“ข้าห้ามไม่ให้ท่านพ่อยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของข้าและจิ่งโม่เยี่ยได้ แต่บอกให้เขาปล่อยวางความแค้นไม่ได้”เฉี่ยวหลิงกล่าวตามสัตย์จริง “ถึงคุณหนูอยากจะสอดมือเข้าไปก็ทำไม่ได้อยู่ดีเจ้าค่ะ”“สภาพของท่านในตอนนี้ ขาก็หัก ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับนิ้ว เคลื่อนไหวลุกเดินไม่รอด...”นางเห็นเฟิ่งชูอิ่งถลึงตาใส่จึงเปลี่ยนวาจา “ข้าช่วยนวดกระตุ้นเลือดลมให้คุณหนูดีกว่า แบบนี้ท่านจะได้หายดีไวๆ”เฟิ่งชูอิ่งไม่เคยรู้สึกว่าตนเองไร้ค่าขนาดนี้มาก่อนเลย ตอนนี้นอกจากนอนเฉยๆ นางก็ทำอะไรไม่ได้เลยสภาพนางเป็นแบบนี้ ต้องใช้เวลาอีกนานเลยว่าจะฟื้นฟูเป็นปกติหลังจากขานางเริ่มหายดีแล้ว นางจะออกจากเมืองหลวงทันที สถานที่โสมมแบบนี้นางอยู่ต่อไม่ไหวจริงๆ!นางเห็นขาที่หักของตัวเองก็อดคิดถึงจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้ นางเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาให้เฉี่ยวหลิงนวดตอนเย็นของวันนั้น จิ่งโม่เยี่ยพากำลังพลบุกกลับเข้ามาในเมืองหลวง ทว่าตอนที่เขามาถึงเมืองหลวง กลับถูกกองทัพอวี๋ซานของจิ่งสือเยี่ยนขวางไว้ตอนที่จิ่งโม่เยี่ยเห็นจิ่งสือเยี่ยน แววตาก็เย็นชาทันทีตอนแรกจิ่งโม่เยี่ยสามารถควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวงได้แล้ว แต่จิ่งสือเยี่ยนกลับกองทัพอวี๋ซ
จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าหากเฟิ่งชูอิ่งไม่คิดหลบหนีออกไปตอนนั้น เขาคงไม่โกรธจัดจนเสียการควบคุม แล้วก็คงไม่ทำเช่นนั้นกับนาง...ความเงียบของจิ่งสือเยี่ยนบ่งบอกถึงเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ของเขาจิ่งโม่เยี่ยตาแดงก่ำ สูดหายใจลึกๆ แล้วเอ่ยว่า “จิ่งสือเยี่ยน นางไว้ใจเจ้ามาก ถึงได้ไม่ระแวงเจ้าสักนิด”“เจ้าทรยศความเชื่อใจของนาง....”ส่วนนางก็ไม่เคยพูดความจริงยามอยู่ต่อหน้าเขาเลยสักครั้ง แล้วยังหวาดระแวงเขามากด้วยวิธีการเข้าหากันเช่นนี้ ทำให้พวกเขามีเพียงความหวาดระแวงต่อกันแล้วก็เพราะเหตุนี้ จิ่งโม่เยี่ยถึงเอาแต่คิดว่าเฟิ่งชูอิ่งจะหนีจากตนเองไปเขาคิดว่าในคืนแต่งงานจะพูดคุยกับนางดีๆ เผยความจริงใจให้นางได้เห็น บอกนางว่าในใจเขามีนางเพียงผู้เดียวขอแค่นางยินดีจะอยู่ข้างกายเขา ไม่ว่าจะต้องทำอะไรเขาก็ยอมทั้งนั้นทว่าวันนั้นกลับเป็นการแยกจากด้วยความตาย คำพูดของเขาไม่สามารถพูดกับนางได้ แล้วก็ไม่มีหน้าจะไปพูดให้นางฟังด้วยเกรงว่านางจะเกลียดชังเขามาก จนชาตินี้ไม่อยากเจอหน้าเขาอีกแล้วสิ่งที่นางปฏิบัติต่อจิ่งสือเยี่ยน เป็นสิ่งที่เขาอยากจะได้จากนางมาโดยตลอดในที่สุดจิ่งสือเยี่ยนก็เอ่ยว่า “ในเมื่อตราพยัคฆ์อยู่ในมือข
จิ่งสือเยี่ยนใจเต้นผิดจังหวะ แปลว่าเกิดเรื่องกับเฟิ่งชูอิ่งจริงน่ะสิเขามองดูผมสีขาวโพลนของจิ่งโม่เยี่ย มองสายตาที่บ้าคลั่งของเขา จึงพอจะเดาได้ว่าเรื่องดังกล่าวคงจะไม่สู้ดีนักความคิดที่เขามีต่อเฟิ่งชูอิ่ง เขาย่อมรู้ดีแก่ใจ คำพูดไร้สาระพวกนั้นไม่จำเป็นจะต้องพูดออกมาเขาสูดหายใจลึกๆ กล่าวว่า “พี่สาม พวกเราคุยกันก่อนเถอะ”นัยน์ตาของจิ่งโม่เยี่ยฉายแววสังหาร แต่กลับตอบว่า “เอาสิ”ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังจิ่งสือเยี่ยนตะโกนว่า “ท่านอ๋องจิ้น!”จิ่งสือเยี่ยนไม่พูดอะไร ปู๋เยี่ยโหวที่อยู่ข้างๆ กลับพูดว่า “แหม นี่ใครกันเนี่ย? หรือว่าคิดจะตัดสินใจแทนอ๋องจิ้น?”จิ่งสือเยี่ยนบอกกับชายวัยกลางคนผู้นั้น “ไม่เป็นไร พี่สามไม่ทำร้ายข้าหรอก”ชายวัยกลางคนใช้สายตามองจิ่งสือเยี่ยนสลับกับจิ่งโม่เยี่ยหลายครั้ง สุดท้ายก็ไม่ยอมตามออกไปปู๋เยี่ยโหวยกแขนกอดอก มองเขาด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มในวังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น มากกว่าครึ่งเป็นเพราะคนพวกนี้ก่อนหน้านี้ปู๋เยี่ยโหวเห็นจิ่งสือเยี่ยนยังคิดอยู่เลยว่านิสัยใช้ได้ คิดไม่ถึงว่าจะซ่อนสันดานได้มิดชิดเพียงนี้จิ๊ จิ๊ คนพวกนี้ไม่มีใครธรรมดาจริงๆชายวัยกลางคนหัน
เขากล่าวถึงตรงนี้ก็ส่งยิ้มให้ซูโหย่วเหลียง “จิ่งโม่เยี่ยทำลายกองทัพรักษาพระองค์ที่ด้านนอกเมืองหลวงได้ พวกเจ้าคิดว่าจะรักษาเมืองหลวงเอาไว้ได้นานแค่ไหนล่ะ?”ซูโหย่วเหลียงเอ่ยเสียงเย็นชา “อ๋องฉู่เป็นขุนนางกบฏ หลังจากนี้จะมีกองกำลังรักษาพระองค์มาเพิ่มอีก”ปู๋เยี่ยโหวไม่ชอบเวลาที่มีคนพูดอะไรแบบนี้ จึงหัวเราะอย่างเย็นชา “เขาเป็นขุนนางกบฏ? น่าขันจริงๆ!”“ใต้เท้าซูเกรงว่าจะลืมไปแล้ว บัลลังก์มังกรของฮ่องเต้เจาหยวนแย่งชิงมาจากใคร เรื่องนี้คนในราชสำนักเขารู้กันหมดแหละ”“ต่อให้มีกองทัพรักษาพระองค์บุกเข้าเมืองหลวงมาช่วยฮ่องเต้เจาหยวน แต่ใต้เท้าซูลองเดาดูสิ ในกองทัพมีคนมากน้อยแค่ไหนที่เลือกยืนอยู่ฝั่งจิ่งโม่เยี่ย?”ซูโหย่วเหลียงใจสั่นวูบจิ่งโม่เยี่ยเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของอดีตฮ่องเต้ ความสามารถโดดเด่นตั้งแต่เด็ก ในราชสำนักจึงมีคนจำนวนมากที่สนับสนุนเขาเขาอายุสิบสี่ก็ยกทัพไปตีแคว้นหนานเยว่ได้ แล้วยังบุกเข้าไปถึงวังหลวงของแคว้นหนานเยว่ด้วย แม้ฮ่องเต้เจาหยวนจะสั่งปิดข่าว แต่ในกองทัพล้วนทราบเรื่องนี้ดีบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลาย เกือบทั้งหมดเลือกจะยืนฝั่งเดียวกับจิ่งโม่เยี่ย มิฉะนั้นกองทัพรักษาพระองค์
กว่าเขาจะอาการดีขึ้น ก็ได้ยินเรื่องทั้งหมดที่จิ่งโม่เยี่ยทำลงไป เขาจึงเกิดขี้ขลาดขึ้นมาทันทีไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น จิ่งโม่เยี่ยลงดาบได้อย่างว่องไวและคมกริบมาก ยามเขาเชือดใครสักคน ไม่มีลังเลสับสนแม้แต่น้อยเหล่าขุนนางที่ต่อต้านจิ่งโม่เยี่ยหนักที่สุดในราชสำนัก ต่างก็ถูกเขาล้วงหลักฐานการทำผิดออกมาตัดสินโทษแม้ทุกคนจะคิดว่าการกระทำของจิ่งโม่เยี่ยเป็นการทำลายคนที่คิดเห็นต่าง แต่เพราะหลักฐานที่เขานำออกมามีน้ำหนัก คนอื่นจึงไม่กล้าพูดอะไรพวกเขาเป็นขุนนางมานาน ไม่มีใครกล้าพูดหรอกว่ามือตัวเองขาวสะอาดอีกอย่างพวกเขาก็ประจักษ์วิธีการของจิ่งโม่เยี่ยมากับตา หลักฐานพวกนั้นเกรงว่าเขาจะสั่งให้คนรวบรวมเอาไว้นานแล้วไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ทุกวันนี้จิ่งโม่เยี่ยควบคุมเมืองหลวงได้อย่างเบ็ดเสร็จภายในกองทัพก็มีแม่ทัพนายกองจำนวนมากที่สวามิภักดิ์ต่อเขา ประกอบกับอำนาจกองทัพในมือของตัวเอง คาดว่าทหารครึ่งหนึ่งน่าจะอยู่ในมือของเขาจิ่งสือเฟิงเห็นสถานการณ์แบบนี้ก็ได้แต่โง่งมถึงเขาไม่ได้ฉลาดมากนัก แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ ไม่มีทางทำตัวเป็นนกชูหัวหาเรื่องตายหรอกจนป่านนี้แล้วจิ่งสือเฟิ่งเพิ่งจะระลึกเรื่องบางอย่างได้ นั่น
ฉินจื๋อเจี้ยนอยากจะเกลี้ยกล่อมจิ่งโม่เยี่ย พวกเขาเห็นกับตาว่าเฟิ่งชูอิ่งตายไปแล้ว เห็นกับตาว่านางเป็นเพียงศพเย็นชืดจิ่งโม่เยี่ยเห็นกับตาว่าเฉี่ยวหลิงนำร่างของเฟิ่งชูอิ่งใส่โลงศพแล้วขุดดินฝัง ในสถานการณ์แบบนั้น ต่อให้เป็นต้าหลัวจินเซียน[footnoteRef:1]ลงมายังโลกมนุษย์ ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตนางได้อยู่ดี [1: หนึ่งในเทพเจ้าทั้งห้าของลัทธิเต๋า ไม่แก่ไม่ตายเป็นอมตะ] แต่สุดท้ายเขาก็ต้องกลืนคำพูดพวกนั้นกลับเข้าไป เพราะเขารู้ว่าจิ่งโม่เยี่ยพูดแบบนี้ไม่ใช่เพราะคิดว่าเฟิ่งชูอิ่งยังมีชีวิตอยู่ แต่เพราะหวังอยากให้นางมีชีวิตอยู่เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านอ๋องฐานะสูงศักดิ์ ตอนนี้สถานการณ์ของท่านดีกว่าแต่ก่อนทุกอย่าง แต่ก็ชวนกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง”“หากท่านอ๋องมีลูกของตัวเองสักคน ก็จะมีทายาทผู้สืบทอด ตำแหน่งของท่านย่อมมั่นคง”“ตอนนี้ท่านอ๋องไม่มีภรรยาอนุ มิสู้รับอนุภรรยาเข้ามาสักหน่อยล่ะ ท่านอ๋องจะได้มีทายาทสืบสกุล?”จิ่งโม่เยี่ยเข้าใจความคิดของเขา จึงหันไปมองแล้วบอกว่า “เจ้าคิดว่าข้าว่างมากนักหรือไง?”ฉินจื๋อเจี้ยนยิ้มตอบ “ย่อมไม่ใช่แบบนั้น ท่านอ๋องยุ่งจนตัวเป็นเกลียวเลยพ่ะย่ะค่ะ”“แต่เพราะว่าท่านอ๋องยุ่ง
ก่อนหน้านี้เขามัวแต่ไปแก้แค้น ในใจมีเรื่องต้องแบกรับจึงดูสุขุมอยู่บ้างตอนนี้แม้ว่าปู๋เยี่ยโหวจะยังแก้แค้นไม่สำเร็จอย่างแท้จริง ฮ่องเต้เจาหยวนยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็อยู่ไม่ไกลจากความตายนักองครักษ์เงาของฮ่องเต้เจาหยวนกับกองทัพอวี๋ซานคุ้มครองเขาอย่างแน่นหนา ปู๋เยี่ยโหวจึงบุกเข้าวังไปสังหารเขาไม่ได้จิ่งโม่เยี่ยมอบตำแหน่งรองเจ้ากรมของกรมคลังให้ปู๋เยี่ยโหว ตอนรับตำแหน่งใหม่ๆ เขาก็ยังไปทำงานอยู่บ้างเขาเป็นคนที่ฉลาดเป็นกรด จึงโอนย้ายงานของตัวเองไปให้เพื่อนร่วมงานส่วนหนึ่ง ส่วนตัวเองก็ทำงานที่เหลืออยู่จนเสร็จ จากนั้นก็หนีออกไปเที่ยวเล่นสองสามวันก่อนจิ่งโม่เยี่ยมีเรื่องจะปรึกษาแต่หาตัวเขาไม่เจอ หลังจากสั่งสอนเขาไปยกใหญ่ก็สงบเสงี่ยมอยู่สองสามวัน แต่หลังจากนั้นก็กลับมาเหมือนเดิมตอนนี้เขาชักจะอิจฉาปู๋เยี่ยโหวขึ้นมาแล้ว เจ้าหมอนั่นใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปวันๆ เหมือนคนไม่มีหัวใจเขาเอ่ยว่า “ขอแค่เขาทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้น เขาจะไปไหนก็ช่างเถอะ”สำหรับจิ่งโม่เยี่ย ถึงสายเลือดจะเบาบางแค่ไหน แต่ปู๋เยี่ยโหวก็เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เขายอมรับฉินจื๋อเจี้ยนถอนหายใจ “ท่านอ๋องตามใจเขาไปเถอะ ระวังวันหนึ่
จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าในเมืองหลวงมีคนมากมายอยากให้เขาตาย ไม่ว่าใครจะเป็นคนจ้างคนเหล่านี้มา ก็สมควรตายทั้งสิ้น!ห้วงอารมณ์ที่เขากักเก็บเอาไว้ถูกปลดปล่อยออกมาในชั่วพริบตา การปรากฏตัวของคนเหล่านี้กลายเป็นที่ระบายความโกรธแค้นของเขาทว่าพวกคนชุดดำมีจำนวนมากเกินไป จิ่งโม่เยี่ยพาองครักษ์ติดตัวมาด้วยไม่กี่คน แม้พวกเขาจะฝีมือร้ายกาจสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถต้านทานกำลังของคนหมู่มากได้หลางซานเข้ามาคุ้มกันข้างกายจิ่งโม่เยี่ย “ท่านอ๋อง เสด็จหนีเร็วพ่ะย่ะค่ะ!”จิ่งโม่เยี่ยหันไปเห็นว่ามีศพคนชุดดำจำนวนไม่น้อยล้มทับบนหลุมศพของเฟิ่งชูอิ่ง เขาจึงรู้สึกรังเกียจขึ้นมาเล็กน้อยหากพวกคนชุดดำมานอนตายอยู่ตรงนี้ เขากลัวว่าจะเป็นการรบกวนเฟิ่งชูอิ่งทว่าคนชุดดำมีจำนวนมากเกินไป ยิ่งฆ่าก็ยิ่งมาก ศพจึงกองทับถมมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็จะยิ่งรบกวนเฟิ่งชูอิ่งเขาจึงพาพวกหลางซานฝ่าวงล้อมออกไปด้วยใบหน้าดำทะมึนคนชุดดดำพวกนั้นรับคำสั่งเด็ดขาดมา จึงไล่ตามพวกเขาไม่ปล่อยหลางซานกล่าว “ท่านอ๋อง จวนตากอากาศของปู๋เยี่ยโหวอยู่แถวนี้ วันนี้เขาอยู่ในจวนด้วย”ปู๋เยี่ยโหวอยู่ที่นั่นจะต้องมีทหารองครักษ์อยู่ด้วยไม่น้อย ทั้งสองกลุ่มรวมกันอย่างไรก