ครั้งก่อนไทเฮาใช้เรื่องที่เกิดในกรมราชทัณฑ์สั่งลงโทษฮองเฮาอย่างหนัก จนฮองเฮาแทบไม่เหลือหน้าไปพบใคร แล้วยังต้องมอบอำนาจจัดการวังหลังครึ่งหนึ่งให้คนอื่นอีกนางเกลียดไทเฮาอย่างกับอะไรดี แต่กลับไม่กล้าล่วงเกินอีกฝ่ายต่อหน้าเพราะนางทราบว่าไทเฮาเป็นมารดาแท้ๆ ของฮ่องเต้เจาหยวน ฮ่องเต้เจาหยวนพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อเอาอกเอาใจไทเฮา หากพระนางสั่งให้เขาปลดตำแหน่งฮองเฮา เขาก็พร้อมจะเห็นดีเห็นงามด้วยทันทีเฟิ่งชูอิ่งที่อยู่ข้างๆ นั่งมองผู้สูงศักดิ์ทั้งสามที่ทรงอำนาจมากสุดในใต้หล้าประชันกัน นางเห็นแล้วรู้สึกคันไม้คันมือยิ่งนัก หลังจากทักทายกันพอเป็นพิธีแล้ว ฮ่องเต้เจาหยวนก็หันไปทางจิ่งโม่เยี่ย “เยี่ยเอ๋อร์ ข้าได้ยินว่าเจ้าถูกใจว่าที่พระชายาคนใหม่มาก ข้ารู้สึกยินดีปรีดายิ่งนัก”จิ่งโม่เยี่ยกล่าวเสียงเฉยชา “เสด็จลุงทรงพยายามอย่างหนัก ข้ารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก”ฮ่องเต้เจาหยวนยิ้มแล้วเอ่ย “เจ้าพอใจก็ดีแล้ว ช่วงหลายปีมานี้ข้าเป็นห่วงเรื่องการแต่งงานของเจ้ามาก อยากเห็นวันที่เจ้าแต่งงานมีครอบครัวไวๆ จะได้มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”เขากล่าวจบก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยเสริมว่า “จะได้ขัดขวางข่าวลือไม่มีมู
ตอนที่เขาดึงมือกลับมา ยันต์แผ่นนั้นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้งจิ่งสือเยี่ยนเอ่ยถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “พี่สาม ท่านไปเอาของเล่นประหลาดแบบนี้มาจากไหนกัน? วิเศษไปเลย!”จิ่งโม่เยี่ย “......”เจ้าห้าจะน่ารำคาญเกินไปแล้ว!เฟิ่งชูอิ่ง “......”นี่คือพระเอกในนิยายจริงๆ หรือ?ทั้งสองต่างก็พูดอะไรไม่ออกจิ่งโม่เยี่ยถามเฟิ่งชูอิ่ง “แกะออกมาได้ไหม?”เฟิ่งชูอิ่งไม่กล้าบอกเขาว่ายันต์ทั่วไปสามารถแกะออกมาได้เพียงแต่ตอนที่นางกำลังวาดยันต์พวกนี้ให้เขา นางรู้สึกรำคาญเขามากจึงแอบใส่ลูกไม้อะไรลงไปนิดหน่อยดังนั้นหลังจากแปะยันต์แผ่นนี้ไปแล้ว นอกจากจะแกะออกมาไม่ได้ ยังส่งผลข้างเคียงบางอย่างด้วยนางไม่คาดคิดจริงๆ ว่าสุดท้ายแล้วยันต์แผ่นนี้จะแปะอยู่บนตัวของจิ่งสือเยี่ยนนางส่ายหน้าเบาๆ ขณะเดียวกันจิ่งสือเฟิงก็เดินเข้ามาหาจิ่งสือเยี่ยนแล้วดึงเขาออกไป “ชะตาชีวิตของเขาเป็นอย่างไรเจ้าก็รู้ดีมิใช่หรือ เจ้าหัดตั้งสติเสียบ้างเถอะ!”เฟิ่งชูอิ่งเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็แอบเลิกคิ้วเบาๆจิ่งสือเยี่ยนทำท่าจะพูดบางอย่าง จิ่งสือเฟิงกลับไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาได้พูดแม้แต่คำเดียว ก็ลากตัวเขาออกไปทันทีเฟิ่งชูอิ่งแค่นเสียง ‘ชิ’
จิ่งโม่เยี่ย “......”จู่ๆ เขาก็นึกเสียใจที่วันนี้พานางเข้าวังมาด้วยเฟิ่งชูอิ่งพูดแบบนี้ไม่ได้มีความหมายแอบแฝงอะไรนางรู้ว่าในวังหลวงแห่งนี้เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย การอยู่ข้างกายเขาย่อมปลอดภัยกว่าอย่างน้อยหากต้องมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนอื่น สองหัวย่อมต้องดีกว่าหัวเดียวอยู่แล้วจิ่งโม่เยี่ยหรี่ตาถามว่า “หลังจากออกจากวังเจ้าได้เจอดีแน่”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วตอบกลับ “เพคะ”ทั้งสองคนพูดคุยกระซิบกระซาบกันไปมา ในสายตาของคนนอกที่มองมาต่างก็เห็นคู่รักหวานแหวว มีเพียงพวกเขาสองคนที่เข้าใจว่าอยากจิกหัวอีกฝ่ายกันขนาดไหนจิ่งสือเฟิงลากจิ่งสือเยี่ยนออกมาแล้วสั่งสอนเขาชุดใหญ่ “เจ้าเป็นคนซื่อบื้อหรืออย่างไร?“ข้าบอกเจ้าตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าให้อยู่ห่างๆ จิ่งโม่เยี่ยเอาไว้ ทำไมเจ้าถึงไม่เคยฟังกันบ้างเลย?”จิ่งสือเยี่ยนยกมือเกาท้ายทอยเบาๆ “ข้าคิดว่าพี่สามก็ออกจะเป็นคนดีนะ!”จิ่งสือเฟิงก็เผลอยกมือขึ้นเกาศีรษะตัวเองแบบไม่รู้ตัว เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจเขาสั่งสอนจิ่งสือเยี่ยนอยู่สักพักก็กล่าวปิดท้ายว่า “เจ้ายืนสำนึกผิดอยู่ตรงนี้ไปเลยนะ!”จิ่งสือเยี่ยนปกติก็ค่อนข้างเกรงกลัว
ครั้งนี้เฟิ่งชูอิ่งเสียบได้อย่างประจวบเหมาะมาก จึงทำให้เขาเสียหลักพุ่งตัวออกไปด้านหน้าอย่างไม่อาจควบคุมการที่เขาพุ่งออกไปเช่นนี้ไม่นับว่าเป็นปัญหาอะไร ก็แค่เซไปข้างหน้าสองสามก้าวเท่านั้นทว่าจิ่งสือเฟิงไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ ตอนแรกเขาก็อยู่ใกล้กับพระสนมคนนั้นมากแล้ว พอร่างกายถูกพลักออกไปด้านหน้าสองสามก้าว เขาก็เลยชนเข้ากับด้านข้างของสนมนางนั้นเต็มๆมือของเขายังเผลอคว้าอากาศเบื้องหน้า จนบังเอิญแปะลงบนต้นขาของพระสนมคนนั้นพอดีจิ่งสือเฟิง “......”พระสนม “!!!!!”นางกำนัลขันทีที่อยู่แถวนั้นต่างตกละลึงจนยืนตัวแข็งทื่อ พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไรพระสนมคนนั้นคิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าทำอะไรแบบนี้ ใบหน้าจึงแดงก่ำด้วยความอับอาย รีบถอยห่างออกไปอีกฝั่งเฟิ่งชูอิ่งใช้หางตาเหลือบมองเหตุการณ์ทางด้านนั้น ก่อนจะหันไปประคองจิ่งสือเยี่ยน “องค์ชายห้า ขอประทานอภัยเพคะ ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนี้”นางกล่าวจบก็ใช้ปลายแหลมของลูกธนูจิ้มจุดลมปราณของเขาหนึ่งที ทำเขาเขาขากระตุกจนเดินสะดุดไปอีกสองสามก้าว เตะเป้าที่เป็นหม้อใส่ลูกดอกจนล้มคว่ำจิ่งสือเฟิงกำลังคิดจะเอ่ยขอโทษพระสนมคนนั้น บอกว่าเข
ตอนนี้เขาทำเรื่องผิดมหันต์ต่อหน้าธารกำนัล มิเท่ากับยื่นจุดอ่อนให้พวกเขาถึงมือหรอกหรือองค์ชายใหญ่จิ่งสืออวิ๋นผู้มีบรรดาศักดิ์อ๋องจ้าวรีบพาคนจำนวนหนึ่งเดินตรงไปทันที เอ่ยถามด้วยเสียงเคร่งขรึม “น้องรอง เจ้าทำบ้าอะไรกันน่ะ?”จิ่งสือเฟิงรีบร้อนตอบว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย! เมื่อครู่นี้มีคนผลักข้า!”จิ่งสืออวิ๋นหัวเราะอย่างเย็นชา “มีคนผลักเจ้า? น่าตลกเสียจริง เมื่อครู่นี้พวกเราต่างก็เห็นกันหมด ด้านหลังเจ้าไม่มีใครอยู่สักคน”ขณะที่ทั้งสองคนกำลังถกเถียงกัน พระสนมคนโปรดก็วิ่งน้ำตานองหน้าไปฟ้องฮ่องเต้เจาหยวนจิ่งสือเยี่ยนคิดจะออกไปช่วยแก้สถานการณ์ เฟิ่งชูอิ่งกลับดึงแขนเสื้อของเขาแล้วกล่าวว่า “องค์ชายห้า ขออภัยเพคะ เมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ“ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ต้องเรียกหมอหลวงมาตรวจดูหรือไม่”เมื่อครู่นี้จิ่งสือเยี่ยนถูกนางใช้คมธนูแทงจนรู้สึกเจ็บแปลบเล็กน้อย แต่ตอนนี้มันไม่ได้เจ็บแล้วเขาจึงกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร แผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่ต้องเชิญหมอหลวงหรอก”เฟิ่งชูอิ่งทำหน้าสำนึกผิด “ข้านี่มันโง่ชะมัดเลย แค่ลูกธนูยังถือให้มั่นคงไม่ได้ ท่านถึงต้องเจ็บตัวเช่นนี้“ท่านลงโทษข้าเถอะ หลังจากนี้ไป
เขาบรรลุอย่างถ่องแท้ว่าเฟิ่งชูอิ่งเป็นนักแสดงละครตัวยง จิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะได้พบนางวันนี้ครั้งแรก ก็ยอมเอ่ยปากช่วยนางถึงเพียงนี้แล้วเขาจึงตอบรับเสียงเฉยชาว่า “ได้”จิ่งสือเยี่ยนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ เฟิ่งชูอิ่งที่อยู่ข้างๆ กลับกระตุกชายอาภรณ์ของเขา “องค์ชายห้า ท่านอย่าต่อว่าท่านอ๋องเช่นนั้นเลยเพคะ“ท่านอ๋องทรงดีกับข้ามากเลย เขาก็แค่แสดงออกไม่เก่งเท่านั้นเอง”จิ่งสือเยี่ยนมองนางอย่างหมดคำพูด แบบนี้ยังเรียกว่าดีมากอีกหรือ?เขาสูดหายใจลึกๆ หนึ่งครา แต่ก็รู้ดีว่านี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาสองคน ตนเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากไม่ได้เขาหันมองจิ่งโม่เยี่ยแวบหนึ่งด้วยสีหน้าหนักอกหนักใจเขาคิดว่าพี่สามคนนี้เป็นโสดได้ด้วยความสามารถของตนเองล้วนๆ แม่นางเฟิ่งก็ช่างน่าสงสารเหลือเกินแต่เพราะเขาเพิ่งจะได้พบกับเฟิ่งชูอิ่งวันนี้ครั้งแรก การออกตัวช่วยอีกฝ่ายมากเกินไปจะดูไม่ดีเขาหันมองเฟิ่งชูอิ่งด้วยท่าทางเห็นอกเห็นใจ ก่อนจะเดินจากไปอีกทางเฟิ่งชูอิ่งเห็นสีหน้าท่าทางของเขาก็รู้สึกเสียดายอย่างมาก ปฏิกิริยาตอบโต้ของจิ่งสือเยี่ยนในวันนี้ทำให้นางประหลาดใจมากจริงๆ การกระทำของนางในวันนี้ นอกจากจะเพื่อเล่นงานจิ่ง
ตอนที่ทั้งสองคนมาถึงตำหนักสือหนิง ด้านในตำหนักก็เละเทะวุ่นวายไปหมดแล้วพระสนมคนนั้นร้องห่มร้องไห้อยู่ตรงหน้าฮ่องเต้เจาหยวนและกำลังฟ้องอะไรบางอย่าง ส่วนจิ่งสือเฟิงก็คุกเข่าอยู่ข้างๆ จิ่งสือเยี่ยนยืนอยู่ตรงมุมตำหนัก ทำตัวเหมือนอากาศธาตุเฟิ่งชูอิ่งกระซิบบอกจิ่งโม่เยี่ย “ท่านอ๋อง ช่วยอะไรข้าสักหน่อยได้ไหม?”จิ่งโม่เยี่ยเหลือบมองนาง นางจึงกระซิบว่า “ท่านช่วยสกัดจุดองค์ชายห้า ให้เขาเคลื่อนไหวไม่ได้ชั่วคราวได้ไหม?”หากตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนขยับตัวแล้วจิ่งสือเฟิงขยับตามเขาทุกอย่างภายในตำหนักเล็กๆ แห่งนี้ การที่คนสองคนเคลื่อนไหวเหมือนกันทุกอย่างจะสะดุดตาเกินไป ซึ่งมันอาจจะสร้างปัญหาให้จิ่งสือเยี่ยนได้นางคิดว่าตนเองเป็นคนรู้จักขอบเขต นางคิดว่าจิ่งสือเยี่ยนเป็นคนดีอยู่ไม่น้อย จึงไม่อยากลากเขามาซวยด้วยจิ่งโม่เยี่ยเอ่ยถามเสียงเย็นชา “ทำไมข้าจะต้องช่วยเจ้าด้วย?”เขาในตอนนี้พอจะสรุปได้แล้วว่ายันต์เหล่านั้นให้ผลลัพธ์อย่างไรบ้าง ย่อมต้องเดาความคิดของนางออกเขารู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แล้วก็มั่นใจได้เรื่องหนึ่ง นั่นคือจิ่งสือเยี่ยนมีความสำคัญต่อนางไม่น้อยเลยทีเดียวเฟิ่งชูอิ่งตอบกลับว่า “ยันต์ที่ไม่มีปัญ
เฟิ่งชูอิ่งนึกอยากจะช่วยเหลือจิ่งสือเฟิงแก้ตัว แต่นางไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะช่วยพูดอะไรแทนเขาได้ การออกตัวแทนยังอาจจะนำภัยมาสู่ตัวได้ด้วยจิ่งสือเยี่ยนสูดหายใจลึกๆ แล้วตอบว่า “ทูลเสด็จพ่อ ขอที่เสด็จพ่อปามา ลูกมิกล้าหลบพ่ะย่ะค่ะ ยินดีรับการลงโทษแทนเสด็จพี่รอง”เฟิ่งชูอิ่งลอบยกนิ้วโป้งในเขาในใจเงียบๆ เห็นเขาท่าทางสดใสร่าเริงเหมือนคนไร้เล่ห์เหลี่ยม ทว่าสมองกลับปราดเปรื่องไม่เลวเลยอย่างที่คิดเลย ในราชวงศ์แห่งนี้ น่ากลัวว่าต่อให้เป็นคนที่ดูใสซื่อมากที่สุด ก็ยังมีความเจ้าเล่ห์เล็กๆ ติดตัวอยู่ดี ประโยคนี้ของเขานอกจากจะประจบเอาใจฮ่องเต้เจาหยวนแล้ว ยังสามารถซื้อน้ำใจจากจิ่งสือเฟิงได้ด้วยฮ่องเต้เจาหยวนพึงพอใจคำตอบของเขามาก ในบรรดาลูกชายทั้งหมดของเขา จิ่งสือเยี่ยนเป็นคนที่ซื่อสัตย์มากที่สุดเขาจึงกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า รีบเช็ดเลือดเถอะ”จิ่งสือเยี่ยนตอบรับหนึ่งคำ แต่กลับไม่อาจเช็ดเลือดตัวเองได้ฮ่องเต้เจาหยวนเป็นท่าทางโง่เขลาของเขาก็ไม่อยากจะทนมองอีกต่อไป แต่การกระทำของจิ่งสือเยี่ยนกลับทำให้ฮ่องเต้เจาหยวนรู้สึกใจอ่อนลงเล็กน้อยเขากล่าวกับจิ่งสือเฟิงว่า “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกไหม?”ฮ
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท
เฟิ่งชูอิ่งเหลือบมองเขา ตอนนี้บนใบหน้าของเขามีบาดแผลเลือดไหลซึมอยู่หลายแห่ง น่าจะเป็นฝีมือของปลากินคนองคาพยพทั้งห้าที่เคยดูสดใสร่าเริงของเขา กลับดูดุร้ายน่ากลัวขึ้นหลายส่วนเมื่อมีรอยฟันปลาเหล่านั้นนางเอ่ยอย่างปลงตก “เจ้านี่หนังเหนียวจริงๆ นะ เจอขนาดนี้แล้วยังไม่ตายอีก”สมกับเป็นพระเอกของเรื่อง เป็นผู้มีบุญวาสนาโดยแท้ตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนเหนื่อยจะแสร้งทำเป็นสดใสร่าเริงแล้ว เขามองนางด้วยสายตามืดดำ “เจ้าคงผิดหวังมากสินะ?”“จิ่งโม่เยี่ยรักเจ้ามากขนาดนั้น หากเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของข้า เดาสิว่าเขาจะทำอย่างไร?”เฟิ่งชูอิ่งครุ่นคิดอย่างจริงจังก่อนจะตอบว่า “คิดไม่ออก เจ้าลองเดาเองไหม?”จิ่งสือเยี่ยนจ้องมองนาง พยายามมองมาความหวาดกลัว ความวิตกกังวลจากสีหน้าของนาง แต่กลับไม่พบอะไรเลยแววตาของเขาหม่นลงเล็กน้อย “ถ้าข้าใช้เจ้าแลกกับใต้หล้าแห่งนี้ คิดว่าจิ่งโม่เยี่ยจะยอมไหม?”เฟิ่งชูอิ่งครุ่นคิดอย่างจริงจังอีกครั้ง “คงไม่มั้ง ถึงเขาจะยอม เจ้าก็คงไม่ปล่อยข้าและเขาให้มีชีวิตอยู่ต่อไปหรอก”“สุดท้ายเราสองคนก็คงต้องตายด้วยน้ำมือเจ้า ดังนั้นเขาคงไม่ยอมแลกหรอก”พูดจบนางก็บอกกับจิ่งสือเยี่ยนอีกว
เพียงแต่เขาดูแข็งแกร่งเกินไป แล้วยังมีวิชาเต๋าที่แกร่งกล้าคอยค้ำจุนเอาไว้ เขาไม่ยอมแสดงด้านที่อ่อนแอให้นางเห็น นางก็เลยไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนนางรู้ว่าความปรารถนาอันแรงกล้าที่สุดในใจของเขาคือเฟิ่งชิงหลิง ตอนนี้พอรู้ว่าเฟิ่งชิงหลิงวิญญาณแหลกสลายไปแล้ว ปณิธานดังกล่าวก็เลือนหายไปด้วยที่เขาทนมาได้จนถึงทุกวันนี้ ล้วนเป็นเพราะความปรารถนานั้น ตอนนี้ไม่เหลืออะไรให้ยึดเหนี่ยวอีกแล้วจิ้งจอกสือซานเหนียงก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ นางมองดูแสงดาวที่สลายไปของเหมยตงยวนอย่างเหม่อลอย แล้วถอนหายใจยาวนางเป็นปีศาจจิ้งจอก คิดว่าตัวเองเข้าใจด้านมืดของจิตใจมนุษย์แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกว่า ความรักที่ซ่อนเร้นไว้ มักจะถูกคนอื่นประเมินค่าต่ำไปสิ่งที่นางคิดว่าเป็นความเฉยชา กลับเต็มไปด้วยความรักที่ลึกซึ้งที่สุดในโลกความปรารถนาเดิมของนางคือการฆ่าเหมยตงยวน แต่ตอนนี้เหมยตงยวนตายไปแล้ว นางกลับรู้สึกเสียใจอย่างมากระหว่างที่ทั้งสองจมอยู่ในความโศกเศร้า ไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีคนแอบเข้ามาใกล้กว่าเฟิ่งชูอิ่งจะรับรู้ถึงความผิดปกติที่คืบคลานเข้ามา ก็สายเกินไปเสียแล้ว มีฝ่ามือสับลงที่สันคอของนางอย่างแรงนางหันก
เฟิ่งชูอิ่งรีบหยิบยันต์ออกมาแผ่นหนึ่งแปะลงบนตัวเหมยตงยวน เพื่อระงับโทสะและพลังอำนาจด้านมืดที่พลุ่งพล่านออกมาจากตัวเขานางร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง “ท่านพ่อ!”แต่เหมยตงยวนไม่ได้หันมองนาง เพียงพึมพำว่า “ข้าเป็นคนฆ่าเฟิ่งชิงหลิง ข้าเป็นคนทำให้นางต้องตาย!”“ตอนนั้นทำไมข้าต้องออกไปทำภารกิจด้วย ข้าควรจะฆ่าเจ้าสำนักให้เร็วกว่านี้”เดิมทีจิ้งจอกสือซานเหนียงมั่นใจว่าเฟิ่งชิงหลิงถูกเขาฆ่าตาย แต่เมื่อเห็นสภาพเขาเช่นนี้ก็รู้ว่าตนเองคิดผิดเพราะเฟิ่งชิงหลิงวิญญาณสลายไปแล้ว เหมยตงยวนก็ตายไปแล้วเช่นกันในสถานการณ์เช่นนี้ เหมยตงยวนไม่จำเป็นต้องหลอกนางอีกจิ้งจอกสือซานเหนียงฝึกฝนอย่างหนักตลอดหลายปีมานี้ก็เพื่อฆ่าเหมยตงยวน แต่ตอนนี้นางกลับพบว่า ความเกลียดชังที่นางมีต่อเหมยตงยวนมานานหลายปีกลับสูญเปล่าตอนนี้นางรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปนางพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ในเมื่อเจ้ามีคุณหนูอยู่ในใจ ทำไมตอนนั้นถึงไม่แสดงออกให้ชัดเจนกว่านี้?”“คุณหนูเคยคิดว่าเจ้าไม่เคยรักนางสักนิด ซ้ำยังคิดว่าเจ้าเกลียดชังนางด้วย”ตอนที่เฟิ่งชิงหลิงยังมีชีวิตอยู่ นางคิดมาตลอดว่าสาเหตุที่เหมยตงยวนบุกเข้าไปในดินแ
“เจ้าสำนักมีของวิเศษชิ้นหนึ่ง สามารถเปลี่ยนร่างเป็นคนอื่นได้ตามใจชอบ”“ข้าถูกเขาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก จึงรู้จักข้าดีที่สุด ดังนั้นการที่เขาจะเปลี่ยนร่างเป็นข้าจึงเป็นเรื่องง่ายมาก”เมื่อได้ยินดังนั้นทั้งเฟิ่งชูอิ่งและจิ้งจอกสือซานเหนียงก็ตกตะลึงเหมยตงยวนกำมือแน่น “ข้าคือผู้ที่เขาเลือกเฟ้นอย่างดีให้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไป”“เขาคิดว่าการจะเป็นเจ้าสำนักได้ต้องตัดเยื่อใยไร้ความรัก เมื่อเฟิ่งชิงหลิงตาย ข้าก็จะไม่มีพันธะใดๆ ในโลกนี้อีก ตอนนั้นข้าถึงจะคู่ควรกับตำแหน่งเจ้าสำนักลี้ลับ”“แต่ก่อนหน้านี้ข้าเคยทะเลาะกับเขาอย่างรุนแรงเรื่องของชิงหลิง เขาจึงไม่กล้าลงมือทำอะไรอีก”“แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าเช่นนี้!”ก่อนออกไปทำภารกิจ เขาแอบไปเยี่ยมเฟิ่งชิงหลิง พบว่าอาการของนางดีขึ้นมากแล้วด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงวางใจออกไปทำภารกิจด้านนอกแต่เมื่อเขาย้อนกลับมาอีกครั้ง นางก็จากไปแล้วเหมยตงยวนเคยติดใจสงสัยเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่เพราะเขาสืบไม่พบเบาะแสใดใดยิ่งไปกว่านั้น หลังจากเฟิ่งชิงหลิงเสียชีวิตแล้ว เขาก็หาดวงวิญญาณของนางไม่พบ จึงคิดไปว่านางคงไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกต่อไปใน