ปู๋เยี่ยโหวทำหน้ารังเกียจพลางพูดว่า “เจ้าก็เป็นถึงองค์ชาย กินข้าวให้เรียบร้อยหน่อยได้ไหม”เฟิ่งชูอิ่งเปิดตาทิพย์ให้เขา เขาจึงมองเห็นจิ่งสือเฟิงได้ตอนแรกที่ปู๋เยี่ยโหวเห็นเฉี่ยวหลิงก็ตกใจมากทีเดียว แต่หลังจากที่เขาเห็นวิญญาณร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ และอยู่ด้วยกันนานขึ้น ตอนนี้เขาก็เริ่มชินชาแล้วจิ่งสือเฟิงกวาดอาหารบนจานจนหมดเกลี้ยง แล้วมองไปที่ปู๋เยี่ยโหวพร้อมพูดว่า “เจ้าลองไม่กินอะไรสักหลายเดือนดูสิ”“ถ้าเจ้าทำได้แบบนั้น ข้าจะเรียกเจ้าว่าพ่อเลยก็ได้”ปู๋เยี่ยโหวทำหน้ารังเกียจพลางพูดว่า “เจ้ายังกล้าแช่งข้าในบ้านของข้าอีกนะ เชื่อไหมว่าข้าจะไล่ตะเพิดเจ้าออกไป”จิ่งสือเฟิงหดคอไม่กล้าเถียง แต่กลับจ้องมองเฟิ่งชูอิ่งตาแป๋วปู๋เยี่ยโหวเห็นแบบนี้ก็ทนดูไม่ได้จริงๆตอนที่จิ่งสือเฟิงยังมีชีวิตอยู่ เขาทั้งรักษาหน้าตาและหยิ่งยโส แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นแบบนี้ ดูแล้วก็น่าสงสารอยู่บ้างเฟิ่งชูอิ่งกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย พอเห็นท่าทางของจิ่งสือเฟิงก็กินไม่ลง จึงเซ่นอาหารให้เขาเพิ่มอีกหลายอย่างจิ่งสือเฟิงดีใจมาก เขาชมเฟิ่งชูอิ่งว่า “แม่นางเฟิงช่างเป็นคนสวยและใจดี เป็นคนดีจริงๆ!”เฟิ่งชูอิ่งอดไม่ได้ท
เพราะตอนนี้จิ่งสือเฟิงไม่เหลืออะไรแล้วไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องต่อสู้ เขาสู้ไม่ได้แม้แต่ผีดุร้ายไร้ประโยชน์ที่อยู่ข้างๆ เฉี่ยวหลิง นับประสาอะไรกับเหมยตงยวนและเฉี่ยวหลิงเขาสูดจมูกเบาๆ รู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ประโยชน์จริงๆเฟิ่งชูอิ่งมองเขาแล้วพูดว่า "พอได้แล้ว อย่าทำหน้าเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากให้ข้าเห็น""กินเสร็จก็ไปไกลๆ อย่ามารบกวนข้ากินอาหาร"จิ่งสือเฟิงรีบพูดว่า "ขออีกสามอย่างได้ไหม?"เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางมองเขาอย่างเย็นชา เขาหดคอแล้วพูดว่า "สองอย่างก็ได้!"เฉี่ยวหลิงเดินเข้ามา จับหูเขาแล้วลากออกไป ครั้งนี้แม้แต่อาหารในมือเขาก็รักษาไว้ไม่ได้ตอนที่เขากำลังถูกลากออกไป เขายังคงตะโกนว่า "อาหาร! อาหารของข้า!"เฟิ่งชูอิ่งแทบไม่อยากมองเขา!ปู๋เยี่ยโหวอดหัวเราะไม่ได้ "เขาก็มีวันนี้เหมือนกัน!"ตอนที่จิ่งสือเฟิงยังมีชีวิตอยู่ เขาอาศัยความเป็นโอรสฮองเฮา ทำตัวเย่อหยิ่งมาก ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาตอนนั้น เขาจึงได้กินอาหารชั้นเลิศแทบทุกวันแล้วดูตอนนี้สิ หลังจากตายไปแล้ว แม้แต่อาหารธรรมดาก็ยังกินไม่ได้เฟิ่งชูอิ่งพูดด้วยความรู้สึกว่า "เขาก็สมควรโดนแล้วล่ะ"หลังจากพูดจ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฟิ่งชูอิ่งจึงเอ่ยว่า “มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง คือข้าไม่ได้สนใจเจ้า ดังนั้นข้าจึงไม่สนใจเลยว่าเจ้าจะสกปรกหรือไม่”ปู๋เยี่ยโหว “......”เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “เจ้าอย่าพูดความจริงเลยดีกว่า ข้าให้โอกาสเจ้าพูดใหม่”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะเสียงดัง “ข้าพูดถูกทุกอย่าง!”ปู๋เยี่ยโหวครางเสียงเบาๆ “เจ้าพูดผิด เจ้าต้องดื่มสามจอก”วันนี้เฟิ่งชูอิ่งอารมณ์ดี จึงเอ่ยว่า “ได้ ดื่มก็ดื่ม”เหมยตงยวนมองดูพวกเขาหยอกล้อกันอยู่ข้างๆ โดยไม่เข้าไปยุ่งเฟิ่งชูอิ่งอยู่ในคุกมาหลายวัน คุกทั้งชื้นและเย็น การดื่มเหล้าในตอนนี้จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายของนางเขามองออกถึงความรู้สึกของปู๋เยี่ยโหวที่มีต่อเฟิ่งชูอิ่ง และทั้งสองคนก็มีความเข้าใจกันอย่างมากเขาแค่ต้องคอยดูอยู่ข้างๆ ไม่ให้ปู๋เยี่ยโหวเอาเปรียบเฟิ่งชูอิ่งก็พอเฟิ่งชูอิ่งคิดว่านางดื่มเก่ง เพราะก่อนที่นางจะข้ามมิติเวลามา นางสามารถดื่มได้เป็นพันจอกโดยไม่เมาแต่หลังจากที่นางดื่มไปหนึ่งจอกในวันนี้ นางก็รู้ว่าตนเองคิดผิดนางมองไปที่ปู๋เยี่ยโหวซึ่งเห็นเป็นภาพซ้อนเบื้องหน้า นางจึงสะบัดหัวเบาๆ แล้วขยี้ตานางพูดด้วยความสับส
หลังจากมหาราชครูกลับเข้าจวน จวนมหาราชครูก็ถูกกองกำลังทหารล้อมไว้หมด แม้กระทั่งยุงตัวเดียวก็บินออกไปไม่ได้เมื่อมหาราชครูกลับถึงจวน เขาก็รู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก แผนการที่วางไว้เป็นอย่างดีกลับมีปัญหาเกิดขึ้นหากเรื่องนี้จัดการไม่ดี จวนมหาราชครูอาจจะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิงมหาราชครูรู้สึกไม่ยินยอมถึงแม้เขาจะไม่ได้เห็นฎีกาที่พระสนมสวี่ส่งให้จิ่งโม่เยี่ย แต่เขาก็รู้เรื่องบางเรื่องที่คนในจวนมหาราชครูทำโดยอาศัยชื่อเสียงของเขาก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แค่เป็นเรื่องของคนตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มีความสำคัญ ถึงตายไปก็ไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะของจวนมหาราชครูแต่ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาคิดผิดเมื่อมีคนออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนตัวเล็กๆ เหล่านี้ ชีวิตและความตายของพวกเขาก็สามารถสั่นคลอนจวนมหาราชครูได้ในฐานะผู้นำความศรัทธาของเหล่านักปราชญ์ มหาราชครูรู้ดีว่าหากเรื่องนี้จัดการได้ไม่ดี จะสร้างความเสียหายได้มากเพียงใดในตอนนี้ เขาวางแผนอะไรต่อไปไม่ทันแล้วยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เป็นช่วงหยุดราชการเพื่อฉลองวันปีใหม่ เหล่าลูกศิษย์ของเขาส่วนใหญ่ก็กลับจวนไปฉลองปีใหม่แล้ว จึงไม่มีใคร
เฟิ่งชูอิ่งกำลังหลับสะลึมสะลือ แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีมือข้างหนึ่งล้วงเข้ามาในอกของนางนางคว้ามือของคนผู้นั้นเอาไว้แล้วจับบิดสุดแรง ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างยังปิดสนิท“อ๊าก” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงสบถด่า “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งพลันเบิกตาโพลง ก่อนจะมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของใครคนหนึ่ง ที่แม้จะหล่อเหลา แต่กลับดูเจ้าชู้สำส่อนครู่ต่อมานางก็สังเกตเห็นลัคนาของเขา มันเป็นสีดำทมิฬไปทั้งแถบ มีเพียงคนที่ใกล้จะตายเท่านั้นถึงจะมีโหงวเฮ้งเช่นนี้ ความทรงจำช่วงหนึ่งพลันไหลบ่าเข้ามาในสมอง นางจึงทดลองเอ่ยเรียกออกไปว่า “เฉินเยี่ยนเซิง?”เฉินเยี่ยนเซิงกุมมือที่เกือบจะถูกบิดจนหักของตัวเอง ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ถึงกล้าบิดมือข้าเช่นนี้?” “เจ้าอย่าลืมนะ อีกไม่กี่วันเจ้าจะต้องแต่งงานกับผีขี้โรคอย่างอ๋องฉู่ เจ้าเป็นคนขอร้องให้ข้าพาหนีเองนะ!”เฟิ่งชูอิ่ง : “......”คำพูดของเขาตรงกับความทรงจำที่ปรากฏขึ้นในสมองของนางพอดิบพอดี แล้วก็เหมือนกับบทในนิยายที่ญาติผู้น้องของนางอ่านเมื่อไม่กี่วันก่อนทุกกระเบียดนิ้วด้วย เพราะว่านางร้ายในนิยายเล่มน
หลังได้ยินเสียงดังกล่าว เสียงเซ็งแซ่วุ่นวายภายในห้องก็กลายเป็นความเงียบสงัดในพริบตา สายตาของคนทั้งหมดหันมองไปทางประตูบานนั้นเฟิ่งชูอิ่งก็สงสัยใคร่รู้มิใช่น้อย นางอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าจอมวายร้ายที่ปั่นหัวคู่พระนางจนแทบเป็นบ้า ซึ่งนักเขียนบรรยายเอาไว้ว่ารูปโฉมดุจเซียนผู้ร่วงหล่นสุราลัย ทว่านิสัยใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตผู้นั้น แท้จริงแล้วมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรทว่าเมื่อนางมองเห็นจิ่งโม่เยี่ยเจ้าของบรรดาศักดิ์ฉู่อ๋อง ก็ถึงกับตกตะลึงตาค้างไปเลยยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว เขากลับสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว องคาพยพทั้งห้าถูกสรรสร้างมาอย่างพิถีพิถัน นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเป็นสีดำขลับ งามจนแยกมิออกเลยว่าเป็นบุรุษหรืออิสตรีในมือของเขาถือคัมภีร์พระไตรปิฎก มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ ให้บรรยากาศงามสง่าหลุดพ้นจากโลกีย์ทั้งปวง เหมือนเทพเซียนที่พลัดหลงจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์โดยแท้ เพียงแต่สีหน้าของเขาออกจะซีดเซียวเล็กน้อย ท่าทางคล้ายคนป่วยไข้อยู่หลายส่วน ทว่าท่าทางอ่อนแอนั้นกลับทำให้คนรู้สึกอยากจะปกป้องทะนุถนอมอย่างบอกไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งสรุปได้ว่า นี่มันปีศาจ[footnoteRef:1]ชัดๆ! [1: ปีศา
เฟิ่งชูอิ่งตัวสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะเหลือบมองเฉินเยี่ยนเซิงที่ถูกแล่เนื้อเถือหนังจนแดงเถือกไปทั้งตัวนางไม่อยากโดนแล่ จะต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้นางกรอกตาไปมา ก่อนจะกล่าวด้วยดวงตาแดงระเรื่อ “วันนี้ข้ากับเฉินเยี่ยนเซิงปรึกษาเรื่องหนีตามกันในห้องนี้จริงๆ“แต่ตอนนั้นข้าทำไปเพราะถูกเขาบีบบังคับ ก็เลยต้องยอมตามน้ำคนหน้าซื่อใจคดอย่างเขาไปก่อน“ท่านอ๋องก็ทราบ หลังจากบิดามารดาของข้าตายไป ข้าก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ต้องจำใจไปอยู่อาศัยที่จวนสกุลหลิน“แต่ผู้คนในจวนสกุลหลินกลับหวังฮุบสมบัติของบิดามารดาข้า คิดจะทำร้ายข้าให้ถึงแก่ความตาย“พวกเขากลัวว่าหากข้าแต่งออกไปแล้ว จะขนทรัพย์สินทั้งหมดไปเป็นสินเดิมเจ้าสาวด้วย ดังนั้นก็เลยไม่อยากให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋องของท่าน“ดังนั้นหลินหว่านถิงกับเฉินเยี่ยนเซิงก็เลยวางแผนร่วมกัน พยายามพูดจาใส่ร้ายท่านอ๋องให้ข้าฟังบ่อยๆ หว่านล้อมให้ข้าหนีตามเขาไปพร้อมทรัพย์สิน จะได้ฉวยโอกาสนั้นจัดการปลิดชีพข้า“โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อสิบปีที่แล้ว ท่านอ๋องเคยช่วยชีวิตข้าครั้งหนึ่งตอนอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนของจวนกลางหุบเขา ข้าจึงปักใจอยากแต่งงานกับท่านตั้งแต
เขาเอ่ยถึงตรงนั้นแล้วหยุดมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยความเวทนา “ท่านก็จะประสบอุบัติเหตุตายได้ทุกรูปแบบเลยล่ะ ท่านอาจจะกินอาหารติดคอตาย ดื่มน้ำสำลักตาย เดินๆ อยู่ก็สะดุดล้มตาย...”“เงียบซะ!” จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเย็นชาเจ้าอาวาสถอนหายใจ “รู้ว่าเจ้าไม่อยากฟังอะไรแบบนี้ ทว่ามันคือความเป็นจริง”“แม้สวรรค์จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ แต่บางครั้งก็อาจจะถูกคนช่วงชิงไปได้เหมือนกัน”“เมื่อไหร่ที่คนถึงคราวดวงตก ความซวยทั้งหลายแหล่ก็จะประดังประเดเข้ามาหาพร้อมกัน”“ถึงตอนนั้นคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องลงมือให้เสียแรงเปล่า เพราะเดี๋ยวเจ้าก็ตายแบบไม่รู้ตัวเอง”“ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนในยามนี้ คือการตามหาตัวผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับให้พบ ปัญหาจะได้คลี่คลาย”เขาพูดมาถึงตรงนี้แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “แต่สำนักศาสตร์ลี้ลับถูกปิดล้อมเมื่อสิบปีก่อน คนในสำนักล้มตายไปหมดแล้ว จะไปหาผู้เชี่ยวชาญจากที่ไหนกันล่ะ?“ข้ามองว่า ท่านก็ไปหลับนอนกับว่าที่พระชายาคนใหม่ให้มันจบๆ ไปเถิด เช่นนี้ท่านจะได้ทิ้งสายเลือดเอาไว้สืบสกุลต่อบนโลก...โอ๊ย ช่วยด้วย!”หลังจากจิ่งโม่เยี่ยถีบเจ้าอาวาสกระเด็น เขาก็ย่างกรายออกจากห้องวิปัสสนาอ