ครั้งก่อนไทเฮาใช้เรื่องที่เกิดในกรมราชทัณฑ์สั่งลงโทษฮองเฮาอย่างหนัก จนฮองเฮาแทบไม่เหลือหน้าไปพบใคร แล้วยังต้องมอบอำนาจจัดการวังหลังครึ่งหนึ่งให้คนอื่นอีกนางเกลียดไทเฮาอย่างกับอะไรดี แต่กลับไม่กล้าล่วงเกินอีกฝ่ายต่อหน้าเพราะนางทราบว่าไทเฮาเป็นมารดาแท้ๆ ของฮ่องเต้เจาหยวน ฮ่องเต้เจาหยวนพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเอาอกเอาใจไทเฮา หากพระนางสั่งให้เขาปลดตำแหน่งฮองเฮา เขาก็พร้อมจะเห็นดีเห็นงามด้วยทันทีเฟิ่งชูอิ่งที่อยู่ข้างๆ นั่งมองผู้สูงศักดิ์ทั้งสามที่ทรงอำนาจมากสุดในใต้หล้าประชันกัน นางเห็นแล้วรู้สึกคันไม้คันมือยิ่งนัก หลังจากทักทายกันพอเป็นพิธีแล้ว ฮ่องเต้เจาหยวนก็หันไปทางจิ่งโม่เยี่ย “เยี่ยเอ๋อร์ ข้าได้ยินว่าเจ้าถูกใจว่าที่พระชายาคนใหม่มาก ข้ารู้สึกยินดีปรีดายิ่งนัก”จิ่งโม่เยี่ยกล่าวเสียงเฉยชา “เสด็จลุงทรงพยายามอย่างหนัก ข้ารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก”ฮ่องเต้เจาหยวนยิ้มแล้วเอ่ย “เจ้าพอใจก็ดีแล้ว ช่วงหลายปีมานี้ข้าเป็นห่วงเรื่องการแต่งงานของเจ้ามาก อยากเห็นวันที่เจ้าแต่งงานมีครอบครัวไวๆ จะได้มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”เขากล่าวจบก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยเสริมว่า “จะได้ขัดขวางข่าวลือไม่มีมู
ตอนที่เขาดึงมือกลับมา ยันต์แผ่นนั้นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้งจิ่งสือเยี่ยนเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “พี่สาม ท่านไปเอาของเล่นประหลาดแบบนี้มาจากไหนกัน? วิเศษไปเลย!”จิ่งโม่เยี่ย “......”เจ้าห้าจะน่ารำคาญเกินไปแล้ว!เฟิ่งชูอิ่ง “......”นี่คือพระเอกในนิยายจริงๆ หรือ?ทั้งสองต่างก็พูดอะไรไม่ออกจิ่งโม่เยี่ยถามเฟิ่งชูอิ่ง “แกะออกมาได้ไหม?”เฟิ่งชูอิ่งไม่กล้าบอกเขาว่ายันต์ทั่วไปสามารถแกะออกมาได้เพียงแต่ตอนที่นางกำลังวาดยันต์พวกนี้ให้เขา นางรู้สึกรำคาญเขามากจึงแอบใส่ลูกไม้อะไรลงไปนิดหน่อยดังนั้นหลังจากแปะยันต์แผ่นนี้ไปแล้ว นอกจากจะแกะออกมาไม่ได้ ยังส่งผลข้างเคียงบางอย่างด้วยนางไม่คาดคิดจริงๆ ว่าสุดท้ายแล้วยันต์แผ่นนี้จะแปะอยู่บนตัวของจิ่งสือเยี่ยนนางส่ายหน้าเบาๆ ขณะเดียวกันจิ่งสือเฟิงก็เดินเข้ามาหาจิ่งสือเยี่ยนแล้วดึงเขาออกไป “ชะตาชีวิตของเขาเป็นอย่างไรเจ้าก็รู้ดีมิใช่หรือ เจ้าหัดตั้งสติเสียบ้างเถอะ!”เฟิ่งชูอิ่งเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็แอบเลิกคิ้วเบาๆจิ่งสือเยี่ยนทำท่าจะพูดบางอย่าง จิ่งสือเฟิงกลับไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาได้พูดแม้แต่คำเดียว ก็ลากตัวเขาออกไปทันทีเฟิ่งชูอิ่งแค่นเสียง ‘ชิ’
จิ่งโม่เยี่ย “......”จู่ๆ เขาก็นึกเสียใจที่วันนี้พานางเข้าวังมาด้วยเฟิ่งชูอิ่งพูดแบบนี้ไม่ได้มีความหมายแอบแฝงอะไรนางรู้ว่าในวังหลวงแห่งนี้เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย การอยู่ข้างกายเขาย่อมปลอดภัยกว่าอย่างน้อยหากต้องมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนอื่น สองหัวย่อมต้องดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้วจิ่งโม่เยี่ยหรี่ตาถามว่า “หลังจากออกจากวังเจ้าได้เจอดีแน่”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วตอบกลับ “เพคะ”ทั้งสองคนพูดคุยกระซิบกระซาบกันไปมา ในสายตาของคนนอกที่มองมาต่างก็เห็นคู่รักหวานแหวว มีเพียงพวกเขาสองคนที่เข้าใจว่าอยากจิกหัวอีกฝ่ายกันขนาดไหนจิ่งสือเฟิงลากจิ่งสือเยี่ยนออกมาแล้วสั่งสอนเขาชุดใหญ่ “เจ้าเป็นคนซื่อบื้อหรืออย่างไร?“ข้าบอกเจ้าตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าให้อยู่ห่างๆ จิ่งโม่เยี่ยเอาไว้ ทำไมเจ้าถึงไม่เคยฟังกันบ้างเลย?”จิ่งสือเยี่ยนยกมือเกาท้ายทอยเบาๆ “ข้าคิดว่าพี่สามก็ออกจะเป็นคนดีนะ!”จิ่งสือเฟิงก็เผลอยกมือขึ้นเกาศีรษะตัวเองแบบไม่รู้ตัว เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจเขาสั่งสอนจิ่งสือเยี่ยนอยู่สักพักก็กล่าวปิดท้ายว่า “เจ้ายืนสำนึกผิดอยู่ตรงนี้ไปเลยนะ!”จิ่งสือเยี่ยนปกติก็ค่อนข้างเกรงกลัว
ครั้งนี้เฟิ่งชูอิ่งเสียบได้อย่างประจวบเหมาะมาก จึงทำให้เขาเสียหลักพุ่งตัวออกไปด้านหน้าอย่างไม่อาจควบคุมการที่เขาพุ่งออกไปเช่นนี้ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร ก็แค่เซไปข้างหน้าสองสามก้าวเท่านั้นทว่าจิ่งสือเฟิงไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ ตอนแรกเขาก็อยู่ใกล้กับพระสนมคนนั้นมากแล้ว พอร่างกายถูกพลักออกไปด้านหน้าสองสามก้าว เขาก็เลยชนเข้ากับด้านข้างของสนมนางนั้นเต็มๆมือของเขายังเผลอคว้าอากาศเบื้องหน้า จนบังเอิญแปะลงบนต้นขาของพระสนมคนนั้นพอดีจิ่งสือเฟิง “......”พระสนม “!!!!!”นางกำนัลขันทีที่อยู่แถวนั้นต่างตกละลึงจนยืนตัวแข็งทื่อ พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไรพระสนมคนนั้นคิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าทำอะไรแบบนี้ ใบหน้าจึงแดงก่ำด้วยความอับอาย รีบถอยห่างออกไปอีกฝั่งเฟิ่งชูอิ่งใช้หางตาเหลือบมองเหตุการณ์ทางด้านนั้น ก่อนจะหันไปประคองจิ่งสือเยี่ยน “องค์ชายห้า ขอประทานอภัยเพคะ ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนี้”นางกล่าวจบก็ใช้ปลายแหลมของลูกธนูจิ้มจุดลมปราณของเขาหนึ่งที ทำเขาเขาขากระตุกจนเดินสะดุดไปอีกสองสามก้าว เตะเป้าที่เป็นหม้อใส่ลูกดอกจนล้มคว่ำจิ่งสือเฟิงกำลังคิดจะเอ่ยขอโทษพระสนมคนนั้น บอกว่าเข
ตอนนี้เขาทำเรื่องผิดมหันต์ต่อหน้าธารกำนัล มิเท่ากับยื่นจุดอ่อนให้พวกเขาถึงมือหรอกหรือองค์ชายใหญ่จิ่งสืออวิ๋นผู้มีบรรดาศักดิ์อ๋องจ้าวรีบพาคนจำนวนหนึ่งเดินตรงไปทันที เอ่ยถามด้วยเสียงเคร่งขรึม “น้องรอง เจ้าทำบ้าอะไรกันน่ะ?”จิ่งสือเฟิงรีบร้อนตอบว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย! เมื่อครู่นี้มีคนผลักข้า!”จิ่งสืออวิ๋นหัวเราะอย่างเย็นชา “มีคนผลักเจ้า? น่าตลกเสียจริง เมื่อครู่นี้พวกเราต่างก็เห็นกันหมด ด้านหลังเจ้าไม่มีใครอยู่สักคน”ขณะที่ทั้งสองคนกำลังถกเถียงกัน พระสนมคนโปรดก็วิ่งน้ำตานองหน้าไปฟ้องฮ่องเต้เจาหยวนจิ่งสือเยี่ยนคิดจะออกไปช่วยแก้สถานการณ์ เฟิ่งชูอิ่งกลับดึงแขนเสื้อของเขาแล้วกล่าวว่า “องค์ชายห้า ขออภัยเพคะ เมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ“ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ต้องเรียกหมอหลวงมาตรวจดูหรือไม่”เมื่อครู่นี้จิ่งสือเยี่ยนถูกนางใช้คมธนูแทงจนรู้สึกเจ็บแปลบเล็กน้อย แต่ตอนนี้มันไม่ได้เจ็บแล้วเขาจึงกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร แผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่ต้องเชิญหมอหลวงหรอก”เฟิ่งชูอิ่งทำหน้าสำนึกผิด “ข้านี่มันโง่ชะมัดเลย แค่ลูกธนูยังถือให้มั่นคงไม่ได้ ท่านถึงต้องเจ็บตัวเช่นนี้“ท่านลงโทษข้าเถอะ หลังจากนี้ไป
เขาบรรลุอย่างถ่องแท้ว่าเฟิ่งชูอิ่งเป็นนักแสดงละครตัวยง จิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะได้พบนางวันนี้ครั้งแรก ก็ยอมเอ่ยปากช่วยนางถึงเพียงนี้แล้วเขาจึงตอบรับเสียงเฉยชาว่า “ได้”จิ่งสือเยี่ยนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ เฟิ่งชูอิ่งที่อยู่ข้างๆ กลับกระตุกชายอาภรณ์ของเขา “องค์ชายห้า ท่านอย่าต่อว่าท่านอ๋องเช่นนั้นเลยเพคะ“ท่านอ๋องทรงดีกับข้ามากเลย เขาก็แค่แสดงออกไม่เก่งเท่านั้นเอง”จิ่งสือเยี่ยนมองนางอย่างหมดคำพูด แบบนี้ยังเรียกว่าดีมากอีกหรือ?เขาสูดหายใจลึกๆ หนึ่งครา แต่ก็รู้ดีว่านี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาสองคน ตนเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากไม่ได้เขาหันมองจิ่งโม่เยี่ยแวบหนึ่งด้วยสีหน้าหนักอกหนักใจเขาคิดว่าพี่สามคนนี้เป็นโสดได้ด้วยความสามารถของตนเองล้วนๆ แม่นางเฟิ่งก็ช่างน่าสงสารเหลือเกินแต่เพราะเขาเพิ่งจะได้พบกับเฟิ่งชูอิ่งวันนี้ครั้งแรก การออกตัวช่วยอีกฝ่ายมากเกินไปจะดูไม่ดีเขาหันมองเฟิ่งชูอิ่งด้วยท่าทางเห็นอกเห็นใจ ก่อนจะเดินจากไปอีกทางเฟิ่งชูอิ่งเห็นสีหน้าท่าทางของเขาก็รู้สึกเสียดายอย่างมาก ปฏิกิริยาตอบโต้ของจิ่งสือเยี่ยนในวันนี้ทำให้นางประหลาดใจมากจริงๆ การกระทำของนางในวันนี้ นอกจากจะเพื่อเล่นงานจิ่ง
ตอนที่ทั้งสองคนมาถึงตำหนักสือหนิง ด้านในตำหนักก็เละเทะวุ่นวายไปหมดแล้วพระสนมคนนั้นร้องห่มร้องไห้อยู่ตรงหน้าฮ่องเต้เจาหยวนและกำลังฟ้องอะไรบางอย่าง ส่วนจิ่งสือเฟิงก็คุกเข่าอยู่ข้างๆ จิ่งสือเยี่ยนยืนอยู่ตรงมุมตำหนัก ทำตัวเหมือนอากาศธาตุเฟิ่งชูอิ่งกระซิบบอกจิ่งโม่เยี่ย “ท่านอ๋อง ช่วยอะไรข้าสักหน่อยได้ไหม?”จิ่งโม่เยี่ยเหลือบมองนาง นางจึงกระซิบว่า “ท่านช่วยสกัดจุดองค์ชายห้า ให้เขาเคลื่อนไหวไม่ได้ชั่วคราวได้ไหม?”หากตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนขยับตัวแล้วจิ่งสือเฟิงขยับตามเขาทุกอย่างภายในตำหนักเล็กๆ แห่งนี้ การที่คนสองคนเคลื่อนไหวเหมือนกันทุกอย่างจะสะดุดตาเกินไป ซึ่งมันอาจจะสร้างปัญหาให้จิ่งสือเยี่ยนได้นางคิดว่าตนเองเป็นคนรู้จักขอบเขต นางคิดว่าจิ่งสือเยี่ยนเป็นคนดีอยู่ไม่น้อย จึงไม่อยากลากเขามาซวยด้วยจิ่งโม่เยี่ยเอ่ยถามเสียงเย็นชา “ทำไมข้าจะต้องช่วยเจ้าด้วย?”เขาในตอนนี้พอจะสรุปได้แล้วว่ายันต์เหล่านั้นให้ผลลัพธ์อย่างไรบ้าง ย่อมต้องเดาความคิดของนางออกเขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แล้วก็มั่นใจได้เรื่องหนึ่ง นั่นคือจิ่งสือเยี่ยนมีความสำคัญต่อนางไม่น้อยเลยทีเดียวเฟิ่งชูอิ่งตอบกลับว่า “ยันต์ที่ไม่มีปัญ
เฟิ่งชูอิ่งนึกอยากจะช่วยเหลือจิ่งสือเฟิงแก้ตัว แต่นางไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะช่วยพูดอะไรแทนเขาได้ การออกตัวแทนยังอาจจะนำภัยมาสู่ตัวได้ด้วยจิ่งสือเยี่ยนสูดหายใจลึกๆ แล้วตอบว่า “ทูลเสด็จพ่อ ขอที่เสด็จพ่อปามา ลูกมิกล้าหลบพ่ะย่ะค่ะ ยินดีรับการลงโทษแทนเสด็จพี่รอง”เฟิ่งชูอิ่งลอบยกนิ้วโป้งในเขาในใจเงียบๆ เห็นเขาท่าทางสดใสร่าเริงเหมือนคนไร้เล่ห์เหลี่ยม ทว่าสมองกลับปราดเปรื่องไม่เลวเลยอย่างที่คิดเลย ในราชวงศ์แห่งนี้ น่ากลัวว่าต่อให้เป็นคนที่ดูใสซื่อมากที่สุด ก็ยังมีความเจ้าเล่ห์เล็กๆ ติดตัวอยู่ดี ประโยคนี้ของเขานอกจากจะประจบเอาใจฮ่องเต้เจาหยวนแล้ว ยังสามารถซื้อน้ำใจจากจิ่งสือเฟิงได้ด้วยฮ่องเต้เจาหยวนพึงพอใจคำตอบของเขามาก ในบรรดาลูกชายทั้งหมดของเขา จิ่งสือเยี่ยนเป็นคนที่ซื่อสัตย์มากที่สุดเขาจึงกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า รีบเช็ดเลือดเถอะ”จิ่งสือเยี่ยนตอบรับหนึ่งคำ แต่กลับไม่อาจเช็ดเลือดตัวเองได้ฮ่องเต้เจาหยวนเป็นท่าทางโง่เขลาของเขาก็ไม่อยากจะทนมองอีกต่อไป แต่การกระทำของจิ่งสือเยี่ยนกลับทำให้ฮ่องเต้เจาหยวนรู้สึกใจอ่อนลงเล็กน้อยเขากล่าวกับจิ่งสือเฟิงว่า “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกไหม?”ฮ
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท