ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ พวกคนด้านนอกคงรออยู่นานแล้วและเห็นว่าพวกคนข้างในไม่ยอมออกมา และเมื่อจิ่งโม่เยี่ยพากำลังพลมาด้วย พวกเขาก็เลยคิดจะบุกเข้ามาทางอื่นแต่ขณะที่พวกเขาพยายามจะบุกเข้ามา ก็ดันหลงเข้าไปในเขตแดนที่เหมยตงยวนวางไว้ก่อนหน้านี้เขตแดนนั้นเดิมทีเหมยตงยวนสร้างขึ้นเพื่อป้องกันจิ่งโม่เยี่ยโดยเฉพาะ แทบจะเป็นกับดักสังหารทั้งหมดเขาเกรงว่าคนธรรมดาจะบังเอิญเข้ามา จึงได้สร้างกำแพงป้องกันไว้ด้านนอก คนธรรมดาทั่วไปตราบใดที่ไม่พยายามบุกเข้าไปอย่างเอาเป็นเอาตาย ก็จะเข้าไปในเขตแดนสังหารด้านในไม่ได้แต่ถ้ามีใครดื้อรั้นจะบุกเข้าไปในเรือนก็จะหลุดเข้าไปในเขตแดนสังหารทันทีก่อนหน้านี้จิ่งโม่เยี่ยเคยแอบมาเยี่ยมเฟิ่งชูอิ่ง และถูกเขตแดนด้านนอกขัดขวางไว้ตอนนั้นเขาเห็นว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงถอยออกไป เพราะเขาไม่อยากทำให้เหมยตงยวนไม่พอใจอีกดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเขตแดนสังหารนั้นทรงพลังแค่ไหน ตอนนี้เขาได้ยินเสียงจากข้างนอก เขาก็รู้ทันทีว่าเขตแดนสังหารนั้นน่าจะร้ายกาจมากตอนนี้เขารู้สึกโชคดีมากที่ยามนั้นไม่ได้ดื้อดึงจะบุกเข้าไปข้างในให้ได้ ไม่เช่นนั้นคงแย่แน่ เพราะศาสตร์ลี้ลับนั้นไม่ใช่สิ่งที่ค
ปู๋เยี่ยโหวเห็นท่าทางของเขาแล้วก็เบ้ปากเล็กน้อย ไอ้สุนัขตัวนี้มันคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่นักหรือไงวิ่งเข้ามาอาละวาดถึงในจวนตากอากาศของเขา นี่มันหาเรื่องตายชัดๆขณะนี้จิ่งโม่เยี่ยเองก็อยู่ที่ลานด้านหลังด้วย ปู๋เยี่ยโหวจึงอยากจะรอดูว่าวันนี้จิ่งสือเฟิงจะตายอย่างไรดังนั้นปู๋เยี่ยโหวจึงไม่ขัดขวางจิ่งสือเฟิงแม้แต่น้อยเขาไม่ขัดขวาง ในสายตาของจิ่งสือเฟิงนั่นก็คือการหวาดหวั่นและหากปู๋เยี่ยโหวแสดงท่าทีหวาดหวั่นเช่นนี้ แปลว่าเรื่องที่จิ่งสือเฟิงสั่งให้จัดการวันนี้จะต้องสำเร็จแล้วอย่างแน่นอนเขาบอกกับองครักษ์ข้างกายว่า “คุมตัวปู๋เยี่ยโหวไว้”องครักษ์หลายคนพุ่งเข้าไปปิดล้อมปู๋เยี่ยโหวอย่างดุร้าย องครักษ์ของปู๋เยี่ยโหวพยายามเข้ามาขัดขวาง แต่เขาโบกมือเบาๆ องครักษ์ของเขาจึงหยุดยืนอยู่เฉยๆปู๋เยี่ยโหวหัวเราะเบาๆ ว่า “ข้าจะรอเจ้าอยู่ตรงนี้ ขอให้หาหลักฐานได้สำเร็จนะ”จิ่งสือเฟิงหัวเราะเยาะเย้ย “ถึงตอนนี้จะยังปากแข็งได้อยู่ แต่อีกเดี๋ยวเจ้าหัวเราะไม่ออกแน่”ปู๋เยี่ยโหวเลิกคิ้ว “โอ้ย ข้ากลัวจังเลย!”จิ่งสือเฟิง “……”เขาคิดว่าปู๋เยี่ยโหวแสดงท่าทางยียวนเช่นนี้ เป็นการหาเรื่องอยากโดนทุบตีชัดๆเข
จิ่งโม่เยี่ยแสยะยิ้มเย็นชา “ถ้าข้าจำไม่ผิด เจ้าตอนนี้ว่างงานอยู่ไม่ใช่หรือ ไม่ได้ดำรงตำแหน่งในศาลต้าหลี่หรือกรมราชทัณฑ์”“ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าใครว่างมากนักถึงได้ไม่ไปแจ้งความที่ศาลต้าหลี่หรือกรมราชทัณฑ์ แต่มาแจ้งความกับอ๋องว่างงานอย่างเจ้า”คำว่า “อ๋องว่างงาน” นั้นแทงใจดำจิ่งสือเฟิงอย่างแรงที่จริงแล้วเขามีตำแหน่งในกรมกลาโหมอยู่ เพียงแต่เขามักจะไปสร้างปัญหาให้จิ่งโม่เยี่ยบ่อยๆ และความสามารถของเขาก็ไม่โดดเด่นพอช่วงก่อนหน้านี้จิ่งโม่เยี่ยจับผิดเขาได้ จึงถอดถอนตำแหน่งของเขาออกช่วงเวลานี้จิ่งสือเฟิงจึงไม่มีตำแหน่งหน้าที่ในราชสำนักสำหรับจิ่งสือเฟิงที่ชอบถือครองอำนาจ ถือว่าเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวง เขาจึงรีบร้อนอยากพิสูจน์ตัวเองอย่างถึงที่สุดแต่ในสายตาของจิ่งโม่เยี่ย วิธีการพิสูจน์ตัวเองของเขานั้นโง่เขลาเหลือเกินจิ่งสือเฟิงมีสีหน้ามืดครึ้ม กล่าวว่า “ถึงแม้ข้าจะว่างงาน แต่ก็เป็นองค์ชายโดยชอบธรรม”“ข้ามีชื่อเสียงอันดีงามในราชสำนัก และเป็นที่รู้จักในเรื่องความยุติธรรม”“ช่วงนี้มีคนกุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด พวกเขาจึงมาหาข้าเพื่อขอให้ช่วย”คำพูดของเขาแทบจะพูดตรงๆ ว่าจิ่งโม่
เขาพูดทันทีว่า “ถูกต้อง! ไม่น่าแปลกใจที่ข้าหาอยู่นานจึงไม่เจอ ที่แท้ก็อยู่กับเจ้านี่เอง!”พูดจบเขาก็ตะคอกเสียงดังว่า “จิ่งโม่เยี่ย เจ้ายังกล้าบอกว่าเจ้าไม่มีความคิดจะก่อกบฏอีกหรือ!”“ตอนนี้มีอาภรณ์มังกรเป็นหลักฐาน ย่อมพิสูจน์ได้ว่าเจ้ามีเจตนาไม่ดี!”จิ่งโม่เยี่ยใช้สายตาเหมือนมองคนโง่จ้องมองเขาแล้วพูดว่า “แค่อาภรณ์มังกรชิ้นเดียวก็พิสูจน์ได้ว่ามีเจตนาไม่ดี เห็นทีจะเป็นคนโง่จริงๆ”“หากข้าต้องการ ข้าสามารถค้นหาอาภรณ์มังกรได้มากกว่าสิบชิ้นในจวนอ๋องของเจ้า”“วันนี้ข้าอารมณ์ดี ข้าจะไม่ถือสาเจ้า ตอนนี้เจ้ารีบไสหัวออกไปจากที่นี่เสีย แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”“เพราะหากข้าต้องการก่อกบฏจริงๆ เจ้าก็ไม่มีความสามารถที่จะขัดขวางได้อยู่ดี”จิ่งสือเฟิง “……”เขานึกถึงเหตุการณ์ที่จิ่งโม่เยี่ยก่อการปฏิวัติสำเร็จ จนกลายเป็นผู้สำเร็จราชการเมื่อสามเดือนก่อนในสายตาของจิ่งสือเฟิง นั่นคือความอัปยศอดสูอย่างยิ่ง!เพราะหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ฐานะของเขาก็ตกต่ำลงอย่างมากฮ่องเต้เจาหยวนยังซ่อนตัวอยู่ภายในวังหลวง อาการหนักจนล้มหมอนนอนเสื่อ ยังลุกจากเตียงไม่ได้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาส่งคนเข้าไปในวังเพื่
จิ่งโม่เยี่ยราวกับล่วงรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร จึงเสริมอีกประโยคว่า “ห้ามแตะต้องนางแม้แต่น้อย!”พูดจบเขาก็ชักกระบี่ออกมาทันทีชั่วพริบตานั้น จิ่งสือเฟิงก็ทรุดตัวลงกับพื้นดวงตาของเขาค่อยๆ พร่ามัว เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจิ่งโม่เยี่ยที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำร้ายเขามาตลอด วันนี้กลับลงมือโหดดหี้ยมเด็ดขาดเช่นนี้องครักษ์ของเขาพยายามจะเข้ามาช่วย แต่ก็ถูกองครักษ์ของจิ่งโม่เยี่ยสกัดเอาไว้หมดจิ่งโม่เยี่ยเก็บกระบี่เข้าฝักแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ฆ่าพวกมันทั้งหมด”คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนของจิ่งสือเฟิง ถ้าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็จะไปต้องปากพล่อยแพร่งพรายเรื่องพวกนี้ออกไปแน่จิ่งโม่เยี่ยไม่กลัวพวกเขาจะนินทาว่าร้าย แต่เขารำคาญพวกที่จะเข้ามาสร้างความวุ่นวายหลังจากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปดังนั้นวิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุด ก็คือการกำจัดพวกเขาให้หมดเฟิ่งชูอิ่งก็ไม่คิดว่าจิ่งโม่เยี่ยจะฆ่าจิ่งสือเฟิงตรงนี้ ทว่านางก็พอจะเข้าใจความคิดของจิ่งโม่เยี่ยได้แต่จิ่งสือเฟิงเป็นโอรสคนโตที่เกิดจากฮองเฮาโดยตรง ในบรรดาองค์ชายทุกพระองค์ เขาถือว่าเป็นคนที่มีฐานะค่อนช้างพิเศษการตายของเขาในครั้งนี้ จิ่งโม่เยี่ยคงมีเ
จิ่งสือเฟิงคิดว่าจิ่งโม่เยี่ยและเฟิ่งชูอิ่งก็เป็นคนที่ประสงค์ร้ายต่อเขาพอกันนั่นแหละ พวกเขาทั้งคู่ไม่ใช่คนดีอะไรเลยสถานที่ที่พวกเขาห้ามไม่ยอมให้เขาไป ย่อมเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยแต่เมื่อเขาฝ่าเข้าไป เขาก็พบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเพราะทันทีที่เขาฝ่าเข้าไป เขารู้สึกเจ็บปวดไปทั้งตัว ความเจ็บปวดนั้นแตกต่างจากตอนที่จิ่งโม่เยี่ยแทงเขาอย่างสิ้นเชิงในขณะนั้น เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดของจิตวิญญาณ ความรู้สึกอันตรายอย่างใหญ่หลวงถาโถมเข้ามา เขารู้สึกเหมือนกำลังจะสลายกลายเป็นเถ้าธุลีเขาพยายามถอยหลัง แต่กลับพบว่าถอยไม่ได้ดูเหมือนมีแรงดึงดูดมหาศาล ดูดเขาไว้แน่น แล้วฉีกจิตวิญญาณของเขาออกเป็นเสี่ยงๆเขาตกใจสุดขีด ร้องตะโกนว่า “ช่วยด้วย! ข้าไม่อยากสลายกลายเป็นเถ้าธุลี!”เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางขี้ขลาดของเขาก็เลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อครู่ยังตะโกนโวยวาย ทำเหมือนตัวเองเก่งนักเก่งหนาอยู่เลยแต่พอวิ่งเข้าไปเจอดีกับตัวก็กลายเป็นแบบนี้ไปเสียแล้วค่ายกลดังกล่าวนั้นเป็นฝีมือของเหมยตงหยวน วัตถุประสงค์เพื่อขู่และหยุดวิญญาณร้ายที่ล่องลอยไปมา ไม่ให้เข้ามาในจวนตากอากาศรบกวนพวกเขาดังนั้นค่ายกลดังกล่าว ถ้าไม่ฝ่า
“จิ่งโม่เยี่ยไม่ได้โง่นี่นา เจ้าเก่งกาจขนาดนี้ เขายังจะหย่ากับท่านได้ลงคอหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งตบเขาจนกระเด็นไป “เพิ่งชมว่าเจ้ารู้จักพูด พออ้าปากอีกทีก็ดันพูดจาไม่ดีอีกแล้ว”“เรียกว่าถูกหย่าได้อย่างไร? พวกเราแยกทางกันแต่โดยดี!”จิ่งสือเฟิงถูกตบจนกระเด็นไปคราหนึ่งจึงไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก ทว่าดวงตาของเขากลับกลอกลิ้งไปมา จ้องมองบริเวณเอวของจิ่งโม่เยี่ยอย่างเอาเป็นเอาตายจิ่งโม่เยี่ยแม้จะไม่ได้ยินคำพูดของจิ่งสือเฟิง แต่ก็ได้ยินคำพูดของเฟิ่งชูอิ่ง เขาคิดว่าจิ่งสือเฟิงช่างโง่เง่าจริงๆเขาพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “ตั้งแต่เด็กเขาก็ไม่ค่อยฉลาดอยู่แล้ว หลายครั้งก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร”“ถ้าเจ้าไม่ชอบเขา ก็จัดการเขาให้สิ้นซากไปเลย ไม่ต้องมัวเสียเวลา”จิ่งสือเฟิงบ่นพึมพำ “เขาพูดมั่ว! ไม่มีเรื่องอย่างนั้นเสียหน่อย!”“ข้ารู้แล้วว่าทำไมพวกท่านถึงได้แยกทางกัน แปดส่วนเป็นเพราะเจ้าไม่ชอบเขาแน่ๆ!”“ในความคิดข้า เขาไม่คู่ควรกับเจ้าเลย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นคนพูดเองมิใช่หรือว่าข้าไม่คู่ควรกับเขา? ทำไมถึงเปลี่ยนคำพูดได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้?”จิ่งสือเฟิง “……”ตอนนี้เขาคิดจริงๆ ว่าสายตาข
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จิ่งโม่เยี่ยพยายามทำลายภาพลักษณ์ที่ดีงามของตนเองทิ้ง เพื่อเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือของฮ่องเต้เจาหยวนข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับความโหดร้ายของเขาในเมืองหลวง สามารถเขียนเป็นนิยายได้หลายล้านคำ เขามีชื่อเสียงที่เลวร้ายอย่างมากในเมืองหลวงเรื่องแบบนี้ เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้า สิ่งที่เป็นเท็จก็จะกลายเป็นความจริงยิ่งไปกว่านั้น จิ่งโม่เยี่ยก็เคยฆ่าผู้ที่คิดจะทำร้ายเขาจริง ๆ ทำให้เรื่องนี้ยิ่งมีน้ำหนักเข้าไปใหญ่ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลของฮองเฮามาขยายความเรื่องนี้ ความโหดร้ายของเขาก็กลายเป็นเรื่องที่ประชาชนในเมืองหลวงพูดถึงกันไปทั่วแล้วด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่สนใจเลยว่าคนในเมืองหลวงจะมองเขาอย่างไรปู๋เยี่ยโหวถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองเจ้าอย่างไร แต่ด้วยสถานะของเจ้าในตอนนี้ เจ้าควรระวังชื่อเสียงของตนบ้าง”“มีฉายาว่าโหดร้ายติดตัวเจ้าอยู่ เจ้าก็ยากที่จะก้าวไปข้างหน้าได้อีก”“เพราะคำว่าทรราชย์ มักจะมาพร้อมกับการล่มสลายและความพ่ายแพ้”“อย่าบอกข้าเลยว่าเจ้าไม่สนใจบัลลังก์ เจ้ามาถึงจุดนี้แล้ว ไม่มีทางกลับหลังได้อีก”ดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยลึกล้ำร
เฟิ่งชูอิ่งถอนหายใจพลางกล่าวว่า "ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่รู้สึกว่าข้าอาจจะทำอะไรผิดพลาดไป"จิ่งโม่เยี่ยมองนางด้วยความงุนงง นางถอนหายใจอีกครั้งและพูดว่า "อย่าถามอะไรเลย ปล่อยให้ข้าได้อยู่เงียบๆ เถอะ"แม้จิ่งโม่เยี่ยจะไม่เข้าใจความคิดที่วกวนของนาง แต่ด้วยความฉลาดของเขา ในตอนนี้ก็พอจะเดาได้บ้างแล้วเขาถามว่า "เจ้าคงไม่ได้คิดว่าข้าจะมีอนุภรรยาหลายคนหรอกนะ?"เฟิ่งชูอิ่งมองเขาแวบหนึ่งแต่ไม่พูดอะไรจิ่งโม่เยี่ยนึกถึงเรื่องอื่นขึ้นมา "เมื่อก่อนเจ้าเคยบอกว่าเคยชอบข้า แต่ก็มีความกังวลมากมาย จิตใจไม่มั่นคง""สาเหตุที่เจ้าเลือกจะหนีจากไปตอนที่ข้าก่อกบฏในวัง คงไม่ใช่เพราะคิดว่าหลังจากข้าก่อกบฏสำเร็จแล้ว จะถูกอำนาจครอบงำ ต้องประนีประนอมกับขุนนาง และมีสนมมากมายใช่ไหม?"เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกเขินเล็กน้อยที่เขาคาดเดาความคิดของนางออกนางลูบจมูกเบาๆ พูดอย่างเก้อเขิน "จริงๆ ก็มีเหตุผลนี้ส่วนหนึ่ง"อีกเหตุผลหนึ่งคือเขาเคยแสดงเจตนาจะฆ่านางหลายครั้ง ทำให้นางรู้สึกไม่ปลอดภัยนางคิดว่าก่อนที่จะรักเขาลึกซึ้งเกินไป ควรจบความสัมพันธ์แล้วใช้ชีวิตอย่างอิสระตามที่ต้องการแต่นางไม่คิดว่ายังไม่ทันหนีออกจากจวนก็ถูกเข
จิ่งโม่เยี่ยถามนาง "แล้วความรู้สึกแรกของเจ้าที่มีต่อข้าเป็นอย่างไร?"เฟิ่งชูอิ่งมองเขาด้วยหางตาพลางพูดว่า "อารมณ์แปรปรวน โหดร้าย ฆ่าคนไม่เลือกหน้า ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากเจอกันอีกเลย"จิ่งโม่เยี่ย “......”เขารู้สึกว่าไม่ควรถามคำถามนี้กับนางเลย คำตอบที่ได้ยินช่างแย่เหลือเกินเฟิ่งชูอิ่งเห็นสีหน้าของเขาแล้วจึงยิ้มพลางเอ่ยว่า "ตอนนั้นท่านอ๋องก็แสดงภาพลักษณ์แบบนั้นต่อหน้าผู้คนไม่ใช่หรือ? ยากที่จะเข้าใกล้จริงๆ"จิ่งโม่เยี่ยถอนหายใจยาวพลางพูดว่า "ที่แท้ตอนนั้นข้าก็น่ารังเกียจขนาดนั้นเลยหรือ"เฟิ่งชูอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย "นิสัยของท่านตอนนั้นไม่น่าคบหาจริงๆ นั่นแหละ"จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองไม่เป็นที่ชื่นชอบของนาง แต่ไม่รู้ว่าตอนที่พบกันครั้งแรก นางมีความประทับใจต่อเขาเช่นนี้เฟิ่งชูอิ่งมองเขาอย่างจริงจังพลางพูดว่า "ท่านอ๋อง ท่านไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับข้าหรอก""ในโลกนี้มีสตรีนับหมื่นนับแสน ท่านมีตำแหน่งฐานะและอำนาจสูงส่ง จะเลือกสตรีแบบไหนก็ย่อมได้มิใช่หรือ?"จิ่งโม่เยี่ยพูดเบาๆ "แต่ในโลกนี้มีเจ้าเพียงคนเดียว"เฟิ่งชูอิ่ง “......”คำพูดของเขาทำให้นางไม่รู้จะตอบอย่างไรไปชั่
จิ่งโม่เยี่ยยืนสงบนิ่งต่อข้อกล่าวหาของปู๋เยี่ยโหวและถามว่า "เดี๋ยวจะร่วมเล่นด้วยกันไหม?"ปู๋เยี่ยโหว "...เอาสิ!"จิ่งโม่เยี่ยมองปู๋เยี่ยโหวด้วยสายตาเหมือนมองคนโง่ ในดวงตาเต็มไปด้วยความดูแคลนปู๋เยี่ยโหวไม่สนใจเขาอีกต่อไป เขาผละออกไปหาเฟิ่งชูอิ่งกับเฉี่ยวหลิงเพื่อจุดดอกไม้ไฟด้วยกันเฉี่ยวหลิงเป็นวิญญาณร้าย กลัวไฟมาก ได้แต่ถือไม้ยาวๆ เพื่อไปจุดไฟแต่คืนนี้ลมแรง ไม้ที่จุดไฟไว้จึงดับเพราะถูกลมพัดในไม่ช้าทุกครั้งที่ไฟบนไม้ยาวมอดดับ นางก็ต้องขอให้คนอื่นช่วยจุดไฟให้ใหม่แม้ว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของเฟิ่งชูอิ่งจะดีขึ้นเกือบหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่หายสนิท การลุกนั่งย่อตัวบ่อยๆ ทำให้นางรู้สึกเหนื่อยนางจึงบอกกับปู๋เยี่ยโหวว่า "เจ้าไปช่วยจุดไฟให้เฉี่ยวหลิงทีสิ"ปู๋เยี่ยโหวไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ แม้ว่าเฉี่ยวหลิงมักจะทุบตีเขาก่อนหน้านี้ แต่หลังจากที่เฟิ่งชูอิ่งย้ายมาอยู่ที่เรือนพัก ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดีขึ้นมากเมื่อปู๋เยี่ยโหวรู้ว่าเฉี่ยวหลิงตายอย่างน่าเวทนา เขาก็รู้สึกเห็นใจนางมากขึ้นตอนนี้นางต้องการจุดดอกไม้ไฟ การช่วยจุดไฟให้นางก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรปู๋เยี่ยโหวมีฝีมือดี ตั้งแต่เด็กเขา
เขารู้สึกรังเกียจจิ่งสือเฟิงมาก จึงพูดว่า "เจ้าตายไปแล้ว ไปกินที่อื่นไม่ได้หรือไง?"พอเขาพูดจบ เฉี่ยวหลิงกับเหมยตงยวนก็หันมามองเขาพร้อมกันเขารู้สึกอึดอัดจึงพูดว่า "ข้าไม่ได้พูดถึงพวกเจ้านะ ข้าพูดถึงเขาต่างหาก!"หลังจากจิ่งสือเฟิงตายไปก็หน้าด้านขึ้นไม่น้อย "จะให้ข้าไปกินที่อื่นก็ได้ แต่เจ้าช่วยแบ่งอาหารทุกจานให้ข้ากินบ้างได้ไหม?"ปู๋เยี่ยโหวจ้องเขา "อย่าได้ใจให้มากนักเลย! ยังคิดจะกินอาหารทุกอย่างอีก กลับลงนรกไปเลยนะ!"พูดจบก็ยิ้มหวานให้เหมยตงยวน "ลุงเหมย ข้าแบ่งอาหารทุกจานให้แล้วนะขอรับ ถ้ารู้สึกว่ายังไม่พอ ข้าจะสั่งให้พ่อครัวทำเพิ่มอีก"จิ่งสือเฟิงพูดอย่างน้อยใจ "เจ้าเลือกปฏิบัติเกินไปแล้วนะ!"ปู๋เยี่ยโหวพูดอย่างหน้าด้านๆ "เจ้าเป็นศัตรูของข้า อีกอย่างก็ตายไปแล้วด้วย ข้าไม่อยากมีเรื่องกับเจ้าหรอก""ถ้าข้าใจแคบกว่านี้นิดหน่อย ก็คงให้ชูชูกับลุงเหมยสลายวิญญาณเจ้าไปแล้ว"เฟิ่งชูอิ่งปล่อยให้พวกเขาทะเลาะกัน ส่วนนางก็ช่วยจัดอาหารให้เฉี่ยวหลิงกับเหมยตงยวนเรียบร้อยแล้วคนในจวนแห่งนี้ปกติจะอยู่กันเงียบมาก แต่พอปู๋เยี่ยโหวกลับมา จวนแห่งนี้ก็กลับมาคึกคักนางรู้สึกว่าปู๋เยี่ยโหวบางครั้งถ
อีกอย่าง หลังจากวันที่นางปฏิเสธเขาอย่างชัดเจนในวันนั้น ความภาคภูมิใจของเขาก็ถูกทำลายเสียหายไปบ้าง ความชอบที่มีต่อนางจึงจืดจางลงจิ่งโม่เยี่ยเดินพ้นออกมาจากห้องรับรองของจิ่งสือเยี่ยนแล้วก็หัวเราะอย่างขมขื่นเรื่องที่จิ่งสือเยี่ยนมองออก เขากลับมองไม่ออกมาตลอด จนทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขามาถึงจุดนี้ตั้งแต่เด็กเขามักถูกชมว่าฉลาด แต่ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่ง เขากลับรู้สึกว่าตัวเองโง่เง่าที่สุดหลังจากจิ่งโม่เยี่ยเข้าใจความคิดของจิ่งสือเยี่ยน เขาก็รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปหลังจากที่เขาจัดการเรื่องเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว ความมืดก็โรยตัวลงมา ถึงเวลาทานอาหารมื้อค่ำวันรวมญาติแล้วเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตรงไปยังจวนปู๋เยี่ยโหวแต่ตอนที่เขาไปถึงประตู ก็เจอกับปู๋เยี่ยโหวที่เพิ่งกลับมาถึงพอดีทั้งสองสบตากัน ปู๋เยี่ยโหวเป็นฝ่ายทักทายก่อน “อ๊ะ บังเอิญจัง พวกเราเจอกันอีกแล้ว!”จิ่งโม่เยี่ยมองเขาอย่างเฉยชา “เรื่องของเจ้าจัดการเสร็จแล้วหรือ?”ปู๋เยี่ยโหวยิ้ม “เรื่องแค่นั้น ต้องทำเสร็จอยู่แล้วสิ!”“ข้าไม่เพียงแต่ทำงานของข้าเสร็จแล้ว ข้ายังเรียกพ่อครัวมาทำอาหารให้เหล่าขุนนาง
สายตาของจิ่งสือเยี่ยนเย็นชา “งั้นพี่สามก็อยากได้ตำแหน่งนั้นเหมือนกัน?”จิ่งโม่เยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ข้าอยากได้ตำแหน่งนั้น แต่ตำแหน่งนั้นมันเป็นของข้าตั้งแต่แรกแล้ว”“ข้าเป็นโอรสเพียงหนึ่งเดียวของเสด็จพ่อ ข้าไม่มีพี่น้องร่วมสายโลหิต”“ต่อไปอย่าเรียกข้าว่าพี่สามอีกเลย มันทำให้ข้ารู้สึกคลื่นไส้”คิ้วของจิ่งสือเยี่ยนขมวดเข้าหากัน “ที่แท้คนที่ทะเยอทะยานก็คือเจ้า!”“เจ้าโยนความผิดเรื่องเสด็จลุงสวรรคตให้เสด็จพ่อ สุดท้ายก็แค่เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง”จิ่งโม่เยี่ยมองเขาแล้วพูดว่า “คนแบบไหนก็มักจะใช้ความคิดแบบนั้นไปคาดเดาการกระทำของคนอื่น”“จิ่งสือเยี่ยน เจ้านี่มันจอมปลอมสิ้นดีเลย”พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไปดวงตาของจิ่งสือเยี่ยนเต็มไปด้วยความเย็นชา ตะโกนว่า “พี่สามรู้ไหมว่าทำไมเฟิ่งชูอิ่งถึงอยากหนีจากท่านอยู่ตลอด?”จิ่งโม่เยี่ยหันกลับมามองเขาภาพลักษณ์ที่เขาแสดงออกต่อหน้าคนภายนอกมาตลอดคือร่าเริงแจ่มใส แต่ในตอนนี้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา ทำให้เขาดูเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนจิ่งสือเยี่ยนที่เป็นแบบนี้ทำให้จิ่งโม่เยี่ยรู้สึกแปลกตาอยู่บ้าง
จิ่งโม่เยี่ยได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา “ข้าบีบคั้นเขามากเกินไป เขาก็เลยสังหารเหล่าขุนนางที่จงรักภักดีต่อเขา ตรรกะนี้ฟังดูตลกสิ้นดี”จิ่งสือเยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย จิ่งโม่เยี่ยพูดต่อว่า “อย่ามาพูดกับข้าว่าเขาน่าสงสารอะไรทำนองนั้นเลย”“ตอนที่เขาฆ่าเสด็จพ่อและเสด็จย่าของข้า ไม่มีใครบีบคั้นเขาสักนิด สรุปแล้ว ในใจของเขาก็มีเพียงอำนาจ ไม่มีมนุษยธรรมแม้แต่นิดเดียว”จิ่งสือเยี่ยนมองจิ่งโม่เยี่ยแล้วพูดว่า “เรื่องที่ฆ่าฮ่องเต้และไทเฮา เป็นเพียงการคาดเดาของท่าน ยังไม่มีหลักฐานสักหน่อย”“ท่านจะทำเรื่องพวกนี้โดยอาศัยการคาดเดาของตัวเองไม่ได้ พี่สาม การเป็นคนต้องมีหลักฐาน”จิ่งโม่เยี่ยมองเขาแล้วพูดว่า “หลักฐานที่เจ้าพูดถึง ข้ามีกองเป็นภูเขาเชียวล่ะ”“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่เรื่องที่เขาส่งคนมาลอบสังหารข้ากี่ครั้งกี่หน และปฏิบัติต่อข้าอย่างไรบ้างตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากเจ้าไม่ตาบอดก็คงมองเห็นได้”จิ่งสือเยี่ยนนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาเรื่องพวกนี้ เขาย่อมรู้ดีอยู่แล้วผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงพูดว่า “พี่สาม ยังไงเขาก็เป็นพ่อของข้า”จิ่งโม่เยี่ยหัวเราะเยาะในลำคอ “สิ่งที่เจ้าสนใจไม่ใช่เรื่องที่ว่าเข
ตอนนี้จิ่งโม่เยี่ยไม่มีเวลาจะไปสนใจพวกเขาหรอก เขากำลังยืนอยู่บนกำแพงเมืองและทอดสายตามองไปยังกองทัพอวี๋ซานที่หลบซุ่มอยู่ไกลออกไปกองทัพอวี๋ซานอยู่ไม่ไกลจากประตูเมืองนัก สามารถมองเห็นพวกเขาได้ แต่พวกเขายังไม่เคลื่อนไหวฉินจื๋อเจี้ยนถามว่า “ท่านอ๋อง พวกเขากำลังทำอะไรกัน?”จิ่งโม่เยี่ยตอบว่า “พวกเขากำลังรอโอกาส”ฉินจื๋อเจี้ยนถามต่อ “โอกาสอะไร?”แววตาของจิ่งโม่เยี่ยมืดมนลง “โอกาสที่จะบุกเข้ายึดเมืองหลวงในครั้งเดียว”สถานการณ์ในครั้งนี้กับตอนที่เกิดกบฏในวังแตกต่างกันตอนกบฏในวัง เขาเผชิญทั้งปัญหาภายในและภายนอก หากพลาดเพียงนิดเดียวก็อาจพ่ายแพ้และเสียชีวิตได้จิ่งโม่เยี่ยดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มาครึ่งปีแล้ว เขามีฐานอำนาจในเมืองหลวง อำนาจทหารในมือก็มากกว่าแต่ก่อน ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกลัวกองทัพอวี๋ซานอีกแล้วแต่ตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งอยู่ในเมืองหลวง กองทัพอวี๋ซานล้อมเมือง นางออกไปไม่ได้ เขาจึงมีเวลาอยู่กับนางได้นานมากขึ้นดังนั้นถ้ากองทัพอวี๋ซานอยากจะล้อมเมืองก็ปล่อยให้พวกเขาล้อมไปเถอะ ไม่ได้เป็นภัยคุกคามอะไรสำหรับเขาอยู่แล้วแต่เขาก็อยากรู้ว่าจิ่งสือเยี่ยนคิดอย่างไร ตอนนี้เรื่อ
สีหน้าของเหล่าขุนนางดูไม่สู้ดีนักขุนนางคนเดิมถามต่อว่า “ที่ว่าโหดร้ายนั้น ควรจะเห็นกับตาหรือเชื่อข่าวลือกันแน่”ครั้งนี้มีคนตอบว่า “แน่นอนว่าต้องเห็นกับตา”หลังจากพูดจบก็เงียบไปอีกนานเพราะการเห็นกับตาในครั้งนี้ ได้ลบล้างความคิดที่พวกเขาเคยเชื่อมั่นและยึดติดมาทั้งหมดขุนนางถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “พวกเราถูกหลอกใช้แล้ว”คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าขุนนางทุกคนที่อยู่ภายในโรงหมอขุนนางคนหนึ่งกล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้อาจเป็นแค่ฉากหน้า บางทีอาจมีคนเล่นละครอยู่”ขุนนางที่ถามคำถามแรกพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เล่นละคร? เจ้าตาบอด หรือพวกเราทั้งหมดตาบอดกันแน่?”ฉากเมื่อครู่นี้ ใครที่ตาไม่บอดก็ต้องมองออกกันทั้งนั้นการเล่นละครตบตาไม่มีทางที่จะทำได้แบบนั้นโดยรอบเงียบลงอีกครั้งขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอีกว่า “ท่านมหาราชครูเป็นปราชญ์ทางวรรณกรรม มีศีลธรรมสูงส่ง ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะยอมให้คนรอบข้างทำเรื่องแบบนั้น”คำพูดนี้ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางหลายคนครั้งนี้อาจจะรู้สึกผิดหวังในตัวฮ่องเต้ แต่พวกเขายังคงเชื่อว่ามหาราชครูจะไม่ทำเรื่องแบบนั้นขุนนางที่ถามเป็นแรกเอ่ยว่า “คดีของรองผู้ว่าตู้