เขาอยากได้ยินเฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเรียกเขาว่าพ่ออีก แต่เขากลับรู้สึกว่าการร้องขอแบบนั้นคงไม่เหมาะสักเท่าไหร่เขาจึงเอ่ยว่า “หลังจากนี้ไปข้าจะปกป้องเจ้าเอง”เฟิ่งชูอิ่งส่งยิ้มบางๆ ให้เขา “ข้ารู้อยู่แล้ว”“ก่อนหน้านี้พวกเขาบอกว่าบิดามารดาของข้าตายหมดแล้ว ไม่มีใครปกป้องข้าได้ แต่ข้ารู้ว่าตอนที่พวกท่านยังมีชีวิตอยู่จะต้องรักข้ามากแน่ๆ”“พวกท่านพยายามทำทุกอย่างเพื่อทิ้งของที่ดีที่สุดเอาไว้ให้ข้า”เหมยตงยวนได้ยินแบบนั้นก็ปวดแปลบในใจ เขาเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ข้าไม่สมควรเป็นพ่อคนเลยสักนิด ข้าติดค้างเจ้ากับแม่ของเจ้ามากเหลือเกิน”“ข้าเป็นคนไม่ได้เรื่องเลย ไม่สามารถปกป้องเจ้ากับแม่ได้ จนเจ้าต้องเผชิญหน้ากับความลำบากมากมาย”เฟิ่งชูอิ่งเบิกตากว้างจ้องมองเขา นางอยากรู้เรื่องของเขากับสตรีศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นซีฉู่เขากลับไม่ยอมเล่าอะไรต่อ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “ถึงตอนนี้ข้าจะตายไปแล้ว แต่จะไม่ยอมให้ใครรังแกเจ้าได้”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “หลังจากนี้ไปข้าจะมีบิดาคอยรักและเป็นห่วงแล้ว”ยามพ่อลูกพบหน้ากันอีกครั้ง เหมยตงยวนเองก็รู้สึกสงสัยเรื่องของนางอยู่มิใช่น้อยเขาครุ่นคิดแล้วถามว่า “เจ้าเล่าเรื่องของเจ้ากับจิ่งโม
เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า “หลังฆ่าเทียนซือแล้วข้าก็ช่วยเขาถอนคำสาป”เหมยตงยวนนัยน์ตาเย็นเยียบ “เจ้าช่วยเขาถอนคำสาป เขายังกล้าทำแบบนี้กับเจ้าอีก?”เฟิ่งชูอิ่งไม่ได้พูดอะไร เหมยตงยวนก็ทุบโต๊ะแล้วเอ่ยว่า “ทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน!”โต๊ะตัวนั้นถูกฝ่ามือของเขาทุบจนเละเทะ เฟิ่งชูอิ่งกับเฉี่ยวหลิงตกใจจนสะดุ้งเหมยตงยวนเห็นสีหน้าของพวกนางก็รู้ตัวว่าตนเองดุร้ายเกินไป กลัวจะทำให้นางกลัวเขาเอ่ยว่า “เจ้าถูกฮ่องเต้เจาหยวนพระราชสทานสมรสให้จิ่งโม่เยี่ยเพราะหลินชูเจิ้งเป็นคนเสนอ เรื่องนี้โทษจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้”“แต่พวกเจ้าก็ตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วมิใช่หรือว่าเจ้าจะช่วยเขาถอนคำสาป ขณะที่เขาปกป้องเจ้าให้ปลอดภัย หลังถอนคำสาปแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ควรเกี่ยวข้องกันอีก”“เขาเกิดความรู้สึกกับเจ้าเองแท้ๆ แต่กลับบังคับให้เจ้าอยู่ข้างกายเขา”“การกระทำที่ไม่สนใจความรู้สึกว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่เช่นนี้ มันบ้าอำนาจไร้เหตุผลสิ้นดี”“เขากล้าทำกับเจ้าแบบนี้ เพราะว่าเจ้ากำพร้าไร้ที่พึ่งพิง ไม่สามารถต่อต้านได้ล่ะสิ”“สุดท้ายความเห็นแก่ตัวและเอาแต่ใจของเขาก็ทำร้ายเจ้าจนตาย คนแบบนี้มันสมควรตายจริงๆ!”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาด้วยท่าทางตกใจ เขาดูเ
นางถามว่า “ท่านพ่อคิดจะทำอะไร? คงไม่ได้คิดจะช่วยฮ่องเต้เจาหยวนต่อกรกับจิ่งโม่เยี่ยหรอกนะ?”นัยน์ตาของเหมยตงยวนเผยความอันตราย “จิ่งโม่เยี่ยสมควรตาย ฮ่องเต้เจาหยวนก็สมควรตาย ทำไมข้าต้องช่วยฮ่องเต้เจาหยวนด้วยล่ะ?”เฟิ่งชูอิ่งถาม “ถ้าอย่างนั้นท่านพ่อจะทำอะไรล่ะ?”เหมยตงยวนเอ่ยเสียงเย็นชา “ข้าถูกขังอยู่ในวังหลวง ออกจากอาวุธวิเศษไม่ได้ แต่ใช่ว่าจะไม่รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกเลย”“ตอนที่ข้าอยู่ในอาวุธวิเศษ สามารถได้ยินเสียงคนพูดคุยจากด้านนอกได้”“ในบรรดาองค์ชายทั้งหมด ฮ่องเต้เจาหยวนไม่ชอบองค์ชายห้าจิ่งสือเยี่ยนมากที่สุด ดังนั้นข้าจะผลักดันเขาให้ได้บัลลังก์”“ต่อให้ช่วยเขาชิงดาวจักรพรรดิมาจากตัวของจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องขัดขวางไม่ให้จิ่งโม่เยี่ยกลายเป็นฮ่องเต้ปกครองแผ่นดิน”เฟิ่งชูอิ่ง “......”เฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”คำพูดของบิดานางฟังดูอันตรายยิ่งนัก!เดี๋ยวก่อนนะ จิ่งสือเยี่ยน?ก่อนหน้านี้นางสงสัยมาโดยตลอด จิ่งสือเยี่ยนที่ไม่มีความทะเยอทะยานและนิสัยดีมากคนนั้น ทำไมถึงตั้งตัวเป็นศัตรูกับจิ่งโม่เยี่ย เพราะในหนังสือไม่มีเขียนอธิบายเอาไว้ตอนนี้พอนางได้ยินแผนการจากปากเหมยตงยวนก็ต้อ
เฟิ่งชูอิ่งคิดว่าหากเหมยตงยวนยื่นมือเข้าไปสอดเรื่องพวกนี้จริงๆ จะต้องเกิดเรื่องที่คาดเดาได้ยากขึ้นมาแน่นางตัดสินใจเกลี้ยกล่อมเขาอีกที “ท่านพ่อ เรื่องระหว่างข้ากับจิ่งโม่เยี่ย หากคิดดีๆ ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของข้ากับเขา”“หากจะจัดการเขา ข้าก็อยากทำด้วยตัวเอง ไม่อยากให้คนอื่นยื่นมือเข้ามาสอดแทรก”เหมยตงยวนขมวดคิ้วแล้วก้มมองขาที่บวมเป่งและช้ำจนเป็นสีดำของนาง ถามว่า “เจ้าอยากจัดการจิ่งโม่เยี่ยด้วยตัวเองหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งคิดว่าวิธีการคิดของนางกับเหมยตงยวนไม่ค่อยจะเหมือนกัน นางจึงอธิบายคำพูดของตัวเองให้ชัดเจนขึ้นนางกล่าวว่า “ไม่ว่าจิ่งสือเยี่ยนจะมีความทะเยอทะยานหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของเขา”“จิ่งโม่เยี่ยทำให้ข้าเจ็บตัว ข้าเกลียดชังเขา แต่กลับไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขาอีก”“เรื่องพวกนี้เดิมทีก็ไม่เกี่ยวข้องกับจิ่งสือเยี่ยน การลากเขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ไม่ค่อยจะยุติธรรมกับเขานัก”เหมยตงยวนถาม “เจ้าสนิทกับจิ่งสือเยี่ยนหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ย “ใช่ว่าจะสนิท แต่ก็เคยพูดคุยกันอยู่หลายครั้ง คิดว่าเขาเป็นคนที่สดใสร่าเริงดี”“ข้าคิดว่าเขาไม่ยุ่งเกี่ยวกับการแก่งแย่งในราชวงศ์ ใช้ชี
“ข้าห้ามไม่ให้ท่านพ่อยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของข้าและจิ่งโม่เยี่ยได้ แต่บอกให้เขาปล่อยวางความแค้นไม่ได้”เฉี่ยวหลิงกล่าวตามสัตย์จริง “ถึงคุณหนูอยากจะสอดมือเข้าไปก็ทำไม่ได้อยู่ดีเจ้าค่ะ”“สภาพของท่านในตอนนี้ ขาก็หัก ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับนิ้ว เคลื่อนไหวลุกเดินไม่รอด...”นางเห็นเฟิ่งชูอิ่งถลึงตาใส่จึงเปลี่ยนวาจา “ข้าช่วยนวดกระตุ้นเลือดลมให้คุณหนูดีกว่า แบบนี้ท่านจะได้หายดีไวๆ”เฟิ่งชูอิ่งไม่เคยรู้สึกว่าตนเองไร้ค่าขนาดนี้มาก่อนเลย ตอนนี้นอกจากนอนเฉยๆ นางก็ทำอะไรไม่ได้เลยสภาพนางเป็นแบบนี้ ต้องใช้เวลาอีกนานเลยว่าจะฟื้นฟูเป็นปกติหลังจากขานางเริ่มหายดีแล้ว นางจะออกจากเมืองหลวงทันที สถานที่โสมมแบบนี้นางอยู่ต่อไม่ไหวจริงๆ!นางเห็นขาที่หักของตัวเองก็อดคิดถึงจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้ นางเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาให้เฉี่ยวหลิงนวดตอนเย็นของวันนั้น จิ่งโม่เยี่ยพากำลังพลบุกกลับเข้ามาในเมืองหลวง ทว่าตอนที่เขามาถึงเมืองหลวง กลับถูกกองทัพอวี๋ซานของจิ่งสือเยี่ยนขวางไว้ตอนที่จิ่งโม่เยี่ยเห็นจิ่งสือเยี่ยน แววตาก็เย็นชาทันทีตอนแรกจิ่งโม่เยี่ยสามารถควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวงได้แล้ว แต่จิ่งสือเยี่ยนกลับกองทัพอวี๋ซ
จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าหากเฟิ่งชูอิ่งไม่คิดหลบหนีออกไปตอนนั้น เขาคงไม่โกรธจัดจนเสียการควบคุม แล้วก็คงไม่ทำเช่นนั้นกับนาง...ความเงียบของจิ่งสือเยี่ยนบ่งบอกถึงเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ของเขาจิ่งโม่เยี่ยตาแดงก่ำ สูดหายใจลึกๆ แล้วเอ่ยว่า “จิ่งสือเยี่ยน นางไว้ใจเจ้ามาก ถึงได้ไม่ระแวงเจ้าสักนิด”“เจ้าทรยศความเชื่อใจของนาง....”ส่วนนางก็ไม่เคยพูดความจริงยามอยู่ต่อหน้าเขาเลยสักครั้ง แล้วยังหวาดระแวงเขามากด้วยวิธีการเข้าหากันเช่นนี้ ทำให้พวกเขามีเพียงความหวาดระแวงต่อกันแล้วก็เพราะเหตุนี้ จิ่งโม่เยี่ยถึงเอาแต่คิดว่าเฟิ่งชูอิ่งจะหนีจากตนเองไปเขาคิดว่าในคืนแต่งงานจะพูดคุยกับนางดีๆ เผยความจริงใจให้นางได้เห็น บอกนางว่าในใจเขามีนางเพียงผู้เดียวขอแค่นางยินดีจะอยู่ข้างกายเขา ไม่ว่าจะต้องทำอะไรเขาก็ยอมทั้งนั้นทว่าวันนั้นกลับเป็นการแยกจากด้วยความตาย คำพูดของเขาไม่สามารถพูดกับนางได้ แล้วก็ไม่มีหน้าจะไปพูดให้นางฟังด้วยเกรงว่านางจะเกลียดชังเขามาก จนชาตินี้ไม่อยากเจอหน้าเขาอีกแล้วสิ่งที่นางปฏิบัติต่อจิ่งสือเยี่ยน เป็นสิ่งที่เขาอยากจะได้จากนางมาโดยตลอดในที่สุดจิ่งสือเยี่ยนก็เอ่ยว่า “ในเมื่อตราพยัคฆ์อยู่ในมือข
จิ่งสือเยี่ยนใจเต้นผิดจังหวะ แปลว่าเกิดเรื่องกับเฟิ่งชูอิ่งจริงน่ะสิเขามองดูผมสีขาวโพลนของจิ่งโม่เยี่ย มองสายตาที่บ้าคลั่งของเขา จึงพอจะเดาได้ว่าเรื่องดังกล่าวคงจะไม่สู้ดีนักความคิดที่เขามีต่อเฟิ่งชูอิ่ง เขาย่อมรู้ดีแก่ใจ คำพูดไร้สาระพวกนั้นไม่จำเป็นจะต้องพูดออกมาเขาสูดหายใจลึกๆ กล่าวว่า “พี่สาม พวกเราคุยกันก่อนเถอะ”นัยน์ตาของจิ่งโม่เยี่ยฉายแววสังหาร แต่กลับตอบว่า “เอาสิ”ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังจิ่งสือเยี่ยนตะโกนว่า “ท่านอ๋องจิ้น!”จิ่งสือเยี่ยนไม่พูดอะไร ปู๋เยี่ยโหวที่อยู่ข้างๆ กลับพูดว่า “แหม นี่ใครกันเนี่ย? หรือว่าคิดจะตัดสินใจแทนอ๋องจิ้น?”จิ่งสือเยี่ยนบอกกับชายวัยกลางคนผู้นั้น “ไม่เป็นไร พี่สามไม่ทำร้ายข้าหรอก”ชายวัยกลางคนใช้สายตามองจิ่งสือเยี่ยนสลับกับจิ่งโม่เยี่ยหลายครั้ง สุดท้ายก็ไม่ยอมตามออกไปปู๋เยี่ยโหวยกแขนกอดอก มองเขาด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มในวังเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น มากกว่าครึ่งเป็นเพราะคนพวกนี้ก่อนหน้านี้ปู๋เยี่ยโหวเห็นจิ่งสือเยี่ยนยังคิดอยู่เลยว่านิสัยใช้ได้ คิดไม่ถึงว่าจะซ่อนสันดานได้มิดชิดเพียงนี้จิ๊ จิ๊ คนพวกนี้ไม่มีใครธรรมดาจริงๆชายวัยกลางคนหัน
เขากล่าวถึงตรงนี้ก็ส่งยิ้มให้ซูโหย่วเหลียง “จิ่งโม่เยี่ยทำลายกองทัพรักษาพระองค์ที่ด้านนอกเมืองหลวงได้ พวกเจ้าคิดว่าจะรักษาเมืองหลวงเอาไว้ได้นานแค่ไหนล่ะ?”ซูโหย่วเหลียงเอ่ยเสียงเย็นชา “อ๋องฉู่เป็นขุนนางกบฏ หลังจากนี้จะมีกองกำลังรักษาพระองค์มาเพิ่มอีก”ปู๋เยี่ยโหวไม่ชอบเวลาที่มีคนพูดอะไรแบบนี้ จึงหัวเราะอย่างเย็นชา “เขาเป็นขุนนางกบฏ? น่าขันจริงๆ!”“ใต้เท้าซูเกรงว่าจะลืมไปแล้ว บัลลังก์มังกรของฮ่องเต้เจาหยวนแย่งชิงมาจากใคร เรื่องนี้คนในราชสำนักเขารู้กันหมดแหละ”“ต่อให้มีกองทัพรักษาพระองค์บุกเข้าเมืองหลวงมาช่วยฮ่องเต้เจาหยวน แต่ใต้เท้าซูลองเดาดูสิ ในกองทัพมีคนมากน้อยแค่ไหนที่เลือกยืนอยู่ฝั่งจิ่งโม่เยี่ย?”ซูโหย่วเหลียงใจสั่นวูบจิ่งโม่เยี่ยเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของอดีตฮ่องเต้ ความสามารถโดดเด่นตั้งแต่เด็ก ในราชสำนักจึงมีคนจำนวนมากที่สนับสนุนเขาเขาอายุสิบสี่ก็ยกทัพไปตีแคว้นหนานเยว่ได้ แล้วยังบุกเข้าไปถึงวังหลวงของแคว้นหนานเยว่ด้วย แม้ฮ่องเต้เจาหยวนจะสั่งปิดข่าว แต่ในกองทัพล้วนทราบเรื่องนี้ดีบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลาย เกือบทั้งหมดเลือกจะยืนฝั่งเดียวกับจิ่งโม่เยี่ย มิฉะนั้นกองทัพรักษาพระองค์