เปลวไฟแผดเผาวิญญาณร้ายที่ต้องการฆ่าเฟิ่งชูอิ่งจนตายไปหลายตน แต่ก็กลืนกินทั้งห้องไปด้วยวิญญาณร้ายที่ไม่ตายก็ถูกไฟลนจนวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงผมและผ้าขาวกลายเป็นเชื้อเพลิง เพียงชั่วพริบตาทั้งห้องก็กลายเป็นทะเลเพลิงสีหน้าของเฟิ่งชูอิ่งดูแย่มาก นางพยายามหมุนรถเข็นเพื่อออกไป แต่กลับพบว่าล้อรถเข็นถูกวิญญาณร้ายบางตนขัดไว้ ทำให้หมุนไม่ได้เลยหลังจากพยายามสามครั้งแล้วยังไม่สำเร็จ เฟิ่งชูอิ่งก็ตัดสินใจทิ้งรถเข็นแล้วกระโดดด้วยขาข้างเดียวไปที่ประตูแต่ที่ประตูมีม่านแขวนอยู่ ตอนนี้ม่านถูกไฟไหม้แล้วม่านเพิ่งแขวนหลังเข้าฤดูใบไม้ร่วงเพื่อกันลม มันหนามาก ขาของนางยังบาดเจ็บ ทำให้ไม่สามารถวิ่งฝ่าไปได้ด้านหลังของนางกลายเป็นทะเลเพลิงแล้ว เปลวไฟกำลังลุกลามเข้ามาใกล้ในขณะนั้น นางรู้สึกเหมือนตัวเองกลับไปอยู่ในกองเพลิงที่โรงเก็บฟืนในคืนวิวาห์อีกครั้งความหวาดกลัวอย่างมหาศาลโถมเข้าใส่นาง นางรู้ว่าการตื่นตระหนกไม่มีประโยชน์ในตอนนี้ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้นางรู้ว่าหลังจากไฟไหม้ครั้งนั้น นางมีอาการหวาดหวั่นและวิตกกังวลอย่างรุนแรง แต่เพราะปกตินางไม่ได้สัมผัสกับไฟ จึงไม่ค่อยแสดงอาการออกมาแต่วันนี
จิ่งสืออวิ๋นประหลาดใจที่นางโลมของปู๋เยี่ยโหวกลับเป็นพระชายาเฟิ่งชูอิ่ง เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อครู่เฟิ่งชูอิ่งต่อสู้กับพวกนั้นอยู่หรือ?ถ้าเป็นเช่นนั้น นางเป็นอะไรกันแน่?คราวนี้ขาของเขาก็อ่อนแรงตามไปด้วยแต่เขาก็ยังคงเป็นองค์ชายคนโตอยู่ ความกล้าหาญของเขาไม่ธรรมดา "สามน้อง...เอ่อ อ๋องผู้สำเร็จราชการ ช่างบังเอิญจริงๆ!"จิ่งโม่เยี่ยไม่สนใจจิ่งสืออวิ๋น ถามเฟิ่งชูอิ่ง "เจ้าเป็นยังไงบ้าง? ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?"เขาพูดพลางมองสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้า มือที่โอบกอดนางสั่นเล็กน้อยไฟครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เฟิ่งชูอิ่งที่กลัว จิ่งโม่เยี่ยก็กลัวเช่นกันไฟในคืนแต่งงานครั้งนั้น ได้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงในใจของทั้งสองคนจิ่งโม่เยี่ยใช้เวลาหลายเดือนที่ผ่านมาจมอยู่กับความเสียใจเขาเสียใจที่วันนั้นพูดจารุนแรงเกินไป ทำให้นางได้รับบาดแผลที่ไม่อาจย้อนกลับได้เขารู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้ และพวกเขาก็ไม่อาจกลับไปสู่จุดเริ่มต้นได้อีก สิ่งที่เขาทำได้คือหาทางเริ่มต้นใหม่กับนางและนั่นขึ้นอยู่กับว่านางจะยอมให้โอกาสเขาหรือไม่คืนนี้เมื่อเขาเห็นไฟไหม้ครั้งใหญ่ เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่ง กลัวว่านางจะเป็นอ
เฟิ่งชูอิ่งหรี่ตาลง "พวกเขาวางแผนมาแล้ว พวกเขาน่าจะกักตัวท่านพ่อของข้าไว้"เหมยตงยวนมักจะอยู่เคียงข้างนางตลอดเวลา วันนี้ปู๋เยี่ยโหวจัดงานวันเกิดที่จวนตากอากาศ ตามปกติแล้วเขาควรจะอยู่เคียงข้างนางมากกว่าวันนี้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ แต่เขากลับไม่อยู่ แสดงว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆถึงแม้เฟิ่งชูอิ่งจะรู้ว่าเหมยตงยวนมีความสามารถสูง คงไม่มีวิญญาณร้ายตนไหนที่จะทำให้เขาสูญสลายได้เฉี่ยวหลิงสบถด่า "พวกเขาช่างเลวร้ายเหลือเกิน ทำตัวเหมือนผีไม่มีศาลอยู่ได้"เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ "พวกเขาไม่ใช่คนเป็นอยู่แล้ว ก็เป็นผีไม่มีที่ไปจริงๆ นั่นแหละ!"พอนางพูดจบ จิ่งสืออวิ๋นก็ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพอเขานั่งลงไปแล้ว จิ่งสือเยว่ที่หมดสติก็ร่วงลงพื้นตามไปด้วยเฟิ่งชูอิ่งและเฉี่ยวหลิงมองไปที่จิ่งสืออวิ๋นพร้อมกัน เขาพูดตะกุกตะกัก "พระชายา เมื่อครู่นี้กำลังคุยกับใครหรือ?"เรื่องราวคืนนี้ช่างประหลาดเหลือเกิน ทั้งทางเดินที่วกไปวนมา ผมยาวและผ้าขาวที่ปลิวไสว รวมถึงเฟิ่งชูอิ่งที่พูดกับอากาศธาตุเรื่องแบบนี้เกินกว่าที่จิ่งสืออวิ๋นจะเข้าใจได้เขาคิดว่าตัวเองกล้าหาญพอสมควร แต่เหตุการณ์วันนี้ไม่ใช่แค่ความกล้าหาญจะรับมือได้
ฮ่า! นี่เป็นอีกองค์ชายที่ล้มลงหมดสติ ฮวงจุ้ยของจวนตากอากาศของเขานี่มันสุดยอดจริงๆ!เขายิ้มเล็กน้อยแล้วพูดกับจิ่งโม่เยี่ย "เลิกแกล้งได้แล้ว ลุกขึ้นมาเถอะ!"เฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนั้นก็หันกลับไปมอง นึกถึงตอนที่เขาช่วยนางออกมา ตอนนั้นมีคานบ้านหล่นลงมาทับหลังของเขาและหลังจากนั้นเขาก็แบกนางออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางจึงคิดว่าเขาไม่เป็นอะไรปู๋เยี่ยโหวยื่นมือไปดึงจิ่งโม่เยี่ย แต่กลับมีเลือดเปื้อนมาเต็มมือเขาตกใจมาก "ไม่จริงน่า นี่เจ้าบาดเจ็บจริงๆ หรือ?"เฟิ่งชูอิ่งพูดเสียงเข้ม "พยุงเขาขึ้นมา"แม้ว่าปกติปู๋เยี่ยโหวจะเคยแกล้งจิ่งโม่เยี่ยบ่อยๆ แต่พอเห็นเขาบาดเจ็บขนาดนี้ ปู๋เยี่ยโหวก็ร้อนใจกว่าใครๆเขาพาจิ่งโม่เยี่ยไปยังห้องพักที่อยู่ไม่ไกล วันนี้มีคนมาเยอะ ถ้าใครรู้ว่าจิ่งโม่เยี่ยบาดเจ็บคงจะมีปัญหาวุ่นวายมากมายแต่ตอนนี้ไม่ใช่แค่จิ่งโม่เยี่ยที่หมดสติ ยังมีจิ่งสืออวิ๋นและจิ่งสือเยว่ด้วย จึงสั่งให้คนพาพวกเขาไปด้วยกันเลยตอนนี้เขารู้สึกเสียใจมาก ถ้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ เขาคงไม่จัดงานวันเกิดที่นี่เด็ดขาดนี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!เขาเพิ่งสั่งให้องครักษ์พาจิ่งโม่เยี่ยและคนอื่นๆ ออกไป จิ่
ในมุมมองของเหมยตงยวน การช่วยชีวิตเฟิ่งชูอิ่งครั้งแรกของจิ่งโม่เยี่ย อาจถือได้ว่าเป็นการชดเชยความเจ็บปวดที่เขาเคยทำร้ายนางในอดีตการช่วยชีวิตนางอีกครั้งที่สอง ก็ถือว่าเป็นการติดหนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ต่อจิ่งโม่เยี่ยแม้ว่าเหมยตงยวนจะฝึกฝนวิถีไร้ใจ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักแยกแยะถูกผิดเขาไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบเข็มเงินขึ้นมาแล้วเริ่มฝังเข็มให้จิ่งโม่เยี่ยเฟิ่งชูอิ่งถามเบาๆ "ท่านพ่อ เขาจะตายไหม?"เหมยตงยวนพูดเสียงเรียบ "ไม่ต้องกังวล ชะตาชีวิตเขาแข็งแกร่งมาก ไม่มีทางตายหรอก"จิ่งโม่เยี่ยมีพลังมังกรหนาแน่นในร่างกาย คนแบบนี้มีสวรรค์คุ้มครอง โดยทั่วไปแล้วไม่มีทางตายเขามองจิ่งโม่เยี่ยแวบหนึ่ง แล้วแค่นเสียงเบาๆ ก่อนจะฝังเข็มต่อไปเขาฝังเข็มไปพลางพูดกับเฟิ่งชูอิ่งไปพลาง "ร่างกายเจ้ายังไม่หายดี วันนี้ยังต้องตกใจอีก ไปพักผ่อนก่อนเถอะ""ที่นี่มีข้าอยู่ ไม่ต้องกังวลว่าจิ่งโม่เยี่ยจะเป็นอะไร"ตอนนี้ค่ำมากแล้ว เฟิ่งชูอิ่งเองก็รู้สึกเหนื่อยอยู่เหมือนกัน เฉี่ยวหลิงก็ได้จัดเตียงให้นางในห้องข้างๆ เรียบร้อยแล้วนางมองจิ่งโม่เยี่ยแวบหนึ่ง ใบหน้าของเขาซีดขาว ดูน่าสงสารอยู่บ้างนางบอกตัวเองว่าอย่าใจอ่อน
เขาเหลือบมองจิ่งโม่เยี่ยที่นอนนิ่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาของเขาลึกล้ำขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดเบาๆ ว่า “บางครั้งพอเห็นเจ้า ข้าก็เหมือนเห็นตัวเอง”“น่ารำคาญเหมือนกัน จนปัญญาเหมือนกัน”หลังจากพูดจบ เขาก็ทิ่มเข็มเงินลงบนตัวจิ่งโม่เยี่ยอย่างแผ่วเบา ไม่เหมือนตอนแรกที่แทบจะทิ่มแทงจิ่งโม่เยี่ยให้ตายจิ่งโม่เยี่ยมีไข้สูงตอนใกล้รุ่งสาง เริ่มละเมอเพ้อว่า “ชูอิ่ง อย่าไปนะ ข้าจะไม่ดุเจ้าอีกแล้ว…”“ขอโทษ ขอโทษ ขอโทษนะ…”เหมยตงยวนมองจิ่งโม่เยี่ยที่เป็นแบบนี้ ทำให้นึกถึงคำพูดที่เขาเคยพูดกับแม่ของเฟิ่งชูอิ่งมากที่สุด นั่นก็คือคำว่าขอโทษในโลกนี้ ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาอีกแล้วว่าคำว่า “ขอโทษ” เป็นคำที่ไร้ประโยชน์ที่สุดแล้วก็ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาว่าในคำว่า "ขอโทษ" นั้นซ่อนความเสียใจไว้มากมายเพียงใดเหมยตงยวนไม่ชอบจิ่งโม่เยี่ย แต่ก็รู้สึกว่าจิ่งโม่เยี่ยเหมือนกับตัวเองในตอนนั้นมากเขาถอนหายใจเบาๆ แล้วหยิบยาลูกกลอนลดไข้ป้อนให้จิ่งโม่เยี่ยกินจิ่งโม่เยี่ยไม่กลับมาทั้งคืน ฉินจื๋อเจี้ยนรู้สึกเป็นห่วง จึงรีบเดินทางมาหาในตอนเช้าตรู่ตอนที่เขาเห็นจิ่งโม่เยี่ย หน้าของเขาก็ซีดเผือด “ท่านอ๋องเป็นอะไรไป?”เหมยตงยวนพูดอย่างใจเ
เหมยตงยวนเห็นสภาพการณ์แบบนี้แล้วก็หรี่ตาลง เขามองไปที่จิ่งโม่เยี่ยที่ยังไม่ฟื้นเหตุการณ์เมื่อคืนเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จิ่งโม่เยี่ยไม่มีทางสมรู้ร่วมคิดกับฉินจื๋อเจี้ยนได้ แต่ทั้งสองคนนี้กลับมีความเข้าใจกันดีมากจิ่งโม่เยี่ยบาดเจ็บเพราะช่วยเฟิ่งชูอิ่ง เหมยตงยวนก็ไม่สามารถขับไล่เขาออกไปได้โดยตรงฉินจื๋อเจี้ยนบอกว่าจะเรียกคนจากจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาโดยเร็ว แต่รอจนพลบค่ำก็ยังไม่เห็นคนจากจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนมาแต่ไข้ของจิ่งโม่เยี่ยเริ่มลดลง และเขาก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาตอนที่เขายังงุนงงอยู่นิดหน่อยก็ได้ยินเสียงของปู๋เยี่ยโหว "ชูชู เจ้าอย่าได้หลงกลจิ่งโม่เยี่ยเด็ดขาด""เขาตั้งใจบาดเจ็บเอง เพื่อมาเรียกความสงสารจากเจ้า""เขาช่างมีเล่ห์เหลี่ยมลึกล้ำ การกระทำแบบนี้ช่างน่ารังเกียจ เจ้าอย่าได้ใจอ่อนเด็ดขาด!"จิ่งโม่เยี่ยเดิมทียังไม่ค่อยรู้สึกตัวดีนัก แต่หลังจากได้ยินประโยคนี้ ก็รู้สึกตัวอย่างสมบูรณ์ เขาอยากรู้ว่าเฟิ่งชูอิ่งมองเรื่องนี้อย่างไรเฟิ่งชูอิ่งพูดเสียงเรียบ "ถึงแม้เขาจะใช้กลอุบายทำร้ายตัวเอง แต่เรื่องที่เขาช่วยข้าก็เป็นความจริง""ความรู้สึกระหว่างข้ากับเขาขาดสะบั้นไปแล้ว ไม่มีทาง
แต่ตอนนี้เขาทำให้นางรู้สึกว่าเขาดูอ่อนแอและน่าสงสารน้ำเสียงของนางอ่อนลงเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว "ยังเจ็บแผลอยู่ไหม?"จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าตอนนี้เขาต้องควบคุมความรู้สึกเอาไว้ การแสร้งท่าทางน่าสงสารเกินไปอาจทำให้นางรู้สึกไม่พอใจ แต่ถ้ายังคงแข็งกร้าวเหมือนเดิม ก็จะสูญเสียความหมายของการยอมเจ็บตัวครั้งนี้เขาพูดเบาๆ "ก็ยังดี เจ็บนิดหน่อย แต่ยังทนได้"เฟิ่งชูอิ่งคราวนี้เมื่อจัดการแผลให้เขา พบว่าแผลที่มือตอนเขารับกระบี่ของเหมยตงยวนเพื่อปกป้องนางครั้งก่อนยังไม่หายดีเมื่อคืนตอนที่เขามาช่วยนาง แผลที่มือก็เปิดอีกครั้งวันนั้นนางรู้ว่าเขาบาดเจ็บ และรู้ว่าเขาบาดเจ็บค่อนข้างหนัก แต่ไม่รู้ว่าเขาจะบาดเจ็บหนักขนาดนี้หากวันนั้นถ้าเหมยตงยวนใช้แรงมากกว่านี้อีกนิด อาจจะตัดมือเขาขาดไปแล้วบาดแผลแบบนั้นต้องเจ็บมากแน่ แต่วันนั้นเขากลับไม่พูดอะไรเลยสักคำนางถามเขา "เจ้าบาดเจ็บบ่อยหรือเปล่า? บาดเจ็บขนาดนี้แต่ไม่พูดอะไรเลย?"จิ่งโม่เยี่ยตอบ "ไม่บ่อยหรอก แต่ทุกครั้งที่บาดเจ็บก็ไม่ใช่แผลเล็กๆ""หลังจากเสด็จพ่อของข้าสวรรคต พระสนมสวี่ก็ไม่สนใจข้า เสด็จย่าก็อายุมากแล้ว แล้วข้าก็ไม่ได้อยู่ในวังหลวง ไม่อยากให้ท่านเป็นห