หากกล่าวว่าคนบนโลกนี้ คนที่มีความเป็นไปได้น้อยที่สุดที่จะถูกฮ่องเต้พระองค์ก่อนเลือกให้เก็บรักษาพระราชโองการ ก็คงจะต้องเป็นท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายนี่แหละแต่ในเวลานี้เขากลับบอกทุกคนว่า ฮ่องเต้พระองค์ก่อนได้มอบพระราชโองการแต่งตั้งองค์ชายจิ่งโม่เยี่ยขึ้นเป็นรัชทายาทให้เขาเก็บรักษาไว้ ฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ!เพราะก่อนที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะสิ้นพระชนม์ เขาก็ถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวงตั้งนานแล้ว และในช่วงหลายปีต่อมาก็ทำงานเป็นขุนนางตำแหน่งน้อยในพื้นที่ชนบทจนกระทั่งเข้าสู่ปีที่สี่แห่งรัชสมัยของฮ่องเต้เจาหยวน ด้วยผลงานที่โดดเด่น เขาจึงถูกฮ่องเต้เจาหยวนเรียกตัวกลับมายังเมืองหลวง เข้าร่วมราชสำนักของเมืองหลวง และค่อยๆ ไต่เต้าก้าวขึ้นเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายหลังจากที่องค์ชายจิ่งโม่เยี่ยขึ้นเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ต่อต้านองค์ชายจิ่งโม่เยี่ยอย่างชัดเจน แต่เมื่อเกิดการโต้เถียงกัน เขาก็ไม่ได้ไว้หน้าองค์ชายจิ่งโม่เยี่ยเลยแม้แต่น้อยด้วยบุคลิกเช่นนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่เหมือนขุนนางที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนเลือกไว้ให้องค์ชายจิ่งโม่เยี่ยเมื่อเห็นสีหน้าของทุกคน เสนาบดีฝ่าย
พระนางตรวจดูอย่างละเอียดก่อนจะพบว่ามันเป็นความจริง ในวันที่องค์ฮ่องเต้สวรรคตนั้น เกิดปัญหาขึ้นกับตราลัญจกรของราชวงศ์พระพักตร์ของพระนางซีดเผือดลง เช่นเดียวกับสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนที่ไม่สู้ดีนักเสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวต่อว่า “สาเหตุที่อดีตฮ่องเต้ทรงเตรียมการไว้ล่วงหน้า เพราะพระองค์ทรงสังเกตเห็นความทะเยอทะยานของฮ่องเต้เจาหยวนมานานแล้ว”“แต่ด้วยพระทัยที่อ่อนโยน อดีตฮ่องเต้จึงไม่อาจข่มใจทำร้ายน้องชายของตนเองได้”“แต่พระองค์ก็ไม่ได้คาดคิดว่า ฮ่องเต้เจาหยวนจะลงมือฆ่าพระองค์ แถมยังจะฆ่าลูกชายเพียงคนเดียวของพระองค์อีกด้วย”จิ่งสือเยี่ยนมองไปที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายแล้วถามว่า “ข้ามีข้อสงสัย ในตอนที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต แม้ว่าท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะดำรงตำแหน่งในเมืองหลวง แต่ตำแหน่งก็ไม่ได้สูงนัก”“ในบรรดาขุนนางทั้งหลาย ทำไมอดีตฮ่องเต้ถึงเลือกท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายล่ะ”เสนาบดีฝ่ายซ้ายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับสายพระเนตรอันยาวไกลของอดีตฮ่องเต้”“แม้ว่าตำแหน่งของข้าจะไม่สูงนักในตอนนั้น แต่ข้าก็เป็นจอหงวนที่อดีตฮ่องเต้ทรงเลือกด้วยพระองค์เอง”“ความสัมพันธ์ระหว่างข้า
“และเขาก็ไม่ได้กดดันข้า เพียงเพราะความคิดเห็นของข้าขัดกับเขา”“พูดตามตรง ข้าไม่รู้จักเขามาก่อน และมีข่าวลือมากมายในเมืองหลวงว่าเขาเป็นพวกหัวรุนแรง ข้าก็เลยมีอคติกับเขาอยู่บ้าง”“เคยคิดว่าถ้าเขาได้เป็นกษัตริย์ เขาต้องกลายเป็นทรราชอย่างแน่นอน”“แต่การทดสอบในช่วงนี้พิสูจน์แล้วว่าความคิดของข้าเป็นเรื่องผิด เขาไม่เพียงแต่จะไม่เป็นทรราช แต่ยังจะเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ด้วย!”จิ่งโม่เยี่ยประคองเสนาบดีฝ่ายซ้ายเบาๆ แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายชมเกินไปแล้ว”“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้บริหารราชการแผ่นดิน ข้ายังไม่คุ้นเคยกับเรื่องในราชสำนัก จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีข้อบกพร่อง”“โชคดีที่ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายคอยตักเตือนข้าหลายครั้ง ทำให้ข้าไม่ทำผิดพลาด คิดดูแล้ว ข้าต่างหากที่ควรขอบคุณท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย”คำพูดของทั้งสองทำให้สีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนและฮองเฮายิ่งดูแย่ลงเพราะคำพูดของทั้งสองเปิดเผยข้อมูลมากมายที่จริงแล้วก่อนหน้านี้เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ไม่ได้มองจิ่งโม่เยี่ยในแง่ดี เขาเคยทดสอบจิ่งโม่เยี่ยหลายครั้งและจิ่งโม่เยี่ยก็ไม่ได้เลือกปฏิบัติ แม้จะไม่รู้ว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายมีราชโองการ
มือของจิ่งสือเยี่ยนกำแน่นเป็นหมัด เขาไม่คิดเลยว่าจิ่งโม่เยี่ยจะรู้มาตลอด!เขาคิดว่าตัวเองทำได้ดีมาก ทุกคนต่างก็ชมว่าเขาเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาแม้กระทั่งมีคนเตือนเขาว่าอย่าไปสนิทสนมกับจิ่งโม่เยี่ยมากเกินไป เดี๋ยวจะโดนฮ่องเต้เจาหยวนพาลลงโทษเขาคิดว่าตัวเองหลอกทุกคนได้หมด แต่ไม่นึกเลยว่า ขนาดจิ่งโม่เยี่ยที่เป็นเป้าหมายของเขายังล่วงรู้ความจริงเลยแบบนี้ก็อธิบายได้แล้วว่าทำไมจิ่งโม่เยี่ยถึงเย็นชาใส่เขาตลอด ทำท่าเหมือนไม่สนใจใยดีก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเป็นเพราะนิสัยของจิ่งโม่เยี่ย แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า จิ่งโม่เยี่ยมองเขาออกแบบทะลุปรุโปร่งตั้งนานแล้วความรู้สึกแบบนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่ตัวตลกที่ถูกจิ่งโม่เยี่ยปั่นหัวเล่นเขาขบฟันแน่นและเอ่ยว่า “ท่านพี่สาม ท่าน…”“เจ้าอยากจะบอกว่าข้าใจร้ายเกินไปสินะ รู้ทั้งรู้แต่ไม่ยอมพูด” จิ่งโม่เยี่ยยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าอยากจะเสแสร้งเป็นคนดี ข้าจะไปขัดขวางความสุขของเจ้าได้อย่างไร”จิ่งสือเยี่ยน “……”เขาถึงกับพูดไม่ออก เพราะคำพูดของจิ่งโม่เยี่ยเหมือนมีดคมๆ กรีดหน้ากากของเขาจนย่อยยับสุดท้ายจิ่งโม่เยี่ยสรุปให้จิ่งสือเยี่ยนฟังว่า “เอาจริงๆ
เสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยเสียงเรียบว่า “ถึงแม้ทุกคนจะได้อ่านราชโองการฉบับนี้แล้ว แต่ข้าคิดว่าควรจะมีพิธีรีตองสักหน่อย”“ถ้าอย่างนั้นข้าจะอ่านราชโองการฉบับนี้อีกครั้ง”เหล่าขุนนางที่ลุกขึ้นยืนแล้วก็คุกเข่าลงอีกครั้งฮองเฮาและจิ่งสือเยี่ยนเดิมทีไม่อยากคุกเข่า แต่ในเวลานี้ก็จำต้องคุกเข่าลงอีกครั้งการแย่งชิงอำนาจราชบัลลังก์ ผู้ชนะคือราชา ผู้แพ้คือกบฏแม้ไม่มีราชโองการฉบับนี้ จิ่งโม่เยี่ยก็ควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวงได้แล้ว เขาคือราชาที่แท้จริงต่อให้จิ่งสือเยี่ยนจะใช้เล่ห์เหลี่ยมแค่ไหน เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอำนาจที่แท้จริง ก็ไม่มีค่าให้เอ่ยถึงเลยเมื่อมีราชโองการฉบับนี้ การขึ้นครองราชย์ของเขาก็ยิ่งชอบธรรมมากขึ้นเมื่อมีความชอบธรรมนี้แล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็ถือว่ามีเหตุผลรองรับช่วงเวลาต่อมา พวกเขาก็ปรึกษาหารือรายละเอียดการขึ้นครองราชย์ของจิ่งโม่เยี่ยจิ่งโม่เยี่ยไม่มีความหน้าไหว้หลังหลอกเหมือนจิ่งสือเยี่ยน เดิมทีเขาก็เป็นพระโอรสเพียงองค์เดียวของอดีตฮ่องเต้ เป็นรัชทายาทอันดับหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องบ่ายเบี่ยงหรือเสแสร้งเขาไม่เคยปิดบังความตั้งใจที่จะเป็นฮ่องเต้ต่อหน้าผู้คนเพร
เมื่อเสนาบดีกรมพิธีได้ยินเช่นนั้น ก็เข้าใจแจ่มแจ้งในทันทีคำพูดนี้แปลได้ว่า ฮ่องเต้เจาหยวนเป็นฮ่องเต้ที่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ในเมื่อตายไปแล้วก็จบ ทุกอย่างจัดการอย่างเรียบง่ายก็เพียงพอ แค่อย่าให้ใครหาเรื่องจับผิดได้จิ่งโม่เยี่ยคือฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เรื่องของพระองค์ต่างหากที่สำคัญที่สุดหลังจากที่เขาได้แนวทางแล้ว ก็เรียกขุนนางกรมพิธีมาสั่งการเรื่องสำคัญดังกล่าวเมื่อฮ่องเต้เจาหยวนกลายเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา ก็ไม่คู่ควรที่จะนอนในโลงศพไม้แกะสลักฝังทองคำ ควรนอนในโลงศพธรรมดาๆ เท่านั้นจิ่งโม่เยี่ยยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง มองขันทีนำศพของฮ่องเต้เจาหยวนเข้าไปวางในโลงศพธรรมดาๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน และไม่ได้ขัดขวางเมื่อหัวหน้ากรมพิธีการเห็นปฏิกิริยาของพระองค์ ก็ชื่นชมท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายในใจ ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายช่างเก่งกาจจริงๆ!เพียงคำพูดเดียวของจิ่งโม่เยี่ย กลับตีความได้มากมายขนาดนี้ฮองเฮาและเหล่าองค์ชายยืนเฝ้าอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นภาพนี้ นางก็รีบออกมาขัดขวางทันที “ฝ่าบาทเป็นถึงฮ่องเต้ของแคว้น พวกเจ้าจะใช้โลงศพแบบนี้ฝังพระองค์ได้อย่างไร!”จิ่งโม่เยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
สิ่งที่เกิดขึ้นกับองค์ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะไม่เกิดขึ้นซ้ำรอยกับเขาอีกถึงแม้ว่าตอนนี้เขายังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ แต่บัลลังก์ของเขาก็มั่นคงแล้วเขาอยากจะแบ่งปันเรื่องนี้กับนางและบอกนางว่าต่อไปนี้ไม่ว่านางจะอยู่ที่ไหน นางก็สามารถทำตามอำเภอใจได้ทุกอย่าง เขาจะคอยคุ้มครองนางเองจิ่งโม่เยี่ยมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำในเวลานี้ ทว่าตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาอยากทำคือไปพบนางเขาไม่อยากฝืนใจตัวเอง จึงหันหลังกลับจะเดินออกไป แต่ถูกปู๋เยี่ยโหวขวางไว้เขามองปู๋เยี่ยโหวด้วยสายตาเย็นชา แต่ปู๋เยี่ยโหวกลับไม่กลัวเขาเลยสักนิด “คืนนี้ข้าเป็นผู้มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวง เจ้าอย่ามาจ้องข้าแบบนั้นนะ!”จิ่งโม่เยี่ยไม่เพียงแค่อยากจ้องเขา เขายังอยากจะต่อยอีกฝ่ายด้วย จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าทำไมปู๋เยี่ยโหวถึงขวางเขาไว้ในเวลาแบบนี้ปู๋เยี่ยโหวถอนหายใจด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่าย “อีกไม่นานเจ้าก็จะเป็นฮ่องเต้แล้ว ต่อไปนี้ข้าคงพูดกับเจ้าแบบนี้ไม่ได้อีก”“ดังนั้นข้าต้องรีบคว้าโอกาสสุดท้ายก่อนที่เจ้าจะขึ้นครองราชย์ เพื่อสัมผัสความรู้สึกของการได้ยั่วโมโหเจ้า”จิ่งโม่เยี่ยคิดว่าเขาเป็นบ้า!ปู๋เยี่ยโหวมองเขาแล้วพูดว่า “ข้ารู
ถึงปู๋เยี่ยโหวจะใจกล้าบ้าบิ่น แต่เขาก็กลัวผีที่เขาไม่กลัวเฉี่ยวหลิงมากนัก เพราะรู้จักกันดีแล้ว รู้ว่านางจะไม่ทำร้ายเขาแต่ฮ่องเต้เจาหยวน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ใช่ผีที่ดีแน่ ๆ เพราะตอนยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่คนดีอะไรปู๋เยี่ยโหวไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าอิฐที่วางอยู่ข้างๆ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับรองฐานโลงศพ ฟาดลงไปที่หัวของฮ่องเต้เจาหยวนอย่างจังในจังหวะที่ฮ่องเต้เจาหยวนกำลังจะลุกขึ้นนั่งนั้น พระองค์ตั้งใจจะร้องเรียกขุนนางที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าพระองค์คิดว่าหากบอกขุนนางเหล่านั้นว่าถูกจิ่งโม่เยี่ยกักขังไว้ในวัง ขุนนางคนสนิทของพระองค์จะต้องออกมาต่อต้านอย่างแน่นอนก่อนหน้านี้พระองค์ไม่สามารถติดต่อกับขุนนางเหล่านี้ได้ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ขุนนางเหล่านี้จะต้องเข้าวังพระองค์ยังทรงทราบอีกว่าขุนนางเหล่านั้นเฝ้าอยู่ข้างนอก เพียงแค่พระองค์ร้องเสียงดัง พวกขุนนางก็จะได้ยินทันทีแผนการของพระองค์ค่อนข้างยอดเยี่ยม ในทางปฏิบัติแล้วนี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการส่งข่าวสารออกไปหากพระองค์สามารถส่งข่าวสารออกไปได้ แม้ว่าจะสิ้นพระชนม์หลังจากนั้น ก็ยังสามารถสร้างความลำบากให้กับจิ่งโม่เยี่ยได้ไม่น้อยหลังจากนี้
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท