จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชา “อยู่ด้วยกันจนผมขาว? บนโลกใบนี้มีใครอยู่ด้วยกันจนผมขาวบ้าง!”เขานึกถึงความทรงจำที่ไม่ค่อยจะดีขึ้นมาได้ สายตาจึงดูดุร้ายขึ้นหลายส่วนเฟิ่งชูอิ่งจึงเอ่ยกับเขาว่า “ท่านอ๋องพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกนะเพคะ บนโลกใบนี้จะไม่มีคนอยู่ร่วมกันยันแก่เฒ่าเลยได้อย่างไร?“คู่สามีภรรยาที่รักใคร่ปรองดองในใต้หล้ามีตั้งมากมาย พวกเขาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผูกสมัครรักกันไปทั้งชาติ“เพียงแต่คู่สามีภรรยาแบบนั้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะประคับประคองกัน ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเสมือภาค“คู่รักที่ฝ่ายหนึ่งถูกกดให้ต่ำจนไร้ค่ากว่าฝุ่นผงเช่นนั้น ไม่มีวันอยู่ร่วมกันได้ยาวนานอยู่แล้ว เพราะว่าพวกเขาสามารถทอดทิ้งฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย“คู่สามีภรรยาที่อยู่กันจนแก่เฒ่าได้จริงๆ ทั้งสองคนจะต้องเคียงบ่าเคียงไหล่ ให้ความเคารพฝ่ายตรงข้ามจากใจจริง แล้วก็ไม่ทำให้อีกฝ่ายเจ็บช้ำน้ำใจเพคะ”นัยน์ตาของจิ่งโม่เยี่ยดูล้ำลึกกว่าเดิม เขาเอ่ยช้าๆ ว่า “เจ้าคิดจะอยู่กับข้าจนแก่เฒ่าหรือ?”จิ่งโม่เยี่ยมองเขาแล้วกล่าว “ตอนนี้ใช่เพคะ แต่หากท่านอ๋องไม่คิดจะเคารพข้าสักนิด ข้าคิดว่าความรักที่ข้ามีให้ท่านสักวันก็คง
เขาลองสับคอเขาหลายต่อหลายครั้งก็ยังไม่สลบสักที หากยังสับต่อไป เขาคงได้กลับมาคิดบัญชีกับนางชุดใหญ่แน่ๆ ดังนั้นนางจึงยิ้มหวานให้จิ่งโม่เยี่ยแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้ข้าถูกสับทีเดียวก็นอนหลับไปเลย วันนี้พวกเรามาทำกันเหมือนเดิมเถอะ”นางกล่าวจบก็กระชากแขนของเขาแล้วจับเหวี่ยงข้ามบ่า โยนตัวของเขาลงไปบนเตียงโดยตรงจิ่งโม่เยี่ย “......”จิ่งโม่เยี่ย “!!!!!!”หลายปีที่ผ่านมาเขาเคยถูกคนวางกับดักใช้กลอุบายมากมาย สถานการณ์จึงไม่ค่อยสู้ดีนักทว่าคนพวกนั้นพออยู่ต่อหน้าของเขา ต่างก็แสดงท่าทางเกรงใจนอบน้อม ไม่มีใครกล้าลงมือกับเขาซึ่งๆ หน้ามาก่อนทว่าสตรีที่ใจกล้าไม่เกรงฟ้าดินคนนี้ กลับกล้าลงมือสับคอเขา แล้วยังกล้าจับเขาทุ่มอีกต่างหาก!สีหน้าของเขาจึงมืดครึ้มเหมือนพายุตั้งเค้าเฟิ่งชูอิ่งเห็นสีหน้าท่าทางของเขาก็รู้สึกสะใจเงียบๆ นางจะทำให้เขาได้รู้เองว่าการถูกคนรังแกโดยไม่อาจโต้ตอบได้มันรสชาติเป็นอย่างไร!นางรู้ว่าถึงเขาจะลงมือโหดเหี้ยมสักแค่ไหน ก็ไม่มีทางทำร้ายนางจนถึงขั้นตายแน่นอน เพราะเขาจำเป็นจะต้องใช้นางคลายคำสาปอยู่หลังจากนางโยนเขาลงเตียงแล้ว จึงยื่นมือไปกอดเขาแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋อง เป็น
เฟิ่งชูอิ่งคิดจะยอมแพ้แต่โดยดีและขอให้เขาอภัย แต่ตอนที่นางเห็นรูปเต่าบนหน้าของเขา นางก็พยายามเกร็งหน้าไม่ให้หลุดขำออกไปจิ่งโม่เยี่ยถาม “เจ้ากำลังหัวเราะเยาะข้าหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งรีบเอ่ยว่า “มิกล้า! ข้าก็แค่คิดว่าท่านอ๋องหล่อมาก ถูกท่านอ๋องนอนคร่อมเช่นนี้ช่างมีความสุขเหลือเกิน”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขากำลังจะคิดบัญชีกับนางแท้ๆ ทำไมถึงกลายเป็นเขาถูกนางหยอกล้อได้ล่ะนัยน์ตาของเขาเย็นเยียบ นางจึงเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง คำสาปของท่านมีข้าเพียงคนเดียวที่สามารถแก้ได้ ใจเย็นไว้เพคะ ใจเย็นๆ ไว้!”จิ่งโม่เยี่ยรู้สึกว่าหลังจากนางรู้เรื่องนี้เป็นต้นมา นางก็ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอีกต่อไป เขาจ้องนางและเอ่ยว่า “ข้าใจเย็นลงแล้ว แต่เจ้ากลับไม่หยุดรนหาที่ตายสักที“ข้าคิดว่าหากเจ้าขาดหูไปสักข้าง หรือว่าตาบอดไปสักข้าง ก็คงไม่ส่งผลต่อการแก้คำสาปให้ข้าหรอกกระมัง”เฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”นางประมาทเกินไป ลืมไปได้อย่างไรว่าเขามันบ้า เรื่องแบบนี้เขาพูดจริงทำจริงแน่นอนตอนนี้ไม่ว่านางจะหนีหรือหยิบยันต์ออกมาสู้ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้วนางจึงตัดสินใจโน้มคอของเขาลงมาแล้วจูบปากเขาหนึ่งทีจิ่งโม่เยี่ย “......”จิ่งโม่เยี่ย “
เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะคิกคัก “เขาบอกให้ข้าไปร่วมงานเลี้ยงของราชวงศ์ แปลว่าก่อนจะถึงงานนั้น เขาจะไม่มีวันตัดหูหรือควักลูกตาข้าแน่นอน”เฉี่ยวหลิง “ทำไมล่ะเจ้าค่ะ?”เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “เพราะเขาก็ต้องรักษาหน้าตาเหมือนกัน หากข้ากลายเป็นคนพิการ เขาจะต้องอับอายขายหน้าแน่”เฉี่ยวหลิง “......มีเหตุผล แต่ท่านไปยั่วโมโหเขาแบบนี้ ไม่กลัวว่าหลังจบงานเลี้ยงแล้วเขาจะมาตัดหูท่านหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งโบกมือไปมา “เรื่องหลังจากนั้นก็ค่อยว่ากันสิ”หากถึงตอนนั้นจริงๆ นางก็แค่หาทางเบี่ยงเบนความสนใจเขาอีกรอบไง!อย่างไรเสียคืนนี้นางก็ได้ทุบตีเขาแล้ว นอกจากนี้ยังเขียนคำว่าหวางปา(เจ้าโง่) กับวาดเต่าไปด้วย นางรู้สึกเบิกบานใจสุดๆ เลยเฉี่ยวหลิงมองนางด้วยท่าทางกังวลตอนนี้เฉี่ยวหลิงเป็นร่างวิญญาณ เป็นคนที่ตายไปแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นคนหรือวิญญาณ นางก็ยังไม่เคยเห็นใครใจกล้าเท่าเฟิ่งชูอิ่งมาก่อนเลยเฟิ่งชูอิ่งใจกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหนเฟิ่งชูอิ่งไม่ได้กังวลเท่ากับเฉี่ยวหลิง เพราะนางไม่ใช่คนที่ยอมใครอยู่แล้วจิ่งโม่เยี่ยต้องได้รับความช่วยเหลือจากนางแท้ๆ แต่กลับยังคิดจะรังแกนาง บีบคั้นนาง กล้าดีอย
ทว่าตอนนี้ฉินจื๋อเจี้ยนไม่เห็นว่าจิ่งโม่เยี่ยมีท่าทางอยากจะไปตัดมือคนผู้นั้นเลย กลับกัน ดูเหมือนจะไม่ได้โกรธขนาดนั้นด้วยกลอุบายกลั่นแกล้งกันแบบนี้ คล้ายจะเป็นฝีมือของสตรีเสียมากกว่า เหมือนเป็นเรื่องสนุกในเรือนนอนอย่าบอกนะว่าจิ่งโม่เยี่ยมีคนที่ชอบแล้ว?ทว่าเขากลับปัดความคิดนั้นทิ้งไปทันทีเพราะเขาตระหนักดีว่าจิ่งโม่เยี่ยเติบโตมากับอะไรบ้าง รู้ว่าคนแบบจิ่งโม่เยี่ย ไม่มีผู้หญิงคนไหนในโลกทำให้เขาหวั่นไหวได้หรอกแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ล่ะ?ตอนที่เขาเดินจนถึงประตู จิ่งโม่เยี่ยก็ถามเขาว่า “จื๋อเจี้ยน หากเจ้าพบเจอกับคนที่ใจกล้าบ้าบิ่นมากๆ เจ้าจะทำอย่างไร?”ฉินจื๋อเจี้ยนได้ยินเช่นนั้นก็หูผึ่งทันที รีบก้าวฉับๆ เขาไปหาอีกฝ่ายอย่างว่องไว “หากข้าพบเจอคนแบบนั้น ข้าก็น่าจะเมินเฉยเสียมากกว่า“หากท่านอ๋องพบกับคนแบบนั้น ก็น่าจะใช้กระบี่แทงตายสินะพ่ะย่ะค่ะ?”จิ่งโม่เยี่ยตอบเสียงเรียบ “คนผู้นั้นมีประโยชน์มาก ตอนนี้ยังฆ่าไม่ได้”ความอยากรู้อยากเห็นของฉินจื๋อเจี้ยนทำงานทันที “ในเมื่อฆ่าไม่ได้ ถ้างั้นก็ต้องเอาตัวเขามาไว้ในจวน“จากนั้นก็ทรมานเขาทุกวัน ใช้แส้เฆี่ยนเขาทุกคืน ทำให้เขาทรมานยิ่งกว่าตาย แต่ก็ยั
หลังจากผู้ดูแลโจวเข้ามาก็จัดการปิดประตู ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้านาง โขกศีรษะให้นางแล้วกล่าวว่า “คุณหนูต่างสกุล ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”เฟิ่งชูอิ่งเห็นว่าบนหน้าของเขามีรอยมือสีดำเข้มติดอยู่จำนวนมาก ที่คอก็มีรอยถูกรัดสีดำอยู่เช่นกัน จึงทราบว่าเมื่อคืนเขาคงจะถูกทรมานมิใช่น้อยนางจึงหันมองวิญญาณร้ายที่เกาะติดผู้ดูแลโจวอีกครั้ง ร่างวิญญาณของอีกฝ่ายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมากวิญญาณร้ายจะเติบโตขึ้นได้ก็ต่อเมื่อกลืนกินพวกเดียวกัน หรือไม่ก็กัดกินอารมณ์ด้านลบของคนเป็นอาหารดูจากสภาพของวิญญาณร้าย คงจะได้กินความกลัวกับความหวาดผวาของผู้ดูแลโจวไปไม่น้อยเลยเฟิ่งชูอิ่งถามเสียงเรียบ “ผู้ดูแลโจวคิดได้แล้วหรือ?”ผู้ดูแลโจวแหงนหน้าขึ้นมองนาง “ขอแค่คุณหนูต่างสกุลยอมช่วยชีวิตข้า หลังจากนี้ไปข้าจะยอมรับใช้ท่านทุกอย่าง”เมื่อคืนนี้เขาเชิญนักพรตท่านหนึ่งมาทำพิธีในบ้าน ผลคือพิธียังทำไม่ทันจะเสร็จ นักพรตคนนั้นก็โดนอะไรบางอย่างจับขึ้นไปแขวนบนคานไม้แล้วหลังจากพวกเขาช่วยกันพานักพรตคนนั้นลงมา นักพรตคนนั้นก็เผ่นหนีออกไปแบบไม่ลืมหูลืมตา ปฏิเสธที่จะข้องเกี่ยวกับพวกเขาอีกเมื่อคืนนี้นอกจากเขาจะโดนผีอำแล้ว ยังเกือบจะถูกรัดคอตายด้ว
ผู้ดูแลโจวตอบ “ตอนนั้นพวกเขาไม่ได้พูดออกมา ข้าก็เลยไม่ทราบว่านางเป็นใคร“แต่ฟังจากน้ำเสียงของฮูหยินในตอนนั้น นายท่านเหมือนจะเป็นคนรักของมารดาท่านขอรับ”เฟิ่งชูอิ่ง “......”น้ำเน่าขนาดนี้เลยหรือ?นางคิดพิจารณาดูแล้วว่าเรื่องพวกนี้มันไม่สมเหตุสมผล ต่อให้เป็นคนที่ไม่มีสมอง ก็ไม่มีทางส่งตัวลูกสาวให้คนรักเก่าเอาไปดูแลหรอกในความทรงจำของร่างเดิม มารดาของนางเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่งแต่น่าเสียดาย ความทรงจำของร่างเดิมก่อนจะมาอยู่ที่จวนสกุลหลินเลือนรางมาก เฟิ่งชูอิ่งพยายามจะค้นหาความทรงจำของร่างเดิม แต่ก็ไม่พบข้อมูลอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยนางจึงเอ่ยเสียงเรียบ “นอกจากเรื่องนี้แล้ว เจ้ายังรู้อะไรอีกบ้าง?”ผู้ดูแลโจวมองสบตานาง “หากคุณหนูต่างสกุลช่วยชีวิตข้าแล้ว ความลับเรื่องอื่นที่ข้ารู้มา สามารถค่อยๆ คุยกันทีหลังได้ขอรับ”เฟิ่งชูอิ่งระบายยิ้ม นางลองตรวจโหงวเฮ้งของผู้ดูแลโจวเล็กน้อย เขาเป็นคนต่ำต้อยเลวทรามที่แล่นเรือตามลม[footnoteRef:1] แล้วยังเป็นคนที่ใจดำอำมหิตอีกด้วย [1: ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ โอนเอียงไปฝั่งโน้นทีฝั่งนี้ที ] วาจาของเขาเชื่อถือไม่ได้ ทำอะไรก็ยึดถือผลประโยชน์เป็นหลัก ไร้ยาง
ฮว๋าซื่อตอนยังสาวก็นับว่าสวยอยู่หรอก แต่ตอนนี้นางอายุมากแล้ว ใบหน้าจึงไม่สวยเหมือนเดิมแล้วพอนางร้องไห้นานๆ เข้า ดวงตาก็เริ่มจะบวดปูด หลินชูเจิ้งเห็นนางสภาพนั้นก็รู้สึกรังเกียจขึ้นมาเขาหน้ามืดครึ้มทนฟังนางจนเล่าจบ เอ่ยถามเสียงต่ำว่า “เจ้าหมายความว่าตอนเกิดเรื่องเฟิ่งชูอิ่งไม่ได้อยู่ตรงนั้น?”ฮว๋าซื่อสะอึกสะอื้น “นางไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่สัญชาตญาณของข้าบอกว่านางเป็นคนทำแน่นอน!“สารถีแซ่หลิวทำงานในจวนสกุลหลินมานานหลายปี เขาเป็นคนนิสัยอย่างไรข้าย่อมรู้ดี ให้เขากล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าทำเรื่องเช่นนั้นกับข้าหรอก!”หากฮว๋าซื่อไม่ได้เกิดเรื่องแบบนั้นกับสารถีแซ่หลิว หลินชูเจิ้งก็คงจะรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของนางทว่าพอเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นเมื่อวาน คำพูดของฮว๋าซื่อก็เลยฟังดูเหมือนกำลังเข้าข้างและแก้ตัวแทนสารถีแซ่หลิวไปเสียอย่างนั้นหลินชูเจิ้งจึงสะบัดมือฟาดหน้าฮว๋าซื่อไปหนึ่งที “แพศยา พวกเจ้านอนด้วยกันจนเกิดเป็นความรักหรือ? ถึงได้พูดออกตัวแทนมันแบบนี้!”ฮว๋าซื่อที่ถูกตบก็งุนงง นางร้องไห้ฟูมฟาย “ข้าเป็นคนอย่างไรท่านไม่รู้หรืออย่างไร ทำไมต้องต่อว่าข้าแบบนั้นด้วย!”หลินชูเจิ้งด่า “เจ้าเป็นคนอย่างไรข้า
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท