พระนางตรวจดูอย่างละเอียดก่อนจะพบว่ามันเป็นความจริง ในวันที่องค์ฮ่องเต้สวรรคตนั้น เกิดปัญหาขึ้นกับตราลัญจกรของราชวงศ์พระพักตร์ของพระนางซีดเผือดลง เช่นเดียวกับสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนที่ไม่สู้ดีนักเสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวต่อว่า “สาเหตุที่อดีตฮ่องเต้ทรงเตรียมการไว้ล่วงหน้า เพราะพระองค์ทรงสังเกตเห็นความทะเยอทะยานของฮ่องเต้เจาหยวนมานานแล้ว”“แต่ด้วยพระทัยที่อ่อนโยน อดีตฮ่องเต้จึงไม่อาจข่มใจทำร้ายน้องชายของตนเองได้”“แต่พระองค์ก็ไม่ได้คาดคิดว่า ฮ่องเต้เจาหยวนจะลงมือฆ่าพระองค์ แถมยังจะฆ่าลูกชายเพียงคนเดียวของพระองค์อีกด้วย”จิ่งสือเยี่ยนมองไปที่เสนาบดีฝ่ายซ้ายแล้วถามว่า “ข้ามีข้อสงสัย ในตอนที่อดีตฮ่องเต้สวรรคต แม้ว่าท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะดำรงตำแหน่งในเมืองหลวง แต่ตำแหน่งก็ไม่ได้สูงนัก”“ในบรรดาขุนนางทั้งหลาย ทำไมอดีตฮ่องเต้ถึงเลือกท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายล่ะ”เสนาบดีฝ่ายซ้ายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับสายพระเนตรอันยาวไกลของอดีตฮ่องเต้”“แม้ว่าตำแหน่งของข้าจะไม่สูงนักในตอนนั้น แต่ข้าก็เป็นจอหงวนที่อดีตฮ่องเต้ทรงเลือกด้วยพระองค์เอง”“ความสัมพันธ์ระหว่างข้า
“และเขาก็ไม่ได้กดดันข้า เพียงเพราะความคิดเห็นของข้าขัดกับเขา”“พูดตามตรง ข้าไม่รู้จักเขามาก่อน และมีข่าวลือมากมายในเมืองหลวงว่าเขาเป็นพวกหัวรุนแรง ข้าก็เลยมีอคติกับเขาอยู่บ้าง”“เคยคิดว่าถ้าเขาได้เป็นกษัตริย์ เขาต้องกลายเป็นทรราชอย่างแน่นอน”“แต่การทดสอบในช่วงนี้พิสูจน์แล้วว่าความคิดของข้าเป็นเรื่องผิด เขาไม่เพียงแต่จะไม่เป็นทรราช แต่ยังจะเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ด้วย!”จิ่งโม่เยี่ยประคองเสนาบดีฝ่ายซ้ายเบาๆ แล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายชมเกินไปแล้ว”“นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้บริหารราชการแผ่นดิน ข้ายังไม่คุ้นเคยกับเรื่องในราชสำนัก จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีข้อบกพร่อง”“โชคดีที่ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายคอยตักเตือนข้าหลายครั้ง ทำให้ข้าไม่ทำผิดพลาด คิดดูแล้ว ข้าต่างหากที่ควรขอบคุณท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย”คำพูดของทั้งสองทำให้สีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนและฮองเฮายิ่งดูแย่ลงเพราะคำพูดของทั้งสองเปิดเผยข้อมูลมากมายที่จริงแล้วก่อนหน้านี้เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ไม่ได้มองจิ่งโม่เยี่ยในแง่ดี เขาเคยทดสอบจิ่งโม่เยี่ยหลายครั้งและจิ่งโม่เยี่ยก็ไม่ได้เลือกปฏิบัติ แม้จะไม่รู้ว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายมีราชโองการ
มือของจิ่งสือเยี่ยนกำแน่นเป็นหมัด เขาไม่คิดเลยว่าจิ่งโม่เยี่ยจะรู้มาตลอด!เขาคิดว่าตัวเองทำได้ดีมาก ทุกคนต่างก็ชมว่าเขาเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาแม้กระทั่งมีคนเตือนเขาว่าอย่าไปสนิทสนมกับจิ่งโม่เยี่ยมากเกินไป เดี๋ยวจะโดนฮ่องเต้เจาหยวนพาลลงโทษเขาคิดว่าตัวเองหลอกทุกคนได้หมด แต่ไม่นึกเลยว่า ขนาดจิ่งโม่เยี่ยที่เป็นเป้าหมายของเขายังล่วงรู้ความจริงเลยแบบนี้ก็อธิบายได้แล้วว่าทำไมจิ่งโม่เยี่ยถึงเย็นชาใส่เขาตลอด ทำท่าเหมือนไม่สนใจใยดีก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเป็นเพราะนิสัยของจิ่งโม่เยี่ย แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่า จิ่งโม่เยี่ยมองเขาออกแบบทะลุปรุโปร่งตั้งนานแล้วความรู้สึกแบบนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นแค่ตัวตลกที่ถูกจิ่งโม่เยี่ยปั่นหัวเล่นเขาขบฟันแน่นและเอ่ยว่า “ท่านพี่สาม ท่าน…”“เจ้าอยากจะบอกว่าข้าใจร้ายเกินไปสินะ รู้ทั้งรู้แต่ไม่ยอมพูด” จิ่งโม่เยี่ยยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าอยากจะเสแสร้งเป็นคนดี ข้าจะไปขัดขวางความสุขของเจ้าได้อย่างไร”จิ่งสือเยี่ยน “……”เขาถึงกับพูดไม่ออก เพราะคำพูดของจิ่งโม่เยี่ยเหมือนมีดคมๆ กรีดหน้ากากของเขาจนย่อยยับสุดท้ายจิ่งโม่เยี่ยสรุปให้จิ่งสือเยี่ยนฟังว่า “เอาจริงๆ
เสนาบดีฝ่ายซ้ายเอ่ยเสียงเรียบว่า “ถึงแม้ทุกคนจะได้อ่านราชโองการฉบับนี้แล้ว แต่ข้าคิดว่าควรจะมีพิธีรีตองสักหน่อย”“ถ้าอย่างนั้นข้าจะอ่านราชโองการฉบับนี้อีกครั้ง”เหล่าขุนนางที่ลุกขึ้นยืนแล้วก็คุกเข่าลงอีกครั้งฮองเฮาและจิ่งสือเยี่ยนเดิมทีไม่อยากคุกเข่า แต่ในเวลานี้ก็จำต้องคุกเข่าลงอีกครั้งการแย่งชิงอำนาจราชบัลลังก์ ผู้ชนะคือราชา ผู้แพ้คือกบฏแม้ไม่มีราชโองการฉบับนี้ จิ่งโม่เยี่ยก็ควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวงได้แล้ว เขาคือราชาที่แท้จริงต่อให้จิ่งสือเยี่ยนจะใช้เล่ห์เหลี่ยมแค่ไหน เมื่อเผชิญหน้ากับพลังอำนาจที่แท้จริง ก็ไม่มีค่าให้เอ่ยถึงเลยเมื่อมีราชโองการฉบับนี้ การขึ้นครองราชย์ของเขาก็ยิ่งชอบธรรมมากขึ้นเมื่อมีความชอบธรรมนี้แล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ก็ถือว่ามีเหตุผลรองรับช่วงเวลาต่อมา พวกเขาก็ปรึกษาหารือรายละเอียดการขึ้นครองราชย์ของจิ่งโม่เยี่ยจิ่งโม่เยี่ยไม่มีความหน้าไหว้หลังหลอกเหมือนจิ่งสือเยี่ยน เดิมทีเขาก็เป็นพระโอรสเพียงองค์เดียวของอดีตฮ่องเต้ เป็นรัชทายาทอันดับหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องบ่ายเบี่ยงหรือเสแสร้งเขาไม่เคยปิดบังความตั้งใจที่จะเป็นฮ่องเต้ต่อหน้าผู้คนเพร
เมื่อเสนาบดีกรมพิธีได้ยินเช่นนั้น ก็เข้าใจแจ่มแจ้งในทันทีคำพูดนี้แปลได้ว่า ฮ่องเต้เจาหยวนเป็นฮ่องเต้ที่ถูกปลดออกจากตำแหน่ง ในเมื่อตายไปแล้วก็จบ ทุกอย่างจัดการอย่างเรียบง่ายก็เพียงพอ แค่อย่าให้ใครหาเรื่องจับผิดได้จิ่งโม่เยี่ยคือฮ่องเต้พระองค์ใหม่ เรื่องของพระองค์ต่างหากที่สำคัญที่สุดหลังจากที่เขาได้แนวทางแล้ว ก็เรียกขุนนางกรมพิธีมาสั่งการเรื่องสำคัญดังกล่าวเมื่อฮ่องเต้เจาหยวนกลายเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา ก็ไม่คู่ควรที่จะนอนในโลงศพไม้แกะสลักฝังทองคำ ควรนอนในโลงศพธรรมดาๆ เท่านั้นจิ่งโม่เยี่ยยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง มองขันทีนำศพของฮ่องเต้เจาหยวนเข้าไปวางในโลงศพธรรมดาๆ ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน และไม่ได้ขัดขวางเมื่อหัวหน้ากรมพิธีการเห็นปฏิกิริยาของพระองค์ ก็ชื่นชมท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายในใจ ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายช่างเก่งกาจจริงๆ!เพียงคำพูดเดียวของจิ่งโม่เยี่ย กลับตีความได้มากมายขนาดนี้ฮองเฮาและเหล่าองค์ชายยืนเฝ้าอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นภาพนี้ นางก็รีบออกมาขัดขวางทันที “ฝ่าบาทเป็นถึงฮ่องเต้ของแคว้น พวกเจ้าจะใช้โลงศพแบบนี้ฝังพระองค์ได้อย่างไร!”จิ่งโม่เยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
สิ่งที่เกิดขึ้นกับองค์ฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะไม่เกิดขึ้นซ้ำรอยกับเขาอีกถึงแม้ว่าตอนนี้เขายังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ แต่บัลลังก์ของเขาก็มั่นคงแล้วเขาอยากจะแบ่งปันเรื่องนี้กับนางและบอกนางว่าต่อไปนี้ไม่ว่านางจะอยู่ที่ไหน นางก็สามารถทำตามอำเภอใจได้ทุกอย่าง เขาจะคอยคุ้มครองนางเองจิ่งโม่เยี่ยมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำในเวลานี้ ทว่าตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาอยากทำคือไปพบนางเขาไม่อยากฝืนใจตัวเอง จึงหันหลังกลับจะเดินออกไป แต่ถูกปู๋เยี่ยโหวขวางไว้เขามองปู๋เยี่ยโหวด้วยสายตาเย็นชา แต่ปู๋เยี่ยโหวกลับไม่กลัวเขาเลยสักนิด “คืนนี้ข้าเป็นผู้มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวง เจ้าอย่ามาจ้องข้าแบบนั้นนะ!”จิ่งโม่เยี่ยไม่เพียงแค่อยากจ้องเขา เขายังอยากจะต่อยอีกฝ่ายด้วย จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าทำไมปู๋เยี่ยโหวถึงขวางเขาไว้ในเวลาแบบนี้ปู๋เยี่ยโหวถอนหายใจด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่าย “อีกไม่นานเจ้าก็จะเป็นฮ่องเต้แล้ว ต่อไปนี้ข้าคงพูดกับเจ้าแบบนี้ไม่ได้อีก”“ดังนั้นข้าต้องรีบคว้าโอกาสสุดท้ายก่อนที่เจ้าจะขึ้นครองราชย์ เพื่อสัมผัสความรู้สึกของการได้ยั่วโมโหเจ้า”จิ่งโม่เยี่ยคิดว่าเขาเป็นบ้า!ปู๋เยี่ยโหวมองเขาแล้วพูดว่า “ข้ารู
ถึงปู๋เยี่ยโหวจะใจกล้าบ้าบิ่น แต่เขาก็กลัวผีที่เขาไม่กลัวเฉี่ยวหลิงมากนัก เพราะรู้จักกันดีแล้ว รู้ว่านางจะไม่ทำร้ายเขาแต่ฮ่องเต้เจาหยวน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ใช่ผีที่ดีแน่ ๆ เพราะตอนยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่คนดีอะไรปู๋เยี่ยโหวไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าอิฐที่วางอยู่ข้างๆ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับรองฐานโลงศพ ฟาดลงไปที่หัวของฮ่องเต้เจาหยวนอย่างจังในจังหวะที่ฮ่องเต้เจาหยวนกำลังจะลุกขึ้นนั่งนั้น พระองค์ตั้งใจจะร้องเรียกขุนนางที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าพระองค์คิดว่าหากบอกขุนนางเหล่านั้นว่าถูกจิ่งโม่เยี่ยกักขังไว้ในวัง ขุนนางคนสนิทของพระองค์จะต้องออกมาต่อต้านอย่างแน่นอนก่อนหน้านี้พระองค์ไม่สามารถติดต่อกับขุนนางเหล่านี้ได้ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ขุนนางเหล่านี้จะต้องเข้าวังพระองค์ยังทรงทราบอีกว่าขุนนางเหล่านั้นเฝ้าอยู่ข้างนอก เพียงแค่พระองค์ร้องเสียงดัง พวกขุนนางก็จะได้ยินทันทีแผนการของพระองค์ค่อนข้างยอดเยี่ยม ในทางปฏิบัติแล้วนี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการส่งข่าวสารออกไปหากพระองค์สามารถส่งข่าวสารออกไปได้ แม้ว่าจะสิ้นพระชนม์หลังจากนั้น ก็ยังสามารถสร้างความลำบากให้กับจิ่งโม่เยี่ยได้ไม่น้อยหลังจากนี้
ปู๋เยี่ยโหวหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม จึงลงมือทุบกระดูกมือและกระดูกขาของฮ่องเต้เจาหยวนจนแหลกละเอียดฮ่องเต้เจาหยวน “……”ฮ่องเต้เจาหยวน “!!!!!!”ไอ้เจ้าสุนัขปู๋เยี่ยโหวมันกล้าดีอย่างไรมาทำลายศพของเขา! เขาจะฆ่ามัน!พลังวิญญาณของเขาพลุ่งพล่านถึงขีดสุดอย่างฉับพลันแต่เขายังไม่ทันได้กลายร่างเป็นวิญญาณร้าย ก็ถูกพลังมังกรซัดกระแทกลงพื้นอีกครั้งและเนื่องจากพลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งเกินไป พลังมังกรจึงตัดสินว่าเขาเป็นวิญญาณร้ายที่อันตรายอย่างยิ่งในการรับมือกับวิญญาณร้ายที่อันตรายเช่นนี้ พลังมังกรจะแสดงพลังอย่างรุนแรงและเด็ดขาด โดยการตรงเข้าไปฉีกวิญญาณของฮ่องเต้เจาหยวนจนแตกเป็นเสี่ยงๆฮ่องเต้เจาหยวน “!!!!!!”เขายังไม่ทันได้เข้าใจสถานการณ์ ก็วิญญาณแตกสลายไปแล้วไม่ว่าเขาจะมีความโกรธหรือความไม่ยินยอมมากแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาคือฮ่องเต้ ดังนั้นพลังมังกรจึงคุ้มครองเขาแต่หลังจากเขาตาย วิญญาณของเขาก็ไม่ต่างจากวิญญาณตนอื่นๆเพราะทันทีที่ฮ่องเต้เจาหยวนสิ้นพระชนม์ เขาก็ไม่ใช่ฮ่องเต้อีกต่อไป เมื่อวิญญาณของเขากลายเป็นวิญญาณร้าย มันก็จะถูกพลังมังกรโจมตียิ่งไป
จิ่งสือเฟิงนอนกลัดกลุ้มอยู่บนพื้นแล้วจะทำอย่างไรต่อดี?ถึงแม้เขาจะหลุดพ้นจากกระจกปราบปีศาจที่ประตูเมืองได้ และย้อนกลับไปแจ้งข่าวเฟิ่งชูอิ่งก็ไม่ทันการณ์แล้วเพราะเขาเห็นจิ่งสือเยี่ยนคุยกับแม่ทัพผู้รักษาประตูเมืองเพียงไม่กี่คำ ก็สามารถเดินออกจากเมืองหลวงไปได้อย่างผ่าเผยจิ่งสือเฟิงเห็นท่าทางแบบนั้นของจิ่งสือเยี่ยนก็แอบสบถในใจและในขณะนี้เอง เขาก็รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างเขากับจิ่งสือเยี่ยนก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเขารวบรวมผู้คนได้มากมาย เขาเก่งกาจมากแต่ไม่มีใครในกลุ่มคนเหล่านั้นสามารถพาเขาออกจากเมืองหลวงได้เลยเมื่อเทียบกับจิ่งสือเยี่ยน จิ่งสือเฟิงก็รู้สึกว่าตัวเองโง่จริงๆ เพราะคนที่เขาซื้อตัวมานั้นไม่สามารถทำงานเป็นระบบแบบแผนเหมือนคนของจิ่งสือเยี่ยนไม่ว่าจิ่งสือเยี่ยนจะทำอะไร ก็มีคนที่สามารถใช้งานได้ตลอดจิ่งสือเฟิงก็เป็นองค์ชาย รู้ว่ากว่าจะทำได้ถึงขั้นนี้มันยากขนาดไหนเพราะการซื้อตัวขุนนางที่มีอำนาจสูงต่ำต่างกัน ต้องใช้ความพยายามที่แตกต่างกันด้วยหากจะให้สรุปง่ายๆ คือเขาไม่มีปัญญาทำเฟิ่งชูอิ่งติดยันต์ไว้บนตัวจิ่งสือเฟิง ตอนที่เขาถูกกระจกปราบปีศาจสะกด นางก็รู้สึกได้ทันที
ต้องออกจากเมืองหลวงให้ได้ เขาถึงจะปลอดภัยอย่างแท้จริงกองกำลังของเขายังต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะถึงเมืองหลวง ตอนนี้เขาต้องออกจากเมืองหลวงไปสมทบกับพวกเขาตราบใดที่พวกเขารวมตัวกันได้ เขาก็จะปลอดภัยเพียงแต่เรื่องนี้ พูดง่าย แต่ทำได้ยากเพราะอีกไม่นานจิ่งโม่เยี่ยก็จะรู้ตัวว่าเขาหนีออกมาแล้ว จากนั้นก็จะส่งทหารมาตามล่าเขาดังนั้นเขาต้องรีบออกจากเมืองหลวงให้เร็วที่สุด!วันนี้ตอนที่เขาเข้าวัง เขาได้เตรียมการมาอย่างรอบคอบ เขากลัวว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น ดังนั้นจึงให้ทหารองครักษ์ของเขารอเขาอยู่นอกวังตอนนี้ทหารองครักษ์ของเขาตามหาเขาพบแล้ว เขาจึงออกคำสั่งว่า "ออกจากเมืองหลวง"ทหารองครักษ์ทำท่าลำบากใจแล้วรายงานว่า "ตอนที่ท่านอ๋องเข้าวัง พวกข้าได้ทำตามคำสั่งของท่านอ๋อง สืบดูสถานการณ์ในเมืองหลวงแล้ว""เป็นอย่างที่ท่านอ๋องคาดการณ์ไว้ อ๋องผู้สำเร็จราชการได้สั่งปิดประตูเมืองแล้ว""ตอนนี้ประตูเมืองปิดหมดทุกบาน พวกเราออกไปไม่ได้แล้ว"จิ่งสือเยี่ยนพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า "ไม่เป็นไร ที่ประตูติ้งหวามีคนของข้าอยู่ พวกเราจะไปที่ประตูติ้งหวากัน"ทหารองครักษ์ตอบรับ แล้วรีบพาเขาไปทางนั้นพวกเขาไม่ท
จิ่งโม่เยี่ยเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “เจ้าเคยมุดนะ”ปู๋เยี่ยโหวนึกอยากจะเถียงว่าเขามุดรูหมาลอดตอนไหน แต่ก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนเด็กๆ ได้ จึงเงียบปากลงทันทีจิ่งโม่เยี่ยพูดต่อ “ได้ยินว่าวันนี้เจ้าไปก่อเรื่องใหญ่ในวังหลวงอีกแล้ว?”พอเขาเข้าวัง ก็มีทหารมาเล่าเรื่องที่ศพฮ่องเต้เจาหยวนถูกทำลายจนแหลกละเอียดให้ฟังคนอื่นอาจจะโดนปู๋เยี่ยโหวหลอกได้ แต่จิ่งโม่เยี่ยไม่มีทางโดนหลอกแน่นอนเขารู้ว่าปู๋เยี่ยโหวต้องเป็นคนทำลายศพฮ่องเต้แน่ๆปู๋เยี่ยโหวเลิกคิ้ว “เรื่องนั้นข้าไม่ได้ทำจริงๆ เสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นพยานให้ข้าได้”จิ่งโม่เยี่ยได้แต่หัวเราะในใจกับคำพูดนี้ ใครบ้างไม่รู้จักนิสัยของปู๋เยี่ยโหวปู๋เยี่ยโหวก็ไม่ได้คิดจะปิดบังเขา ตอนนี้ไม่มีใครอยู่รอบๆ ปู๋เยี่ยโหวจึงขยับเข้าไปใกล้เขาแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้เจาหยวนยังไม่ตาย”จิ่งโม่เยี่ยเหลือบมองเขา ปู๋เยี่ยโหวจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบตอนแรกปู๋เยี่ยโหวคิดว่าฮ่องเต้เจาหยวนถูกผีสิง แต่เขาก็นึกถึงที่เฟิ่งชูอิ่งเคยบอกว่าวิญญาณร้ายเข้าวังหลวงไม่ได้ดังนั้น ตอนที่ฮ่องเต้เจาหยวนดีดตัวลุกขึ้นมานั่งในโลงศพ คงต้องมีแผนการบางอย่างแน่แต่ฮ่อ
เฟิ่งชูอิ่งมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป “ไม่เห็นจะปัญญาอ่อนเลย ข้าว่าเขาเป็นแบบนี้น่ารักจะตาย”เหมยตงยวนกลอกตาไปมา เขามองไม่เห็นจริงๆ ว่าจิ่งโม่เยี่ยน่ารักตรงไหนเฟิ่งชูอิ่งเห็นสีหน้าของเขาจึงพูดขึ้นทันทีว่า “ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว ข้าว่าท่านพ่อพูดถูก เขาโง่จริงๆ นั่นแหละ”“ขนาดเดินยังไม่ถูกทางเลย ไม่โง่จะเรียกว่าอะไร?”มุมปากของเหมยตงยวนกระตุกเบาๆถึงแม้เขาจะรู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งพูดแบบนี้เพื่อปลอบใจเขา แต่มันก็ปิดกั้นความรู้สึกดีของเขาไม่ได้ลูกสาวของเขายังคงเอาใจใส่เขา คอยดูแลความรู้สึกของเขาในฐานะพ่อเสมอถึงแม้ว่าเหมยตงยวนจะรู้สึกว่าจิ่งโม่เยี่ยไม่คู่ควรกับลูกสาวของเขา แต่เขาก็พอจะยอมรับจิ่งโม่เยี่ยได้อย่างมากที่สุดก็คือตอนที่จิ่งโม่เยี่ยทำไม่ดีกับเฟิ่งชูอิ่งในอนาคต เขาจะไปซ้อมจิ่งโม่เยี่ยให้หนักเองเขาพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “มืดแล้ว เจ้ากลับห้องไปพักผ่อนเถอะ”วันนี้นางใช้พลังทำนายมากเกินไป ร่างกายจึงอ่อนล้า ต้องพักผ่อนให้เพียงพอตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกมึนหัวจริงๆ นางเดินโซเซกลับไปที่ห้องของตัวเองแต่เมื่อนางกลับมาที่ห้อง นางกลับพบว่าตัวเองนอนไม่หลับไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่อ
แววตาของจิ่งโม่เยี่ยเยือกเย็นลงในทันที พร้อมกับจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวเขาเขาไม่ได้ยึดติดกับบัลลังก์ แต่ตอนนี้เขาต้องการมีชีวิตอยู่เขาต้องมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น ถึงจะสามารถอยู่เคียงข้างเฟิ่งชูอิ่งได้เพื่อที่จะได้อยู่เคียงข้างนาง เขาสามารถทำทุกอย่างได้เดิมทีเขาไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าจิ่งสือเยี่ยน แต่ในวินาทีนี้ เขากลับรู้สึกว่าจิ่งสือเยี่ยนสมควรตายได้แล้วเขาพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “ข้าจะกลับเข้าวังก่อน”กลับไปเพื่อฆ่าจิ่งสือเยี่ยนแต่เหมยตงยวนกลับรั้งเขาไว้ว่า “เจ้าช้าก่อน”จิ่งโม่เยี่ยหันไปมองเขา เหมยตงยวนจึงยื่นกระบี่ในมือให้เขา “ใช้สิ่งนี้ไปฆ่าจิ่งสือเยี่ยน”จิ่งโม่เยี่ยค่อนข้างงุนงง เหมยตงยวนอธิบายว่า “กระบี่เกล็ดน้ำค้างเหมันต์ของเจ้าถึงแม้จะคมกริบ แต่เจ้าหล่อเลี้ยงมันด้วยจิตสังหารมามากเกินไปในช่วงหลายปีมานี้”“จิตสังหารที่รุนแรงเช่นนี้ เมื่อชักกระบี่ออกมา แท้จริงแล้วคนที่ได้รับความเสียหายที่สุดคือตัวเจ้าเอง มันจะส่งผลต่อโชคชะตาของเจ้า”“สำหรับเจ้าในอดีต จิตสังหารเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลเสียอะไร แต่ตอนนี้โชคชะตาของเจ้ากำลังเฟื่องฟู หากจิตสังหารหนักเกินไป มันจะส่งผลกระทบต่อโชคช
เหมยตงยวนตอบสนองอย่างรวดเร็ว หลบสายฟ้าที่ฟาดลงมาสายนั้นได้สายฟ้านั้นเหมือนจะค้นพบอะไรบางอย่าง จึงพุ่งเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่งเหมยตงยวนกลัวว่าเฟิ่งชูอิ่งจะได้รับบาดเจ็บ จึงรีบระงับพลังแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ทำให้เฟิ่งชูอิ่งและจิ่งโม่เยี่ยตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งนึกถึงวันที่นางได้พบกับเหมยตงยวนครั้งแรก เขาก็มาพร้อมกับอสนีบาตจากฟากฟ้าเช่นนี้แต่วันนั้นเขาหาตัวแทนรับเคราะห์ สายฟ้าจึงไม่ได้ฟาดลงมาที่เขาเมื่อครู่เขาคำนวณอะไรบางอย่าง จึงไปรบกวนพลังแห่งสวรรค์ ทำให้สวรรค์ตามล่าเขาอีกครั้ง ใช้สายฟ้าฟาดใส่เขาโดยตรงเฟิ่งชูอิ่งหันไปมองจิ่งโม่เยี่ยแล้วพูดว่า "เรื่องนี้ดูท่าจะใหญ่โตเอาการ"จิ่งโม่เยี่ยถามว่า "ท่านพ่อจะเป็นอะไรไหม?"เฟิ่งชูอิ่งมองเขาแล้วพูดว่า "ถ้าท่านพ่อเป็นอะไรไป ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!"จิ่งโม่เยี่ย “......”ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่าความกังวลของเฟิ่งชูอิ่งนั้นมากเกินไป เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่นาน เหมยตงยวนก็กลับมาเพียงแต่อีกฟากฝั่งของเมือง ที่นั่นมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเฟิ่งชูอิ่งเห็นเขาก็ถามทันทีว่า "ท่านพ่อ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้า
ครู่ต่อมา นางก็เอาหัวโขกโต๊ะอีกครั้งเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”เอาเถอะ นางยอมแพ้แล้ว!นางสูดน้ำมูกพลางพูดว่า “สวรรค์ช่างน่าเบื่อจริงๆ จงใจกลั่นแกล้งคนชัดๆ!”จิ่งโม่เยี่ยเห็นก้อนบวมสองก้อนบนหน้าผากของนางก็รู้สึกสงสารไม่ได้ “ให้ข้าทายาให้เถอะ”เฟิ่งชูอิ่งกลับพูดว่า “เรื่องทายาไม่รีบร้อนหรอก ขอข้าตั้งสติคิดก่อนว่าเรื่องบ้าๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”จิ่งโม่เยี่ยเห็นนางสบถออกมาก็รู้ว่าครั้งนี้นางโกรธจริงๆ จึงพูดว่า “งั้นข้าทายาให้พลางๆ เจ้าก็คิดไปพลางๆ แล้วกัน”ครั้งนี้เฟิ่งชูอิ่งไม่ได้ปฏิเสธเพียงแต่พอเขาเข้ามาใกล้ นางก็ได้กลิ่นกายของเขา หอมสดชื่นแต่ก็ยั่วยวนอย่างมากนางอดไม่ได้ที่จะมองเขาแวบหนึ่ง ดวงตาและคิ้วของเขาเดิมทีก็งดงามอยู่แล้ว เป็นแบบที่นางชอบที่สุดตอนนี้เขาเข้ามาใกล้ ท่าทางที่ทายาให้นางนั้นดูตั้งใจมาก มองดูแล้วเห็นความรักที่ลึกซึ้งมากขึ้นหลายส่วนขนตาที่เป็นแพยาวและโค้งงอน ดวงตาสีดำสนิท มีเสน่ห์ที่ส่งผลต่อนางอย่างร้ายกาจเดิมทีสมองของนางก็มึนงงอยู่แล้ว พอเห็นท่าทางแบบนี้ของเขา หัวสมองของนางก็หยุดทำงานไปเลยคิดคำนวณอะไรกัน ดูหนุ่มหล่อไม่ดีกว่าหรือ?ดังนั้นนางจึงเลิกคำนวณแล้ว
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร นั่งกินหม้อไฟกันเงียบๆเมื่อจิ่งโม่เยี่ยได้นั่งอยู่เคียงข้างนาง อันตรายจากการช่วงชิงอำนาจก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไปในค่ำคืนที่แสนพิเศษนี้ เพียงมีนางอยู่เคียงข้างเขา หัวใจของเขาก็สงบอย่างยิ่งทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไร แต่บรรยากาศอบอุ่นเป็นอย่างมากเฟิ่งชูอิ่งกำลังลวกเนื้อชิ้นหนึ่งเตรียมที่จะคีบให้จิ่งโม่เยี่ย ในขณะเดียวกันเขาก็คีบเนื้อที่เพิ่งลวกเสร็จใหม่ๆ ให้นางทั้งสองคนต่างชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มให้กัน กินเนื้อที่อีกฝ่ายคีบให้เฟิ่งชูอิ่งถามว่า “ท่านตั้งใจจะขึ้นครองราชย์เมื่อไหร่?”จิ่งโม่เยี่ยตอบว่า “กรมพิธีการกำลังวางแผนอยู่ สำนักโหรหลวงกำลังคำนวณฤกษ์งามยามดี…”พูดถึงตรงนี้เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ฤกษ์ที่สำนักโหรหลวงคำนวณออกมาอาจจะไม่แม่นยำเท่าเจ้า เจ้าช่วยคำนวณให้ข้าหน่อยได้ไหม”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาอย่างพินิจ จากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นมาคำนวณครู่ต่อมาเลือดกำเดาของนางก็ไหลออกมาเฟิ่งชูอิ่ง “……”จิ่งโม่เยี่ย “……”เขารีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางเฟิ่งชูอิ่งสบถออกมา “มันต้องขนาดนี้เลยหรือ!”นางรู้สึกหดหู่ใจจริงๆ นางแค่จะคำนวณดวงชะตาให้เขาเท่านั้น
เหมยตงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาอย่างฉับพลัน เจ้าลูกหมานี่พูดจาแบบนี้ได้คล่องปากขึ้นทุกวันเฟิ่งชูอิ่งมองไปยังศาลาร่มรื่นที่เต็มไปด้วยวิญญาณร้าย นางรู้สึกว่าควรจะเตือนจิ่งโม่เยี่ยสักหน่อยนางจึงเปิดเนตรทิพย์ให้เขาอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นเขาก็เห็นเหมยตงยวนทำหน้าบึ้งตึง และเหล่าวิญญาณร้ายตนอื่นๆ ที่ทำหน้าเหมือนกำลังดูละครสนุกๆจิ่งโม่เยี่ย “......”อย่างที่คิดไว้จริงๆ เรื่องน่าตกใจมันมีอยู่ทุกที่เขาไอเบาๆ แล้วคำนับเหมยตงยวน “สวัสดี ท่านอาเหมย”เหมยตงยวนพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ข้าไม่กล้ารับคำนับจากฝ่าบาทหรอก”พลังแห่งฮ่องเต้ในตัวจิ่งโม่เยี่ยเข้มข้นขึ้นมากหลังจากผ่านคืนนี้ไปนั่นหมายความว่าการเข้าวังของเขาในวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่นเพียงแต่ตอนนี้ดวงดาวของฮ่องเต้ยังไม่กลับมาประจำตำแหน่ง บัลลังก์ของเขายังไม่มั่นคงจิ่งโม่เยี่ยยิ้มแห้งๆ “ท่านอาเหมยอย่าล้อข้าเลย”“ตำแหน่งฮ่องเต้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการได้มา แต่การมีตำแหน่งนี้ช่วยให้ข้าทำหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างได้”เหมยตงยวนแค่นเสียง “ปากบอกว่าไม่ต้องการ แต่ความทะเยอทะยานมันเด่นชัดขนาดนั้น เจ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าจิ่งสือเยี่ยนนักหรอก”