ปู๋เยี่ยโหว “......”เขายกมือเกาจมูกเบาๆ เอ่ยด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้แหละ!”จิ่งโม่เยี่ยรู้สึกปวดหัว แต่กลับรู้สึกว่าการกระทำของปู๋เยี่ยโหวผิดแผกเกินไป จึงเอ่ยถามว่า “ทำไมเจ้าถึงออกจากวังหลวงกะทันหัน?”“อย่าตอแหลด้วยการบอกว่าเจ้าไปพบหน้าเฟิ่งชูอิ่งเป็นครั้งสุดท้าย เหตุผลนี้ข้าเชื่อไม่ลง”หากปู๋เยี่ยโหวอยากพบหน้าเฟิ่งชูอิ่งเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ เขาคงไม่ออกไปกะทันหันกลางดึกหรอก เขาคงปรี่ไปตั้งแต่ตอนที่รู้ว่านางเกิดเรื่องขึ้นในจวนอ๋องฉู่แล้วเมื่อคืนนี้จะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแน่นอน ปู๋เยี่ยโหวถึงได้รีบร้อนออกไปกลางดึกปู๋เยี่ยโหวยกนิ้วโป้งให้จิ่งโม่เยี่ย “ปิดบังเจ้าไม่ได้จริงๆ สินะ”“ความจริงแล้ววันนี้เจ้าอารามหลบหนีออกมาจากข้างในวัง ในคืนนั้น คงที่ลงมือฆ่าบิดาของข้าก็คือเขา”จิ่งโม่เยี่ยจ้องมองเขา เขาจึงเอ่ยต่อโดยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน “ตอนแรกข้าจับตัวเขาได้แล้ว คิดไม่ถึงว่าไอ้แก่หัวล้านนั่นจะลูกไม้เยอะไม่เบา ถึงได้หนีจากเงื้อมมือข้าไปได้”“หลังจากเขาหนีไปข้าก็เลยออกตามล่า แต่กลับตามจับกลับมาไม่ได้”“ข้าเป็นห่วงเรื่องทางฝั่งวังหลวงก็เลยย้อนกลับมาดู บังเอิญเจอเจ้ากำ
เมื่อคืนเหมยตงยวนทราบแล้วว่าจิ่งโม่เยี่ยเป็นคนทำให้เฟิ่งชูอิ่งขาหัก เขาจึงอยากมาดูอาการสักหน่อยแต่เพราะเขายังไม่เคยอยู่ร่วมกับเฟิ่งชูอิ่ง ไม่รู้ว่าพ่อกับลูกสาวควรจะปฏิบัติต่อกันอย่างไร แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะใช้เหตุผลอะไรมาขอดูแผลที่ขาของนางตอนที่เขาได้ยินเฟิ่งชูอิ่งคุยกับเฉี่ยวหลิงเรื่องแผลที่ขา เขาจึงใช้โอกาสนี้เดินเข้ามาขอดูขาของนางเพราะนางใช้วิชาต้องห้ามไปก่อนหน้านี้ กอปรกับไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ขาของนางในยามนี้จึงบวมเป่งและเป็นสีม่วงช้ำ ดูแล้วน่ากลัวอย่างมากตอนที่นางตกจากกำแพงก็ขาหักแล้ว ตอนที่สู้กับเทียนซือจึงบาดเจ็บหนักยิ่งกว่าเดิม เมื่อคืนนี้ยังถูกปู๋เยี่ยโหวเหยียบซ้ำอีก อาการของนางในตอนนี้จึงสาหัสมากจริงๆและเพราะใช้วิชาต้องห้าม การฟื้นฟูของนางจึงเชื่องช้ากว่าอาการขาหักในยามปกติมากบาดแผลของนางไม่ใช่สิ่งที่หมอทั่วไปจะรักษาได้เหมยตงยวนไม่พูดไม่จา ใช้มือประสานคาถาแล้วลูบผ่านขาของนางเบาๆ ช่วยนางทำลายอาคมต้องห้ามที่ยังหลงเหลืออยู่บนขาเขาเคยร่ำเรียนศาสตร์แพทย์มาบ้าง จึงพอจะมีทักษะด้านการรักษาเขาตรวจสอบอาการบาดเจ็บของเฟิ่งชูอิ่งอย่างละเอียด “เจ้าต้องเชื่อมกระดูก อาจจะเจ็
เขาอยากได้ยินเฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเรียกเขาว่าพ่ออีก แต่เขากลับรู้สึกว่าการร้องขอแบบนั้นคงไม่เหมาะสักเท่าไหร่เขาจึงเอ่ยว่า “หลังจากนี้ไปข้าจะปกป้องเจ้าเอง”เฟิ่งชูอิ่งส่งยิ้มบางๆ ให้เขา “ข้ารู้อยู่แล้ว”“ก่อนหน้านี้พวกเขาบอกว่าบิดามารดาของข้าตายหมดแล้ว ไม่มีใครปกป้องข้าได้ แต่ข้ารู้ว่าตอนที่พวกท่านยังมีชีวิตอยู่จะต้องรักข้ามากแน่ๆ”“พวกท่านพยายามทำทุกอย่างเพื่อทิ้งของที่ดีที่สุดเอาไว้ให้ข้า”เหมยตงยวนได้ยินแบบนั้นก็ปวดแปลบในใจ เขาเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าไม่สมควรเป็นพ่อคนเลยสักนิด ข้าติดค้างเจ้ากับแม่ของเจ้ามากเหลือเกิน”“ข้าเป็นคนไม่ได้เรื่องเลย ไม่สามารถปกป้องเจ้ากับแม่ได้ จนเจ้าต้องเผชิญหน้ากับความลำบากมากมาย”เฟิ่งชูอิ่งเบิกตากว้างจ้องมองเขา นางอยากรู้เรื่องของเขากับสตรีศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นซีฉู่เขากลับไม่ยอมเล่าอะไรต่อ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “ถึงตอนนี้ข้าจะตายไปแล้ว แต่จะไม่ยอมให้ใครรังแกเจ้าได้”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “หลังจากนี้ไปข้าจะมีบิดาคอยรักและเป็นห่วงแล้ว”ยามพ่อลูกพบหน้ากันอีกครั้ง เหมยตงยวนเองก็รู้สึกสงสัยเรื่องของนางอยู่มิใช่น้อยเขาครุ่นคิดแล้วถามว่า “เจ้าเล่าเรื่องของเจ้ากับจิ่งโม
เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “หลังฆ่าเทียนซือแล้วข้าก็ช่วยเขาถอนคำสาป”เหมยตงยวนนัยน์ตาเย็นเยียบ “เจ้าช่วยเขาถอนคำสาป เขายังกล้าทำแบบนี้กับเจ้าอีก?”เฟิ่งชูอิ่งไม่ได้พูดอะไร เหมยตงยวนก็ทุบโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “ทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน!”โต๊ะตัวนั้นถูกฝ่ามือของเขาทุบจนเละเทะ เฟิ่งชูอิ่งกับเฉี่ยวหลิงตกใจจนสะดุ้งเหมยตงยวนเห็นสีหน้าของพวกนางก็รู้ตัวว่าตนเองดุร้ายเกินไป กลัวจะทำให้นางกลัวเขาเอ่ยว่า “เจ้าถูกฮ่องเต้เจาหยวนพระราชสทานสมรสให้จิ่งโม่เยี่ยเพราะหลินชูเจิ้งเป็นคนเสนอ เรื่องนี้โทษจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้”“แต่พวกเจ้าก็ตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วมิใช่หรือว่าเจ้าจะช่วยเขาถอนคำสาป ขณะที่เขาปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย หลังถอนคำสาปแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ควรเกี่ยวข้องกันอีก”“เขาเกิดความรู้สึกกับเจ้าเองแท้ๆ แต่กลับบังคับให้เจ้าอยู่ข้างกายเขา”“การกระทำที่ไม่สนใจความรู้สึกว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่เช่นนี้ มันบ้าอำนาจไร้เหตุผลสิ้นดี”“เขากล้าทำกับเจ้าแบบนี้ เพราะว่าเจ้ากำพร้าไร้ที่พึ่งพิง ไม่สามารถต่อต้านได้ล่ะสิ”“สุดท้ายความเห็นแก่ตัวและเอาแต่ใจของเขาก็ทำร้ายเจ้าจนตาย คนแบบนี้มันสมควรตายจริงๆ!”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาด้วยท่าทางตกใจ เขาดูเ
นางถามว่า “ท่านพ่อคิดจะทำอะไร? คงไม่ได้คิดจะช่วยฮ่องเต้เจาหยวนต่อกรกับจิ่งโม่เยี่ยหรอกนะ?”นัยน์ตาของเหมยตงยวนเผยความอันตราย “จิ่งโม่เยี่ยสมควรตาย ฮ่องเต้เจาหยวนก็สมควรตาย ทำไมข้าต้องช่วยฮ่องเต้เจาหยวนด้วยล่ะ?”เฟิ่งชูอิ่งถาม “ถ้าอย่างนั้นท่านพ่อจะทำอะไรล่ะ?”เหมยตงยวนเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าถูกขังอยู่ในวังหลวง ออกจากอาวุธวิเศษไม่ได้ แต่ใช่ว่าจะไม่รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกเลย”“ตอนที่ข้าอยู่ในอาวุธวิเศษ สามารถได้ยินเสียงคนพูดคุยจากด้านนอกได้”“ในบรรดาองค์ชายทั้งหมด ฮ่องเต้เจาหยวนไม่ชอบองค์ชายห้าจิ่งสือเยี่ยนมากที่สุด ดังนั้นข้าจะผลักดันเขาให้ได้บัลลังก์”“ต่อให้ช่วยเขาชิงดาวจักรพรรดิมาจากตัวของจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องขัดขวางไม่ให้จิ่งโม่เยี่ยกลายเป็นฮ่องเต้ปกครองแผ่นดิน”เฟิ่งชูอิ่ง “......”เฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”คำพูดของบิดานางฟังดูอันตรายยิ่งนัก!เดี๋ยวก่อนนะ จิ่งสือเยี่ยน?ก่อนหน้านี้นางสงสัยมาโดยตลอด จิ่งสือเยี่ยนที่ไม่มีความทะเยอทะยานและนิสัยดีมากคนนั้น ทำไมถึงตั้งตัวเป็นศัตรูกับจิ่งโม่เยี่ย เพราะในหนังสือไม่มีเขียนอธิบายเอาไว้ตอนนี้พอนางได้ยินแผนการจากปากเหมยตงยวนก็ต้อ
เฟิ่งชูอิ่งคิดว่าหากเหมยตงยวนยื่นมือเข้าไปสอดเรื่องพวกนี้จริงๆ จะต้องเกิดเรื่องที่คาดเดาได้ยากขึ้นมาแน่นางตัดสินใจเกลี้ยกล่อมเขาอีกที “ท่านพ่อ เรื่องระหว่างข้ากับจิ่งโม่เยี่ย หากคิดดีๆ ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของข้ากับเขา”“หากจะจัดการเขา ข้าก็อยากทำด้วยตัวเอง ไม่อยากให้คนอื่นยื่นมือเข้ามาสอดแทรก”เหมยตงยวนขมวดคิ้วแล้วก้มมองขาที่บวมเป่งและช้ำจนเป็นสีดำของนาง ถามว่า “เจ้าอยากจัดการจิ่งโม่เยี่ยด้วยตัวเองหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งคิดว่าวิธีการคิดของนางกับเหมยตงยวนไม่ค่อยจะเหมือนกัน นางจึงอธิบายคำพูดของตัวเองให้ชัดเจนขึ้นนางกล่าวว่า “ไม่ว่าจิ่งสือเยี่ยนจะมีความทะเยอทะยานหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของเขา”“จิ่งโม่เยี่ยทำให้ข้าเจ็บตัว ข้าเกลียดชังเขา แต่กลับไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขาอีก”“เรื่องพวกนี้เดิมทีก็ไม่เกี่ยวข้องกับจิ่งสือเยี่ยน การลากเขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ไม่ค่อยจะยุติธรรมกับเขานัก”เหมยตงยวนถาม “เจ้าสนิทกับจิ่งสือเยี่ยนหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ใช่ว่าจะสนิท แต่ก็เคยพูดคุยกันอยู่หลายครั้ง คิดว่าเขาเป็นคนที่สดใสร่าเริงดี”“ข้าคิดว่าเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับการแก่งแย่งในราชวงศ์ ใช้ชี
“ข้าห้ามไม่ให้ท่านพ่อยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของข้าและจิ่งโม่เยี่ยได้ แต่บอกให้เขาปล่อยวางความแค้นไม่ได้”เฉี่ยวหลิงกล่าวตามสัตย์จริง “ถึงคุณหนูอยากจะสอดมือเข้าไปก็ทำไม่ได้อยู่ดีเจ้าค่ะ”“สภาพของท่านในตอนนี้ ขาก็หัก ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับนิ้ว เคลื่อนไหวลุกเดินไม่รอด...”นางเห็นเฟิ่งชูอิ่งถลึงตาใส่จึงเปลี่ยนวาจา “ข้าช่วยนวดกระตุ้นเลือดลมให้คุณหนูดีกว่า แบบนี้ท่านจะได้หายดีไวๆ”เฟิ่งชูอิ่งไม่เคยรู้สึกว่าตนเองไร้ค่าขนาดนี้มาก่อนเลย ตอนนี้นอกจากนอนเฉยๆ นางก็ทำอะไรไม่ได้เลยสภาพนางเป็นแบบนี้ ต้องใช้เวลาอีกนานเลยว่าจะฟื้นฟูเป็นปกติหลังจากขานางเริ่มหายดีแล้ว นางจะออกจากเมืองหลวงทันที สถานที่โสมมแบบนี้นางอยู่ต่อไม่ไหวจริงๆ!นางเห็นขาที่หักของตัวเองก็อดคิดถึงจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้ นางเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาให้เฉี่ยวหลิงนวดตอนเย็นของวันนั้น จิ่งโม่เยี่ยพากำลังพลบุกกลับเข้ามาในเมืองหลวง ทว่าตอนที่เขามาถึงเมืองหลวง กลับถูกกองทัพอวี๋ซานของจิ่งสือเยี่ยนขวางไว้ตอนที่จิ่งโม่เยี่ยเห็นจิ่งสือเยี่ยน แววตาก็เย็นชาทันทีตอนแรกจิ่งโม่เยี่ยสามารถควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวงได้แล้ว แต่จิ่งสือเยี่ยนกลับกองทัพอวี๋ซ
จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าหากเฟิ่งชูอิ่งไม่คิดหลบหนีออกไปตอนนั้น เขาคงไม่โกรธจัดจนเสียการควบคุม แล้วก็คงไม่ทำเช่นนั้นกับนาง...ความเงียบของจิ่งสือเยี่ยนบ่งบอกถึงเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ของเขาจิ่งโม่เยี่ยตาแดงก่ำ สูดหายใจลึกๆ แล้วเอ่ยว่า “จิ่งสือเยี่ยน นางไว้ใจเจ้ามาก ถึงได้ไม่ระแวงเจ้าสักนิด”“เจ้าทรยศความเชื่อใจของนาง....”ส่วนนางก็ไม่เคยพูดความจริงยามอยู่ต่อหน้าเขาเลยสักครั้ง แล้วยังหวาดระแวงเขามากด้วยวิธีการเข้าหากันเช่นนี้ ทำให้พวกเขามีเพียงความหวาดระแวงต่อกันแล้วก็เพราะเหตุนี้ จิ่งโม่เยี่ยถึงเอาแต่คิดว่าเฟิ่งชูอิ่งจะหนีจากตนเองไปเขาคิดว่าในคืนแต่งงานจะพูดคุยกับนางดีๆ เผยความจริงใจให้นางได้เห็น บอกนางว่าในใจเขามีนางเพียงผู้เดียวขอแค่นางยินดีจะอยู่ข้างกายเขา ไม่ว่าจะต้องทำอะไรเขาก็ยอมทั้งนั้นทว่าวันนั้นกลับเป็นการแยกจากด้วยความตาย คำพูดของเขาไม่สามารถพูดกับนางได้ แล้วก็ไม่มีหน้าจะไปพูดให้นางฟังด้วยเกรงว่านางจะเกลียดชังเขามาก จนชาตินี้ไม่อยากเจอหน้าเขาอีกแล้วสิ่งที่นางปฏิบัติต่อจิ่งสือเยี่ยน เป็นสิ่งที่เขาอยากจะได้จากนางมาโดยตลอดในที่สุดจิ่งสือเยี่ยนก็เอ่ยว่า “ในเมื่อตราพยัคฆ์อยู่ในมือข