้ายังไม่เลิกพูดจาไร้สาระอีก ไม่ต้องรอให้คนในวังฆ่าหรอก ตายตั้งแต่อยู่บนรถม้าเลยก็ได้” เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางไม่กล้ายั่วโมโหเขาอีก เพียงนั่งเอามือกุมศีรษะอยู่ตรงมุมรถม้า พยายามทำตัวเหมือนอากาศธาตุให้ได้มากที่สุด อย่างไรเสียจิ่งโม่เยี่ยก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนบ้า นางกลัวเขาจะเสียสติกะทันหันแล้วฆ่านางจริงๆ จิ่งโม่เยี่ยใช้หางตาเหลือบมองนางแวบหนึ่ง เขาเบื่อเกินกว่าจะสนใจนาง จึงหยิบตำราเล่มหนึ
ดูเหมือนตั้งแต่เขารู้จักเฟิ่งชูอิ่งมา นางก็ทำลายสถิติครั้งแรกในชีวิตของเขาแบบนับครั้งไม่ถ้วนเขามองนางอย่างเย็นชา นางจึงกล่าวเสียงอ่อนหวานว่า “เมื่อครู่นี้เป็นเพราะท่านอ๋องช่วยรับไว้ มิเช่นนั้นข้าจะต้องล้มแน่เลยเพคะ“ท่านอ๋องทรงดีมากจริงๆ เพคะ ไม่เสียแรงที่ข้าหลงรักปักใจท่านมาตลอด”นางคิดมาอย่างรอบคอบ ตรงนี้คือหน้าประตูวังหลวง จิ่งโม่เยี่ยไม่มีทางกล้าลงมือสังหารนางตรงนี้แน่นอนในเมื่อตอนนี้ไม่มีทางตาย เช่นนั้นนางก็จะเอาคืนเขาต่อ อย่างไรเสียมันก็เป็นบทที่ต้องแสดงอยู่แล้ว ทำไมนางจะหาผลประโยชน์ใส่ตัวบ้างไม่ได้ล่ะจิ่งโม่เยี่ยเป็นผู้ชายที่หล่อเหลามากที่สุดเท่าที่นางเคยพบเจอมา แต๊ะอั๋งสักหน่อยก็ไม่เสียหายในนิยายบอกว่าเขาป่วยหนักจนร่างกายซูบผอม แต่ตอนที่นางแอบลูบคลำแผงอกเขาเมื่อกี้ กล้ามเนื้อของเขาเป็นมัดๆ ชัดเจน จับแล้วเพลินมือมากทีเดียวได้กำไรแล้วล่ะจิ่งโม่เยี่ยมองนางแล้วเอ่ยว่า “เจ้ากำลังหาเรื่องตายอยู่นะ!”เฟิ่งชูอิ่งจึงโผเข้าหาแผงอกเขาอีกครั้งแล้วลูบๆ คลำๆ กล้ามของอีกฝ่าย “ข้างนอกลมแรงยิ่งนัก พัดจนข้าหนาวไปหมดแล้ว ท่านอ๋องช่วยบังให้หน่อยสิเพคะ!”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาคิดว่าตัวเอง
เขามีคิ้วคมดุจกระบี่ ดวงตาเป็นประกายเหมือนดวงดาว ผิวออกจะคล้ำเล็กน้อย ตอนที่หันมาเห็นพวกเขาก็คลี่ยิ้มบางๆ รอยยิ้มของเขาเจิดจ้ายิ่งกว่าพระอาทิตย์เสียอีก ทำให้คนสัมผัสได้ถึงความกระตือรือร้นอันแรงกล้าเขายิ้มแล้วเอ่ยเรียกว่า “พี่สาม!”จิ่งโม่เยี่ยถูกจัดอันดับรวมกับสมาชิกราชวงศ์ทั้งหมด เขาอยู่ลำดับที่สามหลังจากฮ่องเต้พระองค์ก่อนสวรรคต ฮ่องเต้เจาหยวนจึงประกาศว่าจะดูแลจิ่งโม่เยี่ยเหมือนบุตรชายในอุทรของตัวเอง เพื่อแสดงภาพลักษณ์ใจกว้างและความสนิทชิดเชื้อ ดังนั้นเขาจึงถูกจัดลำดับร่วมกับองค์ชายทั้งหมดตามอายุ อายุของเขาอยู่ในลำดับที่สาม ดังนั้นองค์ชายทั้งหมดจึงเรียกเขาว่าพี่สามจิ่งโม่เยี่ยปรายตามองเขาแล้วผงกศีรษะเพียงเล็กน้อย ก่อนจะพาเฟิ่งชูอิ่งเดินตรงเข้าไปข้างในจิ่งสือเยี่ยนมองเฟิ่งชูอิ่งด้วยท่าทางสงสัยใคร่รู้ “เจ้าคือเฟิ่งชูอิ่ง ว่าที่พระชายาของพี่สามสินะ?”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “เพคะ มิทราบว่าท่านคือใครหรือ?”จิ่งสือเยี่ยนหันมายิ้มอวดฟันขาวให้นาง “ข้าคือองค์ชายห้าจิ่งสือเยี่ยน”เฟิ่งชูอิ่งก้มหน้าด้วยท่าทางมีมารยาท “ถวายบังคมองค์ชายห้า....”นางกล่าวจบก็คล้ายจะได้สติคืนมา เบิกตากว้างแล้วเอ่ยถ
กลับได้ยินนางเอ่ยว่า “ในใจของข้า ท่านอ๋องเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า ไม่ว่าบุรุษคนอื่นจะหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าท่านอ๋องก็ล้วนแต่จืดชืดหมดเลยเพคะ”จิ่งโม่เยี่ยยังไม่ทันจะได้เอ่ยอะไร ก็มีเสียงหัวเราะขบขันดังมาจากด้านข้าง “น้องสาม เจ้านี่ช่างโชคดีเสียจริงนะ“ต่อให้ก่อนหน้านี้จะมีว่าที่พระชายาตายไปถึงเจ็ดคน ก็ยังมีสาวน้อยมาหลงรักปักใจเจ้าอยู่ดี”เฟิ่งชูอิ่งเอียงหน้าไปมอง พบว่ามีชายหนุ่มสีหน้าท่าทางเย็นชายืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งหางตาของเขาชี้ขึ้น โหนกแก้มสูงเล็กน้อย คิ้วระเกะระกะไม่เป็นรูปทรง ดูจากโหงวเฮ้งแล้วเป็นคนประเภทจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตจิ่งโม่เยี่ยมองเขาแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “พี่สองกล่าวได้ถูกต้อง ข้าเป็นคนมีเสน่ห์ก็เลยมีแต่คนมาหลงรัก“เรื่องนี้พี่สองจะอิจฉาไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก ใครใช้ให้ท่านหน้าตาขี้เหร่กันล่ะ”จิ่งสือเฟิง “......”ความจริงแล้วหน้าตาเขาไม่ได้ขี้เหร่สักนิด แต่พื้นฐานหน้าตาของคนในราชวงศ์ดีงามเกินไป พอเอามาเปรียบเทียบกันแล้ว หน้าตาของเขาก็สู้จิ่งโม่เยี่ยไม่ได้จริงๆ นั่นแหละจิ่งโม่เยี่ยไม่สนใจเขาอีก เพียงหันกลับมาคุยกับเฟิ่งชูอิ่ง “เขาคือเจ้าสอง จิ่
เฟิ่งชูอิ่งกล่าวถึงตรงนี้ก็หันไปถามจิ่งโม่เยี่ย “ท่านอ๋อง เจ้าอาวาสกล่าวเช่นนี้ ถูกต้องไหมเพคะ?”จิ่งโม่เยี่ยอยากจะตอบมากกว่า “ถูกกับผีน่ะสิ เมื่อไม่กี่วันก่อนยังคิดจะทิ้งงานแต่งหนีตามผู้ชายอยู่เลย มาตอนนี้กลับบอกว่าจะมีลูกให้เขาเต็มบ้าน เจ้าเด็กเลี้ยงแกะ!”ทว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาหักหน้านาง เขาลอบมองนางแวบหนึ่งแล้วพยักหน้าเบาๆ คำพูดของนางช่างถูกใจไทเฮายิ่งนัก นางจึงดึงมือของเฟิ่งชูอิ่งมากุมอย่างสนิทสนม “ข้าก็เห็นเจ้าเป็นเด็กที่มีดวงชะตานำโชคเหมือนกัน“พวกเขาต่างกล่าวกันว่าเยี่ยเอ๋อร์เป็นดาวหายนะ ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องนั้นเลย“ตามกฎระเบียบแล้วข้าไม่สามารถออกจากวังได้ มิฉะนั้นหลังจากพวกเจ้ามีลูกแล้ว ข้าก็อยากจะออกจากวังไปช่วยพวกเจ้าเลี้ยงหลานเหมือนกัน”เฟิ่งชูอิ่ง “......”เรื่องนั้นไม่จำเป็นหรอก!นางก็แค่พูดส่งเดชไปอย่างนั้นเอง!จิ่งโม่เยี่ยเห็นสีหน้าของนางก็แอบขบขันอยู่ในใจ ใครใช้ให้เจ้าพูดจาโกหกล่ะ เขาอยากจะรู้นักว่านางจะกลบเกลื่อนได้อย่างไร ตอนนั้นเอง เสียงเล็กแหลมของขันทีคนหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมา “ฝ่าบาทเสด็จ ฮองเฮาเสด็จ!”ไทเฮาได้ยินเช่นหน้าก็หน้าตึงอย่างฉับพลัน ก่อนจะเดินไปยังที่นั่ง
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท