แต่พระสนมสวี่กลับลืมไปว่าทุกครั้งที่ท่านเทียนซือมา จะต้องหาทางไล่ข้ารับใช้ที่อยู่ใกล้ๆ ออกไปเสมออีกทั้งหลังจากที่ถูกฮ่องเต้เจาหยวนสั่งกักบริเวณ ข้ารับใช้ในตำหนักก็ไม่เคารพนางเหมือนแต่ก่อน ต่างก็พากันอยู่ห่างๆ แม้ตอนนี้นางจะร้องเสียงดังแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยินพระสนมสวี่ทรงตัวไม่อยู่ ล้มลงกับพื้นอย่างแรงตลอดชีวิตของนางล้วนสุขสบาย ถูกผู้ชายตามใจสารพัด ไม่เคยต้องทนทุกข์ทรมานและไร้ที่พึ่งเช่นนี้มาก่อนนางอดไม่ได้ที่จะร้องเรียก “จิ่งหลิวอวิ๋น ข้าเจ็บ!”จิ่งหลิวอวิ๋นคือพระนามของอดีตฮ่องเต้ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วตอนที่พระสนมสวี่ร้องเรียกชื่อนี้ออกมา ตัวนางเองยังตกตะลึงไปชั่วขณะจนถึงตอนนี้ ไม่ว่านางจะยอมรับหรือไม่ ในโลกใบนี้ ฮ่องเต้พระองค์ก่อนคือผู้ชายที่ดีกับนางที่สุดก็เพราะการตามใจอย่างไร้ขอบเขตของเขา ทำให้นางมีนิสัยเอาแต่ใจเช่นนี้นางคิดว่าคนทั้งโลกต้องหมุนรอบตัวนาง แต่ความจริงกลับตบหน้านางอย่างแรงสิ่งที่ฮ่องเต้เจาหยวนผู้เป็นที่รักของนางต้องการคือความงามและสำนักเทียนอี้เบื้องหลังนาง พอหมดประโยชน์ เขาก็สามารถทิ้งนางได้อย่างไม่ใยดีถึงแม้เทียนซือจะดีกับนาง แต่ก็ไม่เคยถามความเห็นนา
อย่างไรก็ตาม พระสนมสวี่ยังไม่ตายง่ายๆ แม้จะไอหนักขนาดนั้น แต่ยังมีลมหายใจอยู่นางกล่าวว่า “เจ้าส่งคนไปบอกเฟิ่งชูอิ่ง บอกนางว่าข้าได้ฆ่าเทียนซือแล้ว ตอนนี้มีเรื่องสำคัญมากจะบอกนาง”สาวใช้รับคำแล้วออกไปตามหาเฟิ่งชูอิ่งแต่สาวใช้กลับมาตอนมืดค่ำแล้ว และก็มาตัวเปล่า ไม่มีใครตามมาด้วยปรากฏว่าสาวใช้หาเฟิ่งชูอิ่งไม่พบเมื่อพระสนมสวี่ได้ยินเช่นนั้นก็อดที่จะทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะไม่ได้ “ก็จริงอยู่ ยัยเด็กเฟิ่งชูอิ่งน่ะมันไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง วิ่งไปวิ่งมาตลอด”“ไม่เป็นไร หาไม่เจอวันนี้ก็หาวันอื่นต่อไป”เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็มั่นใจอย่างมากว่า “ถ้านางรู้ว่าข้าฆ่าเทียนซือ นางต้องมาพบข้าแน่”จิ่งโม่เยี่ยไม่ใส่ใจเรื่องที่พระสนมสวี่ส่งคนมาหาเลยเพราะก่อนหน้านี้พระสนมสวี่ก็เคยใช้ข้ออ้างต่างๆ นาๆ มาหาเขา แล้วเรื่องที่นางขอให้เขาทำนั้น ทำให้เขารู้สึกขยะแขยงอย่างถึงที่สุดถึงแม้ว่าเขาและพระสนมสวี่จะร่วมมือกันชั่วคราวเพราะเรื่องของมหาราชครู แต่โดยพื้นฐานแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกคู่นี้แย่มากถ้าเป็นไปได้ จิ่งโม่เยี่ยก็ไม่อยากเจอหน้าพระสนมสวี่อีกเลยตลอดชีวิตสาวใช้ที่ไปตามหาเฟิ่งชูอิ่ง
ถ้าคนที่มาไม่ใช่คนดี นางก็จะส่งยันต์ปัญจอสนีให้เขาโดยตรง ให้เขาขึ้นสวรรค์ไปเลยคนที่ปีนกำแพงร้องโอ๊ยอยู่หลายครั้ง “ข้าเหมือนจะขาหัก เจ้าเข้ามาช่วยข้าหน่อย”เสียงนี้เฟิ่งชูอิ่งคุ้นเคยมาก คนนั้นหันกลับมา ที่แท้ก็เป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายเฟิ่งชูอิ่งตกใจมากพูดว่า “เสนาบดีฝ่ายซ้าย!”เสนาบดีฝ่ายซ้ายนั่งอยู่บนพื้นพลางลูบเอวไปด้วยพูดว่า “ใช่ ข้าเอง”เฟิ่งชูอิ่งเก็บยันต์ปัญจอสนีแล้วมองเขาพูดว่า “ท่านมีสถานะแบบนี้ อยากมาจวนโหวก็มาตรงๆ ได้เลย ทำไมถึงต้องมาปีนกำแพง”เสนาบดีฝ่ายซ้ายร้องโอ๊ยแล้วพูดว่า “เจ้ายังกล้าพูดอีก! จวนปู๋เยี่ยโหวไม่ใช่สถานที่ทีข้าอยากมาแล้วจะมาได้”“ปู๋เยี่ยโหวไอ้สารเลวนั่น ข้ามาถามว่าเจ้าอยู่ที่จวนไหม เขาก็บอกว่าไม่อยู่ทุกครั้ง”“ข้าคิดว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ ก็เลยหาข้ออ้างอยากเข้าจวน เขาก็กีดกันทุกวิถีทาง”“ข้าก็เลยรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีปัญหา วันนี้ก็เลยให้ทหารล่อทหารของจวนปู๋เยี่ยโหวออกไป ส่วนตัวเองก็เข้ามาในจวนเพื่อตามหาเจ้า”“แล้วเจ้าก็อยู่ในจวนจริงๆ เสียด้วย ไอ้สารเลวนั่นหลอกข้า!”เฟิ่งชูอิ่งคิดว่าวันนี้เขาคงจะโกรธมาก เสนาบดีฝ่ายซ้ายของแคว้นถึงกับต้องสบถออกมาเสนาบด
เขาไม่ค่อยสนใจเรื่องเงินทอง ขอเพียงแค่ให้จัดการเรื่องต่างๆ ในราชสำนักอย่างยุติธรรมก็พอแต่ในราชสำนัก จะมีความยุติธรรมที่แท้จริงได้อย่างไร? วิธีการจัดการเรื่องต่างๆ ของเขานั้นน่าพูดถึงทีเดียวในการจัดการเรื่องต่างๆ เขาไม่ได้ทำตัวเป็นพวกหัวร้อนวัยรุ่นทั่วไปที่เอาแต่ทำเรื่องวุ่นวายเขาจะใช้วิธีอ้อมๆ ในการจัดการเรื่องพวกนี้ แต่ก็สามารถจัดการได้อย่างราบรื่นเขายังเชี่ยวชาญในการรักษาสมดุลของทุกฝ่าย ถึงจะไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ทุกเรื่อง แต่ก็ทำให้พอใจได้เจ็ดในสิบส่วนดังนั้นชื่อเสียงของเขาในเมืองหลวงจึงค่อนข้างดีลับหลังผู้คนจะด่าเขาว่าเป็นสุนัขจิ้งจอกเฒ่า แต่พอเจอหน้ากันก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพและเนื่องจากเขาไม่มีพ่อแม่ ภรรยาและลูก จึงไม่มีความต้องการอะไรมาก เงินเดือนแต่ละเดือนนอกจากจะใช้จ่ายในบ้านแล้ว ก็เอาไปช่วยเหลือบัณฑิตยากจนปู๋เยี่ยโหวเคยสรุปเรื่องของท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายว่า “ในสถานการณ์แบบนี้ เขาคงไม่มีเงินเหลือติดตัวจริงๆ”“ในบรรดาขุนนางทั้งเมืองหลวง ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายน่าจะจนที่สุด”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินปู๋เยี่ยโหวพูดถึงท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายเช่นนั้น นางก็รู้สึกว่าเสนาบดี
ตอนที่เฟิ่งชูอิ่งฟังเรื่องราวของเสนาบดีฝ่ายซ้าย นางรู้สึกสะเทือนใจอยู่บ้างก่อนหน้านี้นางคิดว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นนักการเมืองที่ชอบเล่นเล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง ถึงแม้ว่าการกระทำของเขามีขอบเขตของตัวเอง จะไม่ทำเรื่องที่ไร้ความปราณี แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการเป็นคนดีถึงตอนนี้ แม้ว่านางยังคงรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนดี แต่ก็นับว่าเป็นคนที่น่าสงสารเขาเหมือนจะประสบพบเจอกับโศกนาฏกรรมใหญ่ๆ ในชีวิตของมนุษย์มาครบถ้วนแล้ว ทั้งสูญเสียพ่อตั้งแต่ยังเด็ก สูญเสียภรรยาตอนวัยกลางคน ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเดียวดายเสนาบดีฝ่ายซ้ายถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้าอาจจะคิดว่าข้ามาเรียกร้องความสงสารในวันนี้”“ที่จริงแล้ว ความทุกข์และความเจ็บปวดที่แท้จริงนั้น ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้”“สิ่งที่พูดออกไปได้ เป็นเพียงข้อเท็จจริงที่คนนอกสามารถเข้าใจได้ ส่วนสิ่งที่พูดไม่ได้คือความเจ็บปวดและบาดแผลที่ไม่สิ้นสุดในใจ”“วันนี้ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ไม่ใช่ว่าต้องการให้เจ้าเห็นใจข้า แต่ข้าเพียงต้องการทำดีกับนางให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”“ข้าอายุไม่น้อยแล้ว สำหรับเรื่องราวในโลกนี้ ไม่กล้าพูดว่าตัวเองสามารถมอ
เรื่องนี้ก็ถูกเปิดโปงออกมาตรงๆเสนาบดีฝ่ายซ้ายเห็นราชโองการที่วางอยู่บนโต๊ะ ก็หยิบขึ้นมาดูแวบหนึ่งเขาเห็นแล้วก็หนังตากระตุก “พวกเจ้ากำลังทำราชโองการปลอม?”เฟิ่งชูอิ่งตอบ “แน่นอนว่าไม่ ราชโองการนี้มหาราชครูเป็นคนเขียน พวกเราเอามาจากจวนมหาราชครู”เสนาบดีฝ่ายซ้ายหยิบขึ้นมาดูอย่างละเอียดแล้วพูดว่า “ลายมือนี้ถึงจะคล้ายกับของฮ่องเต้องค์ก่อนมาก แต่ก็ไม่ใช่ลายมือของฮ่องเต้องค์ก่อน”“การลอกเลียนแบบนี้ถึงจะไม่เลว แต่ได้เพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้แก่นแท้”เฟิ่งชูอิ่งพูดอย่างประหลาดใจ “ฟังเจ้าพูดแบบนี้ เหมือนเจ้าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้?”เสนาบดีฝ่ายซ้ายยิ้มแล้วพูดว่า “สิ่งที่ข้าชอบทำที่สุดในชีวิตก็คือการลอกเลียนแบบลายมือ”“การเลียนแบบลายมือคนอื่นไม่ใช่เรื่องยาก”เขาพูดถึงตรงนี้ก็มองไปที่เฟิ่งชูอิ่ง “สาวน้อย เอาอย่างนี้ดีไหม เจ้าเอาตั๋วเงินคืนข้า แล้วข้าทำงานชดใช้ทุนเป็นไง?”เฟิ่งชูอิ่ง “......”ปู๋เยี่ยโหว “......”เสนาบดีฝ่ายซ้ายรู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไร?เรื่องเขียนราชโองการปลอม พอดูดจากปากของเสนาบดีฝ่ายซ้าย กลับกลายเป็นเรื่องที่พูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำเขาเป็นถึงเสนาบดีฝ่ายซ้ายน
เขาเดินไปสองสามก้าวแล้วหันกลับมามอง เห็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายนั่งสงบนิ่งอยู่ที่เดิม ท่าทางยังคงดูเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่คุ้นเคยเขาเบะปากเล็กน้อย แล้วไปหาหมึกพู่กันและกระดาษมาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหยิบพู่กันกับหมึกขึ้นมาเขียนราชโองการ จากนั้นทั้งเฟิ่งชูอิ่งและปู๋เยี่ยโหวก็เงียบไปเพราะพวกเขาเห็นแล้วว่าลายมือนี้เหมือนกับลายมือบนราชโองการฉบับจริง แต่ลายมือบนราชโองการดูมีพลังกว่าปู๋เยี่ยโหวยกนิ้วโป้งให้เสนาบดีฝ่ายซ้าย “ท่านเจ๋งสุดยอด!”เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดอย่างใจเย็น “แค่นี้ยังถือว่าไม่ได้อะไร ข้ายังมีความสามารถพิเศษอีกอย่างที่ยังไม่ได้แสดง”ทั้งสองคนจ้องมองเขาพร้อมกันเขาถามปู๋เยี่ยโหว “มีมีดขนาดเล็กกับไม้ที่เหมาะกับการแกะสลักไหม?”ครั้งนี้ปู๋เยี่ยโหวไม่ได้ถามอะไรต่อ สั่งให้คนนำของมาให้ทันทีเสนาบดีฝ่ายซ้ายหยิบมีดเล็กและไม้ขึ้นมา ภายในเวลาไม่นานก็แกะสลักตัวอักษรบนตราลัญจกรของฮ่องเต้ออกมาอย่างคร่าวๆจากนั้นเขาก็นำไม้ที่แกะสลักนั้นจุ่มหมึกแล้วประทับลงบนกระดาษ ตัวอักษรที่ปรากฏก็เหมือนกับบนตราลัญจกรของฮ่องเต้เพียงแต่ว่านี่แกะสลักจากไม้ จึงไม่ละเอียดเท่าของจริงเฟิ่งชูอิ่งทำเสียง “ซี้ด” เบาๆ “
เฟิ่งชูอิ่งกอดอกมองเขาพลางพูดว่า “ก็ได้ งั้นท่านคิดจะคิดค่าบริการเท่าไหร่ล่ะ”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็วางถ้วยชาลง “ค่าบริการของข้าก็ไม่สูงหรอก แค่เจ้าช่วยข้าเกลี้ยกล่อมนางให้ยอมมาอยู่จวนข้าก็พอ”พูดจบเขาก็เหลือบมองไปทางปู๋เยี่ยโหว “พวกเจ้าไม่ชอบจับจุดอ่อนของคนอื่นอยู่แล้วหรือ”“บัดนี้ ข้าเปิดเผยจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของข้าต่อหน้าพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้ายังมีอะไรต้องกังวลอีก”ปู๋เยี่ยโหว “...…”เขารู้สึกว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นคนเจ้าเล่ห์เดิมทีเขาอยากจะพูดว่า ถ้าเสนาบดีฝ่ายซ้ายกล้าเล่นตุกติก เขาจะจับเด็กสาวคนนั้นมาแต่เขายังพูดไม่ทันจบ เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็พูดในสิ่งที่เขาต้องการจะพูดออกมาก่อนแล้วปู๋เยี่ยโหวสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “ถ้าไม่รู้ว่าท่านเป็นถึงเสนาบดีฝ่ายซ้าย ข้าคงคิดว่าท่านโดนปีศาจเข้าสิงแล้ว”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “...…”เขาอยากจะฆ่าปู๋เยี่ยโหวให้ตายปู๋เยี่ยโหวพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ข้าคิดว่าเรื่องนี้สามารถร่วมมือกันได้ ท้ายที่สุดพวกเราก็เป็นเพื่อนกัน”เสนาบดีฝ่ายซ้ายพูดอย่างใจเย็น “ข้ากับเจ้าไม่ใช่เพื่อนกัน”“ครั้งนี้ข้าลงมือก็เพราะเด็กคนนี้ ถ้านางยินยอมช่วยข้า ข้
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท
เฟิ่งชูอิ่งเหลือบมองเขา ตอนนี้บนใบหน้าของเขามีบาดแผลเลือดไหลซึมอยู่หลายแห่ง น่าจะเป็นฝีมือของปลากินคนองคาพยพทั้งห้าที่เคยดูสดใสร่าเริงของเขา กลับดูดุร้ายน่ากลัวขึ้นหลายส่วนเมื่อมีรอยฟันปลาเหล่านั้นนางเอ่ยอย่างปลงตก “เจ้านี่หนังเหนียวจริงๆ นะ เจอขนาดนี้แล้วยังไม่ตายอีก”สมกับเป็นพระเอกของเรื่อง เป็นผู้มีบุญวาสนาโดยแท้ตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนเหนื่อยจะแสร้งทำเป็นสดใสร่าเริงแล้ว เขามองนางด้วยสายตามืดดำ “เจ้าคงผิดหวังมากสินะ?”“จิ่งโม่เยี่ยรักเจ้ามากขนาดนั้น หากเจ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของข้า เดาสิว่าเขาจะทำอย่างไร?”เฟิ่งชูอิ่งครุ่นคิดอย่างจริงจังก่อนจะตอบว่า “คิดไม่ออก เจ้าลองเดาเองไหม?”จิ่งสือเยี่ยนจ้องมองนาง พยายามมองมาความหวาดกลัว ความวิตกกังวลจากสีหน้าของนาง แต่กลับไม่พบอะไรเลยแววตาของเขาหม่นลงเล็กน้อย “ถ้าข้าใช้เจ้าแลกกับใต้หล้าแห่งนี้ คิดว่าจิ่งโม่เยี่ยจะยอมไหม?”เฟิ่งชูอิ่งครุ่นคิดอย่างจริงจังอีกครั้ง “คงไม่มั้ง ถึงเขาจะยอม เจ้าก็คงไม่ปล่อยข้าและเขาให้มีชีวิตอยู่ต่อไปหรอก”“สุดท้ายเราสองคนก็คงต้องตายด้วยน้ำมือเจ้า ดังนั้นเขาคงไม่ยอมแลกหรอก”พูดจบนางก็บอกกับจิ่งสือเยี่ยนอีกว
เพียงแต่เขาดูแข็งแกร่งเกินไป แล้วยังมีวิชาเต๋าที่แกร่งกล้าคอยค้ำจุนเอาไว้ เขาไม่ยอมแสดงด้านที่อ่อนแอให้นางเห็น นางก็เลยไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนนางรู้ว่าความปรารถนาอันแรงกล้าที่สุดในใจของเขาคือเฟิ่งชิงหลิง ตอนนี้พอรู้ว่าเฟิ่งชิงหลิงวิญญาณแหลกสลายไปแล้ว ปณิธานดังกล่าวก็เลือนหายไปด้วยที่เขาทนมาได้จนถึงทุกวันนี้ ล้วนเป็นเพราะความปรารถนานั้น ตอนนี้ไม่เหลืออะไรให้ยึดเหนี่ยวอีกแล้วจิ้งจอกสือซานเหนียงก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ นางมองดูแสงดาวที่สลายไปของเหมยตงยวนอย่างเหม่อลอย แล้วถอนหายใจยาวนางเป็นปีศาจจิ้งจอก คิดว่าตัวเองเข้าใจด้านมืดของจิตใจมนุษย์แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกว่า ความรักที่ซ่อนเร้นไว้ มักจะถูกคนอื่นประเมินค่าต่ำไปสิ่งที่นางคิดว่าเป็นความเฉยชา กลับเต็มไปด้วยความรักที่ลึกซึ้งที่สุดในโลกความปรารถนาเดิมของนางคือการฆ่าเหมยตงยวน แต่ตอนนี้เหมยตงยวนตายไปแล้ว นางกลับรู้สึกเสียใจอย่างมากระหว่างที่ทั้งสองจมอยู่ในความโศกเศร้า ไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีคนแอบเข้ามาใกล้กว่าเฟิ่งชูอิ่งจะรับรู้ถึงความผิดปกติที่คืบคลานเข้ามา ก็สายเกินไปเสียแล้ว มีฝ่ามือสับลงที่สันคอของนางอย่างแรงนางหันก
เฟิ่งชูอิ่งรีบหยิบยันต์ออกมาแผ่นหนึ่งแปะลงบนตัวเหมยตงยวน เพื่อระงับโทสะและพลังอำนาจด้านมืดที่พลุ่งพล่านออกมาจากตัวเขานางร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง “ท่านพ่อ!”แต่เหมยตงยวนไม่ได้หันมองนาง เพียงพึมพำว่า “ข้าเป็นคนฆ่าเฟิ่งชิงหลิง ข้าเป็นคนทำให้นางต้องตาย!”“ตอนนั้นทำไมข้าต้องออกไปทำภารกิจด้วย ข้าควรจะฆ่าเจ้าสำนักให้เร็วกว่านี้”เดิมทีจิ้งจอกสือซานเหนียงมั่นใจว่าเฟิ่งชิงหลิงถูกเขาฆ่าตาย แต่เมื่อเห็นสภาพเขาเช่นนี้ก็รู้ว่าตนเองคิดผิดเพราะเฟิ่งชิงหลิงวิญญาณสลายไปแล้ว เหมยตงยวนก็ตายไปแล้วเช่นกันในสถานการณ์เช่นนี้ เหมยตงยวนไม่จำเป็นต้องหลอกนางอีกจิ้งจอกสือซานเหนียงฝึกฝนอย่างหนักตลอดหลายปีมานี้ก็เพื่อฆ่าเหมยตงยวน แต่ตอนนี้นางกลับพบว่า ความเกลียดชังที่นางมีต่อเหมยตงยวนมานานหลายปีกลับสูญเปล่าตอนนี้นางรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปนางพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้า “ในเมื่อเจ้ามีคุณหนูอยู่ในใจ ทำไมตอนนั้นถึงไม่แสดงออกให้ชัดเจนกว่านี้?”“คุณหนูเคยคิดว่าเจ้าไม่เคยรักนางสักนิด ซ้ำยังคิดว่าเจ้าเกลียดชังนางด้วย”ตอนที่เฟิ่งชิงหลิงยังมีชีวิตอยู่ นางคิดมาตลอดว่าสาเหตุที่เหมยตงยวนบุกเข้าไปในดินแ
“เจ้าสำนักมีของวิเศษชิ้นหนึ่ง สามารถเปลี่ยนร่างเป็นคนอื่นได้ตามใจชอบ”“ข้าถูกเขาเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก จึงรู้จักข้าดีที่สุด ดังนั้นการที่เขาจะเปลี่ยนร่างเป็นข้าจึงเป็นเรื่องง่ายมาก”เมื่อได้ยินดังนั้นทั้งเฟิ่งชูอิ่งและจิ้งจอกสือซานเหนียงก็ตกตะลึงเหมยตงยวนกำมือแน่น “ข้าคือผู้ที่เขาเลือกเฟ้นอย่างดีให้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไป”“เขาคิดว่าการจะเป็นเจ้าสำนักได้ต้องตัดเยื่อใยไร้ความรัก เมื่อเฟิ่งชิงหลิงตาย ข้าก็จะไม่มีพันธะใดๆ ในโลกนี้อีก ตอนนั้นข้าถึงจะคู่ควรกับตำแหน่งเจ้าสำนักลี้ลับ”“แต่ก่อนหน้านี้ข้าเคยทะเลาะกับเขาอย่างรุนแรงเรื่องของชิงหลิง เขาจึงไม่กล้าลงมือทำอะไรอีก”“แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าเช่นนี้!”ก่อนออกไปทำภารกิจ เขาแอบไปเยี่ยมเฟิ่งชิงหลิง พบว่าอาการของนางดีขึ้นมากแล้วด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงวางใจออกไปทำภารกิจด้านนอกแต่เมื่อเขาย้อนกลับมาอีกครั้ง นางก็จากไปแล้วเหมยตงยวนเคยติดใจสงสัยเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่เพราะเขาสืบไม่พบเบาะแสใดใดยิ่งไปกว่านั้น หลังจากเฟิ่งชิงหลิงเสียชีวิตแล้ว เขาก็หาดวงวิญญาณของนางไม่พบ จึงคิดไปว่านางคงไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกต่อไปใน