ฮว๋าซื่อตอนยังสาวก็นับว่าสวยอยู่หรอก แต่ตอนนี้นางอายุมากแล้ว ใบหน้าจึงไม่สวยเหมือนเดิมแล้วพอนางร้องไห้นานๆ เข้า ดวงตาก็เริ่มจะบวดปูด หลินชูเจิ้งเห็นนางสภาพนั้นก็รู้สึกรังเกียจขึ้นมาเขาหน้ามืดครึ้มทนฟังนางจนเล่าจบ เอ่ยถามเสียงต่ำว่า “เจ้าหมายความว่าตอนเกิดเรื่องเฟิ่งชูอิ่งไม่ได้อยู่ตรงนั้น?”ฮว๋าซื่อสะอึกสะอื้น “นางไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่สัญชาตญาณของข้าบอกว่านางเป็นคนทำแน่นอน!“สารถีแซ่หลิวทำงานในจวนสกุลหลินมานานหลายปี เขาเป็นคนนิสัยอย่างไรข้าย่อมรู้ดี ให้เขากล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าทำเรื่องเช่นนั้นกับข้าหรอก!”หากฮว๋าซื่อไม่ได้เกิดเรื่องแบบนั้นกับสารถีแซ่หลิว หลินชูเจิ้งก็คงจะรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของนางทว่าพอเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นเมื่อวาน คำพูดของฮว๋าซื่อก็เลยฟังดูเหมือนกำลังเข้าข้างและแก้ตัวแทนสารถีแซ่หลิวไปเสียอย่างนั้นหลินชูเจิ้งจึงสะบัดมือฟาดหน้าฮว๋าซื่อไปหนึ่งที “แพศยา พวกเจ้านอนด้วยกันจนเกิดเป็นความรักหรือ? ถึงได้พูดออกตัวแทนมันแบบนี้!”ฮว๋าซื่อที่ถูกตบก็งุนงง นางร้องไห้ฟูมฟาย “ข้าเป็นคนอย่างไรท่านไม่รู้หรืออย่างไร ทำไมต้องต่อว่าข้าแบบนั้นด้วย!”หลินชูเจิ้งด่า “เจ้าเป็นคนอย่างไรข้า
แม้จิ่งโม่เยี่ยจะเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งเขามักจะมาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง ซึ่งมันน่าตกใจมากนางจึงอดไม่ไหวเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง วันหลังหากท่านจะมาก็ช่วยแจ้งข้าล่วงหน้าได้ไหมเพคะ?”จิ่งโม่เยี่ยเหล่ตามองนาง “จากนั้นเจ้าก็จะได้ชิงหลบหน้าข้าสินะ?”ทุกครั้งที่เฟิ่งชูอิ่งเห็นเขาทำสีหน้าแบบนั้น นางมักจะขนลุกในใจทุกทีนางรีบร้อนเอ่ย “ไม่ใช่เพคะ เพื่อที่ข้าจะได้เตรียมต้อนรับท่านอ๋องต่างหากล่ะ”จิ่งโม่เยี่ยแสยะยิ้มเย็นชา ก่อนจะเดินเข้าไปหานางนางพลันนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานเขียนอะไรบนหน้าเขาไปบ้าง ตนเองรู้สึกเหมือนมีชนักติดหลังอยู่ จึงตั้งท่าหวาดระแวงเต็มที่คิดไม่ถึงเลยว่าจิ่งโม่เยี่ยจะดีดเหรียญกษาปณ์ทองแดงเข้ามาสกัดจุดนางโดยตรงนางพลันรู้สึกว่าร่างกายแข็งทื่อ ขยับเขยื้อนไม่ได้สักนิดเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!”จิ่งโม่เยี่ยนั่งลงบนเตียงของนางแล้วถาม “ยังจำสิ่งที่เจ้าพูดเมื่อคืนวานได้หรือไม่?”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างประจบ “เมื่อคืนวานข้าพูดไปเยอะมากเลยเพคะ มิทราบท่านอ๋องหมายถึงประโยคไหน?”จิ่งโม่เยี่ยเลิกคิ้วมองนาง จู่ๆ นางก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาครู่ต่อมา เขาก็จับยกร่างของนางขึ้นมาแล้วโยนลงเตี
แต่ครั้งนี้นางน่าจะหวาดกลัวจริงๆ ในแววตายังดูผวาอยู่เลยตอนแรกจิ่งโม่เยี่ยคิดว่าคนใจกล้าอย่างนาง คงจะไม่รู้จักคำว่าหวาดกลัวเหมือนคนอื่นหรอก คิดไม่ถึงเลยว่านางจะกลัวเป็นด้วยเขาถามนาง “เจ้าร้องไห้ทำไม?”เฟิ่งชูอิ่งสูดจมูกเบาๆ “ข้ากลัวท่านอ๋องจะฆ่าข้า แล้วท่านจะต้องตายไปด้วย“ข้าตายก็ไม่เป็นไรหรอก แต่หากท่านอ๋องตาย คงเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก”จิ่งโม่เยี่ย “....เจ้ายังกล้าเล่นลิ้นอยู่อีก ดูเหมือนข้าควรจะตัดกะโหลกศีรษะของเขาออกมาจริงๆ”คำพูดของเขาฟังดูโหดร้าย น้ำเสียงเฉยชา ทว่าในแววตากลับไม่มีความดุร้ายเฟิ่งชูอิ่งมองเขาแล้วกล่าว “ข้าพูดความจริงเพคะ ข้าไม่อยากให้ท่านอ๋องตาย”จิ่งโม่เยี่ยยื่นมือไปบีบจมูกนาง “เจ้ากลัวจะถูกข้าฆ่าก็บอกมาตรงๆ เถอะ ไม่ต้องพูดอ้อมโลกขนาดนั้น”บนจมูกของนางมีคราบน้ำตาอยู่นิดหน่อย ตอนเขาแตะโดนจึงขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือหลังจากเขาเช็ดเสร็จแล้ว นางก็ถลึงดวงตาที่มีน้ำตาจ้องมองเขา ดูแล้วน่ารักทีเดียวเขาจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาให้นางแบบไม่รู้ตัวหลังจากเช็ดน้ำตาให้นางเสร็จแล้ว พวกเขาทั้งสองคนก็นิ่งไปจิ่งโม่เยี่ยไม่เคยทำเรื่องแบ
คนพวกนั้นเป็นบ่าวรับใช้ของฮว๋าซื่อ วันนี้จุดประสงค์ของพวกเขาคือต้องการฆ่าเฟิ่งชูอิ่งให้ตายคนที่เดินดุ่มๆ เข้าไปคนแรกคิดจะประจบเอาใจฮว๋าซื่อ เขาจึงตรงดิ่งเข้าไปข้างในอย่างว่องไว ปากก็ด่าหยาบคายไปด้วย “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้ามันนังสารเลว....”เสียงของเขาขาดหายไปพร้อมกับเสียงกรีดกระบี่สายหนึ่ง ที่แทงเข้าไปในคอหอยของเขาอย่างแม่นยำแสงกระบี่วาววับสะท้อนไปมาในห้องเหมือนสายฟ้าแลบ กลิ่นอายเย็นเยียบน่าสะพรึงกลัวชวนให้คนเสียวสันหลังวาบดวงตาของท้อของจิ่งโม่เยี่ยหรี่ลงเล็กน้อย เขาใช้ด้ามกระบี่ผลักร่างคนที่ถูกปาดคอ ร่างของอีกฝ่ายพลิกม้วนอย่างเสียการควบคุม เลือดอุ่นร้อนและเหม็นคาวพลันสาดใส่ใบหน้าของคนข้างหลังเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเร็วเกินไป คนด้านหลังไม่ทันจะได้ตั้งตัว แล้วยังมีคนตะโกนด่าต่อว่า “นังแพศยาลอบคบชู้หน้าไม่อาย!”“จับตัวพวกเขาไปถ่วงน้ำด้วยกันเลย!”คนที่โดนเลือดสาดเปื้อนหน้าสบถว่า “อะไรวะเนี่ย!”พวกเขายื่นมือออกไปคลำดู คนที่เดินนำเข้าไปคนแรกก็ล้มลงไปแล้วตายคาที่เสียงโหวกเหวกพลันดังก้องไปทั่วคนด้านหลังคิดจะบุกเข้าไป ส่วนคนด้านหน้าก็อยากจะถอยออกมามู่ลี่ลูกปัดถูกเขย่าจนส่งเสียงครืนๆ สถานการ
ทว่าในใจนางกลับสนุกสนานมาก นางชอบนักแหละที่ฮว๋าซื่อมาจับชู้เองถึงที่!น่าเสียดายที่นางถูกผ้าเช็ดหน้าปิดทับอยู่ ก็เลยมองไม่เห็นสถานการณ์ในห้องจิ่งโม่เยี่ยปรายตามองนางแวบหนึ่ง เขาเติบโตมาในวัง จึงคุ้นเคยกับกลอุบายของสตรีพวกนั้นเป็นอย่างดี ถึงวิธีการของฮว๋าซื่อจะไม่ได้ปราดเปรื่อง แล้วยังดูเป็นการหาเรื่องอย่างเห็นได้ชัด แต่มันกลับโหดเหี้ยมอย่างมากเขาพอจะรู้มาบ้างว่าสถานการณ์ของเฟิ่งชูอิ่งในจวนสกุลหลินไม่สู้ดีนัก แต่กลับเพิ่งเคยได้สัมผัสกับตัวครั้งแรกตอนนี้เขาเริ่มจะเข้าใจบ้างแล้วว่าทำไมเฟิ่งชูอิ่งถึงพูดโกหกได้คล่องปากขนาดนั้น คงเป็นเพราะถูกคนพวกนี้บีบคั้นเอาน่ะสิฮว๋าซื่อตะโกนอยู่นอกห้อง “ตอนนี้ชายชู้ก็อยู่ในห้องกับเจ้าด้วย เจ้ายังกล้าพูดจาเช่นนี้อีกหรือ เจ้าทำให้ข้าผิดหวังเหลือเกิน!“พวกเจ้าน่ะ เข้าไปจับตัวชายชู้ออกมาเดี๋ยวนี้!”พวกบ่าวชายพากันจ้องมองศพที่นอนกองบนพื้น ไม่มีใครกล้านำออกไปแม้แต่คนเดียวบ่าวบางคนถึงกับถอยหลังหนี เดินเข้ามาหาฮว๋าซื่อแล้วกล่าวว่า “ฮูหยิน ชายชู้คนนั้นโหดเหี้ยมมากขอรับ เขาฆ่าคนในจวนด้วย!”ฮว๋าซื่อได้ยินก็โกรธจัด “เป็นใครกันถึงกล้าทำตัวเช่นนี้ในจวนสกุลหลิน!”
ฮว๋าซื่ออดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้ นางพยายามเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง ต่อให้ท่านจะเป็นว่าที่สามีภรรยากับเฟิ่งชูอิ่ง แต่เรื่องนี้ก็ไม่ถูกไม่ควรนะเพคะ”จิ่งโม่เยี่ยหัวเราะเบาๆ “น่าขำจริงๆ บนโลกใบนี้ยังมีคนกล้าพูดเรื่องความเหมาะสมกับข้าอีกหรือ“ถ้าเจ้ามีปัญหากับเรื่องนี้ มิลองเข้าวังไปถามเสด็จอาของข้าดูเล่า ดูสิว่าเขาจะพูดเรื่องความเหมาะสมกับข้า หรือจะจับเจ้าไปใส่กรงหมูถ่วงน้ำ”ฮว๋าซื่อ “......”ฐานะของจิ่งโม่เยี่ยพิเศษมาก แม้ฮ่องเต้เจาหยวนจะอยากฆ่าเขา แต่ก็ไม่กล้าลงมืออย่างเปิดเผยอีกอย่างถึงอยู่ต่อหน้า ฮ่องเต้เจาหยวนก็ยังเกรงใจจิ่งโม่เยี่ยอยู่มากตอนนี้ชื่อเสียงของนางเหลวแหลก หากผิดพลาดขึ้นมาอาจถูกจับถ่วงน้ำได้จริงๆหลินชูเจิ้งที่ได้ข่าวก็รีบแล่นมาที่เกิดเหตุทันที เขาเอ่ยขึ้นมาว่า “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมาเยือน จึงไม่ได้รอต้อนรับ ขอท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย”จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเรียบ “ใต้เท้าหลิน ฮูหยินของท่านเล่นชู้กลางวันแสกๆ ต่อหน้าทุกคน ในเมืองหลวงเขารู้กันทั่ว“นางทำเรื่องไร้ยางอายแบบนั้นได้ จึงคิดว่าสตรีในใต้หล้าล้วนหน้าไม่อายเหมือนตัวเองหมด ท่านจะไม่จัดการเรื่องนี้หน่อยหรือ?”หลินชูเจิ้ง “......”เขา
เขาหันมองเฟิ่งชูอิ่ง ก่อนจะแค่นเสียงเย็นชา เดินตามหลินชูเจิ้งไปที่โถงเรือนหน้าเมื่อพวกเขาไปแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็หัวเราะคิกคักแล้วบอกฮว๋าซื่อว่า “ฝีมือการจับชู้ของท่านป้าช่างยอดเยี่ยมนัก ข้านับถือจนอยากลงไปกราบเลยเจ้าค่ะ”ฮว๋าซื่อกัดฟัน “มิน่าล่ะเจ้าถึงได้เย่อหยิ่งจองหองนัก ที่แท้ก็เพราะมีต้นไม้ใหญ่อย่างอ๋องฉู่นี่เอง“แต่ว่าเขาเองก็เป็นแค่พระโพธิสัตว์ดินข้ามแม่น้ำ[footnoteRef:1] แค่ตัวเองยังแทบจะไม่รอด ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะอวดดีได้อีกนานแค่ไหน!” [1: ดูเหมือนยิ่งใหญ่ แต่จริงๆ แล้วเปราะบาง] เฟิ่งชูอิ่งยิ้มบางๆ “ท่านกล้าไปพูดเช่นนี้ต่อหน้าเขาไหม?”ฮว๋าซื่อ “......”เฟิ่งชูอิ่งยักคิ้วเบาๆ “ท่านไม่กล้า! แค่นี้ท่านยังไม่กล้าพูดต่อหน้าเขาเลย ขอแค่เขายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็ยังจองหองได้เหมือนเดิม“แต่ท่านป้าวางใจได้เลย ข้าตั้งใจจะฆ่าท่านให้ตายก่อนเขาอยู่แล้ว รับรองว่าท่านไม่มีโอกาสได้สะใจหรอก”ฮว๋าซื่อ “......”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวว่า “หากตอนนี้ท่านป้ามีเวลาว่างมานั่งด่าข้า มิสู้เอาเวลาไปจัดการเรื่องในครั้งนี้จะดีกว่า“เพราะถึงข้าจะคบชู้ก็คบกับว่าที่พระสวามีของตัวเอง แต่ท่านคบชู้กับบ่าวในจวนของตัวเอง
จิ่งโม่เยี่ยกล่วจบก็ก้มหน้าลงมาทำท่าจะจูบนางเขาเป็นคนที่คิดจะทำอะไรแล้วต้องได้ทำ วันนี้เขาอยากจะชิมรสชาติของนาง ต่อให้ถูกขัดจังหวะเขาก็ต้องชิมให้ได้เฟิ่งชูอิ่งเบื่อการถูกเขาบีบคางมากที่สุด การกระทำดังกล่าวนอกจากจะดูคุกคามแล้ว ยังให้ความรู้สึกเหมือนเขาอยู่เหนือกว่าด้วยแล้วพอเขายื่นหน้าเข้ามาแบบนี้ นางก็เลยเผลอตัวฟาดฝ่ามือใส่ใบหน้าเขาเต็มแรงเพราะนางตวัดมือเร็วมาก แล้วจิ่งโม่เยี่ยก็ไม่คาดคิดว่านางจะลงมือด้วย ผลคือเขาโดนนางตบเต็มๆ“เผียะ” เสียงตบดังก้องขึ้นมา ทั้งสองชะงักไปพร้อมกันดวงตาดอกท้อของจิ่งโม่เยี่ยเปลี่ยนไปสีเข้ม มองเฟิ่งชูอิ่งอย่างเย็นชาในใจนางร่ำร้องว่า “ซวยแล้วไง! คราวนี้ได้ตายจริงแน่ ข้าเพิ่งจะตบหน้าจอมวายร้ายที่ใหญ่สุดในนิยายไป แล้วชีวิตน้อยๆ นี้จะยังปกป้องเอาไว้ได้อย่างไร!”ความคิดมากมายแล่นในสมองของนาง ก่อนจะฉีกยิ้มบางๆ “การตบหน้าท่านอ๋อง สำหรับข้าแล้วตื่นเต้นยิ่งกว่าการลอบคบชู้อีกเพคะ”“ท่านอ๋อง ชอบหรือไม่? ตื่นเต้นเร้าใจหรือเปล่า?”จิ่งโม่เยี่ย “......”นางตบเขา แล้วยังกล้าถามอีกหรือว่าชอบหรือเปล่า?มือของเขาแตะลงบนกระบี่เฟิ่งชูอิ่งจึงรีบกดด้ามกระบี่ของเขา “ท่านอ๋อ