จิ่งโม่เยี่ยราวกับล่วงรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร จึงเสริมอีกประโยคว่า “ห้ามแตะต้องนางแม้แต่น้อย!”พูดจบเขาก็ชักกระบี่ออกมาทันทีชั่วพริบตานั้น จิ่งสือเฟิงก็ทรุดตัวลงกับพื้นดวงตาของเขาค่อยๆ พร่ามัว เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจิ่งโม่เยี่ยที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำร้ายเขามาตลอด วันนี้กลับลงมือโหดดหี้ยมเด็ดขาดเช่นนี้องครักษ์ของเขาพยายามจะเข้ามาช่วย แต่ก็ถูกองครักษ์ของจิ่งโม่เยี่ยสกัดเอาไว้หมดจิ่งโม่เยี่ยเก็บกระบี่เข้าฝักแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ฆ่าพวกมันทั้งหมด”คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนของจิ่งสือเฟิง ถ้าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็จะไปต้องปากพล่อยแพร่งพรายเรื่องพวกนี้ออกไปแน่จิ่งโม่เยี่ยไม่กลัวพวกเขาจะนินทาว่าร้าย แต่เขารำคาญพวกที่จะเข้ามาสร้างความวุ่นวายหลังจากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปดังนั้นวิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุด ก็คือการกำจัดพวกเขาให้หมดเฟิ่งชูอิ่งก็ไม่คิดว่าจิ่งโม่เยี่ยจะฆ่าจิ่งสือเฟิงตรงนี้ ทว่านางก็พอจะเข้าใจความคิดของจิ่งโม่เยี่ยได้แต่จิ่งสือเฟิงเป็นโอรสคนโตที่เกิดจากฮองเฮาโดยตรง ในบรรดาองค์ชายทุกพระองค์ เขาถือว่าเป็นคนที่มีฐานะค่อนช้างพิเศษการตายของเขาในครั้งนี้ จิ่งโม่เยี่ยคงมีเ
จิ่งสือเฟิงคิดว่าจิ่งโม่เยี่ยและเฟิ่งชูอิ่งก็เป็นคนที่ประสงค์ร้ายต่อเขาพอกันนั่นแหละ พวกเขาทั้งคู่ไม่ใช่คนดีอะไรเลยสถานที่ที่พวกเขาห้ามไม่ยอมให้เขาไป ย่อมเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยแต่เมื่อเขาฝ่าเข้าไป เขาก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเพราะทันทีที่เขาฝ่าเข้าไป เขารู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว ความเจ็บปวดนั้นแตกต่างจากตอนที่จิ่งโม่เยี่ยแทงเขาอย่างสิ้นเชิงในขณะนั้น เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดของจิตวิญญาณ ความรู้สึกอันตรายอย่างใหญ่หลวงถาโถมเข้ามา เขารู้สึกเหมือนกำลังจะสลายกลายเป็นเถ้าธุลีเขาพยายามถอยหลัง แต่กลับพบว่าถอยไม่ได้ดูเหมือนมีแรงดึงดูดมหาศาล ดูดเขาไว้แน่น แล้วฉีกจิตวิญญาณของเขาออกเป็นเสี่ยงๆเขาตกใจสุดขีด ร้องตะโกนว่า “ช่วยด้วย! ข้าไม่อยากสลายกลายเป็นเถ้าธุลี!”เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางขี้ขลาดของเขาก็เลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อครู่ยังตะโกนโวยวาย ทำเหมือนตัวเองเก่งนักเก่งหนาอยู่เลยแต่พอวิ่งเข้าไปเจอดีกับตัวก็กลายเป็นแบบนี้ไปเสียแล้วค่ายกลดังกล่าวนั้นเป็นฝีมือของเหมยตงหยวน วัตถุประสงค์เพื่อขู่และหยุดวิญญาณร้ายที่ล่องลอยไปมา ไม่ให้เข้ามาในจวนตากอากาศรบกวนพวกเขาดังนั้นค่ายกลดังกล่าว ถ้าไม่ฝ่า
“จิ่งโม่เยี่ยไม่ได้โง่นี่นา เจ้าเก่งกาจขนาดนี้ เขายังจะหย่ากับท่านได้ลงคอหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งตบเขาจนกระเด็นไป “เพิ่งชมว่าเจ้ารู้จักพูด พออ้าปากอีกทีก็ดันพูดจาไม่ดีอีกแล้ว”“เรียกว่าถูกหย่าได้อย่างไร? พวกเราแยกทางกันแต่โดยดี!”จิ่งสือเฟิงถูกตบจนกระเด็นไปคราหนึ่งจึงไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก ทว่าดวงตาของเขากลับกลอกลิ้งไปมา จ้องมองบริเวณเอวของจิ่งโม่เยี่ยอย่างเอาเป็นเอาตายจิ่งโม่เยี่ยแม้จะไม่ได้ยินคำพูดของจิ่งสือเฟิง แต่ก็ได้ยินคำพูดของเฟิ่งชูอิ่ง เขาคิดว่าจิ่งสือเฟิงช่างโง่เง่าจริงๆเขาพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “ตั้งแต่เด็กเขาก็ไม่ค่อยฉลาดอยู่แล้ว หลายครั้งก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร”“ถ้าเจ้าไม่ชอบเขา ก็จัดการเขาให้สิ้นซากไปเลย ไม่ต้องมัวเสียเวลา”จิ่งสือเฟิงบ่นพึมพำ “เขาพูดมั่ว! ไม่มีเรื่องอย่างนั้นเสียหน่อย!”“ข้ารู้แล้วว่าทำไมพวกท่านถึงได้แยกทางกัน แปดส่วนเป็นเพราะเจ้าไม่ชอบเขาแน่ๆ!”“ในความคิดข้า เขาไม่คู่ควรกับเจ้าเลย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นคนพูดเองมิใช่หรือว่าข้าไม่คู่ควรกับเขา? ทำไมถึงเปลี่ยนคำพูดได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้?”จิ่งสือเฟิง “……”ตอนนี้เขาคิดจริงๆ ว่าสายตาข
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จิ่งโม่เยี่ยพยายามทำลายภาพลักษณ์ที่ดีงามของตนเองทิ้ง เพื่อเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือของฮ่องเต้เจาหยวนข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับความโหดร้ายของเขาในเมืองหลวง สามารถเขียนเป็นนิยายได้หลายล้านคำ เขามีชื่อเสียงที่เลวร้ายอย่างมากในเมืองหลวงเรื่องแบบนี้ เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า สิ่งที่เป็นเท็จก็จะกลายเป็นความจริงยิ่งไปกว่านั้น จิ่งโม่เยี่ยก็เคยฆ่าผู้ที่คิดจะทำร้ายเขาจริง ๆ ทำให้เรื่องนี้ยิ่งมีน้ำหนักเข้าไปใหญ่ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลของฮองเฮามาขยายความเรื่องนี้ ความโหดร้ายของเขาก็กลายเป็นเรื่องที่ประชาชนในเมืองหลวงพูดถึงกันไปทั่วแล้วด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่สนใจเลยว่าคนในเมืองหลวงจะมองเขาอย่างไรปู๋เยี่ยโหวถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองเจ้าอย่างไร แต่ด้วยสถานะของเจ้าในตอนนี้ เจ้าควรระวังชื่อเสียงของตนบ้าง”“มีฉายาว่าโหดร้ายติดตัวเจ้าอยู่ เจ้าก็ยากที่จะก้าวไปข้างหน้าได้อีก”“เพราะคำว่าทรราชย์ มักจะมาพร้อมกับการล่มสลายและความพ่ายแพ้”“อย่าบอกข้าเลยว่าเจ้าไม่สนใจบัลลังก์ เจ้ามาถึงจุดนี้แล้ว ไม่มีทางกลับหลังได้อีก”ดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยลึกล้ำร
จิ่งโม่เยี่ยเพียงยิ้มรับคำพูดของเขาโดยไม่ชี้แจงอะไร เขาขึ้นคร่อมม้าแล้วห้อตะบึงจากไปปู๋เยี่ยโหวยืนกอดอกอยู่หน้าประตู กัดฟันมองแผ่นหลังของจิ่งโม่เยี่ยจากคำพูดของจิ่งโม่เยี่ย ดูเหมือนเขาจะยังไม่ได้ประทับรอยนิ้วมือบนใบหย่าแต่เฟิ่งชูอิ่งเป็นคนฉลาดมาก ถ้าจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้ประทับตรารอยนิ้วมือจริงๆ นางต้องรู้แน่แต่จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว จิ่งโม่เยี่ยคงใช้เล่ห์กลบางอย่างปู๋เยี่ยโหวสบถในใจว่าจิ่งโม่เยี่ยช่างเจ้าเล่ห์และน่ารำคาญเหลือเกิน เขาต้องไปเตือนเฟิ่งชูอิ่งสักหน่อย ไม่งั้นเฟิ่งชูอิ่งจะตกเป็นเหยื่อของจิ่งโม่เยี่ยแน่นอนขณะที่จิ่งโม่เยี่ยกำลังขี่ม้าอยู่ริมฝีปากของเขาก็ยกขึ้นเล็กน้อย มันแฝงความนัยลึกลับปู๋เยี่ยโหวรีบกลับไปยังลานบ้านด้านใน เฟิ่งชูอิ่งเพิ่งทำพิธีส่งวิญญาณที่ตายไปเสร็จเรียบร้อย บรรยากาศจึงมีกลิ่นอายแปลกๆเมื่อเขามาถึง เขาก็พูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “ท่านดูใบหย่าที่ท่านกับจิ่งโม่เยี่ยตกลงกันให้ดีๆ เขาอาจจะทำอะไรบางอย่างกับมันได้”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินดังนั้นจึงรีบหยิบใบหย่าออกมา ลายนิ้วมือบนใบหย่าชัดเจน ไม่มีปัญหาอะไรเฟิ่งชูอิ่งมองไปทางปู๋เยี่
ปู๋เยี่ยโหวตะโกนด่าว่า “เรื่องหลอกลวงปั่นหัวคน ต้องยกให้จิ่งโม่เยี่ยเลย”“เจ้าคนสารเลวนั่นจะไม่ยอมให้ข้าได้ดีเลยสินะ พยายามหาทางมากลั่นแกล้งรังแกข้าทุกวัน ช่างเสียแรงที่ข้าอุตส่าห์ทำดีกับเขามากมายเช่นนั้น!”เฟิ่งชูอิ่งฟังเขาบ่นแล้วก็ขำ “เจ้าดีกับเขามากมายเลยหรือ? ดูเหมือนจะไม่ใช่ทั้งหมดนะ?”ความคิดของเขา นางเห็นชัดเจนอยู่แล้วถึงแม้เขาและจิ่งโม่เยี่ยจะมีความเข้าใจกัน อยู่ฝ่ายเดียวกัน เป้าหมายผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ก็เหมือนกัน ปกติถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขาก็จะช่วยเหลือจิ่งโม่เยี่ยแต่ปกติเขามีความคิดเห็นแก่ตัวเล็กๆ เป็นของตัวเองมากมาย ถ้าไม่หลอกลวงจิ่งโม่เยี่ยก็ถือว่าดีแล้ว เรื่องที่ว่าเขาทำดีกับจิ่งโม่เยี่ยเหลือเกินนั้นไม่มีอยู่จริงหรอกปู๋เยี่ยโหวเหลือบมองนางแล้วพูดว่า “รู้แล้วก็อย่าพูดออกมาสิ!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ปู๋เยี่ยโหวใช้ไหล่ชนไหล่นางเบาๆ “เจ้าจะหย่ากับจิ่งโม่เยี่ยจริงๆ หรือ?”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาอย่างเฉยชา “ข้ากับเขาหย่ากันแล้ว ต่อไปนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว”“ถ้าอย่างนี้ยังไม่เรียกว่าตัดขาดกัน ข้าก็ไม่รู้ว่าอะไรถึงจะเรียกว่าตัดขาดกัน”นางรอให้ร่างกาย
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบใบหย่ามาดูลายนิ้วมือของจิ่งโม่เยี่ยอย่างละเอียดลายนิ้วมือชัดเจน ไร้ซึ่งข้อผิดพลาดนางเอียงศีรษะพิงมือข้างเดียว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าเรื่องนี้คงเป็นฝีมือจิ่งโม่เยี่ยที่กลั่นแกล้งปู๋เยี่ยโหวนางกับจิ่งโม่เยี่ยได้หย่าขาดกันแล้ว ใบหย่าเป็นนางที่เขียนขึ้นมาเอง ลายนิ้วมือของจิ่งโม่เยี่ยก็เป็นนางที่เห็นเขาประทับลงไปด้วยตาตนเอง จะมีปัญหาได้อย่างไรนางรู้สึกอย่างชัดเจนว่าตนเองถูกปู๋เยี่ยโหวหลอกให้มานั่งคิดถึงความจริงเท็จของเรื่องนี้ขณะที่นางกำลังจะเก็บใบหย่า ก็เห็นว่าเหมยตงยวนยืนอยู่ไม่ไกลนักนางรีบกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?”ในแง่หนึ่ง วิญญาณร้ายไม่มีเรื่องของการตื่นหรือไม่ตื่นหลังจากที่พวกเขาตายแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องนอนหลับ แต่ถ้าต้องการรักษาสภาพของร่างวิญญาณ ก็จำเป็นต้องพักผ่อนเพียงแต่รูปแบบการพักผ่อนของพวกเขากับคนเป็นนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเหมยตงยวนนั่งลงข้างๆ นาง “วันนี้ข้าเกือบจะทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บงั้นหรือ?”ความทรงจำขณะที่คลุ้มคลั่ง เหมยตงยวนยังคงมีอยู่ครบถ้วน เพียงแต่ไม่ชัดเจนนักเฟิ่งชูอิ่งตอบตามความจริง “
แต่เรื่องครั้งนี้กลับตบหน้าเขาอย่างจัง บอกให้เขารู้ว่าความคิดก่อนหน้านี้ของเขานั้นประมาทเกินไปเฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “เจ้าค่ะ ถ้าท่านพ่อคิดหาวิธีได้ ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้อีกแล้ว”เหมยตงยวนรู้ว่านี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในตอนนี้ถ้าเขาหาทางแก้ไม่ได้ เพื่อปกป้องนาง เขาคงต้องอยู่ห่างจากนางและก่อนหน้านี้เพื่อปกป้องมารดาของนาง เขาจึงเลือกที่จะอยู่ห่างๆ มาแล้ว ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายก็ไม่ดีนักเขาพูดเบาๆ ว่า “เดี๋ยวข้าจะคิดหาทางดู”ขณะที่เขาหันหลังจากไปก็คิดขึ้นมาได้อีกเรื่อง จึงถามเฟิ่งชูอิ่งว่า “วันนี้จิ่งโม่เยี่ยมาหาเจ้าใช่ไหม เขาทำเจ้าลำบากใจหรือเปล่า?”เฟิ่งชูอิ่งส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ วันนี้เขาพูดจาว่าง่ายมากเลย เราหย่ากันเรียบร้อยแล้ว”พูดจบนางก็หยิบใบหย่าออกมาให้เหมยตงยวนดูเหมยตงยวนเหลือบมองแล้วพยักหน้าเบาๆ “ครั้งนี้เขาทำตัวเหมือนลูกผู้ชายเสียที”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เจ้าค่ะ ข้าตกลงกับเขาแล้วว่าต่อไปเขาจะไม่มาหาข้าอีก เราต่างคนต่างอยู่”พูดมาถึงตรงนี้ นางก็ถามว่า “ท่านพ่อดูไม่แปลกใจกับเขาเลยนะ เหมือนรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาจะมาหา”มาถึงตอนนี้แล้ว เหมยตงยวนก
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท