เฟิ่งชูอิ่งนึกอยากจะช่วยเหลือจิ่งสือเฟิงแก้ตัว แต่นางไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะช่วยพูดอะไรแทนเขาได้ การออกตัวแทนยังอาจจะนำภัยมาสู่ตัวได้ด้วยจิ่งสือเยี่ยนสูดหายใจลึกๆ แล้วตอบว่า “ทูลเสด็จพ่อ ขอที่เสด็จพ่อปามา ลูกมิกล้าหลบพ่ะย่ะค่ะ ยินดีรับการลงโทษแทนเสด็จพี่รอง”เฟิ่งชูอิ่งลอบยกนิ้วโป้งในเขาในใจเงียบๆ เห็นเขาท่าทางสดใสร่าเริงเหมือนคนไร้เล่ห์เหลี่ยม ทว่าสมองกลับปราดเปรื่องไม่เลวเลยอย่างที่คิดเลย ในราชวงศ์แห่งนี้ น่ากลัวว่าต่อให้เป็นคนที่ดูใสซื่อมากที่สุด ก็ยังมีความเจ้าเล่ห์เล็กๆ ติดตัวอยู่ดี ประโยคนี้ของเขานอกจากจะประจบเอาใจฮ่องเต้เจาหยวนแล้ว ยังสามารถซื้อน้ำใจจากจิ่งสือเฟิงได้ด้วยฮ่องเต้เจาหยวนพึงพอใจคำตอบของเขามาก ในบรรดาลูกชายทั้งหมดของเขา จิ่งสือเยี่ยนเป็นคนที่ซื่อสัตย์มากที่สุดเขาจึงกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า รีบเช็ดเลือดเถอะ”จิ่งสือเยี่ยนตอบรับหนึ่งคำ แต่กลับไม่อาจเช็ดเลือดตัวเองได้ฮ่องเต้เจาหยวนเป็นท่าทางโง่เขลาของเขาก็ไม่อยากจะทนมองอีกต่อไป แต่การกระทำของจิ่งสือเยี่ยนกลับทำให้ฮ่องเต้เจาหยวนรู้สึกใจอ่อนลงเล็กน้อยเขากล่าวกับจิ่งสือเฟิงว่า “เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกไหม?”ฮ
จิ่งสือเฟิงรีบโขกศีรษะขอบพระทัยไทเฮา เรื่องนี้จึงผ่านพ้นไปด้วยดีหัวหน้านางกำนัลจึงเข้ามาสอบถามไทเฮาว่าต้องการเริ่มงานเลี้ยงเลยหรือไม่ ไทเฮาพยักหน้ารับ คนทั้งหมดจึงพากันไปนั่งประจำที่เฟิ่งชูอิ่งจึงหันไปขยิบตาให้จิ่งโม่เยี่ย เขาจึงช่วยคลายการสกัดจุดให้จิ่งสือเยี่ยนจิ่งสือเยี่ยนที่รู้สึกว่าร่างการสามารถขยับเขยื้อนได้แล้วจึงยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่จมูก ทำให้จิ่งสือเฟิงยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองไปด้วยซึ่งการกระทำของเขากลับกลายเป็นการเช็ดน้ำตาในมุมมองของฮ่องเต้เจาหยวนฮ่องเต้เจาหยวนพลันคิดว่าเขาไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย เป็นผู้ชายแท้ๆ กลับร้องห่มร้องไห้แบบนี้ มันใช้ได้ที่ไหนกันด้วยเหตุนี้เอง ฮ่องเต้เจาหยวนจึงมีความคิดเห็นต่อจิ่งสือเฟิงแย่ลงกว่าเดิมหนึ่งส่วนฮ่องเต้เจาหยวนหันมองไปทางจิ่งสือเยี่ยนที่ยังเช็ดคราบเลือดอยู่ เขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่รู้ความ แต่ว่าซื่อตรงเกินไปหน่อยหลังจากทุกคนเข้าประจำที่ ไทเฮาก็กวักมือเรียกเฟิ่งชูอิ่ง “เจ้ามานั่งข้างๆ ข้าเถอะ”ฮ่องเต้เจาหยวนได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองเฟิ่งชูอิ่ง นัยน์ตาของเขาสงบนิ่งจนยากจะคาดเดาไทเฮากล่าวกับฮ่องเต้เจาหยวนว่า “เจ้าพระราชทานสมรสให้เยี่ย
นับตั้งแต่เกิดเรื่องที่กรมราชทัณฑ์ นางก็รู้สึกติดใจสงสัยมาโดยตลอด หลังจากจบเรื่องแล้วนางจึงส่งคนไปตรวจสอบที่กรมราชทัณฑ์สภาพด้านในมีแต่เรื่องแปลกพิสดารเต็มไปหมด บรรดาขันทีที่ทำงานในกรมราชทัณฑ์ล้วนตายอย่างน่าสยดสยองขุนนางจากศาลต้าหลี่มาตรวจสอบแล้วยังบอกว่าคนเหล่านั้นตายแปลกประหลาดเกินไป เป็นการตายแบบผิดปกตินักพรตจากสำนักโหรหลวงบอกว่าคืนนั้นในวังหลวงมีการกระเพื่อมของไอมังกร ทิศทางตรงไปที่กรมราชทัณฑ์ คาดว่าคืนนั้นจะต้องมีวิญญาณร้ายอาละวาดอยู่ในกรมราชทัณฑ์ซึ่งในคืนนั้นคนที่รอดออกมาจากกรมราชทัณฑ์ได้มีเพียงเฟิ่งชูอิ่งและจิ่งโม่เยี่ย จิ่งโม่เยี่ยน่าจะเข้าไปเพียงครู่เดียวก็ออกมาเลย คนที่อยู่ด้านในมาตั้งแต่แรกคือเฟิ่งชูอิ่งแล้ววันนี้พอเฟิ่งชูอิ่งเข้าวังมา จิ่งสือเฟิงก็ทำตัวผิดปกติทันทีนางสงสัยอย่างยิ่งว่าเรื่องที่เกิดกับจิ่งสือเฟิงในวันนี้จะเกี่ยวข้องกับเฟิ่งชูอิ่ง แต่นางไม่มีหลักฐานแล้วยามนี้ไทเฮายังปกป้องเฟิ่งชูอิ่งอีก นางคงลงมือได้ลำบาก จึงต้องทนข่มความอัดอั้นเอาไว้ชั่วคราวมื้ออาหารภายในงานเลี้ยงครานี้ ผู้คนทั้งหลายต่างดื่มกินกันด้วยความคิดที่แตกต่าง นอกจากไทเฮาแล้ว แต่ละคนก็แทบจะไม่อ
หลังจากพวกเขาออกไปแล้ว ไทเฮาก็ทรงพระสรวลเบาๆ หันไปคุยกับนางกำนัลอาวุโสข้างกาย “เจ้าคิดว่าพวกเขาเหมาะสมกันหรือไม่?”นางกำนัลอาวุโสตอบกลับยิ้มๆ “เหมาะสมมากเพคะ”ไทเฮาพรูลมหายใจยาวแล้วเอ่ย “การแก่งแย่งกันในครอบครัว ช่างน่าสะเทือนใจยิ่งนัก“ข้าแก่แล้ว เรื่องหลายอย่างแม้มีใจก็ไม่มีแรงจะทำ“ตอนนี้ข้าหวังเพียงแค่เยี่ยเอ๋อร์จะมีชีวิตอยู่นานกว่าข้าสักหน่อย ข้าไม่อยากจะสัมผัสความเจ็บปวดของคนผมขาวยืนส่งคนผมดำอีกแล้ว”คำพูดของนางแฝงไว้ด้วยความลับอันยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ นางกำนัลอาวุโสจึงไม่เอ่ยอะไร แล้วก็ไม่กล้าเอ่ยด้วย เพียงยิ้มรับบางๆไทเฮาก็ไม่คิดจะเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก นางกล่าวอย่างมีความสุขว่า “เรื่องในวันนี้ แปดส่วนต้องเป็นฝีมือของชูอิ่ง“เด็กสาวคนนี้ดูเหมือนจะมีกลอุบายที่ไม่มีใครล่วงรู้ แล้วยังเสแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อย่างแนบเนียนอีก ข้าถูกใจมากจริงๆ”ความจริงแล้ววันนี้ไทเฮาไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติอะไรเลยแต่นางตระหนักดีว่าจิ่งสือเฟิงไม่มีทางกล้าลงมือทำเรื่องแบบนั้นกับพระสนมในวังหลังอย่างแน่นอนกลอุบายทั้งหลายที่คนในวังใช้กันนางก็รู้จักเป็นอย่างดี ใครบ้าดีเดือดพอจะเลือกใช้วิธีการแบบนั้นง
เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเสียงดังกล่าวก็เผลอเลิกคิ้วเบาๆ เพราะนางจำได้ว่านั่นคือเสียงของจิ่งสือเฟิงดวงตาดอกท้อของจิ่งโม่เยี่ยแข็งกร้าวเล็กน้อย นัยน์ตาของเขาแฝงไว้ด้วยความรำคาญหลายส่วนเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาเช่นนั้น ก็ทราบทันทีว่ากำลังจะมีงิ้วดีเกิดขึ้นอีกแล้วนางรู้สึกตื่นเต้นจนเผลอเลียปากตัวเองเล็กน้อยการกระทำดังกล่าวทำให้ทั้งสองคนหยุดชะงักไปครู่หนึ่งเพราะว่ามือของจิ่งโม่เยี่ยปิดทับปากของนางอยู่ พอนางแลบลิ้นเลียเช่นนี้เลยโดนมือของเขาด้วยจิ่งโม่เยี่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างที่นุ่มนิ่มและเปียกชื้นลากผ่านกลางฝ่ามือของเขาไป ซึ่งการสัมผัสแบบนี้ทำให้เขาถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงความทรงจำหนึ่งพลันผุดขึ้นในสมองของเขา ครั้งก่อนเขาคิดจะลองชิมรสชาติของนางดู จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สมปรารถนาเลยคราวนี้เขาไม่คิดจะอดทนอีกแล้วเขาคว้านางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน คลายมือที่ปิดปากของนางออกแล้วก้มลงไปจูบนางแบบแอบดุดันเฟิ่งชูอิ่ง “......”เฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”นางคิดว่าเขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ!ตอนนี้จิ่งสือเฟิงกำลังยืนรอหาเรื่องเขาอยู่ข้างนอก เขากลับเสียสติเกิดอยากจะลวนลามนางขึ้นมาเสียอย่างนั้นอย่างที่คิดเลย เรื่องที่คนบ
เมื่อครู่นี้ยังจูบนางอยู่เลยแท้ๆ ผ่านไปครู่เดียวก็ไล่นางลงจากรถแล้วการกระทำของเขาโดยเนื้อแท้แล้วไม่ต่างจากการได้แล้วทิ้งเลยสักนิดจิ่งโม่เยี่ยเห็นนางนั่งนิ่งไม่ขยับ จึงปรายตามองนางอย่างเหนื่อยหน่าย “อย่าให้ข้าต้องพูดเป็นครั้งที่สอง”เฟิ่งชูอิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “ถ้าเก่งนักทีหลังก็ไม่ต้องมาหาข้าอีก!”นางกล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อกระโดดลงจากรถม้าไปเหมือนเช่นครั้งก่อน ทันทีที่ขาของนางแตะพื้น รถม้าก็แทบจะพุ่งทะยานออกไปราวกับบินได้เฟิ่งชูอิ่งลอบด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเขาในใจอีกครั้งจิ่งสือเฟิงที่โกรธจัดยิ่งกว่านางตะเกียกตะกายขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะกระทืบเท้าด้วยความโมโห “จิ่งโม่เยี่ย เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้นะ!”รถม้าของจิ่งโม่เยี่ยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้แต่น้อย มันวิ่งฉิวออกไปอย่างไรเยื่อใยจิ่งสือเฟิงโกรธจนแทบบ้า เฟิ่งชูอิ่งจึงปลอบใจเขาด้วยความหวังดีว่า “ท่านอ๋องเฉิน ท่านอ๋องฉู่ทรงจากไปไกลแล้วเพคะ ท่านด่าไปเขาก็ไม่ได้ยินหรอก”จิ่งสือเฟิงจึงหันหน้ามาถลึงตาใส่นางอย่างโกรธเคือง “เรื่องง่ายๆ ที่เห็นอยู่ตำตาแบบนี้ ข้ายังต้องให้เจ้ามาเอ่ยเตือนด้วยหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะแห้งๆ ทำท่า
เฟิ่งชูอิ่งยืนสะอื้นโดยไม่ตอบอะไรจิ่งสือเฟิงหันมองไปรอบๆ ตัวก่อนจะบอกนางว่า “แม่นางเฟิ่งตามข้าไปดื่มชาที่โรงน้ำชาด้านหน้านั่นเถอะ!”เขากล่าวจบก็ไม่สนใจว่านางจะยินยอมหรือไม่ สั่งให้ทหารองครักษ์ล้อมนางทันที นางจึงต้องยอมเดินตามจิ่งสือเฟิงไปที่โรงน้ำชาแต่โดยดีจิ่งสือเฟิงลอบมองนางอย่างละเอียด พบว่าคิ้วของนางเรียวสวย องคาพยพทั้งห้างดงามอย่างยิ่ง ทรวดทรงองค์เอวก็มิเลวเลยเขาจึงยิ้มบางๆ “แม่นางเฟิ่งหน้าตางดงามถึงเพียงนี้ น้องสามปฏิบัติต่อเจ้าย่ำแย่ขนาดนั้น เจ้าไม่ควรจะหลงรักปักใจกับเขาเลย“ขอแค่แม่นางเฟิ่งเต็มใจเข้าวังไปเป็นพยานยืนยันกับเสด็จพ่อของข้า บอกเขาว่าเรื่องในวันนี้เป็นแผนร้ายของน้องสาม ข้าจะต้องตอบแทนเจ้าอย่างงามแน่นอน”เฟิ่งชูอิ่งเพียงเม้มปากโดยไม่พูดไม่จา ท่าทางเหมือนคนกำลังเจ็บปวดจิ่งสือเฟิงเห็นนางเป็นเช่นนั้น จึงรู้ว่านางก็แค่เด็กสาวอ่อนแอที่ไม่เคยเผชิญโลกกว้างคนหนึ่งเท่านั้นเขาจึงโบกมือเบาๆ สั่งให้องครักษ์ทั้งหมดในห้องถอยออกไปจิ่งสือเฟิงลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งข้างนาง นางคิดจะเบี่ยงตัวหลบ แต่เขากลับตวัดแขนมาโอบไหล่นางเอาไว้นางพลันตัวแข็งทื่อ ในใจก่นด่าอีกฝ่ายว่า “ไอ้หื่นกาม!
เขายังไม่ทันจะได้ตั้งตัว จิ่งสือเฟิงก็คว้าเขาไปจูบหนึ่งทีแล้วองครักษ์ที่เหลือตรงนั้นพากันยืนตาค้าง เกิดอะไรขึ้นกับจิ่งสือเฟิงเนี่ย?จิ่งสือเฟิงรู้สึกว่าการจูบองครักษ์คนนั้นอย่างเดียวยังไม่พอ จึงคิดจะถอดกางเกงของเขาด้วยองครักษ์ “!!!!!!”โลกนี้มันบ้าบอไปกันหมดแล้ว!เขาพยายามผลักไสจิ่งสือเฟิงอย่างสุดชีวิต จิ่งสือเฟิงก็เลยหันไปจูบองครักษ์คนอื่นแทนองครักษ์ไม่กล้าลงมือทำร้ายเขา จึงทำได้เพียงผลักออกไปเหมือนเขาจะรู้สึกตัวว่าองครักษ์เหล่านี้แรงเยอะเกินไป ไม่ถูกใจอย่างที่เขาต้องการ เขาจึงทำท่าหงุดหงิดแล้วฉีกอาภรณ์ของตนเองออก ขณะพุ่งตัวออกไปด้านนอกพอเขาออกมาได้ ก็พบกับหญิงนางหนึ่งที่อายุประมาณห้าสิบปีกว่า เขาจึงพุ่งเข้าไปหานางจนล้มลงพื้น ”คนสวย มานอนกับข้าเสียดีๆ!”หญิงนางนี้แม้จะอายุมากแล้ว แต่ก็ไม่เคยพบเจอเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อน จึงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อนางแผดเสียงร้องแหลมแสบแก้วหู ทำเอาผู้คนที่สัญจรอยู่บนถนนหันมามองกันเกือบหมดลูกชายของหญิงคนนั้นบังเอิญอยู่แถวนั้นพอดี จึงถลาเข้ามาแล้วชกใส่จิ่งสือเฟิงเต็มแรงองครักษ์ที่เห็นว่าเรื่องราวมันชักจะไปกันใหญ่แล้ว จึงใช้มือทุบเขาจนสลบ จากนั้นก็พาเขาเด
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท
เฟิ่งชูอิ่งเหลือบมองเขา ตอนนี้บนใบหน้าของเขามีบาดแผลเลือดไหลซึมอยู่หลายแห่ง น่าจะเป็นฝีมือของปลากินคนองคาพยพทั้งห้าที่เคยดูสดใสร่าเริงของเขา กลับดูดุร้ายน่ากลัวขึ้นหลายส่วนเมื่อมีรอยฟันปลาเหล่านั้นนางเอ่ยอย่างปลงตก “เจ้านี่หนังเหนียวจริงๆ นะ เจอขนาดนี้แล้วยังไม่ตายอีก”สมกับเป็นพระเอกของเรื่อง เป็นผู้มีบุญวาสนาโดยแท้ตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนเหนื่อยจะแสร้งทำเป็นสดใสร่าเริงแล้ว เขามองนางด้วยสายตามืดดำ “เจ้าคงผิดหวังมากสินะ?”“จิ่งโม่เยี่ยรักเจ้ามากขนาดนั้น หากเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของข้า เดาสิว่าเขาจะทำอย่างไร?”เฟิ่งชูอิ่งครุ่นคิดอย่างจริงจังก่อนจะตอบว่า “คิดไม่ออก เจ้าลองเดาเองไหม?”จิ่งสือเยี่ยนจ้องมองนาง พยายามมองมาความหวาดกลัว ความวิตกกังวลจากสีหน้าของนาง แต่กลับไม่พบอะไรเลยแววตาของเขาหม่นลงเล็กน้อย “ถ้าข้าใช้เจ้าแลกกับใต้หล้าแห่งนี้ คิดว่าจิ่งโม่เยี่ยจะยอมไหม?”เฟิ่งชูอิ่งครุ่นคิดอย่างจริงจังอีกครั้ง “คงไม่มั้ง ถึงเขาจะยอม เจ้าก็คงไม่ปล่อยข้าและเขาให้มีชีวิตอยู่ต่อไปหรอก”“สุดท้ายเราสองคนก็คงต้องตายด้วยน้ำมือเจ้า ดังนั้นเขาคงไม่ยอมแลกหรอก”พูดจบนางก็บอกกับจิ่งสือเยี่ยนอีกว